เงินดิจิทัล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 07 Sep 2021 12:50:29 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Binance’ เเพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตฯ ยักษ์ใหญ่ เข้ม ‘ตรวจสอบ’ ลูกค้ามากขึ้น สกัดฟอกเงิน https://positioningmag.com/1348021 Sun, 22 Aug 2021 11:19:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348021 หลังเผชิญความกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก ‘Binance’ เเพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินคริปโตฯ รายใหญ่ ประกาศเพิ่มความเข้มงวดในการ ‘ตรวจสอบประวัติ’ ลูกค้ามากขึ้น เพื่อต่อต้านการฟอกเงิน โดยจะมีผลบังคับใช้ทันที

ที่ผ่านมา ‘Binance’ ต้องเจอคำเตือนและการเฝ้าระวังจากหน่วยงานทางการเงินของทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนีเเละญี่ปุ่น เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับการเเลกเปลี่ยนสกุลเงิน ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ ที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงิน มีความเสี่ยงต่อผู้บริโภค

Binance เป็นเเพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินคริปโตฯ รายใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีบริษัทเเม่จดทะเบียนที่หมู่เกาะเคย์แมน มีท่าทีจะสานสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ โดยเริ่มลดการเสนอขายผลิตภัณฑ์ รวมถึงโทเคนที่เชื่อมโยงกับหุ้น

Janet Yellen รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และ Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูง ที่เเสดงความกังวลเกี่ยวกับการฟอกเงินในตลาดคริปโตฯ โดยเฉพาะบนเเพลตฟอร์มของ Binance

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า Binance ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายต่อต้านการฟอกเงิน และต่อต้านการเงินของกลุ่มก่อการร้าย

ทาง Binance จึงมีการยกระดับมาตรการตรวจสอบลูกค้าให้เข้มงวดมากขึ้น โดยผู้ใช้บริการจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้ ส่วนผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว จะสามารถใช้บริการได้เพียงถอนเงิน ยกเลิกคำสั่งซื้อ และปิดสถานะการลงทุนเท่านั้น โดยตอนนี้ มีเพียงการตรวจสอบ ID ผู้ใช้ซึ่งต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ หรือหนังสือเดินทาง

Changpeng Zhao ซีอีโอของ Binance เเถลงว่า บริษัทตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลมากขึ้น เพื่อปรับปรุงมาตรฐานระดับโลก

อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายบางคน สงสัยว่าเพิ่มมาตรการตรวจสอบผู้ใช้นี้ จะทำให้หน่วยงานกำกับดูแลยอมผ่อนคลายการเฝ้าระวังลงหรือไม่ โดยให้ความเห็นว่า

มันเป็นคำแถลงทางการตลาดที่ดี แต่จากมุมมองของหน่วยงานกำกับดูแลนั้นยังไม่เพียงพอ

เนื่องจาก Binance ดำเนินการตรวจสอบตามความสมัครใจของผู้ใช้ ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลไม่ทราบว่าพวกเขามีอำนาจควบคุมการตรวจสอบตัวตนหรือไม่ และไม่มีใครสามารถตรวจสอบว่าพวกเขากำลังดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่

ข้อมูลจาก CryptoCompare ระบุว่า Binance มีปริมาณการซื้อขายในเดือนก..ที่ระดับ 455 ล้านดอลลาร์ ลดลงเกือบ 1 ใน 3 จากเดือนมิ.หลังจากตลาดคริปโตฯ ชะลอตัวลง แต่ก็ยังคงเป็นเเพลตฟอร์มที่มีปริมาณการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก

 

ที่มา : Reuters , Economictimes 

]]>
1348021
กางเเผน ‘เอ็กซ์สปริง’ ขอลุย ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ รับตลาดโตเร็ว เปิดลงทุนเเบบ One Stop Service https://positioningmag.com/1347432 Wed, 18 Aug 2021 11:58:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1347432 เปิดเเผนธุรกิจ ‘เอ็กซ์สปริง‘ หลังมีเงินทุนหมื่นล้าน ขอลุย ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เต็มสูบ ปั้นเป็น New S-curve รับตลาดโลกขยายตัว พัฒนาแพลตฟอร์มให้ลงทุนเเบบ One Stop Service ได้เเทบทุกผลิตภัณฑ์ ประเดิมขายโทเคนดิจิทัล ‘สิริฮับ’ ก.ย.นี้

เอ็กซ์สปริงขยับมูฟใหม่อีกครั้งในปีนี้ หลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG เเละระดมทุนได้ 7,111 ล้านบาท รวมถึงการจับมือร่วมลงทุนกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ฝั่งอสังหาฯอย่างแสนสิริ

ปัจจุบัน เอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจการเงิน เเบ่งเป็น 1) ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัท หลักทรัพย์กรุงไทยซีมิโก้ จำกัด 2) ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็กซ์สปริงจำกัด 3) ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์เอ็กซ์สปริงเอเอ็มซี จำกัด 4) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริงดิจิทัล จำกัดเเละ 5) ธุรกิจจัดการเงินลงทุน

ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้ ทำให้เอ็กซ์สปริงมีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท บวกสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท รวมกันเเล้วเอ็กซ์สปริงมีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท

ความเคลื่อนไหวสำคัญที่ต้องจับตามองคือ บริษัทกำลังเดินหน้าขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจเพิ่มอีก 4 ใบอนุญาต ได้แก่ นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Private fund Management) และใบอนุญาตในการเป็นตัวแทนขายกองทุนรวม (LBDU)

เราจะสร้างระบบนิเวศการลงทุนของบริษัทให้สมบูรณ์มากที่สุด เพื่อเป็น One Stop Service ให้ลูกค้า โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในสิ้นปีนี้ หรือย่างช้าในต้นปี 2565″ 

วาง ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เป็น New S-curve

สำหรับเงินทุนก้อนใหญ่ที่ได้มานั้น บริษัทชี้เเจงว่า จะนำไปพัฒนาธุรกิจในส่วน ธุรกิจดิจิทัล เพื่อมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน 

อีกส่วนคือ ธุรกิจปัจจุบัน เพื่อขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) ขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

“ปีนี้เราวางแผนรุกธุรกิจครั้งใหญ่สู่การเป็น Digital Financial Service เปลี่ยนธุรกิจการเงินเดิมๆ สู่นวัตกรรมการเงิน โดยตั้งเป้าหมายว่า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็น New S-curve ที่ช่วยสร้างการเติบโตใหม่ของบริษัท เสริมกับธุรกิจดั้งเดิม” 

ระเฑียร สรุปจุดแข็งของบริษัท เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด คือ  “พันธมิตร- เงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมี 17 Licenses ในมือ” โดยเป็นพาร์ตเนอร์ที่มีความชำนาญในอุตฯ ของตัวเอง อย่างในวงการอสังหาริมทรัพย์คือ บมจ.แสนสิริ (SIRI) วงการประกันภัยคือ บมจ.วิริยะประกันภัย และ เอเลเวตเท็ด รีเทิร์นส์ (Elevated Returns) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารหลักทรัพย์ วางโครงสร้างทางการเงิน และควบรวมกิจการ

“เราจะเติบโตด้วยบทบาทของการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ มุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชันในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) สร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนมนุษย์ (Human Capital)”

นอกจากนี้ จะต่อยอดพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วย

เตรียมเปิดลงทุนเงินดิจิทัลครบวงจร นำร่องด้วย ‘สิริฮับ’

สำหรับเทรนด์การเติบโตของ ธุรกิจการเงินดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ล่าสุดมีมูลค่าถึง 40 ล้านล้านบาท หรือราว 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ 

ด้วยโอกาสนี้ เอ็กซ์สปริง จึงวางเเผนการเติบโตไปพร้อมตลาดโลกผ่านสินทรัพย์ที่จะมาแทนที่เงินสกุลต่างๆ เช่น คริปโทเคอเรนซี่ และการซื้อขายทองคำผ่านระบบดิจิทัล

โดยที่ผ่านมา ตลาดบิตคอยน์เติบโตกว่า 24 ล้านล้านบาท (8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ) รวมทั้งตลาดแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และ Decentralized Finance ที่มีขนาดกว่า 11.7 ล้านล้านบาท (3.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) และ 1.35 ล้านล้านบาท (45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ ส่วน Utility Token และ Security Token ก็ยังเป็นการเงินดิจิทัลที่มีการเติบโตสูงเช่นกัน ด้วยขนาดตลาดในปัจจุบันที่สูงถึง 1.95 ล้านล้านบาท (64,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)

ทั่วโลกยังนำโทเคนดิจิทัลและระบบบล็อคเชนมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อย่างโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น ทอง ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

“เมื่อเราได้ไลเซ่นส์ครบ ลูกค้าจะสามารถเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ได้เเทบทุกอย่างในที่เดียว ไม่ใช่เฉพาะหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคน เท่านั้น โดยเอ็กซ์สปริงจะทำแพลตฟอร์มในรูปแบบ Open Architecture” 

บริษัทกำลังเตรียมเสนอขายผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลผลิตภัณฑ์แรก คือ โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ‘สิริฮับ’ (SiriHub Investment Token) คาดจะเปิดขายในเดือนก.ย. นี้  ต่อมาจะเปิดนักลงทุนสามารถซื้อขายโทเคนดิจิทัลของ บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท โดยใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10 บาทต่อเหรียญ

สำหรับผลประกอบการของ ‘เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล’ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีรายได้รวม ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ อยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 791% โดยทางผู้บริหาร คาดว่าบางธุรกิจมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ได้ในช่วงกลางปีหน้า

 

]]>
1347432
จีนเตรียมเเจก ‘สกุลเงินดิจิทัล’ 10 ล้านหยวน ให้ประชาชน ‘ทดลองใช้ฟรี’ ในเทศกาลตรุษจีน https://positioningmag.com/1318625 Tue, 09 Feb 2021 11:11:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318625 รัฐบาลจีน เตรียมมอบสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางให้ประชาชน 5 หมื่นคนได้ทดลองใช้คนละ 200 หยวน (ราว 930 บาท) สามารถนำไปซื้อของตามร้านค้าที่กำหนด หรือช้อปปิ้งออนไลน์บนอีมาร์เก็ตเพลสอย่าง JD.com ในช่วงเทศกาลตรุษจีน

กรุงปักกิ่ง ประกาศว่า จะแจกสกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) ของธนาคารกลาง ให้กับประชาชนที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 5 หมื่นคน คนละ 200 หยวน หรือประมาณราว 930 บาท โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 10 ล้านหยวน หรือราว 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (45 ล้านบาท) เพื่อทดลองใช้ซื้อของได้จริงในช่วงเทศกาลตรุษจีน

การทดลองใช้เงินดิจิทัลของจีนครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางจีน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองใช้ที่เมืองเซินเจิ้นและซูโจว เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

โดยผู้ที่ได้รับสกุลเงินดิจิทัล สามารถนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าได้ตามร้านค้าที่กำหนด หรือบนอีมาร์เก็ตเพลส JD.com ได้ตั้งแต่ช่วงเทศกาลตรุษจีนวันที่ 10-17 กุมภาพันธ์ 2021

ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกให้ใช้สกุลเงินดิจิทัล จะต้องเป็นผู้ที่มีเลขประจำตัวประชาชนของจีน หรือผู้ที่ได้รับอนุญาตในการพำนักที่ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเก๊า

ธนาคารกลางจีนกำลังพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล ที่สามารถโอนจ่าย ซื้อของได้จริงผ่านเเอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน คล้ายๆ กับการใช้งานในเเอปฯ ของเอกชนอย่าง Alipay ของอาลีบาบา และ Wechat pay ของ Tencent ซึ่งเป็นวิธีการจ่ายเงินที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในจีนนิยมใช้มานานหลายปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางจีนนี้ จะไม่เหมือนกับสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ในตลาดโลกอย่าง Bitcoin หรือ dogecoin เพราะธนาคารกลางจีนจะเป็นผู้คุมอำนาจทั้งหมด แทนที่จะกระจายอำนาจให้ผู้ใช้เหมือนรูปเเบบสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ

โดยล่าสุด ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีทั่วโลกคึกคักต่อเนื่อง หลังอีลอน มัสก์’ มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลก สร้างกระเเสใหญ่ นำ Tesla เข้าซื้อซื้อสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ด้วยมูลค่ากว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.5 หมื่นล้านบาท) พร้อมประกาศว่า Tesla จะเปิดรับการชำระเงินด้วย Bitcoin สำหรับชำระค่าสินค้าของบริษัท ซึ่งสินค้าเด่นๆ ของ Tesla ในปัจจุบัน ได้แก่ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ ฯลฯ

ถ้าหากทำได้จริง Tesla จะกลายเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ ‘รายแรก’ ที่รับชำระค่าสินค้าด้วยสกุลเงินดิจิทัล

การประกาศเข้าซื้อ Bitcoin ครั้งนี้ ส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ทำให้เกิดแรงซื้อแรงขายเหรียญดิจิทัลทั่วโลก โดยหลังจากข่าวนี้เผยเเพร่ออกไปทำให้ราคาของ Bitcoin (ณ วันที่ 8 .. เวลา 20.27 เวลาไทยขยับขึ้นกว่า 13% มีมูลค่าถึง 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 BTC (มากกว่า 1.3 ล้านบาททำระดับสูงสุดใหม่ ‘All Time High’ 

 

ที่มา : CNBC , SCMP

 

]]>
1318625
ราคา Bitcoin ทุบนิวไฮรอบใหม่ ทะลุ 1.3 ล้านบาท รับกระเเส ‘อีลอน มัสก์’ นำ Tesla ทุ่มเงินเข้าซื้อ https://positioningmag.com/1318495 Mon, 08 Feb 2021 16:39:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318495 อีลอน มัสก์มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลก สร้างกระเเสใหญ่ให้วงการเงินดิจิทัลต่อเนื่อง หลังออกตัวหนุน
สกุลเงินดิจิทัล Bitcoin และ dogecoin จนทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ล่าสุดนักลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี นั่งไม่ติดกันอีกครั้ง เมื่อ Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดาวรุ่งที่มีอีลอน มัสก์นั่งเเท่นซีอีโอ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (NASDAQ) ณ วันที่ 8 .. เพื่อขออนุมัติเข้าซื้อสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin ด้วยมูลค่ากว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.5 หมื่นล้านบาท) โดยระบุเหตุผลว่าต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยง เเละเพื่อให้เงินสดของบริษัทสร้างผลตอบแทนสูงสุด

ประเด็นที่เป็นฮือฮามากในครั้งนี้ คือ Tesla เตรียมจะเปิดรับการชำระเงินด้วย Bitcoin สำหรับชำระค่าสินค้าของบริษัท ซึ่งสินค้าเด่นๆ ของ Tesla ในปัจจุบัน ได้แก่ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ ฯลฯ

ถ้าหากทำได้จริง Tesla จะกลายเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่รายแรกที่รับชำระค่าสินค้าด้วยสกุลเงินดิจิทัล

การประกาศเข้าซื้อ Bitcoin ครั้งนี้ ส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ทำให้เกิดแรงซื้อแรงขายเหรียญดิจิทัลทั่วโลก

โดยหลังจากข่าวนี้เผยเเพร่ออกไปทำให้ราคาของ Bitcoin (ณ วันที่ 8 ก.พ. เวลา 20.27 . เวลาไทย) ขยับขึ้นกว่า 13% มีมูลค่าถึง 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 BTC  (มากกว่า 1.3 ล้านบาท) ทำระดับสูงสุดใหม่ หรือที่เรียกว่า ‘All Time High’ ส่วนราคาหุ้นของ Tesla ก็มีการตัวขึ้นกว่า 2% ในช่วงก่อนเปิดตลาดหุ้นในนิวยอร์กด้วยเช่นกัน

ด้านหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ เเสดงความกังวลถึงเรื่องการทำธุรกรรมดังกล่าวว่า อาจจะมีการเเอบแฝงดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้เหมือนธุรกรรมปกติ จึงจะมีการเร่งตรวจสอบต่อไป

ก่อนหน้านี้ PayPal ยักษ์ใหญ่วงการ E-Payment ของสหรัฐฯ ประกาศว่า ในปี 2021 บริษัทพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมารองรับการซื้อขาย Bitcoin เเละสกุลเงินคริปโตฯ อื่นๆ มากขึ้น พร้อมตั้งเป้าจะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินคริปโตฯ ในการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกที่เป็นพันธมิตรกว่า 26 ล้านเเห่ง

นักวิเคราห์มองว่า การที่ตลาดคริปโตฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัจจัยโดยหลัก ๆ น่าจะมาจาก ’วิกฤตเศรษฐกิจ’ ที่ได้รับผลกระทบจากเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ความกังวลเกิดขึ้นทั้งภาวะเงินเฟ้อ เเละค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง

ประกอบกับ กระแสตอบรับที่คึกคักจากกลุ่มบริษัทฟินเทค และการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ในตลาด ซึ่งเเตกต่างจากการดีดตัวของ Bitcoin เมื่อครั้งปี 2017 ที่ส่วนใหญ่เป็นกระเเสจากรายย่อย

ขณะเดียวกัน ก็มีการเตือนว่า การที่ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นมากกว่า 300% ในปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากฟองสบู่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งอาจเกิดจากนักลงทุนที่ไล่ตามแรงเหวี่ยงของสกุลเงินนี้

คลิกอ่าน : จับกระเเสตลาดคริปโตฯ 2021…ทำไมราคา ‘Bitcoin’ พุ่งปรี๊ดเเตะ 1 ล้านบาท

 

 

ที่มา : CNBC , theguardian 

]]>
1318495
LINE คว้าไลเซนส์ Cryptocurrency จากรัฐบาลญี่ปุ่น บริการ BitMax ซื้อขาย 5 สกุลเงินดิจิทัล https://positioningmag.com/1245857 Tue, 10 Sep 2019 05:00:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1245857 นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ ไลน์ (LINE) ยักษ์ใหญ่บริการส่งข้อความสัญชาติญี่ปุ่นคว้าชัยได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างถูกกฎหมาย ถือเป็นการแตกสายธุรกิจสู่ตลาดที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต

หน่วยงานบริการด้านการเงินของญี่ปุ่น (Financial Services Agency) หรือ FSA ประกาศมอบใบอนุญาตให้แก่หน่วยธุรกิจบล็อกเชนของ LINE ในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การอนุมัตินี้จะทำให้ LINE สามารถให้บริการซื้อขายเงินดิจิทัลหรือเงินคริปโตฯ (cryptocurrency) แก่ผู้ใช้กว่า 80 ล้านคนที่อาศัยในญี่ปุ่นได้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ LINE เป็นข่าวเกี่ยวกับเงินคริปโตฯ เพราะหากย้อนกลับไปในเดือนมิ.ย. 2562 มีรายงานว่า LINE กำลังจะได้รับใบอนุญาตสำหรับแพลตฟอร์มเงินดิจิทัลของตัวเองที่ชื่อว่าบิตแม็กซ์ (BitMax) ในญี่ปุ่น โดยปัจจุบัน LINE พัฒนาแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมาใหม่เป็นแพลตฟอร์มที่สอง ทำให้มีการเปิดตัวบริการชื่อบิตบ็อกซ์ (Bitbox) ที่สิงคโปร์ในเดือนก.ค. 2561

บริการที่ได้รับไลเซนส์จากหน่วยงานญี่ปุ่น คือบริการ BitMax ซึ่งได้รับการอนุมัติให้เสนอการซื้อขาย 5 สกุลเงินดิจิทัลทั้ง bitcoin (BTC), ether (ETH), bitcoin cash (BCH), litecoin (LTC) และ XRP ตามประกาศของ FSA

หน่วยธุรกิจบล็อกเชนของ LINE กลายเป็น 1 ใน 20 ของระบบแลกเปลี่ยนเงิน cryptocurrency ที่ได้รับอนุญาตในญี่ปุ่น ซึ่งในจำนวนนี้มีราคุเท็นวอลเล็ต (Rakuten Wallet) บริการในเครือยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซปลาดิบที่ได้รับการอนุมัติเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากกว่า เช่น Coincheck และ SBI VC Trade เป็นต้น

สำหรับ cryptocurrency นั้นเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (blockchain) เข้ามาดูแลโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ไม่ระบุชื่อทางอินเทอร์เน็ต เงิน cryptocurrency จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลใดหรือธนาคารกลางใดโดยเฉพาะ ดังนั้น จึงไม่มีใครรับผิดชอบในการสนับสนุนมูลค่าของเงิน cryptocurrency

ในมุมของบริษัทรายใหญ่ บริษัทที่สนใจสามารถเปิดเหรียญของตัวเองเพื่อนำไปใช้บนแพลตฟอร์มของตัวเองได้ เหมือนที่เฟซบุ๊กเปิดตัวเงิน Libra จนเป็นข่าวดัง

อย่างไรก็ตาม ทุกคนรู้ดีว่า cryptocurrencies นั้นมีความผันผวนอย่างมาก ค่าของสกุลเงินดิจิทัลสามารถพุ่งทยานสูงกระฉูดใน 1 วันก่อนจะลดฮวบลงไปอย่างไม่คาดฝัน และการใช้งานยังกระจุกตัว มีการประเมินว่าผู้ใช้เงิน cryptocurrencies มีเพียงประมาณ 30 ล้านรายทั่วโลกเท่านั้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2019.

Source

]]>
1245857
ไม่ส่งเสริมแต่ไม่ปิดกั้น! “คลัง” เตรียมเก็บภาษีซื้อขายเงินดิจิทัล https://positioningmag.com/1161641 Wed, 14 Mar 2018 12:41:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1161641 ไม่ง่ายแล้ว เมื่อกระทรวงการคลัง เตรียมคุมเงินดิจิทัลป้องกันรายย่อยเสียหาย เตรียมเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีกรายการ พร้อมกับหัก ณ ที่จ่ายร้อยละ 15 เพราะไม่ต้องการส่งเสริมแต่ไม่ปิดกั้น 

อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในการจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัลด้วยการให้ตัวกลาง เช่น ตัวแทน ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 15 เมื่อมีเงินได้เกิดขึ้นจากการซื้อขาย เพื่อนำไปใช้คำนวณกำไรและเงินปันผลจากการซื้อขายหรือได้รับผลตอบแทนจากสกุลเงินดิจิทัลในช่วงปลายปี

เมื่อหักเงินนำส่งกรมสรรพากรแล้ว หากมียอดเงินเกินกว่าภาษีต้องจ่ายสามารถขอเคลมคืนเงินภาษีได้ หากจ่ายไม่พอต้องจ่ายเพิ่ม

โดยยอมรับว่าไม่เหมือนกับการหัก ณ ที่จ่ายของดอกเบี้ยเงินฝากของแบงก์ไปเลยครั้งเดียวจบ หรือยกเว้นภาษีการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้น เพราะรัฐบาลไม่ต้องการส่งเสริมให้ซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล

เมื่อรัฐบาลกำหนดนิยามว่า คริปโตเคอเรนซี และโทเคน เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลมีมูลค่า จึงต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยใช้ประมวลรัษฎากรปัจจุบันดำเนินการจัดเก็บไม่ต้องออกกฎหมายฉบับใหม่เพิ่ม โดยใช้กฎหมายปัจจุบันบังคับใช้จะดำเนินการไปพร้อมกัน

เมื่อ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีผลบังคับใช้ แนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 จากยอดเงินซื้อขาย เน้นกับกลุ่มตัวแทน ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ สำหรับบุคคลรายย่อยได้รับการยกเว้นเหมือนกับการซื้อตราสารทองคำ เพื่อสะสมของนักลงทุนรายย่อยได้รับการยกเว้น

นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังต้องกำหนดให้ ผู้ประกอบการ ทั้งศูนย์ซื้อขาย ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ ต้องมาขอใบอนุญาตและดำเนินการตามข้อกำหนด เช่น การยืนยันตัวตน (KYC) และการแจ้งเส้นทางการเงินให้กับ ก.ล.ต.รับทราบ เพื่อป้องกันการฟอกเงินจากเงินผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังมีบทลงโทษ หากกระทำผิดทั้งปรับและจำคุก คาดว่าจะกำหนดให้เอกชนตัวกลางเข้ามาลงทะเบียนขอไลเซนส์ได้ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า อีกทั้งได้คุยกับแบงก์ต่างชาติหลายแห่ง ยอมรับว่าไม่ส่งเสริมให้ลูกค้าซื้อขายสกุลดิจิทัล

ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงไม่ต้องการให้สถาบันการเงินเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล แต่นำระบบบล็อกเชนมาใช้ประโยชน์ในธุรกรรมของแบงก์ได้ เพราะเป็นระบบดี แต่ไม่ได้เปิดซื้อขายสกุลดิจิทัล เพราะ ธปท. ไม่ยอมรับว่าคริปโตเคอเรนซีในการแลกเปลี่ยน แต่ไม่ได้ปิดกั้น เพราะจะถูกมองว่าล้าหลัง เพียงแต่ต้องการควบคุมไม่ให้ได้รับความเสียหาย

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เป็นการห้ามหรือปิดกั้นการซื้อขายสกุลดิจิทัล แต่ต้องการควบคุมให้อยู่ในขอบเขต ไม่ใช่ปล่อยให้ซื้อขายจนเกิดความเสียหายกับนักลงทุน โดย กระทรวงการคลัง ธปท. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) และ ก.ล.ต.ร่วมกันดูแลอย่างใกล้ชิด โดยหลังจากกฤษฎีกาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม จะนำกลับเสนอ ครม.พิจารณาอีกครั้ง เพื่อประกาศบังคับใช้

ที่มา : mgronline.com/stockmarket/detail/9610000025707

]]>
1161641
ไลน์ลุยเงินดิจิทัล เปิดบริษัทลูก LINE Financial รับเทรด Cryptocurrency https://positioningmag.com/1155454 Fri, 02 Feb 2018 04:50:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1155454 LINE ไม่ยอมตกขบวนเงินดิจิทัล ประกาศเปิดตัวบริษัทใหม่ LINE Financial Corporation (“LINE Financial”) เพื่อขยายธุรกิจทางการเงิน หรือฟินเทค ต่อเนื่อง  

โดยบริษัทลูกแห่งนี้ จะให้บริการข้อมูลและนำเสนอการให้บริการทางการเงินแก่ผู้ใช้งาน และเพื่อเป็นพื้นฐานในการ เตรียมตัวให้บริการทางการเงินที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการให้บริการเทรดเงินเสมือน (virtual currency หรือ cryptocurrency) ธุรกิจกู้ยืม ธุรกิจประกัน ธุรกิจกู้ยืม และอื่น ๆ

การเปิดบริษัทลูกด้านไฟแนนซ์ของไลน์ในครั้งนี้ ไลน์บอกว่า เป็นผลมาจากการที่ LINE Pay เติบโตอย่างมาก ด้วยยอดการทำธุรกรรมผ่าน LINE Pay ทั่วโลกมากกว่า 450,000 ล้านเยน ปัจจุบัน LINE Pay มีจำนวนผู้ใช้มากกว่า 40 ล้านคนทั่วโลก

ในการเชื่อมต่อคน เงิน และการให้บริการที่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น จึงเป็นเป้าหมายของ LINE มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในวงการ FinTech เพื่อตอบสนองโลกที่กำลังเปลี่ยนเป็นสังคมปลอดเงินสด

ไลน์ระบุว่า ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น จึงต้องศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีอย่าง blockchain และการให้บริการทางการเงิน เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดและความสะดวกสบายกับผู้ใช้ ทำให้ LINE ต้องการจ้างผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาร่วมงานเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการเปิดตัวให้บริการเกี่ยวกับเงินเสมือน หรือ virtual currency อยู่ในขั้นตอนการยื่นเอกสารเพื่อเปิดตัวให้บริการกับทาง Financial Services Agency (FSA) ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบพิจารณา

]]>
1155454
7 เรื่องควรรู้ Kodak หุ้นพุ่งรับแผน KodakCoin – โครงการขุด Bitcoin https://positioningmag.com/1153221 Wed, 10 Jan 2018 15:00:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1153221 เปิดประเด็นกรณีหุ้นบริษัทอีสต์แมน โกดัก (Eastman Kodak) พุ่งกระฉูด 120% หลังจากเปิดแผนธุรกิจใหม่ลุยออกเหรียญเงินดิจิทัลของตัวเองในชื่อโกดักคอยน์ (KodakCoin) เบื้องต้นระบุจะจับมือกับบริษัทสัญชาติลอนดอน ระดมทุนแบบ ICO เพื่อให้บริการบริหารลิขสิทธิ์ภาพของช่างภาพ ขณะเดียวกันก็จะติดตั้งอุปกรณ์โครงข่ายเพื่อขุดบิตคอยน์ (Bitcoin) ที่สำนักงานใหญ่ในนิวยอร์กด้วย

1. กำเนิดแบรนด์ Kodak KashMiner บริการเช่าฮาร์ดแวร์ขุดบิตคอยน์

จากธุรกิจค้าฟิลม์ถ่ายรูป ธุรกิจใหม่ที่ Kodak ให้รายละเอียดที่งาน CES 2018 นั้นจะมีชื่อว่าโกดัก แคชไมเนอร์ (Kodak KashMiner) บริการนี้จะเปิดให้ลูกค้าชำระค่าเช่าระบบขุดเงินดิจิทัล หรือ mining capacity แผนธุรกิจใหม่นี้โดนใจนักลงทุน เพราะ Kodak เป็นหนึ่งในบริษัทหลายแห่งที่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นทันทีที่เปิเผยแผนธุรกิจใหม่เกี่ยวกับกิจกรรมที่มีเทคโนโลยีบล็อกเชน (blockchain) อยู่เบื้องหลัง

2. ผลจากธุรกิจลิขสิทธิ์แบรนด์ Kodak

แม้ชื่อของ Kodak จะโดดเด่นเรื่องการเป็นแบรนด์ที่ปรับตัวสู่โลกดิจิทัลได้ช้า แต่วันนี้ Kodak เปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Kodak กำลังจะทิ้งอดีตของตัวเองแล้วกลับมามีชีวิตใหม่ในยุคเงินดิจิทัล โดยตั้งแต่ปี 2012 ตัว Kodak ขายสิทธิ์ชื่อแบรนด์ให้กับผู้ผลิตหลายกลุ่ม ทำให้ชื่อ Kodak ปรากฏบนแบตเตอรี่ เครื่องพิมพ์ โดรน คอมพิวเตอร์ และกล้องดิจิทัลหลายรุ่น

กรณีของ KashMiner รายงานชี้ว่าเป็นผลจากการร่วมมือกับบริษัทสปอตไลต์ (Spotlite) ผู้ซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์ Kodak ที่เคยติดแบรนด์ Kodak ในตลาดหลอดไฟแอลอีดี (LED) มาก่อนหน้านี้

สำหรับธุรกิจขุดบิตคอยน์ นั้นหมายถึงการอุทิศคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงของตัวเองเพื่อเปิดซอฟต์แวร์ของบิตคอยน์ให้ทำงานตลอดเวลา การอุทิศนี้จะได้รับบิตคอยน์กลับมาเป็นการตอบแทน จุดนี้เงินบิตคอยน์ที่ได้รับจาก Kodak KashMiner จะถูกแบ่งปันกันระหว่างลูกค้าและธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจขุดเงินดิจิทัลนี้มีความเสี่ยง เพราะโครงข่ายขุดเงินเหล่านี้จะต้องใช้กองทัพหน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง และไพร่พลพัดลมระบบระบายความร้อนเพื่อให้ระบบทำงานได้ราบรื่น ทั้งหมดนี้จะเผาผลาญพลังไฟสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อมูลค่าเงินดิจิทัลยิ่งสูงขึ้น จำนวนผู้สนใจที่นำคอมพิวเตอร์เข้ามาร่วมกันประมวลผลมีมากขึ้น การเข้ารหัสจึงซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้การเผาผลาญพลังไฟต่อการทำธุรกรรมแต่ละครั้งสูงขึ้นต่อเนื่อง

3. ที่สำนักงานใหญ่ Kodak มีโรงงานไฟฟ้า

แม้จะมีความเสี่ยง แต่โครงการนี้จะสามารถใช้ประโยชน์จากโรงงานผลิตไฟฟ้าของ Kodak ได้เต็มที่ ซึ่งโรงงานนี้มีกำลังการผลิตว่างอยู่นับตั้งแต่ยุคที่ Kodak ยังมั่งคั่ง จุดนี้รายงานย้ำว่า ธุรกิจขุดบิตคอยน์ของ Kodak จะมีฐานที่มั่นที่สำนักงานใหญ่ในเมืองโรเชสเตอร์

Kodak มั่นใจมากว่าจะไปได้สวยในธุรกิจนี้ เพราะ Kodak สามารถอัดฉีดพลังงานในแต่ละหน่วยประมวลผลในต้นทุนต่ำ 4 เซ็นต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าการที่บุคคลทั่วไปจะซื้ออุปกรณ์มาติดตั้งในบ้านเพื่อขุดเงินดิจิทัลด้วยตัวเอง

จากมูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin การประเมินล่าสุดพบว่า เงินลงทุนล่วงหน้าในวงการนี้อยู่ที่ประมาณ 4,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 128,418 บาทสำหรับการทำเหมืองขุดเงินดิจิทัล 24 เดือน ซึ่งอาจให้รายได้ 500 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 16,050 บาท

4. ร่วมขุดแล้ว 80 ราย

ปัจจุบัน Kodak ระบุว่ามีลูกค้าผู้ลงทุนขุดเงินดิจิทัลแล้ว 80 ราย คาดว่าจะเพิ่มอีก 300 รายในไม่ช้าเพราะตลาดเงินดิจิทัลมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น แม้วันนี้บิตคอยน์มีความผันผวนอย่างผิดปกติ และนักวิเคราะห์หลายคนหวั่นใจว่าค่าของมันจะพังทลายลง จนส่งผลให้เกิดความสูญเสียสำหรับผู้ที่ต้องจ่ายต้นทุนล่วงหน้า 

5. โยกระบบไปทำงานอื่นได้หาก Bitcoin ล่ม

Halston Mikail ผู้บริหารบริษัท Spotlite พันธมิตรของ Kodak ระบุว่าแม้บิตคอยน์อาจเป็นฟองสบู่ได้ แต่อุตสาหกรรม “บล็อกเชน” ไม่ใช่ฟองสบู่ เนื่องจาก blockchain เป็นแพลตฟอร์มที่มั่นคงบนพื้นฐานของคณิตศาสตร์ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว blockchain จะอยู่รอดแน่นอน

6. “สกุลเงิน Kodak” ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ

โครงการ KodakCoin ของ Kodak กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อสร้างเป็นระบบที่ช่างภาพสามารถอัปโหลดภาพใหม่เข้ามาในระบบ แล้วบริหารจัดการสิทธิต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มได้โดยตรง สามารถป้องกันปัญหาลิขสิทธิ์ได้ดี ทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ KodakOne ที่จะถูกใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลบนเว็บและค้นหาภาพที่ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

Kodak บอกว่าโครงการนี้กำลังอยู่ในขั้น “จัดการขั้นตอนการออกใบอนุญาต” เพื่อให้ช่างภาพจะได้รับค่าตอบแทนใน KodakCoin 

7. ทุกอย่างเพื่อช่างภาพ

Jeff Clarke ซีอีโอ Kodak กล่าวว่าทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงตามแนวคิดดั้งเดิมของ Kodak เรื่องความพยายามทำให้การถ่ายภาพมีความเท่าเทียมและทำให้การออกใบอนุญาตเป็นไปอย่างยุติธรรมต่อศิลปิน โดยบอกว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เอื้อให้ชุมชนการถ่ายรูปมีวิธีที่สร้างสรรค์และง่ายในการจัดการ

แผนธุรกิจเหล่านี้โดนใจนักลงทุนจนทำให้ราคาหุ้นของ Kodak มีการซื้อขายสูงกว่าราคาเปิดตลาด 130% ก่อนที่จะลดลงเล็กน้อยหลังปิดตลาด เบ็ดเสร็จแล้วหุ้น Kodak บวก 119.4%.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000003038

]]>
1153221
เมื่อสตาร์ทอัพเมินตลาดหุ้น หันมาระดมทุนเงินตราดิจิทัลของตัวเอง https://positioningmag.com/1132902 Fri, 14 Jul 2017 09:20:51 +0000 http://positioningmag.com/?p=1132902 กลายเป็นกระแสร้อนแรงของโลกที่วงการสตาร์ทอัพต้องจับตามอง เมื่อทุกวันนี้บริษัทสตาร์ทอัพเกิดใหม่จำนวนมากทั่วโลกกำลังเมินการเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมทุนผ่าน IPO แต่หันมาระดมเงินหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยการออกเหรียญเงินตราดิจิทัลใหม่ของตัวเอง เทรนด์นี้นำไปสู่ทั้งความตื่นเต้นและความกังวล บนความแรงสุดขีดเพราะเม็ดเงินมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐหลั่งไหลเข้ามาสู่วงการที่เรียกกันว่า ‘Initial Coin Offering’ (ICO) แล้วตั้งแต่ต้นปีนี้

โดยเทรนด์แรงที่กำลังเกิดขึ้นคือสตาร์ทอัพจะสร้างเหรียญเงินตราดิจิทัลของตัวเอง ไม่ผูกติดกับเงินดิจิทัลที่ค่าเงินโตกระฉูดไปแล้วก่อนหน้านี้อย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) รวมถึงเงินสกุลอันดับ 2 และ 3 อย่าง Ethereum และริปเปิล (Ripple)

แม้ว่าค่าเงินดิจิทัลเหล่านี้จะสุดสูง แต่นาทีนี้ค่าเงินกลับลดลงจนมูลค่าเงินรวมในตลาดเหลือเพียง 8.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากที่เคยพุ่งสูง 1.14 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

วันนี้เงินสกุลใหม่จึงไม่ได้มีแค่ Bitcoin, Ethereum และ Ripple แต่มีเงินสกุลใหม่อย่าง Steem, Dash, AntShares และ Dogecoin โดยหากประเมินให้เห็นภาพ มูลค่าตลาด Bitcoin ในวันนี้คิดเป็นเพียง 45.5% ของตลาดเงินตราดิจิทัลรวมเท่านั้น ลดลงจาก 94% ที่เคยมีการบันทึกไว้เมื่อปีที่ผ่านมา

ริชาร์ด คาสเทเลน (Richard Kastelein) แห่งบริษัทคริปโตแอสเซ็ตส์ดีไซน์กรุ๊ป (Cryptoassets Design Group) ผู้ช่วยให้บริษัทเกิดใหม่สามารถเปิดขาย ICO ได้ง่าย เป็นผู้ให้ข้อมูลนี้กับสำนักข่าวบิสสิเนสอินไซเดอร์ ว่ายอดเงินระดมทุนของสตาร์ทอัพผ่าน ICO ในขณะนี้มีมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ตัวเลขนี้รวมกรณีของบริษัทโอมิเซะ (Omise) น้องใหม่ฟินเทคชื่อดังของไทยที่เข้าซื้อกิจการเพย์สบาย (Paysbuy) หลังจากขาย ICO ระดมทุนได้ 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพียงไม่กี่วัน

ไม่เพียง Omise ยังมีบริษัทเทคโนโลยีทำนายทิศทางค่าเงินสกุลเอเธอเรียม (Ethereum) อย่าง Gnosis ที่สามารถเพิ่มทุนมากกว่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐในเวลา 10 นาทีหลังประกาศ ICO เมื่อเดือนเมษายน และยังมีบริษัทชื่อ Brave สตาร์ทอัปผู้พัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ของผู้ก่อตั้งมอสซิลา (Mozilla) ที่สามารถระดมทุน 35 ล้านเหรียญสหรัฐในเวลาไม่ถึง 30 วินาที ในการขายเหรียญดิจิทัลชื่อเบสิคแอเทนชันโทเคนส์‘ (Basic Attention Tokens) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

สำหรับการระดมทุนผ่าน ICO บริษัทนั้นจะใช้วิธีเปิดตัวเงินดิจิทัลสกุลใหม่ซึ่งจะสามารถใช้ในระบบของบริษัท และสามารถนำไปแลกเปลี่ยนมือ หรือนำกลับมาขับเคลื่อนธุรกิจได้ด้วย

ตัวอย่างที่น่าสนใจของการขาย ICO ในสัปดาห์ที่ผ่านมาคือคิกแมสเสนเจอร์ (Kik Messenger) แอปพลิเคชันรับส่งข้อความสนทนายอดนิยมจากแคนาดา ที่ประกาศทำสกุลเงินของตัวเองชื่อว่าคิน‘ (Kin) สกุลเงินนี้ถือเป็นสกุลเสมือนที่อยู่บนระบบของ Ethereum อีกชั้น โดยสกุลเงิน Kin จะถูกนำไปใช้ในระบบของ Kik Messenger ที่มีผู้ใช้ประจำราว 300 ล้านคน (15 ล้านรายต่อเดือน) เหมือนเงินดิสนีย์แลนด์ดอลลาร์ที่ใช้ซื้อสินค้าภายในสวนสนุกได้

เพื่อความชัดเจน วงการเงินดิจิทัลจึงเรียกสกุลเงินเสมือนสไตล์ Kin ว่า โทเคน (Token) ดังนั้นการขาย ICO จึงเป็นการเสนอขาย Token เหล่านี้ต่อสาธารณชนและนักลงทุน

เงิน Kin สามารถใช้ซื้อสิ่งของและบริการบนเครือข่ายสังคม Kik เช่น อีโมจิ สติกเกอร์ บริการโฮสติง และบริการอื่นเช่นระบบตอบคำถามอัตโนมัติ ซึ่งเป้าหมายสูงสุดในอนาคต คือเงิน Kin อาจจะสามารถใช้ซื้อขายบริการอื่นนอกแอปพลิเคชัน Kik ได้

แต่ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทจะต้องเปิดเงินสกุลของตัวเอง บางบริษัทสามารถใช้บริการแพลตฟอร์มเงินดิจิทัลเพื่อระดมทุนได้รวดเร็วขึ้น จุดนี้ แจน ไอซาโกวิก (Jan Isakovic) ซีอีโอบริษัทให้บริการแพลตฟอร์ม ICO ชื่อโคฟาวด์ (Cofound.it) ประเมินว่าการระดมทุนในระบบ VC นั้นใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนในการเตรียมการ แต่ ICO นั้นสามารถทำได้เลย

โดยเฉพาะเมื่อ Ethereum เป็นระบบบล็อกเชนแบบเปิด (blockchain-based public system) ที่ให้ทุกคนสามารถสร้างชุดคำสั่งหรือพัฒนาเงินสกุลเสมือนได้ง่าย ซึ่งผู้ที่อยู่ในวงการนี้เชื่อว่า ทั้งหมดกำลังเข้าสู่ช่วงการขยายตัวอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ฟองสบู่


ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000071566

]]>
1132902