เครื่องซักผ้า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 21 Feb 2024 14:09:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มองตลาด ‘ร้านสะดวกซัก’ ของไทย ยังเติบโตได้อีกแค่ไหน? https://positioningmag.com/1463515 Wed, 21 Feb 2024 13:05:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463515 หากพูดถึงตลาด ร้านสะดวกซัก หากมองจากมุมคนทั่วไปก็น่าจะรู้ว่าธุรกิจนี้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างมาก เพราะหากไม่นับร้านสะดวกซื้อ ก็มีร้านสะดวกซักนี่แหละที่พบเห็นง่ายพอ ๆ กัน อีกจุดที่ย้ำว่าธุรกิจสะดวกซักกำลังมาแรงก็คือ การที่แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่อย่าง LG ก็ยังมาเปิดบริการนี้ในไทยเลยทีเดียว คำถามคือ ธุรกิจนี้ยังเติบโตได้แค่ไหน

คาดปี 2024 ตลาดจะเติบโต 10%

ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักมีถึง 30-40 ราย เข้าไปแล้ว แต่อ้างอิงจาก บริษัท อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี (Alliance Laundry System LLC) ที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องซักอบผ้าในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้ประเมินว่า ตลาดร้านสะดวกซักในไทยปี 2023 เติบโตประมาณ 7% คิดเป็นมูลค่า 3,900 ล้านบาท และมีร้านเปิดใหม่มากถึง 1,300 ร้าน เลยทีเดียว

โดยภาพรวมธุรกิจร้านสะดวกซักของไทยในปี 2024 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% และจะมีร้านสะดวกซักในไทยทั้งหมดประมาณ 5,500 ร้าน ซึ่งคาดว่าร้านที่เปิดใหม่จะเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นโดยเฉลี่ยจะใช้เครื่องซักและอบในร้านทั้งหมดประมาณ 15-20 เครื่องต่อร้าน และขนาดของร้านจะอยู่ที่ 80 ตารางเมตรขึ้นไป

โควิด-นักท่องเที่ยวทำให้ตลาดยิ่งเติบโต

หากไม่นับรวมร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่ใช้เครื่องซักผ้าในครัวเรือนนำไปติดตั้งระบบหยอดเหรียญเอง และร้านซักรีด ธุรกิจร้านสะดวกซักนั้นมีในไทยตั้งแต่ปี 2015 แล้ว แต่มาเติบโตมาก ๆ ในช่วงที่โควิดระบาด เพราะร้านสะดวกซักเป็นธุรกิจที่ใช้คนดูแลน้อย ไม่ต้องใช้พนักงานเฝ้าร้านเหมือนธุรกิจอื่น ๆ ไม่ต้องสต๊อกสินค้า ต้นทุนหากไม่นับค่าเครื่องซักผ้ากับการซ่อมบำรุงก็จะมีเพียงค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าแก๊สเท่านั้น

แม้ปัจจุบันสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายแล้ว แต่พฤติกรรมผู้บริโภคก็ได้เปลี่ยนไปคุ้นชินกับการใช้บริการร้านสะดวกซัก เพราะสะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ การที่นักท่องเที่ยวกลับมา ทำให้หลายคนก็ลงทุนกับธุรกิจร้านสะดวกซักมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว และอีกจุดที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ คนยังต้องการเสื้อผ้าสะอาด 

ยังเติบโตได้ถึง 10,000 สาขาเป็นอย่างน้อย

คำถามคือ ในวันที่ตลาดเติบโตเร็วขนาดนี้ จุดอิ่มตัวของตลาดอยู่ตรงไหน? ซึ่ง สุกรี กีไร ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ บริษัท อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี มองว่า มี 3 ปัจจัยที่ใช้สำหรับคำนวณว่าตลาดยังไปต่อได้หรือไม่ ได้แก่

  • จำนวนประชากร
  • รายได้
  • ภูมิศาสตร์

ซึ่งจำนวนของร้านสะดวกซัก 1 ร้าน สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้ประมาณ 6,000-8,000 คน ดังนั้น ด้วยจำนวนประชากรไทย 66 ล้านคน ประเทศไทยสามารถมีร้านสะดวกซักได้อย่างน้อย 10,000 สาขา โดยจะมีการเติบโตเฉลี่ย 1,000 สาขาต่อปี

ร้านสะดวกซักก็มีความเสี่ยง

สำหรับการลงทุนในร้านสะดวกซักที่ใช้เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมมีการลงทุนเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 1-3.5 ล้านบาท ระยะเวลา คืนทุนอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดและเงื่อนไขของแต่ละแบรนด์ ซึ่งปัจจุบันตลาดร้านสะดวกซักมีผู้เล่นกว่า 30-40 ราย โดยมีทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจจะลงทุนควรศึกษาธุรกิจให้ถี่ถ้วนก่อน โดยเฉพาะเรื่องของ ทำเล และ คู่แข่ง เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เปิดง่าย (ขอแค่มีเงินลงทุน) นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี 2022 เคยมีที่ปรากฏการณ์ของบริษัทเจ้าของระบบแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักรายหนึ่งปิดบริษัทหนีและลอยแพผู้ลงทุนแฟรนไชส์ ดังนั้น ธุรกิจนี้ก็ไม่ได้ง่าย และมีความเสี่ยงไม่ต่างจากการลงทุนอื่น ๆ

แม้ตลาดร้านสะดวกซักจะยังเติบโตได้ แต่ด้วยจำนวนผู้เล่นที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหญ่ หรือแม้แต่เจ้าของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็เข้ามาทำตลาดนี้เองด้วย คำถามคือ จากผู้เล่น 30-40 รายจะเหลือรอดสักกี่รายกัน
]]>
1463515
‘ซัมซุง’ ขอ 3 ปีขึ้นเบอร์ 1 เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม ชู ‘ดีไซน์-นวัตกรรม’ จับกลุ่มพรีเมียม https://positioningmag.com/1415452 Fri, 13 Jan 2023 07:44:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415452 แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2022 ที่ผ่านมาจะมีวิกฤตหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะ เงินเฟ้อ แต่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 5.3 หมื่นล้านบาทก็ยังเติบโตได้ 5-6% ซึ่งก็ได้กลุ่ม พรีเมียม เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด โดย ซัมซุง (Samsung) แบรนด์สัญชาติเกาหลีใต้ก็เห็นโอกาสในส่วนนี้ และขอสู้เพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในทุกกลุ่มสินค้าภายใน 3 ปี

ตลาดพรีเมียมโตสวนทางแมส

เจนนิเฟอร์ ซอง ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2022 ที่ผ่านมาไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะมีทั้งปัจจัยเรื่องค่าเงิน และเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดและตัวซัมซุงเองยังคงเติบโตได้ 5-6% โดยมีสินค้าใน กลุ่มพรีเมียม เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด เนื่องจากช่องว่างระหว่างครัวเรือนที่มีรายได้สูงและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว้างขึ้น

“สินค้ากลุ่มพรีเมียมของเราเติบโต 2 เท่าในทุกกลุ่มสินค้า เพราะตั้งแต่ COVID-19 ระบาด คนอยู่บ้านมากขึ้น เขามองว่าบ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัวและเริ่มอยากตกแต่งบ้านใหม่ ๆ มากขึ้น แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ซัมซุงที่เห็นโอกาสนี้ ดังนั้น เชื่อว่าการแข่งขันในกลุ่มสินค้าพรีเมียมจากนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย”

อัดสินค้าใหม่กว่า 100 รุ่น ชูความ Personalize

เจนนิเฟอร์ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในกลุ่มพรีเมียมจะให้ความสำคัญกับความเป็นตัวตน ต้องการสินค้าที่ สะท้อนความเป็นตัวตน มากกว่าราคา นอกจากนี้ ต้องมีนวัตกรรมที่ทำให้เขาใช้ชีวิต ง่ายขึ้น ดังนั้น สินค้าของซัมซุงในกลุ่มพรีเมียมจะเน้น ดีไซน์สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ นวัตกรรมทันสมัย และ การเชื่อมต่ออัจฉริยะ นอกจากนี้ ต้องตอบโจทย์ ความยั่งยืน ด้วย

“ผู้บริโภค 70% มองว่า ถ้าสินค้าเข้าใจในตัวตนเขาจริง ๆ เขาก็จะเลือกอยู่กับแบรนด์นั้น ๆ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ 55% ระบุว่า เขาจะซื้อของที่สะท้อนความเป็นตัวเอง นอกจากนี้ คนไทยถึง 72% มีความต้องการติดตั้งสมาร์ทโฮม”

ในปีนี้ ซัมซุงมีแผนจะเพิ่มโปรดักส์ใหม่กว่า 100 รุ่น โดยจะเน้นไปที่กลุ่มพรีเมียม และการทำตลาดช่วง Q1-Q3 จากนี้จะเน้นที่เรื่อง ไลฟ์สไตล์ โดยสินค้าในกลุ่ม Bespoke จะขยายไปกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกเหนือจาก ตู้เย็น  อาทิ ไมโครเวฟ, เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น และเปลี่ยนการสื่อสารเป็น Bespoke Home เพื่อสื่อสารถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งบ้าน ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา กลุ่มเครื่องซักผ้าและตู้เย็นเติบโต 5% กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (เตาอบไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องฟอกอากาศ) เติบโต 10%

ในส่วนของ ทีวี จะเน้น Lifestyle TV และกลุ่ม QLED, OLED เพราะในปีที่ผ่านมาจะเห็นเทรนด์อย่างชัดเจนว่าทีวีขนาด 65 นิ้วขึ้นไป เติบโตขึ้นมากแบบเห็นได้ชัดถึง 1.5 เท่า ทีวีพรีเมียมยังคงเติบโตสูง อาทิ Neo QLED เติบโตขึ้นถึง 3 เท่า เฉพาะ Neo QLED 8K เติบโตถึง 4 เท่า

ด้าน เครื่องปรับอากาศ ที่ใช้เทคโนโลยี WindFree ซึ่งเป็นกลุ่มพรีเมียมเติบโตถึง 30% โดยปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวไลน์อัพเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ในกลุ่ม WindFree คาดว่าจะคิดเป็น 90% ของไลน์สินค้า ครอบคลุมกลุ่มกลาง-บน พร้อมขยายระยะเวลารับประกันสูงสุดถึง 10 ปี

เดินหน้าลุยตลาด B2B

อีกตลาดที่จะช่วยให้ซัมซุงเติบโตก็คือ B2B ที่ปีนี้บริษัทจะเน้นมากขึ้น อาทิ โครงการบ้านและคอนโด โดยจะชูจุดเด่นเรื่อง โทเทิ่ลโซลูชั่น ที่สินค้าทั้งหมดของซัมซุงสามารถเชื่อมต่อกันได้ และสินค้าที่จะใช้เป็นตัวนำในการบุกก็คือ เครื่องปรับอากาศ เนื่องจากในปีที่ผ่านมายอดขายเครื่องปรับอากาศในกลุ่ม B2B เติบโตถึง 40% ก่อนจะตามด้วยสินค้าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า

“เราเพิ่งเริ่มทำตลาด B2B แต่เรามองว่านี่คือ โอกาสสำคัญ เพราะจุดแข็งเราคือ ไลน์สินค้าที่ครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการได้ต่างจากคู่แข่ง โดยเฉพาะการตอบโจทย์เรื่องโทเทิ่ลโซลูชั่น”

ขึ้นเบอร์ 1 ทุกกลุ่มสินค้าใน 3 ปี

สำหรับเป้าหมายของซัมซุงในปี 2023 ต้องเติบโต 2 หลัก ขึ้นไป โดยมองว่าปีนี้มีปัจจัยบวกจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากภาค การท่องเที่ยว ทั้งจากตัวนักท่องเที่ยว เม็ดเงินที่เข้ามาช่วยให้ผู้บริโภคจับจ่ายได้ดีขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้า คาเฟ่ และโรงแรมต่าง ๆ ลงทุนเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ต้นทุนต่าง ๆ น่าจะลดลง สินค้าก็จะมีราคาดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจับต้องสินค้าได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าคือ ไม่ใช่สินค้าหลักที่ผู้บริโภคจะใช้เงิน เพราะเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคอยากใช้จ่ายไปกับการท่องเที่ยว ดังนั้น เชื่อว่ากว่าที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าจะกลับมาเป็นสินค้าหลักที่ผู้บริโภคเลือกใช้จ่ายคงต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี

“ตอนนี้คนไปเที่ยวกันเยอะเพราะเขาอั้นมานาน ดังนั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าจากที่เคยเป็นอันดับ 1-2 สิ่งที่ผู้บริโภคเลือกใช้เงินก่อน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่”

สำหรับเป้าหมายใน 3 ปีจากนี้ ซัมซุงต้องการขึ้นเป็นอันดับ 1 ในทุกกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า จากปัจจุบันสินค้ากลุ่มทีวี, ตู้เย็น เป็นอันดับ 1 ที่แข็งแรง และกลุ่มต่อไปที่ซัมซุงมองว่ามีโอกาสขึ้นเป็นอันดับ 1 คือ เครื่องซักผ้า ที่ปัจจุบันเป็น Top 2 ของตลาด ตามมาด้วย เครื่องปรับอากาศ ที่ปัจจุบันเป็น Top 5 ของตลาด

]]>
1415452
‘Samsung’ เรียกคืนเครื่องซักผ้าในสหรัฐฯ กว่า 6.6 แสนเครื่อง หลังพบความเสี่ยง ‘ไฟฟ้าลัดวงจร’ https://positioningmag.com/1413888 Sun, 25 Dec 2022 04:14:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1413888 หลังจากที่ ซัมซุง (Samsung) ในสหรัฐฯ ได้รับรายงาน 51 ฉบับเกี่ยวกับ เครื่องซักผ้า ที่มีอาการความร้อนสูงเกินไปจนเกิดไฟไหม้ โดยรายงานประมาณ 10 ฉบับระบุว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ทรัพย์สินอื่น ๆ เสียหาย และลูกค้า 3 รายได้รับบาดเจ็บจากการสูดดมควัน

จากปัญหาดังกล่าว ซัมซุง ได้เรียกคืนเครื่องซักผ้าถึง 663,500 เครื่อง ที่จำหน้ายโดยร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Best Buy, Costco, The Home Depot และ Lowe’s ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 ถึงธันวาคม 2565 โดยมีราคาระหว่าง 900 – 1,500 ดอลลาร์ โดยรวมแล้วมีเครื่องซักผ้าทั้งหมด 14 รุ่น ที่ถูกเรียกคืน อาทิ เครื่องซักผ้าฝาบน ได้แก่ WA49B, WA50B, WA51A, WA52A, WA54A และ WA55A

“การอัปเดตซอฟต์แวร์สามารถแก้ไขอันตรายจากไฟไหม้ได้ ผู้บริโภคควรตรวจสอบทันทีว่าซอฟต์แวร์ของเครื่องซักผ้าได้รับการอัปเดตเพื่อป้องกันอันตรายหรือไม่ และหากไม่เป็นเช่นนั้น ผู้บริโภคควรหยุดใช้เครื่องซักผ้าทันทีจนกว่าซอฟต์แวร์จะได้รับการอัปเดต”

ทั้งนี้ เครื่องซักผ้าที่ติดตั้ง Wi-Fi ทั้งหมดควรดาวน์โหลดการซ่อมแซมซอฟต์แวร์ฟรีโดยอัตโนมัติเมื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต Samsung กล่าว ผู้ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตสามารถรับ dongle ฟรีจาก Samsung เพื่อเสียบปลั๊กและดาวน์โหลดการซ่อมแซมซอฟต์แวร์ฟรี

Source

]]>
1413888
“ฮิตาชิ” หลังควบรวมกับ “อาร์เซลิก” บริษัทจากตุรกี อะไรจะเปลี่ยน และอะไรที่ไม่เปลี่ยน? https://positioningmag.com/1383353 Thu, 28 Apr 2022 11:41:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383353 ย้อนไปเมื่อปลายปี 2563 เกิดดีลสำคัญขึ้นเมื่อ หน่วยธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า “ฮิตาชิ” กลุ่มนอกประเทศญี่ปุ่น ควบรวมกิจการกับ “อาร์เซลิก” บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าจากตุรกี โดยฝั่งตุรกีถือหุ้น 60% และฮิตาชิถือ 40% กลายเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ “อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์”

อาร์เซลิก นั้นเป็นบริษัทในเครือของ “คอช กรุ๊ป” ยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจหลากหลายในประเทศตุรกี ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าของอาร์เซลิกมีตลาดอยู่ใน 45 ประเทศทั่วโลก แบรนด์ในเครือนี้ที่คนไทยพอจะคุ้นเคยคือ “เบโค” (Beko) เพราะเข้าทำตลาดไทยมาตั้งแต่ปี 2557

อาร์เซลิกมีนโยบายที่จะบุกตลาดเอเชียแปซิฟิกมานาน ทำให้การตั้งจอยต์เวนเจอร์กับฮิตาชิถือว่าเข้าเป้า เพราะแบรนด์ฮิตาชินับว่าแข็งแกร่งมากในตลาดแถบนี้ และมีการส่งออกไป 65 ประเทศ

การควบรวมครั้งนี้ทำให้บริษัทจอยต์เวนเจอร์เป็นเจ้าของแหล่งผลิต และมีสิทธิบริหารการจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ฮิตาชินอกประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด (ยกเว้นเครื่องปรับอากาศซึ่งไม่ได้อยู่ในดีลนี้ ต้องเจรจาเป็นรายประเทศ ทั้งนี้ ในไทยยังเป็นสิทธิจัดจำหน่ายของอาร์เซลิก ฮิตาชิ)

ปัจจุบันฮิตาชิมีแหล่งผลิต 2 แห่ง คือ ไทย และ จีน ซึ่งสินค้าเกินกว่า 50% ผลิตในไทยนี้เอง เป็นสินค้าประเภทเครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น หม้อหุงข้าว ส่วนสำนักงานใหญ่มีทั้งหมด 8 ประเทศ แต่ตลาดใหญ่ที่สุดคือ ไทย และ จีน หากไม่นับประเทศญี่ปุ่น

ข้อมูลเดิม เมื่อปี 2561 ฮิตาชิเคยทำรายได้ในไทย 5,000 ล้านบาท และเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่ม “ตู้เย็น” มีมาร์เก็ตแชร์ 20% ส่วนตลาด “เครื่องซักผ้า” อยู่ในอันดับ 3 ถือเป็นสองสินค้าชูโรงของแบรนด์ นอกจากนี้จะมี “หม้อหุงข้าว” ที่ขายดีในตลาด โดยตัวแบรนด์จัดอยู่ในกลุ่มแบรนด์พรีเมียม ราคาเป็นตลาดกลางถึงสูง

หลังกระบวนการควบรวมกิจการเสร็จเรียบร้อยช่วงกลางปี 2564 ทำให้ขณะนี้ อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ พร้อมจะเปิดแผนกลยุทธ์หลังการควบรวมว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนไป และอะไรที่คงเดิมบ้าง

 

ไม่เปลี่ยนแบรนด์ + “ตู้เย็น” ยังเป็นฮีโร่โปรดักส์

“ซาแฟร์ อัสทูเนอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด เปิดเผยถึงอนาคตของบริษัทนี้ว่า บริษัทจะยังใช้ไทยเป็นฐานผลิตเช่นเดิมเพราะมีฐานผลิตขนาดใหญ่ใน จ.ปราจีนบุรี แรงงานไทยมีคุณภาพ และตลาดประเทศไทยก็ยังเติบโตได้เมื่อมองในระยะยาว แม้ว่าระยะสั้นยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจก็ตาม

อาร์เซลิก ฮิตาชิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
“ซาแฟร์ อัสทูเนอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด

รวมถึงแบรนด์ “ฮิตาชิ” ก็จะยังใช้แบรนด์เดิมต่อไป ไม่ได้รวมชื่อแบรนด์อาร์เซลิกเข้าไปด้วย เพราะฮิตาชิเป็นชื่อที่คุ้นหูและแข็งแรงอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องทำให้แบรนด์กลับมา “มีพลัง” มีการตอกย้ำแบรนด์บ่อยครั้ง

ขณะที่สินค้าชูโรงก็จะยังคงเป็น “ตู้เย็น” เพราะสินค้านี้ได้รับความเชื่อถือสูงมากในตลาด และจะยังระดับแบรนด์เกาะกลุ่มตลาดพรีเมียมต่อเนื่อง เหล่านี้คือสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนไปของฮิตาชิ

อาร์เซลิก ฮิตาชิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
“ตู้เย็น” เป็นสินค้าเรือธง ขายดีในกลุ่มพรีเมียม ตู้เย็นขนาดใหญ่ ตู้เย็น 3-4 ประตู

 

สินค้าต้องเยอะ

ในทางกลับกัน ซาแฟร์กล่าวว่า สิ่งที่เมื่อควบรวมแล้วจะทำให้พัฒนามากขึ้นคือ “การเพิ่มจำนวนสินค้า” และ “พัฒนานวัตกรรม-ดีไซน์” ให้ดีกว่าเดิม

หลังจากนี้จะได้เห็นฮิตาชิออกสินค้ารุ่นใหม่ถี่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อช่วงชิงตลาด ยกตัวอย่างปีนี้เพิ่งออก “เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย” น้ำหนักเบาเพียง 1.5 กิโลกรัม มีไฟส่องฝุ่น นอนราบได้ 180 องศา กระบอกเก็บฝุ่นที่เปิดทิ้งฝุ่นได้แบบไม่ต้องใช้มือสัมผัส เรียกว่าออกมาชนกับ ‘Dyson’ ในราคาที่ถูกกว่า เพราะขายในราคา 9,990 บาท

อาร์เซลิก ฮิตาชิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องดูดฝุ่นไร้สายตัวใหม่ล่าสุดของฮิตาชิ น้ำหนักเบาเพียง 1.5 กิโลกรัม

ในไลน์อัปสินค้าที่จัดแสดง ยังจะมี “เครื่องล้างจาน” และ “เครื่องซักผ้า-เครื่องอบผ้าแบบฝาหน้า” ที่เตรียมออกจำหน่ายเร็วๆ นี้ และซาแฟร์ยังแย้มว่าฮิตาชิจะมีสินค้าหลายประเภทกว่าเดิมนับตั้งแต่ปี 2566 เพราะสมัยนี้พฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย เป็นโอกาสของแบรนด์

สินค้าที่จะออกมามากขึ้น แน่นอนว่ามาจากการรวมทีมทั้งฝั่งญี่ปุ่นและตุรกี ซึ่งทำให้เทคโนโลยีและงานดีไซน์มีหลากหลายให้หยิบใช้กว่าเดิม จึงออกโปรดักส์ใหม่ได้เร็วกว่า

อาร์เซลิก ฮิตาชิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องล้างจาน กำลังจะออกสู่ตลาดเร็วๆ นี้

 

นวัตกรรม-ดีไซน์ต้องทันสมัย

อีกส่วนที่อาร์เซลิก ฮิตาชิจะเน้นมากขึ้นคือ “นวัตกรรม” และหลายนวัตกรรมจะชูโรงเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างนวัตกรรมที่มีในผลิตภัณฑ์แล้วและที่กำลังทดลอง เช่น

  • Autodosing นวัตกรรมในเครื่องซักผ้า ช่วยปริมาณน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มให้เหมาะสม (ปกติคนมักจะใช้มากเกินไป) ลดความสิ้นเปลือง ใช้น้ำน้อยลง ดีกับผิวผู้สวมใส่ และดีต่อสิ่งแวดล้อม
  • PET Tub การดักเอาเส้นใยที่หลุดออกจากเสื้อผ้าในเครื่องซักผ้ากลับมาใช้ใหม่ ส่งเสริมการรีไซเคิลเสื้อผ้า
  • ไส้กรองดักจับไมโครพลาสติกในเครื่องซักผ้า ไม่ให้หลุดปล่อยลงแหล่งน้ำ ทำลายสิ่งแวดล้อม
  • ตู้เย็นที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์จ่ายพลังงาน ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ลดค่าใช้จ่าย

ซาแฟร์ยังกล่าวถึง “ดีไซน์” ที่มองว่าควรจะเพิ่มความทันสมัยมากขึ้น เพราะอย่างไรงานดีไซน์สวยงามก็เป็นสิ่งแรกที่ทำให้ลูกค้าสนใจ ลองหยิบจับ เปิดดูแล้วรู้สึกสะดวกในการใช้งาน ก่อนที่จะเข้าถึงเรื่องเทคนิคของเครื่องใช้ไฟฟ้า

บริษัทยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเชิงตัวเลข แต่ความเปลี่ยนแปลงจากการควบรวมทำให้เห็นว่าบริษัทจะ ‘รุกหนัก’ แน่นอน!

]]>
1383353
“Beko” ขอชิงส่วนแบ่ง 10% “เครื่องซักผ้าฝาหน้า” ปี’65 เตรียมโหมตลาดแบบ “O2O” https://positioningmag.com/1360432 Thu, 04 Nov 2021 10:17:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360432
  • เบโค (Beko) แบรนด์น้องใหม่จากตุรกี หลังเข้าไทยมา 7 ปี คาดปีนี้ยังเติบโตมากกว่า 35% แม้เผชิญล็อกดาวน์ การรับรู้แบรนด์เพิ่มขึ้นเป็น 30%
  • ส่ง “เครื่องซักผ้าฝาหน้า” เทคโนโลยี AquaTech ลุยตลาด หวังสิ้นปีชิงส่วนแบ่งกลุ่มฝาหน้าได้ 10%
  • คาดตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปี 2565 จะดีขึ้นจากปีนี้หลังเศรษฐกิจฟื้นตัว บริษัทเน้นเร่งเครื่องยอดขายผ่านอีคอมเมิร์ซควบคู่กระจายจุดขายสินค้าให้ครอบคลุม
  • หลังเปิดตัวในไทยมาประมาณ 7 ปี Beko ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย “พรชัย ตระกูลเตชะเดช” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท เบโค (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อปี 2563 บริษัททำยอดขายเติบโต 55% ขณะที่ปีนี้ ช่วงครึ่งปีแรก 2564 บริษัทเติบโตถึง 65% แต่ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้คาดว่าจะเติบโต 35% เท่านั้น เนื่องจากมีช่วงที่คาบเกี่ยวกับช่วงล็อกดาวน์ ทำให้การขายสินค้าชะลอตัว แต่โดยรวมทั้งปีเชื่อว่ายอดขายจะเติบโตมากกว่า 35%

    พรชัยระบุว่า ขณะนี้ Beko เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า อันดับ 8 ในตลาด เน้นสินค้าระดับกลางจนถึงไฮเอนด์ แบ่งพอร์ตสินค้าหลักออกเป็น 40% กลุ่มตู้เย็น 30% กลุ่มเครื่องชักผ้า 15% กลุ่มเครื่องปรับอากาศ และ 15% เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในห้องครัว เช่น ไมโครเวฟ เตาอบ ตู้แช่ไวน์

    ตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์ Beko เทียบกับแบรนด์อื่นๆ

    เนื่องจากเป็นแบรนด์ใหม่จากตุรกีท่ามกลางเรดโอเชียนของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทย ทำให้ประเด็นสำคัญที่บริษัทผลักดันมาตลอดคือ “การสร้างการรับรู้แบรนด์” (Brand Awareness) ซึ่งปีนี้ดีขึ้น มีผู้บริโภครู้จัก Beko เพิ่มเป็น 30% เทียบกับปีก่อนมี 20% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องเร่งเครื่องต่อเนื่อง เพราะผู้นำตลาดที่อยู่ในไทยมานานหลายๆ แบรนด์มีผู้บริโภครู้จักมากกว่า 80%

     

    ลุย “เครื่องซักผ้า” เทคโนโลยีฝาหน้า “น้ำตก”

    ที่ผ่านมา Beko เน้นส่ง “ตู้เย็น” เป็นหัวหอกเจาะตลาดไทย โดยชูด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก ปีนี้ก็เช่นกัน มีการเปิดตัว ‘Hero Product’ เป็น “เครื่องซักผ้าฝาหน้า” เทคโนโลยีใหม่ AquaTech จุดเด่นอยู่ที่มีระบบปล่อยกระแสน้ำที่เหมือนน้ำตกลงบนผ้า ทำให้ผ้าซักทั่วถึงเร็วขึ้น ประหยัดเวลาการซัก 50% แต่ได้ความสะอาดเหมือนเดิม และการซักที่ใช้เวลาน้อยลงจะทำให้ถนอมผ้าได้มากขึ้นด้วย

    พรชัยกล่าวว่า อินไซต์ผู้บริโภคที่นำมาสู่เทคโนโลยีนี้ คือพบว่าผู้บริโภคที่ใช้เครื่องซักผ้าฝาหน้าจะมีความกังวลว่า ผ้าจะสะอาดไม่ทั่วถึง เนื่องจากเห็นน้ำผสมผงซักฟอกกองอยู่ด้านล่างของถังซัก การมีสายน้ำลงมาจากด้านบนน่าจะช่วยแก้ความกังวลให้กับผู้บริโภคได้

    โดยเครื่องซักผ้า AquaTech ผลิตเป็น 2 รุ่นตามขนาด คือขนาด 10.5 กก. และ 12.5 กก. เหมาะกับครอบครัวคนไทยที่อยู่กันหลายคน ต้องการเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่

    ปัจจุบัน Beko มีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดเครื่องซักผ้าฝาหน้าเป็น 6% วางเป้าจากการเปิดตัวเครื่องซักผ้าเทคโนโลยีใหม่ จะดันส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 10% ภายในสิ้นปี 2564

    นอกจากนี้ ยังได้อานิสงส์จากกระแส “เครื่องอบผ้า” ทำให้เครื่องอบผ้าของบริษัทขายดีขึ้น ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ 20% เป็นอันดับ 3 ของตลาด

    พรชัยยังมองภาพตลาดเครื่องซักผ้าในไทยว่า เป็นตลาดที่เติบโตขึ้นมากในระยะหลัง ข้อมูลปี 2562 พบว่าครัวเรือนที่มีเครื่องซักผ้าคิดเป็น 69% แล้ว เทียบกับในอดีตจะมีอยู่เพียง 30-40% แต่ก็ยังต่ำกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่อื่นๆ ที่อัตราการเข้าถึงครัวเรือนสูงกว่า เช่น ตู้เย็น 91% ทีวี 95%

     

    เร่งตลาด “อีคอมเมิร์ซ” ควบคู่จุดจำหน่าย

    สำหรับภาพตลาดปี 2565 พรชัยมองว่ากำลังซื้อน่าจะดีกว่าปีนี้ เพราะเศรษฐกิจน่าจะเริ่มฟื้นตัว หลังไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และธุรกิจที่เคยถูกล็อกดาวน์ เช่น ร้านอาหาร ผับ บาร์ อีเวนต์ น่าจะกลับมาเปิดได้เต็มที่มากขึ้น โดยคาดหวังว่าจะไม่มีการระบาดหนักรอบใหม่จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอีก เนื่องจากไทยมีอัตราฉีดวัคซีนสูงขึ้นเรื่อยๆ

    “พรชัย ตระกูลเตชะเดช” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท เบโค (ไทย) จำกัด

    ส่วนเทรนด์ตลาดที่น่าสนใจจะเกี่ยวกับช่องทางจำหน่าย โดยปีนี้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยมีการขายผ่านอีคอร์มเมิร์ซถึง 17% เทียบกับปี 2563 ที่มีสัดส่วนอยู่ 10%

    อย่างไรก็ตาม Beko มีสัดส่วนจำหน่ายผ่านออนไลน์เพียง 3% เท่านั้น สาเหตุจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความเป็นแบรนด์น้องใหม่ ทำให้ผู้ซื้อออนไลน์ยังไม่รู้จัก และไม่มีพนักงานขายคอยแนะนำจูงใจเหมือนกับ ณ จุดจำหน่ายตามห้างร้านต่างๆ ตัวบริษัทเองเริ่มทำตลาดออนไลน์มาเพียง 2 ปี อัตราเข้าถึงผู้บริโภคไม่สูง

    รวมถึงการเน้นตลาดพรีเมียมของ Beko ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อออนไลน์ยากกว่า เนื่องจากปกติแนวโน้มการซื้อออนไลน์มักจะมี basket size ต่ำกว่าออฟไลน์ 15% ผู้บริโภคเน้นซื้อสินค้าระดับพื้นฐาน ราคาไม่สูง

    ดังนั้น กลยุทธ์ของ Beko ต่อไปจะบุกออนไลน์ควบคู่กับออฟไลน์แบบ O2O ขยายจุดจำหน่ายให้มากขึ้นเพื่อให้แบรนด์ได้แนะนำสินค้า ขณะที่ช่องทางออนไลน์ก็พร้อมตอบสนองเมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อภายหลัง

    สำหรับประเด็นโครงสร้างการทำงานของบริษัทที่อาจเปลี่ยนไป เนื่องจากเมื่อต้นปีนี้มีข่าวว่า Archelik (อาเชลิค) บริษัทแม่ของแบรนด์ Beko ในตุรกี ได้เข้าซื้อธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในต่างประเทศของ “Hitachi” (ฮิตาชิ) โดยดีลนี้จะทำให้ Archelik ถือหุ้น 60% และ Hitachi 40% จุดประสงค์เพื่อให้ Archelik เป็นผู้บริหารการผลิต จำหน่าย ดูแลหลังการขายกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในตลาดต่างประเทศของ Hitachi ทั้งหมด ซึ่งจะรวมถึงโรงงานของ Hitachi สองแห่งในไทยและจีนด้วย

    ต่อประเด็นนี้ พรชัยกล่าวว่าน่าจะมีการแถลงข่าวอีกครั้งต้นปี 2565 ว่าทั้งสองบริษัทจะมีการ synergy กันอย่างไร แต่ขณะนี้ยังถือเป็นการดำเนินงานแยกจากกันอยู่

    ]]>
    1360432
    “ไฮเออร์” ขอลุยร้านสะดวกซัก นำร่อง “Mr.Hi Smart+ by Haier” ซอยวิภาวดี 16 https://positioningmag.com/1292981 Mon, 17 Aug 2020 16:27:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292981 ไฮเออร์ เดินหน้าขยายธุรกิจด้วยการเปิดร้านซักผ้าอัจฉริยะ 24 ชั่วโมง “Mr.Hi Smart+ by Haier” (มิสเตอร์ ไฮ สมาร์ท พลัส บาย ไฮเออร์) สาขาแรกที่ซอยวิภาวดี 16 โดยร่วมมือกับบริษัท ดีที นิว เอ็นเนอร์จี้ จำกัด เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ และชุมชนใกล้เคียง

    จับตาร้านสะดวกซัก

    กลายเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างหนักสำหรับ “ร้านสะดวกซัก” หรือร้านซักผ้าที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ตอนนี้มีหลายแบรนด์เข้ามาทำตลาด และยังขยายไปยังหลายโลเคชั่นทั่วประเทศไทย

    ล่าสุดแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ขอกระโดดลงมาจัดตลาดนี้กับเขาบ้าง “ไฮเออร์” ได้นำร่องเปิดร้าน “Mr.Hi Smart+ by Haier” สาขาแรกที่ซอยวิภาวดี 16

    จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

    วางแผนเปิดทั้งหมด 50 สาขาภายในปีนี้ ผ่านดีลเลอร์ผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า และแฟรนไชส์ และตั้งเป้าขยายสาขาให้ถึง 200 สาขาภายใน 2 ปี ซึ่งในปี 2563 นี้ จะเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก แล้วจึงเริ่มขยายไปยังจังหวัดหัวเมืองใหญ่ในปีถัดไป

    จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า

    “สมาร์ท พลัส บาย ไฮเออร์ คือ ร้านซักผ้า 24 ชั่วโมง ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3C ‘Clean, Care, Convenience’ ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่โดยทำให้การซักผ้าสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้สามารถควบคุมการใช้งานทั้งหมดผ่านแอปพลิเคชัน Smart Plus ของไฮเออร์”

    Mr.Hi Smart+ by Haier

    สำหรับ Mr.Hi Smart+ by Haier สาขาแรกมีพื้นที่ 50 ตารางเมตร ภายในร้านมีบริการเครื่องซักผ้าขนาด 12 กิโลกรัม จำนวน 6 เครื่อง เครื่องอบผ้าขนาด 12 กิโลกรัม จำนวน 6 เครื่อง เครื่องขายน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มจำนวน 1 เครื่อง และระบบกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัยที่ครบครัน รวมงบลงทุนกว่า 3 ล้านบาท

    โดยทางไฮเออร์ได้พัฒนาเครื่องซัก และเครื่องอบผ้าที่ควบคุมการใช้งานด้วยแอปพลิเคชันเต็มรูปแบบ 100% และมีรูปแบบการชำระค่าบริการผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ แอปพลิเคชัน Smart Plus เติมเงินได้หลายช่องทาง เช่น Prompt Pay, Counter Service, Rabbit Line Pay, TrueMoney Wallet, Alipay, WeChat, บัตรเครดิตและเดบิต เพื่อช่วยลดการสัมผัสกับตัวเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ

    ]]>
    1292981
    เจาะกลยุทธ์ ‘ไฮเออร์’ ผู้เขย่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยแคมเปญ ‘แอร์เติมเงิน’ กับเป้าหมายขึ้นเบอร์ 1 ใน 3 ปี https://positioningmag.com/1289165 Thu, 23 Jul 2020 11:02:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289165 ครึ่งปีแรกก็สามารถเติบโตถึง 31% เรียกได้ว่าสวนกระแสวิกฤติ Covid-19 ดังนั้น ‘ไฮเออร์’ (Haier) จึงมั่นใจในแผนดำเนินงานในครึ่งปีแรก โดยพร้อมจะสานต่อแผนในครึ่งปีหลังทันที โดยเฉพาะโครงการ “เย็นดีแค่ 4 บาท” ที่ให้ทุกคนสามารถติดแอร์ที่บ้านได้ โดยคิดค่าใช้จ่ายที่ 4 บาท/ต่อชั่วโมง เมื่อใช้ครบ 5,200 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาสัญญา 3 ปี รับเครื่องปรับอากาศฟรี ที่ถือเป็นแคมเปญที่ประสบความสำเร็จและเรียกเสียงฮือฮาในตลาดอย่างมาก

    มั่นใจรายได้ทะลุ 6,000 ล้านบาท โต 38%

    ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่า 6.9 หมื่นล้านบาท ติดลบประมาณ 5-10% ถือว่าไม่ได้โดนกระทบจาก Covid-19 มากเท่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและภาคบริการ ขณะที่ปัจจุบันไฮเออร์มีส่วนแบ่งตลาด 12% ครองเบอร์ 3 และในช่วงครึ่งปีแรกไฮเออร์สามารถเติบโตถึง 31% ทำรายได้ 3,500 ล้านบาท และคาดว่าครึ่งปีหลังจะเติบโตไม่น้อยกว่า 34% เป็น 2,630 ล้านบาท ดังนั้นจึงมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะทะลุ 6,212 ล้านบาท เติบโตรวม 38% ตามที่ตั้งเป้าไว้

    โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ตลาดแอร์มีมูลค่า 27,000 ล้าบาท เติบโต 6% โดยไฮเออร์เติบโต 23% มีสัดส่วน 12% เป็นเบอร์ 3, ตลาดตู้เย็นมี 13,000 ล้านบาท ติดลบ 3% แต่ไฮเออร์เติบโต 50% มีสัดส่วน 9.5% เป็นเบอร์ 6, ตลาดเครื่องซักผ้า 13,000 ล้านบาท ติดลบ 4% ไฮเออร์เติบโต 75% มีสัดส่วน 10% ขึ้นเป็นเบอร์ 3 และ ตลาดตู้แช่ 4,700 ล้านบาท โต 3% ไฮเออร์โต 43% มีสัดส่วน 12%

    “ปัจจัยที่ทำให้เราเติบโตได้ในครึ่งปีแรกมองว่ามาจากเรามีการเตรียมตัวก่อนเกิด Covid-19 ในแง่ผลิตภัณฑ์ มีการวางแผนซับพลายสินค้าไม่ให้ขาด เพราะเรามองว่าเป็นโอกาส ขณะที่แบรนด์อื่นเบรกจะซับพลายสินค้า” จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

    จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

    สานต่อแผนเดิม พร้อมดันตลาดกลาง-บน

    เนื่องจากแผนงานช่วงต้นปีสำเร็จตามเป้า ดังนั้นมองว่าสามารถนำมาปรับต่อได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยจะเริ่มจากการสานต่อโครงการ “เย็นดีแค่ 4 บาท” โดยที่ผ่านมามีผู้ที่สนใจเกือบ 1 หมื่นคน และในเดือนกรกฎาคมคาดว่าจะติดตั้ง 1,000 เครื่อง และในปีหน้าจะขยายไปที่ BTU อื่น ๆ รวมถึงโปรดักส์อื่น ๆ รวมถึงผลักดันตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมาเติบโตจากปกติเกือบ 400% ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 12% ของยอดขายทั้งหมด

    ในปีนี้ ไฮเออร์ได้วางงบการตลาดไว้ 170 ล้านบาท อีกทั้งจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยจะเน้นที่สินค้ากลุ่ม IoT เพราะหลายแบรนด์พูดถึง แต่ยังไม่มีผู้เล่นรายไหนทำตลาดจริงจัง และจากนี้จะเน้นสินค้ากลุ่มกลาง-บน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนจากกลุ่มนี้ที่ 30% เป็น 50% และจะเพิ่มทีมเซลล์จาก 100 คนเป็น 120 คน ส่วนตัวแทนจำหน่ายจาก 700 รายเป็น 850 ราย

    “เราต้องการขายสินค้าที่มีแวร์ลู่มากขึ้น เพราะความต้องการของผู้บริโภคไม่ได้เติบโตตาม แต่เขาพร้อมจะจ่าย หากสินค้ามีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ ส่งผลให้ตลาดพรีเมียมเติบโตประมาณ 15% ดังนั้น แผนครึ่งปีแรกกับครึ่งปีหลังคงไม่ต่างมาก ไม่ว่าจะรุกอีคอมเมิร์ซ พยายามโปรโมทสินค้ากลุ่ม IoT โดยพยายามทำให้ตัวแทนจำหน่ายและผู้บริโภคทำความเข้าใจในสินค้ามากขึ้น มีการวางดิสเพลย์สินค้าเหล่านี้มากขึ้น” 

    ตั้งเป้า 3 ปี ขึ้นเบอร์ 1 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า

    ไฮเออร์วางเป้าหมายระยะยาวในไทยภายใน 3 ปี จากนี้จะต้องขึ้นเป็นผู้นำตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยให้ได้ด้วยยอดขายรวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยอีกจุดแข็งที่ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสร้างการเติบโตได้คือ การมีโรงงานผลิตในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นส่วน R&D ที่ทำให้บริษัทเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคไทย โดยปัจจุบัน โรงงานดังกล่าวได้ซับพอร์ตทั้งจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ดังนั้น บริษัทจะสามารถนำสินค้าอื่น ๆ มาเสริมทัพได้ในอนาคต

    ]]>
    1289165
    ซัมซุงเผยโฉมเครื่องใช้ไฟฟ้ายุค IoT ใน ‘ซัมซุง ฟอรัม 2018’ https://positioningmag.com/1156289 Fri, 09 Feb 2018 05:48:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1156289 ซัมซุง ตอกย้ำวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ของในการส่งมอบประสบการณ์ IoT (อินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง) จากบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องดูดฝุ่น ภายในงานซัมซุง ฟอรัม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ประจำปี พ.ศ. 2561 (Samsung Forum 2018)

    โดยซัมซุงได้เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ ในการเชื่อมต่อประสบการณ์ของผู้บริโภคเข้ากับดีไวซ์ต่างๆ ของซัมซุง พร้อมการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อีกหลายรุ่น ทั้งตู้เย็นแฟมิลี่ ฮับ (Family Hub) เจนเนอเรชั่นใหม่, เครื่องซักผ้าเทคโนโลยี QuickDrive รวมถึงเครื่องดูดฝุ่นแบบไร้สาย POWERstick PRO ไปจนถึงซาวด์บาร์ (Soundbar) ที่ให้เสียงรอบทิศทาง

    นายซังชุล ลี (สตีฟ) ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย กล่าวว่า ซัมซุงเชื่อมั่นว่าการใช้งาน IoT ควรจะเป็นเรื่องง่ายแค่เหมือนการเปิดสวิตช์ โดยซัมซุงจะเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม และส่งมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ใช้ชีวิตได้ง่ายและมีคุณภาพที่ดีกว่าเดิม

    ***พัฒนาแอป SmartThings ควบคุม IoT ผ่านทีวี

    เพื่อยกระดับประสบการณ์การรับชมทีวีของผู้บริโภค ซัมซุงได้แนะนำแอปสมาร์ทธิงส์ (SmartThings App) สำหรับสมาร์ททีวี รุ่นปี 2018 ที่จะเปลี่ยนทีวีให้กลายเป็นศูนย์กลางหรือแดชบอร์ด (Dashboard) สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ภายใต้อุปกรณ์ IoT ของซัมซุง ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมดีไวซ์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ผ่านจอโทรทัศน์

    นอกจากนี้ ซัมซุงยังเปิดตัวไลฟ์สไตล์ซาวด์บาร์แขวนผนังระดับพรีเมียม “NW700 Sound+” เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากรุ่น “MS650 Sound+” ด้วยฟีเจอร์เพิ่มคุณภาพเสียง และดีไซน์ที่เพรียวบาง และโฉบเฉี่ยว เหมาะสำหรับการแขวนติดผนังคู่กับโทรทัศน์ที่มีขนาดบางเป็นพิเศษจากซัมซุง

    ในขณะที่ซาวด์บาร์รุ่น “N650” มาพร้อมเทคโนโลยี “Samsung Acoustic Beam” เอกสิทธิ์เฉพาะของซัมซุงที่มอบเสียงรอบทิศทางแบบพาโนราม่า เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์และเพลิดเพลินไปกับการเล่นเกม

    ***เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ฉลาดขึ้น

    ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็นแฟมิลี่ ฮับ (Family Hub) เจนเนอเรชันใหม่ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นจากงานคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ โชว์ ปีนี้ (2018 CES Best of Innovation Award) ที่นำเสนอฟีเจอร์ อย่างการซิงค์ข้อมูลการจัดเก็บอาหารเข้ากับการจัดเตรียมมื้ออาหาร

    อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางความบันเทิงประจำบ้านที่มีประสิทธิภาพ ตู้เย็นในกลุ่มแฟมิลี่ ฮับ ยังมีความอัจฉริยะมากขึ้นและตอบสนองการใช้งานได้ดีกว่าเดิม ด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Bixby ซึ่งควบคุมดีไวซ์ต่างๆ ผ่านสมาร์ทธิงส์

    พร้อมกับเปิดตัว QuickDrive เทคโนโลยีเครื่องซักผ้าที่มุ่งปฏิวัติด้วยการช่วยลดระยะเวลาการซักผ้าปริมาณมากของผู้บริโภคลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง โดยนอกจากเทคโนโลยี QuickDrive เครื่องซักผ้า WW7800M ยังรองรับเทคโนโลยี IoT และระบบผู้ช่วยการซักผ้าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) Q-rator ที่ช่วยบริหารจัดการการซักผ้าให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น

    สุดท้าย เครื่องดูดฝุ่นแบบไร้สายรุ่นใหม่ POWERstick PRO ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงด้วยพลังดูดระดับที่สูงที่สุดในตลาด มาพร้อมการออกแบบที่ทันสมัย เหมาะสมต่อการใช้งานเพื่อความสะดวกสบายสูงสุดของผู้ใช้งาน.

    สนับสนุนข่าวโดย : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000013363

    ]]>
    1156289