สหรัฐอเมริกา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 11 Jul 2025 08:09:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไม่อยากไปแล้ว! ผลสำรวจพบนักเดินทางชาว ‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ เกือบ 80% หมดความสนใจไป ‘อเมริกา’ เพราะ ‘การเลือกปฏิบัติ’ และ ‘นโยบายทรัมป์’ https://positioningmag.com/1529671 Fri, 11 Jul 2025 06:07:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1529671 ดูเหมือน สหรัฐอเมริกา จะไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่น่าสนใจของนักเดินทางชาว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่ใช่เพราะความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับ การเลือกปฏิบัติ และ นโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

เนื่องจากนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการตรวจคนเข้าเมืองและแรงงานต่างชาติ กำลังทำให้อเมริกา อาจไม่ใช่ปลายทางที่ชาวเอเชียสนใจอีกต่อไป โดยจากการสำรวจของ CNBC Travel พบว่า เกือบ 80% ของนักเดินทางจาก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า อเมริกากำลังสูญเสียความน่าสนใจในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว

โดย 1 ใน 4 คน ระบุว่า ความสนใจในการเยือนประเทศนี้ ลดลง ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่าพวกเขากังวลเรื่อง การเลือกปฏิบัติ ที่อาจเกิดขึ้นมากที่สุด ตามด้วยการดำเนินการของนโยบายรัฐบาลทรัมป์ และความรุนแรงจากอาวุธปืน

ขณะที่บริษัทวิจัยตลาด Milieu Insight ที่ทำการสำรวจข้อมูลจากนักเดินทางต่างชาติ 6,000 คน จากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ถึง 10 มิถุนายน พบว่า ชาวสิงคโปร์ 55% กล่าวว่าพวกเขารู้สึกสนใจเยือนสหรัฐฯ น้อยกว่าเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนที่แล้ว มีเพียง 7% เท่านั้นที่กล่าวว่าตอนนี้พวกเขาสนใจที่จะไปมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ชาว เวียดนาม (57%) และ ฟิลิปปินส์ (49%) เป็น 2 ประเทศที่สนใจจะไปเยือนสหรัฐฯ มากกว่าเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ซึ่ง Zilmiyah Kamble อาจารย์อาวุโสด้านการจัดการการโรงแรมและการท่องเที่ยวที่มหาวิทยาลัย James Cook ในสิงคโปร์ มองว่า อาจเป็นเพราะการไป เยี่ยมครอบครัว ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ

เพราะจากข้อมูลโดย ศูนย์วิจัย Pew พบว่า ในปี 2024 จำนวนผู้อพยพชาวฟิลิปปินส์ในสหรัฐอเมริกามีมากเป็น อันดับ 4 ส่วนชาวเวียดนามอยู่ใน อันดับที่ 8

“อาจเป็นเพราะการไปเยี่ยมครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่สหรัฐฯ ทำให้ชาวฟิลิปปินส์และชาวเวียดนาม แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อย่าง การเดินทางเพื่อหาแรงบัลดาลใจ Soft power ของวัฒนธรรมสหรัฐฯ ที่ดูผ่านรายการทีวี ก็ยังมีความน่าสนใจ”

ไม่ใช่แค่ชาวเอเชียที่รู้สึกไม่อยากไปเที่ยวเมริกา แต่จากการสำรวจของ CNBC พบว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ความประทับใจต่อสหรัฐฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวได้ลดลงอย่างมาก และยังคงลดลงต่อเนื่องจนถึงเดือนมีนาคม โดยรวมแล้วความสนใจในการเดินทางของโลกในการเดินทางไปสหรัฐฯ ลดลง 13% ตามรายงาน YouGov

ขณะที่ความรู้สึกจากโลกออนไลน์เกี่ยวกับการเดินทางไปสหรัฐฯ ก็แตกต่างกันไปตามประเทศ โดยจากข้อมูลโดยบริษัท Sprout Social พบว่า ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน ถึง 3 มิถุนายน มีการพูดคุยเกี่ยวกับการเดินทางไปสหรัฐอเมริกากว่า 87,000 ครั้ง และมีส่วนร่วมกว่า 1 ล้านครั้ง ทั้งในรูปแบบของการกดไลค์ ความคิดเห็น หรือการแชร์ บน X, YouTube, Tumblr และ Reddit อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเกือบ 50,000 ครั้งมาจากแคนาดา ซึ่ง 45% เป็นลบ แต่ที่น่าสนใจคือ ความรู้สึกเชิงลบมากที่สุดเกี่ยวกับการเดินทางของสหรัฐฯ มาจาก ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา เอง

]]>
1529671
ส่องนโยบายรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’ ของเหล่าประเทศ ‘อาเซียน’ จะมีทิศทางอย่างไรกันบ้าง https://positioningmag.com/1518029 Thu, 10 Apr 2025 03:09:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518029 หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศ ขึ้นภาษี ส่งผลให้หลายประเทศได้เตรียมหาทางรับมือ รวมถึงในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กระทบหนักไม่แพ้ใคร ดังนั้น ไปดูกันว่านโยบายของรัฐบาลแต่ละประเทศ มีแผนรับมืออย่างไรกันบ้าง

กัมพูชาหนักสุด แต่นิ่งสุด

หากพูดถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ดูเหมือนประเทศ กัมพูชา จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากถูกเรียกเก็บภาษีใน อัตราสูงสุด ที่ 49% ตามมาด้วย

  • ลาว (47%)
  • เวียดนาม (46%)
  • ไทย (36%)
  • อินโดนีเซีย (32%)
  • มาเลเซีย (24%)
  • สิงคโปร์ (10%)

แม้ว่า กัมพูชา จะเป็นประเทศที่ถูกขึ้นภาษีสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่การตอบสนองนั้นค่อนข้างจะนิ่ง แม้ว่าภาษีดังกล่าวอาจมีผลต่อการส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสินค้าที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ได้ข้อความเสนอที่จะ “เจรจากับฝ่ายบริหารโดยเร็วที่สุด” พร้อมกับยื่นขอเสนอ ลดภาษีสินค้า 19 รายการ ทันที จากสูงสุด 35% เหลือ 5%”

นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต

เวียดนาม ชาติแรกของภูมิภาคที่ตอบสนอง

หลังจากที่มีการประกาศขึ้นภาษี เวียดนาม นับเป็นประเทศแรกของภูมิภาคที่ตอบสนอง โดยได้ต่อสายตรงถึง ทรัมป์ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน โดย โต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้ขอให้ทรัมป์ เลื่อนการบังคับใช้ภาษีออกไป 45 วัน และเสนอที่จะ ยกเลิกภาษีของประเทศทั้งหมด 

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรี บุย ทาน เซิน ได้พบกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ มาร์ค แนปเปอร์ ในฮานอย และขอให้ทรัมป์เลื่อนการบังคับใช้ภาษีอีกครั้ง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน รองนายกรัฐมนตรี โฮ ดึก ฟอก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสหรัฐฯ บอกกับบริษัทต่าง ๆ เมื่อวันศุกร์ว่า เวียดนามกำลังขอให้ เลื่อนออกไป 1-3 เดือน มีรายงานด้วยว่า เวียดนามกำลังจะสรุปข้อตกลงเรื่องการซื้อเครื่องบินโบอิ้งโดยสายการบินของเวียดนาม

โต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

ไทยเดินทางสายกลาง

ยุทธศาสตร์ของไทยในการลดผลกระทบจากภาษี จะ เพิ่มการนำเข้าสินค้าและเพิ่มการลงทุนของสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน เครื่องบิน และสินค้าเกษตรของอเมริกาเพิ่มขึ้น แม้ว่าประเทศยังไม่ได้ เสนอที่จะลดภาษี ก็ตาม โดย นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ย้ำว่า “ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ส่งออก แต่ยังเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ สามารถพึ่งพาได้ในระยะยาว”

ขณะที่ ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า ไทยจะเน้น เดินสายกลาง โดยเขาจะไม่รีบร้อนไปหาสหรัฐฯ แต่ก็จะไม่นิ่งเฉย หรือตอบโต้เหมือนจีน โดยจะพยายามหาวิธีว่าจะ อยู่ร่วมกับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่

นอกจากนี้ รัฐมนตรีการคลัง พิชัย ชุณหวชิร จะออกเดินทางไปสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้เพื่อเจรจากับ “ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขณะที่ กรมการค้าต่างประเทศของไทย เน้นย้ำว่า จะเพิ่มการเฝ้าระวังการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หลังมี สินค้าจากต่างประเทศที่แอบอ้างว่าเป็นสินค้าที่มาจากไทย

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย

อินโดฯ เริ่มส่งคนไปเจรจา

อินโดนีเซีย เป็นอีกประเทศที่กระทบ โดยหลังจากการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เมษายน ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียลดลง 9.6% และส่งให้ค่าเงินรูเปียะอ่อนค่าลงไปถึง 16,898 รูเปียะต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่ อ่อนค่าที่สุดเป็นประวัติการณ์ ของสกุลเงินนี้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ได้ประกาศว่า รัฐบาลของเขาจะส่งคณะผู้แทนระดับสูงไปเจรจา ขอลดหย่อนภาษี ที่วอชิงตัน พร้อมกับระบุว่า รัฐบาลกำลัง สำรวจทางเลือกในหลาย ๆ ทาง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต

มาเลฯ ขออาเซียนร่วมสู้ทรัมป์

ด้านมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีการคลังด้วย ได้จวกทรัมป์ว่า “เป็นการปฏิเสธหลักการการค้าเสรีที่ไม่เลือกปฏิบัติ คาดเดาได้ และเปิดกว้าง” ขององค์การการค้าโลก อีกทั้งยัง กล่าวว่า รัฐบาลของเขา จะไม่เก็บภาษีตอบโต้

และในฐานะ ประธานอาเซียน ได้เรียกร้องขอให้ประเทศสมาชิกร่วมกันต่อสู้กับความท้าทายที่เกิด โดยขอให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น และร่วมมือกันภายในมากขึ้น เพราะมั่นใจว่า ในแง่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ กลุ่มอาเซียนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม

สิงคโปร์ปลุกประชาชนพร้อมรับมือความไม่แน่นอน

แม้ว่าสิงคโปร์จะถูกขึ้นภาษีน้อยที่สุด แต่ ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ก็มองว่า น่าผิดหวังอย่างยิ่งและไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนควรปฏิบัติต่อกัน พร้อมกับ ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติ รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนว่า มาตรการภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งผลต่อการส่งออกของสิงคโปร์

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคบริการ เช่น การเงินและการประกันภัย และจะทำให้โอกาสในการทำงานลดน้อยลง หากเกิดการย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ

จะเห็นว่าการตอบสนองส่วนใหญ่จะเป็นการ วางกลยุทธ์แบบสองด้าน ทั้งการยอมตามข้อเรียกร้องของทรัมป์ในระยะสั้น เช่น การลดภาษีของตนเอง และคำมั่นที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าบางอย่างจากสหรัฐฯ แต่ ไม่มีประเทศไหนที่จะตอบโต้โดยการ ขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แม้ว่าล่าสุด จะมีการชะลอขึ้นภาษีไปอีก 90 วันก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ ภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจ กลายเป็นประเทศที่คาดเดาไม่ได้ไปแล้ว

]]>
1518029
ชื่อทรัมป์ทำพิษ! ฉุดส่งออก ‘จีน’ ชะลอตัวลง นักวิเคราะห์เชื่อ ผลกระทบจะยิ่งชัดในเดือนธ.ค.-ม.ค https://positioningmag.com/1502693 Wed, 11 Dec 2024 01:55:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502693 การส่งออกของ จีน ในเดือนพ.ย. เติบโตในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่การนำเข้าหดตัวกว่าที่คาด ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ที่นำมาซึ่งความเสี่ยงทางการค้าใหม่

ข้อมูล ศุลกากรจีน แสดงให้เห็นว่า การส่งออกของประเทศในเดือนพ.ย. เติบโตเพียง +6.7% ซึ่งน้อยกว่าการสำรวจจากนักเศรษฐศาสตร์ของ Reuters ที่ระบุว่า เพิ่มขึ้น +8.5% และน้อยกว่าในเดือนตุลาคมซึ่งเพิ่มขึ้น +12.7%

ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ปริมาณ การนำเข้าหดตัว 3.9% ซึ่งถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบ 9 เดือน และต่ำกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ส่งผลให้มีการเรียกร้องให้มีการสนับสนุนนโยบายเพิ่มเติมเพื่อพยุงอุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยผลการส่งออกที่ลดลง ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะจัดเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 10% เพื่อกดดันให้รัฐบาลจีน หยุดยั้งการค้าสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิล และก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า จะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเกิน 60%

ในขณะเดียวกัน จีนยังไม่สามารถจัดกับความตึงเครียดกับสหภาพยุโรปกรณีภาษีนำเข้าสูงถึง 45.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน ถือเป็นภัยคุกคามที่จะเปิดแนวร่วมที่สองในการทำสงครามการค้าระหว่างจีนกับฝ่ายตะวันตก ดังนั้น การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อจีนมากขึ้น เนื่องจากการส่งออกของเศรษฐกิจจีนที่มีมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นแรงกระตุ้นการเติบโตหลักประการหนึ่ง ในขณะที่ความเชื่อมั่นของครัวเรือนและธุรกิจ ลดลงจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์

“สัญญาณเริ่มแรกของการเร่งรัดการค้าเพื่อเตรียมรับมือภาษีของทรัมป์ในปีหน้าเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว แต่ผลกระทบเต็มที่จะไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่าจะถึงเดือนต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะเดือนธันวาคมและมกราคม” Xu Tianchen นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Economist Intelligence Unit กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากการนำเข้าที่ลดลง ส่งผลให้การค้าของจีนเกินดุลเพิ่มขึ้นเป็น 97,440 ล้านดอลลาร์ ในเดือนที่แล้ว จาก 95,720 ล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม โดยเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณการกระตุ้นเศรษฐกิจบ้างเล็กน้อยเมื่อไม่นานนี้ โดยผู้ผลิตรายงานสภาวะการดำเนินธุรกิจที่ดีที่สุดในรอบ 7 เดือนจากการสำรวจโรงงานในเดือนพฤศจิกายน

บริษัทต่าง ๆ กล่าวว่า พวกเขายังคง ได้รับคำสั่งซื้อส่งออกน้อยลง แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อยังคงหายากในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และผู้ส่งออกกำลังย้ายสินค้าไปยังคลังสินค้าในต่างประเทศ เนื่องจากคาดว่าความต้องการจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

ขณะที่การส่งออกของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการนำเข้าของจีน ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนในเดือนพฤศจิกายน และการส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้ไปยังจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ผลิตในจีนซื้อส่วนประกอบของเกาหลีใต้น้อยลงเพื่อส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปอีกครั้ง

ทั้งนี้ ที่ปรึกษาของรัฐบาลแนะนำให้ปักกิ่งคงเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ประมาณ 5% ในปีหน้า และดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสหรัฐฯ โดยอาศัยตลาดผู้บริโภคภายในประเทศ

]]>
1502693
ถึงคิว ‘แคนาดา’ ขึ้นภาษี ‘อีวีจีน’ 100% ตามรอยสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้การแข่งขันไม่เป็นธรรม https://positioningmag.com/1488025 Thu, 29 Aug 2024 08:43:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488025 หลังจากที่ สหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นภาษีการนำเข้า รถอีวีจากจีน 100% รวมถึง สหภาพยุโรป ที่ขึ้นภาษีการนำเข้ารถจากจีนเช่นกัน ล่าสุด แคนาดา ก็เป็นอีกประเทศที่ประกาศขึ้นภาษีการนำเข้ารถอีวีจีน เพื่อสกัดกั้นการนำเข้า

จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ประกาศว่า ประเทศแคนาดาจะจัดเก็บ ภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน 100% เท่ากับภาษีของสหรัฐฯ จากเดิมที่จัดเก็บเพียง 6.1% โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. 2567 นอกจากนี้ ยังจะเรียกเก็บภาษีนำเข้า จากเหล็กและอะลูมิเนียมของจีน 25% อีกด้วย โดยจะบังคับใช้วันที่ 15 ต.ค. 2567

ที่ผ่านมา ทางการจีน มีแนวโน้ม แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังจากที่รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีนำเข้าใหม่ครั้งใหญ่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ขั้นสูง โซลาร์เซลล์ เหล็ก อะลูมิเนียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของจีน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของ COVID-19 

ขณะที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหาว่า รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนสำหรับแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้บริษัทจีนไม่ได้โฟกัสที่การทำ กำไร ซึ่งนั่นทำให้บริษัทเหล่านั้นได้รับความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในการค้าโลก

“แคนาดากำลังดำเนินการต่อต้านสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นนโยบายรัฐบาลจีนเลือกที่จะให้บริษัทของประเทศตัวเองได้รับข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในตลาดโลก โดยตั้งใจผลิตเกินกว่าที่จีนจะบริโภคเพื่อส่งออก และไม่คิดว่าจีนกำลังเล่นตามกฎเดียวกัน” ทรูโด กล่าว

ทั้งนี้ จีนถือเป็นพันธมิตรการค้ารายใหญ่เป็น อันดับสองของแคนาดา รองจากสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ได้ออกตอบโต้มาตรการดังกล่าวว่า เป็นการกีดกันทางการค้า ซึ่งละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก และจวกว่า แคนาดากำลัง ทำลายระบบเศรษฐกิจโลก

ที่ผ่านมา รถอีวีจากจีนสามารถขายได้ในราคาเพียง 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.2 แสนบาท)

Source

]]>
1488025
ลือ ‘สหรัฐฯ’ เล็งขึ้นภาษี ‘รถอีวี’ จากจีนเพิ่ม 4 เท่า เป็น 100% เพื่อสกัดการนำเข้า https://positioningmag.com/1473144 Mon, 13 May 2024 03:27:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1473144 มีข่าวลือว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เตรียมประกาศภาษีสินค้าจากจีนในช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จะเป็นขึ้นภาษีครั้งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีสินค้าสำคัญ ๆ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ และ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์

มีข่าวลือว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมแก้ไข ภาษีมาตรา 301 โดยจะมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันเชิงกลยุทธ์และความมั่นคงของชาติ โดยจะเพิ่มอัตราภาษีใหม่กับ เซมิคอนดักเตอร์, อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ และ รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึง เวชภัณฑ์ เช่น เข็มฉีดยาและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่ผลิตใน จีน

มีการคาดการณ์ว่า ภาษีรถอีวีของจีนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า หรือคิดเป็น 100% ขณะที่ประธานคณะกรรมการการธนาคารวุฒิสภาต้องการให้ฝ่ายบริหารของไบเดน แบนรถยนต์ไฟฟ้าของจีนโดยสิ้นเชิง เนื่องจากความกังวลว่าอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน

ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถอีวีจีนที่ 25% แต่เพราะราคาที่ไม่ได้สูงมากของรถอีวีจีน ทำให้ไม่ได้ติดปัญหาเรื่องกำแพงภาษีมากนัก ดังนั้น รถอีวีจีนจึงยังสามารถแข่งขันได้ในสหรัฐฯ แต่หากการขึ้นภาษีใหม่เกิดขึ้นจริง จะทำให้รถอีวีจีนที่ขายในสหรัฐอเมริกา อาจต้องขายในราคา เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการนําเข้ารถยนต์จีนยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย

ต้องยอมรับว่า การผลิตรถอีวีของจีนได้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 ส่วนแบ่งตลาดรถอีวีของจีนมีเพียง 0.84% เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับสหรัฐฯ ที่มี 0.66% แต่ในปี 2023 ที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดรถอีวีของจีนก็พุ่งขึ้นเป็น 37% มากกว่าส่วนแบ่งของสหรัฐฯ ที่มี 7.6% 

นอกจากนี้ จีนยังเดินหน้าส่งออกรถอีวีไปยังตลาดต่างประเทศจำนวนมาก หลังจากที่ตลาดจีนเริ่มมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง และมีการแข่งขันราคาอย่างรุนแรง ทำให้สหรัฐฯ จึงพิจารณาปรับขึ้นอัตราภาษี เพื่อให้กำแพงภาษีที่สูงขึ้น อาจจะลดการนำเข้าและลดการแข่งขันในสหรัฐฯ

Reuters / electrek

]]>
1473144
รัฐบาลสหรัฐฯ ทุ่ม 6.6 พันล้าน ดึง ‘TSMC’ ผู้ผลิตชิปเบอร์ 1 ของโลก ขยายโรงงานในอเมริกา https://positioningmag.com/1469461 Tue, 09 Apr 2024 03:29:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469461 ไม่ใช่แค่สกัดกั้น จีน ในการเข้าถึงชิประดับสูง แต่ สหรัฐฯ ยังเดินเกมดึงพันธมิตรเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ วางแผนที่จะมอบเงิน 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง TSMC เพื่อขยายโรงงานในรัฐแอริโซนา

รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่า ได้ลงนามในข้อตกลงที่ไม่มีผลผูกพันกับ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co.) บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลกสัญชาติไต้หวัน เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับลงทุนเปิดโรงงานผลิตในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะให้เงินอุดหนุนมูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกเหนือจากเงินกู้รัฐบาลประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ จากกฎหมาย Chips and Science Act

ขณะที่ TSMC เองก็ตกลงจะเพิ่มวงเงินลงทุนในสหรัฐฯ อีก 25,000 ล้านดอลลาร์ รวมเป็น 65,000 ล้านดอลลาร์ โดยเตรียมที่จะสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ภายในปี 2030 โดยการลงทุนดังกล่าว ถือเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแอริโซนา  

“อเมริกาคิดค้นชิปเหล่านี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเปลี่ยนจากการผลิตเกือบ 40% ของกำลังการผลิตของโลก เหลือเพียง 10% และไม่มีชิปที่ทันสมัยที่สุดเลย นั่นทำให้เราเผชิญกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติอย่างมีนัยสำคัญ” โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว

ปัจจุบัน TSMC ครองสัดส่วนถึง 90% ของชิปที่ทันสมัยที่สุดในโลก โดย Mark Liu ประธาน TSMC กล่าวว่า การจัดตั้งโรงงานในสหรัฐฯ จะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงชิปภายในประเทศ ที่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนไปจนถึงดาวเทียม รวมถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ด้วย

ทั้งนี้ โรงงานทั้ง 3 แห่งคาดว่าจะสร้างงานด้านเทคโนโลยีประมาณ 6,000 ตำแหน่ง และงานทางอ้อมมากกว่า 20,000 ตำแหน่ง เช่น ในการก่อสร้างการรักษาความปลอดภัย และซัพพลายเชน รวมถึงจะดึงดูดซัพพลายเออร์เซมิคอนดักเตอร์ 14 ราย ให้กับรัฐ

การที่สหรัฐฯ สามารถดึง TSMC มาลงทุนในประเทศได้นั้น ถือว่า Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องนำการผลิตชิปมาใช้ในประเทศมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากประเทศอื่น หลังจากที่เจอปัญหาชิปขาดแคลนไปในช่วงการระบาดของ COVID-19 จนส่งผลให้ราคาสูงขึ้น

ขณะที่ประเทศไต้หวันก็อยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอเช่นกัน เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านซับพลายเชนและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กังวลว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อาจทำให้เกิดการรุกรานทางทหารกับไต้หวัน อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตชิปที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ ไต้หวันเพิ่งเจอกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งย้ำให้เห็นถึงความเสี่ยงของอุตสาหกรรมต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ

สำหรับกฎหมาย Chips and Science Act ได้ผ่านการรับรองในเดือนสิงหาคม 2022 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศของสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีขึ้น เช่น จีน โดยรัฐบาลได้ วางงบอุดหนุนด้านการวิจัยและการผลิตสูงถึง 52,700 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้สมาชิกสภาคองเกรสยังได้อนุมัติวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอีก 75,000 ล้านดอลลาร์ด้วย

Source

]]>
1469461
จีนเริ่มแบนชิป Intel และ AMD ภายในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาล หันมาสนับสนุนและพัฒนาชิปเป็นของตัวเอง https://positioningmag.com/1467429 Mon, 25 Mar 2024 01:43:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467429 รัฐบาลจีนได้เริ่มแบนชิป Intel และ AMD ภายในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลแล้ว ขณะที่รัฐวิสาหกิจของจีนนั้นจะมีการเปลี่ยนผ่านให้แล้วเสร็จภายในปี 2027 ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการพึ่งพาเทคโนโลยีการผลิตชิปในประเทศ

Financial Times ได้รายงานข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่ารัฐบาลจีนได้ห้ามใช้ชิปของ Intel รวมถึง AMD ภายในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ของรัฐบาล และจะมีการสนับสนุนให้ใช้ชิปที่ผลิตภายในประเทศจีนรวมถึงระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเองมากขึ้น

สำหรับกฎการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือแม้แต่เซิร์ฟเวอร์ของรัฐบาล จะต้องเข้าเกณฑ์ที่รัฐบาลจีนกำหนดว่าหน่วยประมวลผลดังกล่าวจะต้อง “ปลอดภัยและเชื่อถือได้” โดยชิปประมวลผลที่รัฐบาลได้ไฟเขียว 18 ผู้ผลิต เช่น Huawei หรือ Phytium ซึ่งผู้ผลิตรายชื่อดังกล่าวส่วนใหญ่รัฐบาลจีนได้ให้การอุดหนุนอยู่แล้ว

นอกจากการห้ามใช้ชิป Intel และ AMD ภายในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลแล้ว จีนยังเตรียมที่จะยกเลิกการใช้ปฏิบัติการ Microsoft Windows รวมถึงซอฟต์แวร์ด้านฐานข้อมูลก็คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้ซอฟต์แวร์ในประเทศเพิ่มมากขึ้น

แผนการดังกล่าวนั้นตามหลังมาจากแนวทางดังกล่าวซึ่งเปิดเผยในเดือนธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมา

ผลกระทบต่อบริษัทต่างๆ นั้นแตกต่างกันไป โดย Intel นั้นจะได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องรายได้จากประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนมากถึง 27% ขณะที่ AMD มีสัดส่วนรายได้จากประเทศจีนราวๆ 15% ขณะที่ Microsoft ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขดังกล่าว แต่ผู้บริหารของบริษัทได้เคยกล่าวกับสภาคองเกรสว่ารายได้จากประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนราวๆ 1.5% จากรายได้ทั้งหมด

ไม่ใช่แค่หน่วยงานรัฐบาลที่ได้รับคำสั่งดังกล่าวเช่นกัน แต่รัฐวิสาหกิจเองก็ต้องทำตามแผนดังกล่าว โดยคาดว่าในส่วนของรัฐวิสาหกิจจะต้องมีการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในปี 2027 และต้องมีการแจ้งความคืบหน้าในการเปลี่ยนระบบไอทีในทุกไตรมาสด้วย

ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้พยายามในการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีภายในประเทศให้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา เช่น กรณีการผลิตโทรศัพท์มือถือรุ่น Mate 60 Pro ของ Huawei เป็นต้น

การผลิตชิปให้มีเทคโนโลยีล้ำหน้านั้นถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ทั้งไม่ว่าจะเป็นการใช้โดยประชาชน หรือแม้แต่การใช้ในเทคโนโลยีการทหาร

นโยบายล่าสุดของจีนแสดงให้เห็นถึงก้าวสำคัญในการที่จะทยอยใช้เทคโนโลยีทดแทนภายในประเทศ จากเดิมที่พึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มมากขึ้น

]]>
1467429
15 บริษัทสหรัฐฯ สนใจเข้าลงทุนในเวียดนาม ทั้งผลิตชิป พลังงานสะอาด ฯลฯ มูลค่ารวมกัน 285,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1460519 Sun, 28 Jan 2024 08:25:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460519 15 บริษัทสหรัฐฯ สนใจเข้าลงทุนในเวียดนาม ทั้งผลิตชิป พลังงานสะอาด ฯลฯ มูลค่ารวมกัน 285,000 ล้านบาท ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามมาจากการเข้าพบปะพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีเวียดนามกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า 15 บริษัทในสหรัฐฯ ได้สนใจเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิตชิป พลังงานสะอาด โดยมูลค่ารวมกันมากถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 285,000 ล้านบาท

Jose Fernandez เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า 15 บริษัทเหล่านี้ได้ประกาศลงทุนรวมกันมากถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตจากอุตสาหกรรมการผลิตชิป หรือแม้แต่การรักษาสิ่งแวดล้อมจากพลังงานสะอาด

อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายดังกล่าวไม่ได้กล่าวว่า 15 บริษัทที่จะมาลงทุนในเวียดนามนั้นมีบริษัทอะไรบ้าง แต่ได้กล่าวถึงการให้คำมั่นสัญญาของบริษัทหลายแห่งที่จะลงทุนในเวียดนาม

สหรัฐฯ ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับเวียดนามเพิ่มมากขึ้นในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นในการลงทุนจากบริษัทต่างๆ ที่ต้องการกระจายการลงทุนออกจากประเทศจีน เพื่อความยืดหยุ่นด้าน Supply Chain ขณะเดียวกันเวียดนามเองก็เพิ่มความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในเชิงความมั่งคงเพื่อจะคานอำนาจกับจีนในทะเลจีนใต้

ในส่วนของภาคเอกชนนั้น บริษัทใหญ่ๆ ที่สำคัญเช่น Apple ได้ตัดสินใจย้ายกำลังการผลิตออกจากประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น หรีอแม้แต่บริษัทอื่นๆ เช่น Dell Google และ Microsoft ก็มีการลงทุนในเวียดนามแล้วเช่นกัน ล่าสุดบริษัทอย่าง Nvidia ก็ประกาศที่จะลงทุนในเวียดนามด้วย 

เศรษฐกิจเวียดนามที่กำลังเติบโต และสัดส่วนประชากรวัยทำงานที่สูง กำลังซื้อของประชากรรวมถึงการเพิ่มจำนวนของชนชั้นกลางที่เพิ่มมากขึ้น ยังทำให้ส่งผลดีต่อภาคเอกชนจากหลายประเทศที่เข้าไปลงทุนสามารถขายสินค้าของตัวเองในเวียดนามได้เพิ่มขึ้นอีกทาง

ในส่วนของเวียดนามได้มีการแก้กฎหมายต่างๆ เพื่อเอื้อแก่การลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานสะอาดที่กำหนดพื้นที่สำหรับทำฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมสามารถต่อรองการซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าได้ เพื่อจะเอื้อให้เอกชนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน

]]>
1460519
ค้าปลีกสหรัฐฯ ให้ส่วนลดผู้บริโภคเพิ่มถ้าไม่ส่งคืนสินค้ากลับคืน หลังต้นทุนพุ่งสูงจนแบกไม่ไหว https://positioningmag.com/1454210 Sun, 03 Dec 2023 09:31:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454210 ธุรกิจค้าปลีกสหรัฐฯ ได้ปรับแผนธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาด้วยการแจ้งลูกค้าว่าอย่าคืนสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการคืนสินค้าโดยให้ส่วนลดหรือคูปองให้กับผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าไปแล้ว หรือให้ส่วนลดเพิ่มเติมถ้าหากผู้บริโภคนำสินค้ากลับมาคืนที่ร้านค้าด้วยตัวเอง จากต้นทุนในการส่งคืนสินค้าพุ่งสูงจนภาคธุรกิจแบกรับไม่ไหว

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาหลายรายเริ่มให้ส่วนลดหรือคูปองให้กับผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าไปแล้ว แต่ไม่พอใจสินค้าแล้วต้องการคืนสินค้ากลับ หรือให้ส่วนลดเพิ่มเติมถ้าหากผู้บริโภคนำสินค้ากลับมาคืนที่ร้านค้าด้วยตัวเอง หลังจากที่ต้นทุนในการส่งคืนสินค้าพุ่งสูงจนภาคธุรกิจแบกรับไม่ไหว

สื่อรายดังกล่าวได้สอบถามผู้ซื้อสินค้า 17 รายจากหลากหลายธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา เช่น Walmart รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Amazon หรือแม้แต่ Temu เป็นต้น ลูกค้าเหล่านี้ได้กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกหลายแห่งได้แจ้งลูกค้าว่าอย่าคืนสินค้าที่มีมูลค่าประมาณ 20 ดอลลาร์ถึง 300 ดอลลาร์ รวมถึงสินค้าที่มีข้อบกพร่องหรือจัดส่งด้วยความผิดพลาดด้วย

ขณะที่ข้อมูลจาก goTRG ซึ่งสำรวจผู้บริหาร 500 รายในธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ 21 ราย ซึ่งรวมถึง Walmart และ Amazon.com ธุรกิจค้าปลีกมากถึง 59% ได้เสนอนโยบาย “ไม่คืนสินค้า” หรือ “เก็บไว้” สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไม่ต้องการซึ่งสินค้าเหล่านี้มีต้นทุนการคืนสินค้าเกินมูลค่า

ทางด้านผู้ผลิตสินค้าประเภท ชุดชั้นใน เครื่องนอน เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่นำนโยบาย “ไม่คืนสินค้า” มาใช้ เนื่องจากเรื่องสุขอนามัย รวมถึงกฎความปลอดภัยด้านสุขภาพในสหรัฐอเมริกา โดยผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้ได้ขอให้ผู้ซื้อบริจาคสิ่งของหรือมอบเป็นของขวัญให้เพื่อนแทนที่จะส่งกลับบริษัท

Amazon ก็ถือเป็นอีกบริษัทที่ใช้นโยบายดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการส่งกลับสินค้านั้นเพิ่มสูงขึ้น – ภาพจาก Shutterstock

ปัญหาของธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาหลายที่กำลังประสบในช่วงเวลานี้คือต้นทุนจากการคืนสินค้า โดยตัวเลขในปี 2022 ที่ผ่านมาจาก Appriss Retail และ National Retail Federation พบว่ามูลค่าสินค้าที่ส่งคืนในสหรัฐอเมริกานั้นมากถึง 816,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยอดดังกล่าวสูงกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิดมากถึง 2 เท่าด้วยกัน

ข้อมูลจาก Optoro บริษัทที่ปรึกษาด้านค้าปลีกได้ชี้ว่าในช่วงวันหยุดของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นวันขอบคุณพระเจ้า แบล็คฟรายเดย์ และไซเบอร์มันเดย์ และดำเนินต่อไปหลังช่วงวันคริสต์มาส ซึ่งมีกิจกรรมลดแลกแจกแถมจากธุรกิจค้าปลีกทั่วสหรัฐอเมริกา คาดว่าในช่วงดังกล่าวของปี 2023 นี้จะมีมูลค่าสินค้าที่ส่งคืนมากถึง 173,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วถึง 28%

ค่าขนส่งและค่าจัดการต่างๆ รวมถึงการใช้คลังสินค้าในสหรัฐฯ ที่ล้นหลาม ส่งผลทำให้บริษัทต่างๆ ต้องหยุดรับเสื้อยืด ของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่พึงประสงค์กลับคืน เนื่องจากทำให้ต้นทุนบริษัทเพิ่มขึ้น และยังสร้างภาระให้กับผู้ประกอบการรายอื่นที่อยู่ใน Supply Chain ที่เกี่ยวข้องด้วย

โดยทั่วไปแล้วธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯ จะมีค่าใช้จ่ายจากสินค้าส่งกลับมาประมาณ 30 ดอลลาร์ต่อชิ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นรวมถึงค่าขนส่งสินค้าอีกทอด ค่าใช้จ่ายจัดเรียงสินค้า ค่าใช้จ่ายในการนำสินค้าที่ผู้บริโภคส่งกลับไปจำหน่ายต่อในราคาที่ถูกกว่า หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายในการกำจัดสินค้า ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านี้เลือกที่จะใช้วิธีดังกล่าวในข้างต้นแทน

]]>
1454210
กองทัพสหรัฐฯ ช่วยญี่ปุ่นซื้ออาหารทะเล หลังจีนประกาศงดนำเข้า ประท้วงกรณีปล่อยน้ำเสียโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ https://positioningmag.com/1450161 Wed, 01 Nov 2023 04:28:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450161 กองทัพสหรัฐอเมริกาในญี่ปุ่น ได้ประกาศซื้ออาหารทะเลจากญี่ปุ่น เพื่อช่วยเหลือ โดยเริ่มต้นที่หอยเชลล์จำนวน 1 ตัน และส่งสัญญาณว่าจะมีการซื้อเพิ่มมากกว่านี้ นอกจากนี้ทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่นยังกล่าวว่าอาจหามาตรการตอบโต้กรณีที่จีนแบนนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่นด้วย

Reuters และ BBC ได้รายงานข่าวว่า กองทัพสหรัฐอเมริกาที่ประจำการในประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มซื้ออาหารทะเลจำนวนมาก เพื่อที่จะชดเชยหลังจากที่จีนได้สั่งแบนการนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น เพื่อประท้วงกรณีการปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ และส่งสัญญาณว่าจะมีการซื้อสินค้าประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้นหลังจากนี้

อาหารทะเลที่กองทัพสหรัฐจะซื้อเป็นการเริ่มต้นคือ หอยเชลล์เป็นจำนวน 1 ตัน เพื่อนำไปเลี้ยงทหารทั้งในฐานทัพและบนกองเรือรบ รวมถึงร้านค้าในฐานทัพ และจะมีการนำเข้าอาหารทะเลเพิ่มขึ้นหลังจากนี้ นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเตรียมที่จะเจรจาในการส่งออกหอยเชลล์เข้าไปแปรรูปในสหรัฐอเมริกาด้วย

ญี่ปุ่นได้ส่งออกสินค้าประเภทดังกล่าวนี้ไปยังจีนหรือแม้แต่ฮ่องกงเป็นจำนวนมาก ซึ่งทั้ง 2 แหล่งดังกล่าวเป็นปลายทางส่งออกอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ยกตัวอย่างเช่น หอยเชลล์ ในปีที่ผ่านมาจีนได้นำเข้ามากถึง 100,000 ตัน

ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมศุลกากรของจีน ได้ออกแถลงการณ์ว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางอาหาร จากการปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสี และเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคชาวจีน ทำให้จีนระงับการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม เป็นต้นไป

ผลที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเตรียมเงินหลักแสนล้านเยนเพื่อช่วยเหลือชาวประมงที่ได้ผลกระทบจากผลดังกล่าว ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีทั้งการพัฒนาให้ชาวประมงหาตลาดอาหารทะเลในประเทศอื่น และเก็บปลาส่วนเกินแช่แข็งจนกว่าจะขายได้เมื่อมีความต้องการฟื้นตัว

Rahm Emanuel เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ อาจพิจารณานำเข้าปลาจากญี่ปุ่นและจีนด้วย โดยก่อนหน้านี้ กองทัพสหรัฐฯ ไม่เคยซื้ออาหารทะเลที่จับได้ในทะเลญี่ปุ่นด้วยซ้ำ

นอกจากนี้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ได้กล่าวว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาหาวิธีตอบโต้ที่จีนได้สั่งแบนการนำเข้าอาหารทะเล โดยมองว่ามาตรการดังกล่าวของจีนนั้นถือว่าเป็นสงครามทางเศรษฐกิจ

ที่มา – Reuters, BBC

]]>
1450161