สถานีบริการน้ำมัน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 21 Sep 2023 07:19:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ดีลประวัติศาสตร์ “บางจากฯ” เข้าซื้อ “เอสโซ่” ผนวกปั๊มน้ำมัน 2,200 แห่งจำหน่าย “น้ำมัน” สูตรคุณภาพ https://positioningmag.com/1444038 Thu, 21 Sep 2023 10:00:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444038

ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในธุรกิจพลังงาน เมื่อบริษัทน้ำมันสัญชาติไทย “บางจาก” เข้าซื้อกิจการ “เอสโซ่” สำเร็จ เตรียมผนวกเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันของเอสโซ่มาอยู่ภายใต้แบรนด์บางจาก ซึ่งจะทำให้บางจากมีปั๊มน้ำมันกว่า 2,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเปลี่ยนมาจำหน่าย “น้ำมัน” สูตรคุณภาพที่ผลิตจากโรงกลั่นระดับโลกทั้งสองแห่ง

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินการชำระราคาซื้อขายหุ้นสามัญของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญของเอสโซ่สำเร็จ ในราคาหุ้นละประมาณ 9.8986 บาท และบางจากฯ จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลืออีก 34.01% ของเอสโซ่ต่อไปในช่วงวันที่ 8 กันยายน – 12 ตุลาคมนี้

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทบางจาก และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น

เหตุการณ์นี้ถือเป็นดีลครั้งใหญ่ในวงการพลังงาน เนื่องจากเป็นการเข้าซื้อกิจการที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบางจากฯ มากยิ่งขึ้น  ที่เห็นได้ชัดคือ สถานีบริการน้ำมันบางจากที่มีอยู่เดิม 1,360 แห่ง เมื่อรวมกับสถานีบริการน้ำมันของเอสโซ่ที่มี 830 แห่ง จะทำให้บางจากฯ มีเครือข่ายปั๊มน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นกว่า 2,200 แห่งทั่วประเทศ

รวมถึงบางจากฯ ยังได้รับสินทรัพย์ที่เป็นประโยชน์จากเอสโซ่อีกหลายรายการ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน จ.ชลบุรี กำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน, คลังน้ำมัน 2 แห่งใน อ.ศรีราชา และ จ.ลำปาง สต๊อกน้ำมัน และโรงงานอะโรเมติกส์มีกำลังการผลิตพาราไซลีน ขนาด 500,000 ตัน เป็นต้น

แน่นอนว่าการผสานศักยภาพของสองบริษัทใหญ่ในครั้งนี้ ย่อมสร้างความความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจพลังงานไทย โดยบางจากฯ มีความเชื่อมั่นว่าการรวมพลังกันของสองบริษัทจะช่วยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และการบริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้บริโภคตามคอนเซ็ปต์ ‘Together to Greater’ จับมือกันเพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีศักยภาพสูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งผู้บริโภคจะได้เห็นการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ดังนี้


เปลี่ยน “ปั๊มเสือ” เป็น “ปั๊มใบไม้” ขายเครือข่ายเป็น 2,200 แห่ง

หลังเข้าซื้อกิจการแล้ว บางจากฯ จะผนวกสถานีบริการน้ำมันของเอสโซ่เข้ามาในเครือข่ายอีกประมาณ 830 แห่ง โดยปั๊มเอสโซ่จะทยอย “รีแบรนด์” เป็นปั๊มบางจาก ทำให้เครือข่ายปั๊มบางจากขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2,200 แห่ง

โดยเริ่มต้นจากปั๊มเอสโซ่ที่บริษัทดำเนินกิจการเอง 280 แห่ง สามารถเปลี่ยนแบรนด์ได้ทันทีภายในสิ้นปี 2566

ส่วนสาขาที่เหลือซึ่งมีดีลเลอร์เป็นเจ้าของ จะทยอยเจรจาสัญญาเพื่อเปลี่ยนมาใช้แบรนด์บางจากทดแทน ในส่วนนี้บางจากฯ คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ปีในการรีแบรนด์

บางจากฯ ประเมินว่า การรวมเครือข่ายปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่นั้นทำเลที่ตั้งจะไม่ทับซ้อนกัน จึงทำให้โอกาสเข้าถึงผู้บริโภคของบางจากฯ จะครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และในบางพื้นที่นั้นบางจากฯ จะมีโอกาสได้ขยายสาขาไปสู่ผู้บริโภคได้รวดเร็วหลังการควบรวมกิจการกับเอสโซ่ ได้แก่ ภาคเหนือซึ่งมีปั๊มเอสโซ่อยู่ 160 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีปั๊มเอสโซ่อยู่ 130 แห่ง พื้นที่เหล่านี้เมื่อสถานีน้ำมันเปลี่ยนเป็นบางจาก ผู้บริโภคจะได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ โปรโมชัน สิทธิประโยชน์ต่างๆ จากบางจากฯ ได้สะดวกมากขึ้น ด้วยทำเลที่ตั้งเป็นปั๊มน้ำมันใกล้บ้านหรืออยู่ระหว่างทางสัญจรประจำของผู้บริโภค


“น้ำมัน” สูตรบางจาก จากโรงกลั่นระดับโลกทั้งสองแห่ง

สำหรับสูตรน้ำมันที่จะเข้าสู่หัวจ่ายของปั๊มบางจากและปั๊มเอสโซ่ที่อยู่ระหว่างรอการรีแบรนด์ จะมีการปรับเปลี่ยนเป็นน้ำมันสูตรบางจากฯ ทันที

ในแง่ของคุณภาพน้ำมัน บางจากฯ มีน้ำมันเกรดพรีเมียมทั้งแก๊สโซฮอล์และดีเซลที่ได้มาตรฐาน EURO5 มีคุณภาพสูง โดยน้ำมัน Bangchak Hi Premium 97 ได้รับเลือกจาก “บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด” ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ “ปอร์เช่” (Porsche) ให้เป็นน้ำมันถังแรก (First Fuel) ที่เติมให้กับรถยนต์ปอร์เช่ที่ออกจากศูนย์บริการในเมืองไทย

อีกทั้งโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ยังเป็นโรงกลั่นมาตรฐานระดับโลกซึ่งเป็นรายเดียวในไทยที่ได้รับรางวัล TQA เมื่อปี 2565 และเป็นโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่ได้รับรางวัล Global Performance Excellence Award (GPEA) ระดับ World Class ในปี 2566 โดยน้ำมันที่กลั่นออกมา ทุกชนิดเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้มาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงาน


ผนวกฐานลูกค้า “เอสโซ่ สไมล์ส” เข้าสู่ระบบ “บางจากกรีนไมลส์”

อีกส่วนที่บางจากฯ ให้ความสำคัญ คือการเข้าดูแลสิทธิประโยชน์ของลูกค้าสมาชิก  “เอสโซ่ สไมล์ส” ซึ่งมีฐานสมาชิกอยู่ราว 3.5 ล้านราย

โดยลูกค้าเอสโซ่ สไมล์สจะสามารถโอนย้ายคะแนนทั้งหมดมายังบัตรบางจากกรีนไมลส์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2566 จนถึง 31 สิงหาคม 2567 และหากมีการโอนคะแนนมาเป็นคะแนนบางจากกรีนไมลส์ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 จะได้รับคะแนนโบนัสพิเศษเพิ่มอีก 100 คะแนนด้วย ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าเอสโซ่ สไมล์สที่ยังไม่โอนคะแนน จะใช้บัตรเดิมสะสมคะแนนและแลกรับส่วนลดในการเติมน้ำมันได้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567

สมาชิกเอสโซ่ สไมล์สโอนย้ายคะแนนไปเป็นคะแนนบางจากกรีนไมลส์ ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

  • เครื่องรูดบัตร EDC ที่สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่
  • เว็บไซต์ bcpspointconversion.com
  • ไลน์ Bangchak
  • ไลน์ Esso Smiles (ให้บริการระหว่างวันที่ 16 กันยายน – 29 พฤศจิกายน 2566)
  • Call center เอสโซ่สไมล์ส
  • เครื่องรูดบัตร EDC ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก (จะเปิดให้บริการระหว่างเดือนธันวาคม 2566 – เดือนสิงหาคม 2567)

สำหรับโปรโมชันร่วมกับบัตรเครดิตต่างๆ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่ปั๊มบางจากและเอสโซ่จะยังคงรับสิทธิ์ตามเงื่อนไขเดิมของแต่ละธนาคารจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของแต่ละธนาคารและ www.bcpgreenmile.com


สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้คนไทย

ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า กว่า 90% ของรถยนต์ในประเทศไทยปัจจุบันยังเป็นรถใช้น้ำมัน และการเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาดน่าจะยังใช้เวลาอีกมาก โดยพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลน่าจะยังมีความต้องการไปอีก 35-40 ปี

นั่นทำให้ความมั่นคงทางพลังงานของไทยยังเป็นสิ่งสำคัญ การที่บางจากซึ่งเป็นบริษัทของคนไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหลังซื้อกิจการเอสโซ่ เพราะมีการรับมอบสินทรัพย์สำคัญอย่างโรงกลั่น คลังน้ำมันและสต๊อกน้ำมันอีก 7.8 ล้านบาร์เรล เข้ามาเป็นของบริษัทไทย ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ความมั่นคงทางพลังงานของไทยเพิ่มขึ้น ด้วยศักยภาพของบริษัทไทยจะสามารถตอบสนองความต้องการด้านพลังงานเพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ลดการพึ่งพิงพลังงานจากบริษัทต่างชาติ ซึ่งความมั่นคงทางพลังงานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยทั้งประเทศต่อไปในอนาคต

]]>
1444038
‘การบินไทย’ หารายได้ใหม่ เสิร์ฟเบเกอรี่ ‘Puff & Pie’ ใน ‘ร้านอินทนิล’ ลุยขยายให้ได้ 100 สาขา ปีหน้า https://positioningmag.com/1348869 Fri, 27 Aug 2021 06:29:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348869
‘การบินไทย’ หาช่องทางรายได้ใหม่ จับมือ ‘บางจาก รีเทล’ เสิร์ฟเบเกอรี่ ‘Puff & Pie’ ในร้านอินทนิล ตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ 100 สาขา ภายในปี 2565 

วันนี้ (27 ส.ค. 64) การบินไทย เเละ บางจากรีเทล ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างร้านอินทนิล กับสินค้า ‘Puff & Pie’ พัฒนาธุรกิจ ทั้งในรูปแบบ Grab & Go และ Shop in Shop รวม 50 สาขาภายในปีนี้ พร้อมตั้งเป้าขยายให้ได้ 100 สาขาภายปีหน้า

ช่วงหลายปีที่ผานมา ‘ร้านกาแฟ’ เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความนิยมและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Chain Store Coffee

ปัจจุบันร้านอินทนิล เปิดให้บริการแล้วมากกว่า 700 สาขาทั่วประเทศ ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมันบางจาก เเบ่งเป็น 450 สาขาในสถานีบริการน้ำมันบางจาก และนอกสถานีบริการน้ำมันอีกประมาณ 250 สาขา มีแผนเปิดให้บริการครบ 1,000 สาขาภายในปี 2565

ด้านร้าน Puff & Pie ของการบินไทย ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 33 สาขา ทั้งสาขาการบินไทย และสาขาผู้แทนจำหน่าย

เสรี อนุพันธนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด บอกว่า จากอดีตที่ผ่านมา คนทั่วไปอาจมองว่าอินทนิลคือร้านกาแฟ แต่เรามองตัวเองเป็นมากกว่าร้านกาแฟ และไม่ได้ต้องการจำหน่ายเพียงเครื่องดื่ม จึงมองหาพันธมิตรใหม่ๆ

“ในอนาคต เรามองถึงการขยายสู่อาหารพร้อมรับประทานในสาขาที่เหมาะสม และ Puff & Pie จากครัวการบินไทยก็เป็นพันธมิตร ที่ตอบโจทย์เป้าหมายนี้ของอินทนิลได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของ Product และ Operation ความร่วมมือในเฟสแรกทั้ง 15 สาขานี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ระหว่างอินทนิลกับครัวการบินไทยต่อไป”

สำหรับฝ่ายครัวการบินไทย ได้นำสินค้าของ Puff & Pie มาทดลองวางจำหน่ายในร้านอินทนิล ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา พบว่ามีกระเเสตอบรับที่ดีจากลูกค้า นำมาสู่ความร่วมมือต่อเนื่องของทั้ง 2 แบรนด์ในการต่อยอดธุรกิจ ในรูปแบบ Grab & Go เพิ่มเป็น 13 สาขา และในรูปแบบ Shop in Shop ที่ร้านอินทนิลสาขาสถานีบริการน้ำมันบางจาก ถนนบรมราชชนนี กม.10 และสาขา Summer Point สุขุมวิท อีก 2 สาขา รวมเป็น 15 สาขาในปัจจุบัน

สมัชชา ศรีทองสุข กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายครัวการบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ 2 ปีที่ผ่านมา การนำพาธุรกิจให้เติบโตนั้นไม่ง่าย และการขยายธุรกิจยังคงเป็นความท้าทาย”

Puff & Pie มีแผนจะขยายการจัดจำหน่ายในร้านอินทนิลให้ครอบคลุมสาขาในทุกพื้นที่ รวมถึงพัฒนาสินค้าพิเศษสำหรับร้านอินทนิล และรายการส่งเสริมการขายพิเศษร่วมกันอีกด้วย “ในอนาคตเราจะได้เห็นความร่วมมือใหม่ๆ จากบางจาก รีเทลและการบินไทยอย่างแน่นอน”

 

source

]]>
1348869
“ปั๊ม PT” ส่งโมเดลไซส์ SS ดักลูกค้าในซอย เดินเกมขยายสาขาในกรุง https://positioningmag.com/1299041 Mon, 28 Sep 2020 11:22:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299041 “ปั๊ม PT” กำลังไล่ตามเบอร์ 1 ของตลาดอย่างไม่ลดละ ใช้กลยุทธ์บุกเข้าซอกซอยเปิดโมเดลไซส์ SS ดักลูกค้าเติมน้ำมันก่อนถึงบ้าน ด้านธุรกิจนอนออยล์และงานบริการลูกค้า ปีนี้เตรียมจับมือ “ฟู้ดแพชชั่น” เพิ่มร้านอาหารเข้าปั๊ม บริการ Max Service เติมน้ำมันฉุกเฉิน ช่วยวางภาพลักษณ์ใส่ใจผู้บริโภค ภาพรวมฐานลูกค้าวางเป้าปั้นสมาชิก Max Card เพิ่มเป็น 20 ล้านรายภายในปี 2565

ปั๊มน้ำมัน “PT” วิ่งไล่ตามเบอร์ 1 อย่าง ปตท. มาหลายปีจนกระทั่งแซงหน้าในแง่จำนวนสาขาได้สำเร็จ โดย ณ สิ้นปี 2562 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 2,064 สาขา แต่ในแง่ยอดขายยังต้องใช้เวลาปั้นเพราะ ปตท. ยังมีส่วนแบ่งตลาดขายปลีกน้ำมันอยู่ราว 40% แต่ PT มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 18% เท่านั้น โดยเป็นเบอร์ 2 ในตลาด ส่วนเบอร์ 3 ที่ตามมาคือบางจาก และเบอร์ 4 เป็นเอสโซ่

อย่างไรก็ตาม PT ก็วางเป้าใหญ่ ไม่ใช่แค่บีบส่วนแบ่งให้ห่างน้อยลง แต่จะแซง ปตท. ให้ได้ภายในปี 2565!

“พร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2563 บริษัทมีเป้าเปิดสาขาเพิ่มอีกถึง 300 สาขา โดยกำลังโหมเปิดเพิ่มในช่วงนี้ หลังจากช่วงที่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ต้องผ่อนคันเร่งลงทุนไป เพราะการก่อสร้างค่อนข้างลำบาก

“พร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน)

ใน 300 สาขาดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเป็นการตีขนาบพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เนื่องจากในต่างจังหวัดถือว่าปั๊ม PT เข้าไปขึงตาข่ายจน “เต็มหมดแล้ว”

แต่เมื่อจะเข้ากรุงก็ต้องเจอคู่แข่งที่อยู่มาก่อนและยึดถนนสายหลักไปแล้ว และถ้าหากจะไปลงทุนบนถนนสายหลักแข่งกับเจ้าใหญ่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก เพราะบริษัทมีโมเดลทำธุรกิจแบบลงทุนซื้อหรือเช่าที่ดินเองเป็นหลัก ไม่เน้นขายแฟรนไชส์มากนัก (ปัจจุบัน ปั๊ม PT มีสัดส่วนสาขาที่เป็นเจ้าของเอง 87% และแฟรนไชส์ 13%)

ดังนั้น ที่ผ่านมา PT จึงเน้นเปิดเป็นปั๊มน้ำมันขนาดเล็กตามชุมชน ในซอยย่อยต่างๆ และเน้นพื้นที่ชานเมืองก่อน จะมีปั๊มบนถนนใหญ่น้อยมาก เช่น ถนนวิภาวดี ถนนรัชดาภิเษก และจะยังใช้กลยุทธ์นี้ต่อไปในการจัดปฏิบัติการ “ป่าล้อมเมือง” เพื่อล้มแชมป์ในอีก 2 ปี

 

เปิดปั๊มไซส์ SS แปลงร้านกาแฟพันธุ์ไทยเป็น “ฟู้ดทรัก”

ถึงแม้ว่าปั๊มปัจจุบันจะเล็กแล้ว แต่ก็เล็กลงไปอีกได้ โดยพร้อมศักดิ์กล่าวว่า บริษัทกำลังศึกษาการพัฒนาสถานีบริการน้ำมันที่ “กะทัดรัด” ยิ่งกว่าเดิม เพื่อส่งเข้าไปอยู่ตามซอกซอยต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนร้านสะดวกซื้อที่ปรากฏตัวอยู่ทุกหัวมุม

โมเดลไซส์ SS แบบนี้จะเน้นที่การขายน้ำมันเป็นหลัก จะมีอย่างน้อย 4 หัวจ่าย ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกเสริมอย่าง “ร้านกาแฟพันธุ์ไทย” จะแปลงร่างจากร้านถาวรมีที่นั่งเป็น “ฟู้ดทรัก” ที่เหมาะกับขนาดพื้นที่มากกว่า ขณะนี้ทำเลที่จะลงทุนโมเดลนี้กำลังอยู่ระหว่างพิจารณา

ปั๊มน้ำมัน PT ที่เน้นไซส์เล็กเจาะชุมชน ต่อไปจะได้เห็นไซส์ที่เล็กลงไปอีก

ส่วนพฤติกรรมผู้บริโภคต่อปั๊มน้ำมันขนาดเล็กในชุมชนอย่าง PT พร้อมศักดิ์มองว่าได้รับผลตอบรับที่ดี เพราะ PT วางตัวเป็นสถานที่ที่คนมาใช้บริการมีเป้าหมายชัดเจน มาเพื่อเติมน้ำมัน มาซื้อกาแฟ หรือมาซื้อของอะไรในร้าน Max Mart มากกว่าที่จะเป็นคอมมูนิตี้หรือจุดแวะพักของคนเดินทาง

โลเคชั่นการเปิดปั๊มน้ำมันใกล้บ้านลูกค้า จึงสะดวกกับลูกค้าที่ใช้ชีวิตประจำวัน เติมน้ำมันที่ปั๊มสุดท้ายก่อนถึงบ้าน หรือเติมน้ำมันที่ปั๊มแรกตอนเพิ่งออกจากบ้าน พร้อมแวะซื้อกาแฟทุกเช้า

ความสะดวกของโลเคชั่นสำคัญกับลูกค้ามากขนาดไหนนั้น พร้อมศักดิ์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า บริษัทมีการเปิดปั๊ม PT สองสาขาบนถนนสามัคคี จ.นนทบุรี สองสาขานี้หันหน้าเข้าหากันบนถนนเล็กๆ ที่ไม่มีเกาะกลาง แต่ได้ลูกค้าที่แทบไม่ทับซ้อนกัน เพราะพฤติกรรมลูกค้าที่เข้าปั๊มฝั่งซ้ายก็จะเข้าเฉพาะฝั่งซ้าย และฝั่งขวาก็เข้าเฉพาะฝั่งขวา เพราะแม้จะไม่มีเกาะกลางลูกค้าก็ไม่อยากเลี้ยวรถข้ามเลนไปอีกฝั่งหนึ่ง

 

จับมือ “ฟู้ดแพชชั่น” เติมร้านอาหารในสถานี

แม้ไม่ได้วางตัวเป็นสถานที่แวะพัก แต่ PT ก็มีแผนจะเติม “ร้านอาหาร” เข้าไปในบางสาขา โดยครั้งนี้ไม่ได้ลงทุนเองแต่เลือกจับมือกับพันธมิตร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เจ้าของเชนร้านอาหารดังอย่าง บาร์บีคิวพลาซ่า จุ่มแซ่บฮัท ฌานา ฯลฯ เตรียมเปิดตัวช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ โดยมีพันธมิตรอื่นมาร่วมมือในโครงการเดียวกันด้วยคือ เทสโก้ โลตัส, ธนาคารกสิกรไทย, บัครเครดิตกรุงศรีอยุธยา, บัตรเคทีซี และเอเจนซี่ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

ทั้งนี้ พร้อมศักดิ์ขอปิดรายละเอียดไว้ก่อนว่าเป็นร้านรูปแบบใด แต่ที่แน่ชัดคือจะเป็นการค่อยๆ ขยายสาขาในจุดที่เหมาะสม ไม่ได้เซ็นสัญญาปูพรมทั่วประเทศ

ร้านกาแฟพันธุ์ไทย แบรนด์ของพีทีจี

ปัจจุบันบริษัทพีทีจีมีร้านค้านอนออยล์ที่เป็นแบรนด์ของตนเองคือ ร้านกาแฟ “พันธุ์ไทย” ร้านสะดวกซื้อ Max Mart และร้านกาแฟ Coffee World เห็นได้ว่ายังไม่มีร้านอาหารในมือ (ร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่มีเสิร์ฟอาหารด้วยมีอยู่ 3 สาขาเท่านั้น)

สำหรับการเติบโตของกลุ่มนอนออยล์ ร้านพันธุ์ไทยกับ Max Mart จะวางตัวอยู่กับปั๊มน้ำมันเป็นหลัก โดยเกือบทุกสาขาที่เปิดในกทม.และปริมณฑลจะมีร้านสองแบรนด์นี้เข้าไปเปิดด้วย ส่วนต่างจังหวัดจะมีเฉพาะปั๊มบนถนนเส้นหลัก ขณะที่ Coffee World จะอยู่เฉพาะในศูนย์การค้า ไม่มีแผนนำมาเปิดในปั๊ม

Max Mart ร้านสะดวกซื้อของพีทีจี

อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังศึกษาลู่ทางนำร้านพันธุ์ไทยกับ Max Mart ออกไปขยายนอกปั๊มด้วย แต่ในกรณีพันธุ์ไทยคาดว่าจะไม่ขยายสาขาในศูนย์การค้าเพราะต้องการแยกตลาดกับ Coffee World ให้ชัดเจน ขณะนี้ร้านกาแฟพันธุ์ไทยมีการทดลองตลาดนอกปั๊มแล้วที่ตึกไซเบอร์เวิลด์ และบนถนนหลานหลวง

 

เติมน้ำมันฉุกเฉินมัดใจสมาชิก

นอกจากกลยุทธ์ข้างต้น ปีนี้ PT ยังออกหมัดเด็ดอีกอย่างหนึ่งมาในตลาดคือบริการ Max Service เติมน้ำมันฉุกเฉินแบบเดลิเวอรี่ แก้ปัญหาให้ลูกค้าที่น้ำมันหมดกะทันหันบนท้องถนน เพียงโทรฯ มาที่เบอร์ 1614 จะมีพนักงานขับมอเตอร์ไซค์นำน้ำมันไปเติมให้ถึงที่ คิดค่าบริการเติมน้ำมันเพียง 100 บาท (ไม่รวมค่าน้ำมัน) ให้บริการในรัศมี 10 กิโลเมตรจาก ปั๊ม PT

หลังเริ่มบริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 63 พร้อมศักดิ์กล่าวว่ามีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดเดือนสิงหาคมมีผู้ใช้เฉลี่ย 400 ครั้งต่อเดือน 80% ของจำนวนนี้เป็นผู้ใช้ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

บริการ Max Service เดลิเวอรี่เติมน้ำมันให้ถึงที่ แก้ปัญหาลูกค้าน้ำมันหมดกลางทาง

บริการดังกล่าวนั้นเปิดให้ใช้เฉพาะผู้ที่เป็นสมาชิก Max Card บัตรสะสมแต้มของ PT เท่านั้น และดังที่เห็นว่าค่าบริการไม่สูงมาก เป็นค่าใช้จ่ายที่ใช้สำหรับจ่ายพิเศษให้พนักงานปั๊มน้ำมันเมื่อมีการเรียกใช้ เพราะฉะนั้นบริการ Max Service จึงเป็นเหมือนหมัดเด็ดมัดใจให้ลูกค้าต้องการเป็นสมาชิก Max Card เพิ่มขึ้น และได้สร้างความประทับใจเมื่อลูกค้าประสบปัญหา

 

CRM เบอร์ 2 ของประเทศที่เน้นคืนกำไรผู้บริโภค

ด้านฐานสมาชิก Max Card ปัจจุบันมีอยู่ 14 ล้านราย ตั้งเป้าถึงสิ้นปีจะมีทั้งสิ้น 15 ล้านราย และวางเป้าปี 2565 จะไปแตะ 20 ล้านราย หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2.5 ล้านราย ส่วนจำนวนพาร์ตเนอร์จะมีหมุนเวียนทุกไตรมาส เฉลี่ยไตรมาสละ 400-600 ราย

ด้วยจำนวนสมาชิกมากขนาดนี้ ถ้าเทียบกับระบบ CRM ทั้งหมดที่มีในไทย ทำให้ปัจจุบัน Max Card เป็นรองเพียงแค่ The 1 ของเซ็นทรัลซึ่งมีฐานสมาชิก 17 ล้านราย

อย่างไรก็ตาม พร้อมศักดิ์กล่าวว่า CRM ของ PT ไม่ได้มองว่าจะแข่งขันกับ The 1 และไม่ได้เป็นโมเดลหารายได้เข้าบริษัท แต่เน้นการตอบแทนคืนกำไรให้ผู้บริโภคมากกว่า

ดังนั้น จุดแข็งของ Max Card คือไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมหรือขอส่วนแบ่งรายได้จากพาร์ตเนอร์ที่มาสร้างสิทธิประโยชน์ร่วมกัน ขอเพียงพาร์ตเนอร์มีศักยภาพและพร้อมจัดโปรโมชันดีๆ ให้ลูกค้า PT ก็พอ เพราะมองเป็นโมเดลแบบ “วิน-วิน” พาร์ตเนอร์ได้ขายสินค้าเพิ่มจากฐานสมาชิก Max Card และ PT ได้ดูแลลูกค้าด้วยการมอบส่วนลดจากร้านค้าพันธมิตร สร้างลอยัลตี้ในระยะยาวนั่นเอง

จากกลยุทธ์การบุกหนัก ทั้งโลเคชั่นดักลูกค้าในซอย จนถึงการเอาใจลูกค้าผ่านสิทธิประโยชน์ของ Max Card น่าติดตามว่า “ปั๊ม PT” ที่โตจากภูธร จะล้มแชมป์ยักษ์ใหญ่ภายใน 2 ปีได้จริงหรือไม่!

]]>
1299041
“PTG” กำไร ครึ่งปีแรก 447 ล้านบาท ปรับเป้า ลดสปีดขยายสาขา เน้นเปิด กทม. – หัวเมืองใหญ่ หวังต่อยอด Non-oil  https://positioningmag.com/1184453 Tue, 21 Aug 2018 07:59:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1184453 พีทีจี เอ็นเนอยี ถือเป็นอีกหนึ่งในเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ที่หลังจากรีแบรนด์ ปรับโฉมปั๊มน้ำมัน เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายสาขา พร้อมกับแตกแขนงธุรกิจด้าน นอนออยล์ต่อเนื่อง 

ล่าสุด พีทีจีได้ออกมาเปิดเผยถึงผลประกอบการครี่งปีแรก มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.20% และมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 51,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ปริมาณการขายอยู่ที่ 1,927 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม

โดยมีส่วนแบ่งการตลาด (market share) ของช่องทางผ่านสถานีบริการยงคงเติบโต เพราะสามารถทำส่วนแบ่งการตลาดใหม่ (New high market share) อยู่ที่ระดับ 14%

พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ได้เตรียมแผนบริหารการลงทุน และบริหารค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม เพื่อให้ค่าการตลาดของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเร่งสร้างกำไรในส่วนของธุรกิจ non-oil ให้มากขึ้น

ในไตรมาส 2 ยังมีรายได้จากธุรกิจ non-oil ในส่วนของธุรกิจแก๊สแอลพีจี ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจการให้บริการพื้นที่เชิงพาณิชย์ และธุรกิจอื่นๆ เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกัน ธุรกิจ non-oil เติบโตมากขึ้นทั้ง ยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้น โดยในสัดส่วนของกำไรขั้นต้นของธุรกิจ non-oil เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10% จากในปีที่แล้วมีสัดส่วนอยู่ที่ 6%

ในการที่บริษัทเร่งเพิ่มสัดส่วนของธุรกิจ non-oil เพราะธุรกิจดังกล่าวมีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจน้ำมัน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจ non-oil เพิ่มสูงขึ้นเป็นมากกว่า 25% จากปีที่แล้ว ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจ non-oil อยู่ที่ระดับ 22% ดังนั้นบริษัทจึงเดินหน้าเร่งเพิ่มสัดส่วนกำไรของ non-oil เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง จะเน้นการขยายสาขาของธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจ non-oil เฉพาะในพื้นที่ ซึ่งยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง โดยได้ปรับคาดการณ์จำนวนสาขาของสถานีบริการน้ำมันและแก๊สแอลพีจีอยู่ที่ 1,900 สาขา (เดิมตั้งเป้าจะมีครบ 2,000 สาขา ภายในปี 61) และจำนวนสาขาของธุรกิจ non-oil อยู่ที่ 500 สาขา ซึ่งรวมร้านสะดวกซื้อ Max Mart, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย, ร้านคอฟฟี่เวิลด์, ร้านข้าวแกงครัวบ้านจิตร, ร้านซ่อมบำรุงสำหรับรถบรรทุก Pro Truck และสำหรับรถยนต์ Autobacs

โดยบริษัทจะยังขยายสาขาด้วยการเช่าพื้นที่ของสถานีบริการเดิม และเพิ่มการให้บริการด้วยธุรกิจ non-oil ครบวงจร เพื่อบริหารพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การปรับคาดการณ์ เป็นผลมาจากเศรษฐกิจในต่างจังหวัด นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงฟื้นตัวได้อย่างช้า เพราะราคาผลผลิตทางการเกษตรยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน บริษัทจึงปรับคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 15-20% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังออกนโยบายในการรักษาเสถียรภาพของราคาผลผลิตทางการเกษตร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และจากปัจจัยดังกล่าวบริษัทจึงวางแผนขยายสาขาในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมทั้งหัวเมืองใหญ่ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลในการกระจายตัวของสถานีบริการ และเพื่อสนับสนุนการต่อยอดในธุรกิจ non-oil ได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้การปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนของตลาดโลก ยังคงเป็นความท้าทายในครึ่งปีหลัง ทำให้ต้องปรับคาดว่า EBITDA จะเติบโต 15-20% และบริษัทยังคงเป้าหมายในการมุ่งไปสู่ธุรกิจ non-oil เพื่อการสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและสม่ำเสมอในระยะยาว รวมทั้งยังวางแผนจะขยายพันธมิตรในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น.

]]>
1184453