กลับมาอีกครั้ง! กับงาน “Water Festival 2025 เทศกาลวิถีน้ำ…วิถีไทย ครั้งที่ 10” เทศกาลสงกรานต์ที่ผสานความร่วมสมัย และขนบธรรมเนียมอันดีงามของไทย 4 ภาค 6 จังหวัด กับธีมสุดปัง “มหาสงกรานต์ มหาสนุก” ใครที่มีแพลนจะไปแอ่วเหนือช่วงสงกรานต์นี้ บอกเลยว่าห้ามพลาดงานนี้เด็ดขาด! เพราะงานนี้เตรียมจัดเต็มให้ทุกคนได้มาสัมผัสเสน่ห์สงกรานต์ปี๋ใหม่เมือง ทั้ง 2 จังหวัด “เชียงใหม่” และ “ลำพูน”
Chaing Mai Water Festival 2025 วันที่ 12-14 เมษายน ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร (วัดโชติการาม) จ.เชียงใหม่
ลอดอุโมงค์น้ำมนต์ซุ้มตอกต๋าแหลว จุดผางประทีปบูชาพระธาตุ เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อล้านนา ชมการแสดงแสดงศิลปะ และการละเล่นพื้นถิ่น สัมผัสวิถีล้านนาดั้งเดิมจากกาดสล่าชุมชน และชิมอาหารพื้นเมืองจากร้านชุมชน “กาดหมั้ว ครัวฮอม”
Lamphun Water Festival 2025 วันที่ 12-13 เมษายน ณ ตลาดนัดสงกรานต์ ถนนรถแก้ว จ.ลำพูน
สรงน้ำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลในเทศกาลปีใหม่ของไทย ชมขบวนแห่ “ของดีเวียงหละปูน” พร้อมชอปชิลในตลาดชุมชน เพลิดเพลินกับของดีพื้นเมืองและอาหารล้านนา ซึมซับบรรยากาศสงกรานต์ดั้งเดิมแบบชาวลำพูน
เตรียมตัวให้พร้อม แล้วอย่าลืมมาป๊ะกันที่งาน “Water Festival 2025 เทศกาลวิถีน้ำ…วิถีไทย” วันที่ 12 -15 เมษายน 2568 นี้ มาร่วมกันชื่นใจ และก้าวข้ามผ่านปีใหม่ไทยกับกิจกรรมอันดีงามไปด้วยกัน .. ใกล้ที่ไหน เที่ยวที่นั่น ..
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Water Festival Thailand
#WaterFestivalThailand #เทศกาลวิถีน้ำวิถีไทย #WaterFestival2025 #มหาสงกรานต์มหาสนุก
#สงกรานต์ #สงกรานต์4ภาค6จังหวัด #สงกรานต์เชียงใหม่ #สงกรานต์ลำพูน
]]>“อิศเรศ จิราธิวัฒน์” Head of Fashion and Luxury Partner Management บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เปิดเผยถึงโครงการรีโนเวตใหญ่ “เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต” ซึ่งจะเป็นการรีโนเวตใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งศูนย์การค้าเมื่อปี 2539
โครงการนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนแตะ 2,000 ล้านบาท ปรับใหญ่ทั้งภายนอกและภายในศูนย์ฯ ให้เป็นลุคใหม่ในสไตล์ “โมเดิร์นล้านนา” มีความทันสมัยมากขึ้น และปรับพื้นที่เช่าร้านค้าให้รองรับร้านขนาดใหญ่เกิน 1,000 ตร.ม.ได้มากขึ้น
การปรับปรุงพื้นที่ในครั้งนี้จะไม่มีการปิดถาวร แต่จะทยอยปิดปรับปรุงเป็นโซนๆ แบ่งเป็น 3 เฟส คาดจะเปลี่ยนโฉมเสร็จเรียบร้อยภายในไตรมาส 4/2568
เป้าหมายในการปรับปรุงศูนย์ฯ เพื่อดึงดูดให้ “แบรนด์ระดับโลก” สนใจเช่าพื้นที่ในเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ตมากขึ้น โดยวางเป้าว่าจะดึงดูดให้มีแบรนด์ใหม่เข้ามาในศูนย์ฯ อย่างน้อย 50% ของพื้นที่
โดยขณะนี้มีแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาจับจองพื้นที่แล้วตั้งแต่ก่อนรีโนเวตคือ “MUJI” แฟลกชิปสโตร์ พื้นที่ 3,000 ตร.ม. ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ถือเป็นแบรนด์ระดับโลกแบรนด์แรกที่เป็นหมุดหมายในการดึงแม่เหล็กใหม่ๆ เข้ามาในศูนย์ฯ
อิศเรศคาดว่า การรีโนเวตและดึงแบรนด์ใหม่เข้ามาในศูนย์ฯ จะช่วยให้มีทราฟฟิกเข้ามามากขึ้น 10-15% จากปัจจุบันมีทราฟฟิกอยู่ราว 40,000 คนต่อวัน และทำให้มีการใช้จ่ายสูงขึ้น 20-30% จากปัจจุบันมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 4,000 บาทต่อคนต่อวัน
“ศักยภาพกำลังซื้อคนเชียงใหม่นั้นสูงขึ้น เพราะอินเตอร์แบรนด์เองบอกข้อมูลกับเราว่าช่องทางอีคอมเมิร์ซของแบรนด์มีลูกค้าจากภาคเหนือเข้ามาเยอะขึ้นมาก ทำให้แบรนด์ต้องการจะมาเปิดช็อปในภาคเหนือ เราจึงต้องมีการปรับปรุงเพื่อรองรับแบรนด์ได้มากขึ้น” อิศเรศกล่าว
ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนามีศูนย์การค้า 5 แห่งในภาคเหนือ ได้แก่ เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่, เซ็นทรัล เชียงราย, เซ็นทรัล ลำปาง และเซ็นทรัล พิษณุโลก และจะมีการเปิดตัวแห่งที่ 6 ในปี 2567 คือ เซ็นทรัล นครสวรรค์
]]>อาณาจักรที่ดินในเชียงใหม่ของ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC บริษัทอสังหาริมทรัพย์หนึ่งในเครือตระกูลสิริวัฒนภักดี เฉพาะโครงการบนถนนช้างคลานต่อเนื่องถึงถนนศรีดอนไชยนั้นมีไม่ต่ำกว่า 12 แปลง
ที่ดินเหล่านี้สร้างเป็นโครงการหลากหลายประเภท ทั้งโรงแรมและพื้นที่รีเทล แต่บริเวณที่มีชื่อเสียงที่สุดหนีไม่พ้น “ไนท์บาซาร์” ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางจุดตั้งต้นในการพัฒนาโครงการใหม่ “ลานนาทีค”
“วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC แย้มแผนการชุบชีวิตยกระดับพื้นที่นี้ โดยเป้าหมายคือต้องการให้เป็น ‘Tourist Destination’ จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว แบบเดียวกับที่ในกรุงเทพฯ มี “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์”
“ในอนาคตรถบัส รถทัวร์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคันจะต้องมีโปรแกรมมาจอดที่ลานนาทีค เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเชียงใหม่” วัลลภาฉายภาพเป้าหมายที่เธอมองเห็น
บริเวณที่ขณะนี้ AWC คาดว่าจะนับรวมเข้ามาอยู่ในโปรเจ็กต์ “ลานนาทีค” จะมีทั้งหมด 7 แปลง คือ
แม้ที่ดินอาจไม่ได้เชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกันครบทั้งหมด แต่อยู่ในระยะเดินต่อเนื่องกัน และจะมีบ้านโบราณเชียงใหม่ที่เป็นทางออกไปสู่ริมแม่น้ำปิงด้วย
ปัจจุบันการค้าในพื้นที่ไนท์บาซาร์จะเน้นสินค้าประเภทของฝาก ของที่ระลึก งานศิลปะ ของทำมือ หัตถกรรม เสริมด้วยร้านอาหารต่างๆ แต่คอนเซ็ปต์ใหม่ที่รวมเอาที่ดินหลายแปลงมาพัฒนาเป็นเนื้อเดียวกัน AWC ต้องการจะพลิกโฉมให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
กลยุทธ์ในภาพใหญ่ของ AWC นั้น แบ่งการบริหารโครงการในมือเป็น 4 ประเภท คือ โครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว, โครงการตลาดและศูนย์การค้าของชุมชนท้องถิ่น, โครงการค้าส่งและค้าออนไลน์ และสุดท้ายคือ กลุ่มอาคารสำนักงาน
สำหรับโครงการที่เน้นเจาะไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยว ที่เปิดบริการแล้วมีเพียงแห่งเดียวคือ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ แต่ในตระกูลเดียวกันจะมีตามมาอีก 3 แห่ง คือ เวิ้งนครเขษม, อควอทีค พัทยา และ ลานนาทีค เชียงใหม่ ที่เพิ่งจะเปิดแผนออกมา
วัลลภากล่าวว่า หลังจากผ่านจุดเปลี่ยนในช่วงโควิด-19 ทำให้บริษัทกลับมาคิดทบทวนใหม่ว่า “อะไรที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ในธุรกิจรีเทล”
คำตอบที่ได้คือ รีเทลจะต้องเป็นการตอบโจทย์ Lifestyle Experience ให้กับลูกค้า ต้องสร้างประสบการณ์ให้คนอยากมาสัมผัส โดยเธอแบ่งออกเป็น 3 ด้านที่จะชวนคนมาได้ ได้แก่
1.Attractions มีจุดดึงดูดในเชิงการท่องเที่ยว เป็นจุดหมายให้มาเช็กอิน มีกิจกรรมให้ทำ
2.Food มีร้านอาหารที่น่าสนใจ เป็นจุดร่วมให้คนมาพบปะสังสรรค์
3.Lifestyle Market มีตลาดขายสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนแต่ละกลุ่ม เช่น ศิลปะ แคมป์ปิ้ง กีฬา สัตว์เลี้ยง
เห็นได้ว่า “ลานนาทีค” มีบางอย่างที่พร้อมอยู่แล้ว คือการเป็นตลาดขายสินค้าเฉพาะ เป็น Lifestyle Market ที่จับกลุ่มคนที่สนใจงานศิลปะ สะท้อนวัฒนธรรมล้านนา
สิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มจึงเป็นเรื่อง Attractions จุดดึงดูดให้ต้องมาเยือนที่นี่ ซึ่งวัลลภาแย้มว่าปัจจุบัน AWC มีการเจรจาอยู่กับผู้จัดแหล่งท่องเที่ยวในระดับโลก 5 ราย เป็นการพูดคุยที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 4 แห่งของบริษัท
หากยังนึกภาพไม่ออกว่า Attractions คืออะไร ล่าสุด เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เริ่มนำร่องให้เห็นก่อนแล้วด้วยการดึง ‘Disney 100 Village’ เข้ามาในพื้นที่ สามารถดึงกลุ่มลูกค้าครอบครัวเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม สำหรับลานนาทีคอาจจะต้องพิจารณาให้เหมาะสม เพราะคอนเซ็ปต์ของพื้นที่จะต้องคงความเป็น “ล้านนา” ของเชียงใหม่ไว้ให้ได้
วัลลภากล่าวว่า โปรเจ็กต์ลานนาทีคน่าจะได้เห็นภาพการพัฒนาเฟสแรก ภายในปลายปี 2566 นี้ และมีอีกหลายเฟสที่จะทยอยพัฒนาต่อเนื่องกันไป
นอกจากบริเวณที่ถูกนับรวมเป็นลานนาทีคแล้ว ยังมีที่ดินอีก 5 แปลงที่กำลังรีโนเวตหรือมีแผนการพัฒนา ซึ่งจะทำให้อาณาจักรของบริษัทบริเวณช้างคลาน-ศรีดอนไชยคึกคักขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น “พันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่” ที่กำลังรีโนเวตใหม่ให้เป็นศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์แทนที่ศูนย์ไอที หรือ “โรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนทัล เชียงใหม่ แม่ปิง” ที่กำลังรีโนเวตมาจากโรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิงเดิม หรือ “สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์” ก็อยู่ในแผนรีโนเวตให้เพิ่มพื้นที่รีเทลเข้าไป
ในภาพร่างพื้นที่ยังมีการเอ่ยถึงโรงแรมใหม่ชื่อ “Siem Pakdee” ที่จะเป็นดีไซน์โฮเทล ทำเลติดกับสุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์ และมีพื้นที่ชื่อ “Baan K Sirin” อยู่บริเวณตรงข้ามแม่น้ำปิง เยื้องกับบ้านโบราณเชียงใหม่ ซึ่งจะมาในคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับเวลเนสด้วย
“วันนี้ผู้เช่ามีความไม่แน่ใจกับตลาดเชียงใหม่อยู่จริง ไม่แน่ใจกำลังซื้อเพราะอัตราการเข้าพักโรงแรมในเชียงใหม่ยังต่ำกว่าแหล่งท่องเที่ยวอื่น เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต แล้วยังมีฝุ่น PM 2.5 เข้ามาอีก” วัลลภากล่าว
“แต่เรามีความพยายามที่จะเล่าเรื่องเสน่ห์ของเชียงใหม่ว่า นี่คือเมืองท่องเที่ยวคู่ขนานกับกรุงเทพฯ เชียงใหม่ยังคงเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น สแกนดิเนเวียน เพียงแต่เราต้องมีพื้นที่ท่องเที่ยวที่จะเป็น ‘showcase’ สร้างคุณค่าให้กับเมือง”
]]>ศูนย์การค้า “พันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่” ก่อตั้งมานาน 18 ปี ด้วยจุดแข็งเดียวกับ พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ในสมัยนั้น คือ เป็นแหล่งรวมสินค้าไอที ร้านซ่อมคอมพิวเตอร์-มือถือ แต่ด้วยยุคสมัยเปลี่ยน การใช้อุปกรณ์ยุคนี้ลดการสั่งประกอบ มีการซื้อผ่านออนไลน์มากขึ้น การซ่อมน้อยลง ทำให้ศูนย์ฯ เริ่มไม่ตอบโจทย์ลูกค้าอีกต่อไป
“วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC เจ้าของศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ ระบุตรงไปตรงมาว่าปัจจุบันค่าเช่าของศูนย์ฯ แห่งนี้ไม่เป็นไปตามภาวะตลาด โดยปกติรีเทลในเชียงใหม่จะคิดค่าเช่ากันที่ 600-800 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ทำให้ถึงเวลาที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน
โครงการพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่จึงเตรียมพลิกโฉมเป็น “THE PANTIP LIFESTYLE HUB” ที่จะเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ศูนย์การค้าใหม่หมดภายใต้แนวคิด “Every Happiness for Everyone” มูลค่าโปรเจ็กต์ 800 ล้านบาท
แนวคิดการปรับศูนย์ฯ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักคือ
หากเป็นแผนผังพื้นที่ภายใน THE PANTIP LIFESTYLE HUB ทั้ง 4 ชั้น จะแบ่งดังนี้
ชั้น 1 LANNA GAD โซนค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เก็ตบิ๊กซี และร้านอาหาร
ชั้น 2 LANNA ARTISAN โซนตลาดไลฟ์สไตล์ ไอที และร้านอาหาร
ชั้น 3 LANNA AESTHETIC โซนสินค้าแฟชั่น ศูนย์สุขภาพและความงาม แม่และเด็ก
ชั้น 4 LANNA AMUSEMENT โซนศูนย์การเรียนรู้ สนามเด็กเล่นในร่ม พื้นที่สร้างสรรค์
แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของศูนย์ฯ จะต้องเปลี่ยนใหม่ จากเดิมที่เป็นศูนย์ไอทีจะไม่ได้ตกแต่งมากนัก แต่คอนเซ็ปต์ใหม่จะมากับสไตล์ตกแต่ง “ล้านนา โมเดิร์น” เพื่อให้เป็นศูนย์ฯ ที่ลูกค้ามาแฮงเอาต์ รับประสบการณ์ ทำกิจกรรม
“แต่ก่อนที่เป็นศูนย์ไอที เราจะตกแต่งมากไม่ได้ เพราะกลุ่มเป้าหมายจะมองว่าของในห้างฯ แบบนี้ ‘แพง’ แต่เมื่อเป็นไลฟ์สไตล์ ฮับ ก็จะต้องตกแต่งให้น่ามานั่ง มาทำกิจกรรมกัน” วัลลภากล่าว
แผนการรีโนเวตพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2565 แล้ว โดยไม่มีการปิดศูนย์ฯ AWC จะทยอยปรับปรุงไปพร้อมกับการหาผู้เช่าใหม่เข้ามาในพื้นที่ และคาดว่าจะเริ่มเห็นความสมบูรณ์ช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้
“ขณะนี้ยังระบุชื่อผู้เช่าไม่ได้ แต่มีเจรจาอยู่ราว 60 ราย ในส่วน Food Lounge ที่จะเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร เรามีการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรีเจ้าหนึ่งด้วย เพื่อช่วยเราคัดเลือกร้านอาหารดังๆ ในเชียงใหม่เข้ามา” วัลลภากล่าวเสริม
ท่ามกลางศูนย์การค้าที่มีอยู่หลายแห่งในเชียงใหม่ วัลลภาเชื่อว่าจุดแข็งของ THE PANTIP LIFESTYLE HUB คือ “ทำเล” ที่อยู่กลางเมืองเชียงใหม่มากที่สุด ไม่ต้องวิ่งรถออกไปรอบนอก หลังเลิกเรียนนักเรียน-นักศึกษาเดินทางมาง่ายกว่าศูนย์การค้าที่อยู่รอบนอก รวมถึงอยู่กลางแหล่งท่องเที่ยว ทำให้จะได้ลูกค้าชาวต่างชาติด้วย
THE PANTIP LIFESTYLE HUB ถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งในอาณาจักร AWC เชียงใหม่ ในบริเวณถนนช้างคลาน บริษัทนี้มีโครงการในพื้นที่รวม 12 แห่ง แบ่งเป็นโรงแรม 4 แห่ง คือ มีเลีย เชียงใหม่, ดุสิต ดีทู เชียงใหม่, อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง (รีโนเวตจากอิมพีเรียล แม่ปิง) และ เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ (เตรียมรีโนเวตเป็น แมริออท) และมีพื้นที่รีเทลอีก 8 แห่ง เช่น ตลาดไนท์บาซาร์ ตลาดอนุสาร ซึ่งปีนี้บริษัทกำลังจะสร้างคอนเซ็ปต์ใหม่เพื่อปลุกย่านนี้ในชื่อ “ล้านนาทีค” คาดเปิดเฟสแรกได้ช่วงปลายปี 2566
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
]]>“ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” ประธานกรรมการบริหาร และ “ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกันแถลงเปิดโครงการหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่สุดที่ศุภาลัยเคยพัฒนาในเชียงใหม่ “ศุภาลัย ทัสคานี วัลเล่ย์” บนถนนโชตนา (ตรงข้ามสนามกอล์ฟซัมมิท กรีน วัลเล่ย์) ที่ดินรวม 172 ไร่ หากพัฒนาครบทั้งโครงการจะมีมูลค่ารวมราว 3,800-4,000 ล้านบาท
ศุภาลัย ทัสคานี วัลเล่ย์ แบ่งที่ดินพัฒนาออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
1)โครงการศุภาลัย เบลล่า ดอนแก้ว-แม่ริม บ้านแฝดและบ้านเดี่ยว พื้นที่ 38 ไร่ แบ่งแปลง 218 แปลง ราคาบ้านแฝดเริ่ม 3.4 ล้านบาท ราคาบ้านเดี่ยวเริ่ม 4.3 ล้านบาท เปิดขายเมื่อช่วงต้นปี 2565
2)โครงการศุภาลัย ทัสคานี ดอนแก้ว-แม่ริม บ้านเดี่ยว 2-3 ชั้น พื้นที่ 92 ไร่ แบ่งแปลง 370 แปลง ราคาเริ่ม 4.99-16 ล้านบาท เตรียมเปิดขายวันที่ 28-29 พ.ค. 2565
3)พื้นที่โครงการในอนาคต เนื้อที่ประมาณ 30-40 ไร่
(ทั้งนี้ มีพื้นที่ส่วนกลางบริเวณคลับเฮาส์และสระว่ายน้ำอยู่ประมาณ 2 ไร่)
โครงการนี้เป็นการออกแบบพิเศษจากบริษัท เนื่องจากทำเลที่ดินมีวิวเทือกเขาโอบล้อมคล้ายกับแคว้นทัสคานีในอิตาลี ทำให้เลือกออกแบบในสไตล์อิตาลีที่เข้ากับภูมิประเทศ
โดยไตรเตชะระบุว่า โครงการได้รับความสนใจดี แม้ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการแต่มียอดจองโครงการแล้ว 200 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการศุภาลัย ทัสคานี ดอนแก้ว-แม่ริม ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ มีกลุ่มลูกค้าจากกรุงเทพฯ จำนวนมากสนใจซื้อเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศหรือบ้านพักหลังเกษียณ เชื่อว่าโครงการนี้อาจมีลูกค้าจากกรุงเทพฯ มากถึง 50% ของยอดขาย จากปกติจะมีสัดส่วน 10-15%
“ทัสคานี วัลเล่ย์จะเป็นโครงการชูโรงในเชียงใหม่ของศุภาลัย จากการเสนอการออกแบบที่แปลกใหม่ในทำเล” ดร.ประทีปกล่าว
ด้านหน้าโครงการศุภาลัย ทัสคานี วัลเล่ย์ จะมีการก่อสร้างบูทีค ไลฟ์สไตล์ มอลล์ “เดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม” อีกด้วย โดยเป็นสาขา 2 ของกาดฝรั่ง หลังจากประสบความสำเร็จในสาขาแรกที่กาดฝรั่ง วิลเลจ หางดง
ไตรเตชะอธิบายถึงการเฟ้นหาพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์เป็นกลุ่มรีเทลเข้ามาเปิดด้านหน้าโครงการ เนื่องจากพื้นที่แม่ริมแม้เป็นทำเลที่เริ่มมีความเจริญเข้ามาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอตอบสนองลูกค้า ทำให้ต้องมีรีเทลด้านหน้าโครงการเป็นแหล่งทานอาหาร ไลฟ์สไตล์ที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น
การออกแบบโครงการเดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม จะเกื้อกูลกันกับหมู่บ้าน ร้านค้าที่จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดในโครงการจะคัดให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า ขณะนี้มีร้านที่ยืนยันเช่าพื้นที่แล้ว เช่น Starbucks, McDonald’s โครงการกาดฝรั่งจะแล้วเสร็จช่วงไตรมาสแรกปี 2566
ศุภาลัยนั้นถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์จากกรุงเทพฯ ที่ออกไปพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดมากที่สุด และปี 2565 จะยิ่งเห็นได้ชัดถึงความสำคัญของตลาดภูมิภาคต่อการเติบโตของบริษัท เนื่องจากจะมีการเปิดตัวโครงการต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพฯ
รวมถึงยอดขายจากต่างจังหวัดจากเฉลี่ยปีละ 10,000 ล้านบาท ปีนี้ไตรเตชะคาดว่าน่าจะทะลุ 12,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43% ของเป้ายอดขายรวมปี 2565 ของศุภาลัย
แน่นอนว่า Top 5 ต่างจังหวัดที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดต้องมี “เชียงใหม่” อยู่ในโผ ร่วมกับจังหวัดใหญ่ๆ อย่างชลบุรี ระยอง ภูเก็ต และสงขลา
สำหรับตลาดเชียงใหม่นั้นถือเป็นตลาดสำคัญของศุภาลัย เพราะขณะนี้เปิดสะสมไปแล้ว 15 โครงการ ไตรเตชะยังกล่าวด้วยว่า เชียงใหม่ถือเป็นตลาดที่ท้าทายมาก เพราะมีบริษัทท้องถิ่นที่แข็งแรง ทำต้นทุนราคาได้ดี ทำให้ศุภาลัยจะนำเสนอแบรนด์ในแง่คุณภาพและการออกแบบเป็นหลัก
รวมถึงมีการผูกมิตรกับชุมชนรอบข้าง ในส่วนนี้ “สายชล ลืมขำ” ผู้อำนวยการฝ่าย สายงานโครงการภูมิภาค 4 บมจ.ศุภาลัย ยกตัวอย่างในโครงการทัสคานี วัลเล่ย์ ได้ลงทุนบูรณะศาลเจ้าที่และแบ่งที่ดินตัดถนนสาธารณะให้กับชาวบ้าน รวมถึงทำทางน้ำไหลผ่านที่ดินโครงการจากภูเขาลงสู่แปลงนาของชาวบ้านได้ดังเดิม
ในแง่ของกำลังซื้อเชียงใหม่ในช่วงโควิด-19 แม้จะชะลอตัวลง แต่ไม่มากเท่ากับจังหวัดอื่นที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวมากกว่า และเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวแล้วในช่วงครึ่งปีหลัง 2564
]]>ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา คนไทยบ่นออกมามากถึง 600,000 ครั้ง โดยความเบื่อระลอกแรกเกิดขึ้นเมื่อล็อกดาวน์ประเทศ และระลอกสองจากเหตุการณ์ทางการเมือง โดยกิจกรรมที่อยากทำมากที่สุดคือ เที่ยว ตามมาด้วยอยาก กิน, ช้อปปิ้ง, ออกกำลังกาย และดูหนัง
โดยจะเห็นว่าช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นชาวโซเชียลระบายออกมาผ่านแฮชแท็ก #เที่ยวทิพย์ หรือหาวิธีเติมเต็มจิตใจแบบอื่นด้วยการพักผ่อนเท่าที่ทำได้อย่าง Staycation การพักผ่อนใกล้บ้าน หรือเปลี่ยน Workation ด้วยการทำงานไปเที่ยวไป
ทั้งนี้ ปี 2564 ชาวโซเชียลคุยเรื่องเที่ยวมากกว่า 120,000 ข้อความต่อวัน ซึ่งเดือนกันยายนคือจุดเริ่มต้นในการฟื้นตัวของสถานการณ์ท่องเที่ยวในโซเชียลมีเดีย
เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นแล้ว นับว่า Instagram มีแนวโน้มเติบโตสูงสุด โดยจากปี 2563 จนถึงเดือนกันยายน เติบโตขึ้น +216% แม้จะมีช่วงลดลงบ้างเมื่อสถานการณ์ COVID-19 เริ่มไม่สู้ดี แต่เมื่อการท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาบูมอีกครั้งจากการเปิดประเทศ ชาวไอจีก็พร้อมตอบสนองทำให้การพูดคุยเรื่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป
แน่นอนว่า Instagram เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในการลงรูปถ่าย เพื่อความสวยงาม ชาวไอจีถนัดในการหามุมสวยจากสถานที่ต่าง ๆ จนทำให้ทุกสถานที่ดูพิเศษ ทั้งจากเทคนิคการถ่ายภาพ การจัดมุม กล้องที่ดี หรือภาพสวย ๆ จากศิลปินและคนดังในโลกออนไลน์ ยิ่งดึงดูดให้คนคล้อยตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งสวยงามน่าดึงดูด และมีอิทธิพลมากพอที่จะให้คนไปตามรอย
3 เดือนก่อนเปิดประเทศ (เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน) จังหวัดที่ชาวไอจีพูดถึงมาก ที่สุดคือ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี นครราชสีมา และน่าน พวกเขาบ่นคิดถึงเชียงใหม่ ลงแคปชั่นอยากไปทะเล หรือลงรูปคาเฟ่บนเขา โดยภาพและเรื่องเก่า ๆ ถูกนำมาเล่าซ้ำในรูปแบบใหม่ เช่น เล่าถึงประสบการณ์ความสุขในอดีต หรือหยิบภาพวิว ธรรมชาติมาเป็นกำลังใจในการทำงาน #ธรรมชาติบำบัด
เมื่อเปิดประเทศนำร่องในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เกือบทุกจังหวัดจึงเป็นที่กล่าวถึงมากขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน ชาวไอจีพูดถึง เชียงใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า ขณะที่ เชียงรายและน่านเพิ่มขึ้น 3 เท่า หลังจากนั้นในเดือนพฤศจิกายน หลายสถานที่ท่องเที่ยวเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เหล่า Part Time Traveler เตรียมออกเดินทางอีกครั้ง
คนที่โพสต์เรื่องเที่ยวส่วนใหญ่คือ ผู้หญิง โดยเฉพาะคนที่อายุ 18-24 ปี (33%) และ 25-34 ปี (32%) โดยผู้หญิงมีแนวโน้มโพสต์รูปภาพ ได้ตลอดทั้งวัน ต่างจากผู้ชายที่อาจโพสต์เป็นบางช่วงเวลา เช่นตอนเช้าหรือตอนเย็นไปเลย
คาเฟ่ ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว และการไปคาเฟ่ ไม่ได้มีเพียงเพื่อลิ้มรสชา กาแฟ หากแต่เป็นการเสพบรรยากาศร้าน การไปคาเฟ่คือ ไลฟ์สไตล์สาย Cafe Hopping แสดงความเป็นตัวเองออกมาผ่านรูปถ่ายและแฮชแท็ก #cafehopping โดยคาเฟ่เป็นที่เที่ยวยอดนิยมของชาวไอจีมานานแล้ว รองจากทะเล และเป็นหนึ่งในจุด Check in และจุดหมายปลายทางเมื่อไปเยือนจังหวัดต่าง ๆ โดยจังหวัดยอดนิยมที่คนพูดถึงคู่กับคาเฟ่ ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, น่าน, พัทยา และ เขาใหญ่
เพราะทุกคนต้องการพักผ่อน และการหลบออกจากความวุ่นวายมา พึ่งธรรมชาติคือสิ่งที่หลายคนเลือกเพื่อบำบัดความเหนื่อยหน่าย โดยจะเห็นได้จาก #ธรรมชาติบำบัด ที่เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่า หลังจากเปิดประเทศเดือนตุลาคม รวมถึง ทะเล ภูเขา เดินป่า แค้มปิ้ง ที่เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน
และจากการวิเคราะห์รูปภาพ 40,000 รูปที่ถูกโพสต์บน Instagram ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน พบว่า 68% เป็นภาพถ่ายธรรมชาติมีส่วนประกอบของต้นไม้ และ 53% เป็นภาพถ่ายคน
]]>หลังจากทางรัฐบาลได้ออกมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ โดยให้ร้านอาหารงดให้บริการแบบนั่งทานในร้าน ให้ซื้อกลับบ้าน หรือเดลิเวอรี่อย่างเดียวเท่านั้น ทำเอาบรรดาร้านอาหารต้องกุมขมับกันอีกรอบ
แต่ Daiso Sushi ร้านอาหารญี่ปุ่นในเชียงใหม่ เปิดมิติใหม่ในการทานอาหารบุฟเฟ่ต์ โดยเปิดบริการใหม่ Drive-In Buffet แค่จอดรถตามช่องที่จอด รับประทานอาหารบนรถ มีพนักงานคอยเสิร์ฟตามออเดอร์
ราคาบุฟเฟ่ต์คนละ 500 บาท ทานได้ 2 ชั่วโมง ราคาเท่ากับทานที่ร้าน แม้ไม่สะดวกเท่าทานในร้านปกติ แต่ก็น่าจะเต็มอิ่มได้ และเป็นประสบการณ์ใหม่
ทางร้านได้มีมาตรการรักษาความสะอาดอย่างรัดกุม เช่น
– พนักงานทุกท่านจะสวมผ้าปิดจมูกและถุงมือตลอดเวลา และเปลี่ยนทุกครั้ง
– อุปกรณ์ในการรับประทานอาหาร ทางร้านใช้เครื่องล้างจานที่ใช้น้ำร้อนอุณหภูมิสูงที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้
– ให้บริการสั่งอาหารผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้าโดยตรง
– ทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำหลังจากให้บริการเสร็จ
– ตรวจวัดอุณหภูมิของพนักงานทุกท่านก่อนเข้าทำงานทุกครั้ง
– วัตถุดิบทุกชนิดที่มาให้บริการ เราเลือกสรรค์จากแหล่งและโรงงานที่มีความเชื่อถือ สะอาด และปลอดภัย
เชื่อว่าวิกฤตครั้งนี้ ทำให้ร้านอาหาร ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไอเดียไหน ทางเราขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกท่าน
ชลบุรี อีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากคลายล็อกดาวน์ ซึ่งได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาดีขึ้น อีกทั้งยังมีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ดัชนีอุปทานและราคาอสังหาฯ กลับปรับลดลงอย่างมากจากไตรมาสก่อน คาดว่าเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ ทำให้ชลบุรีกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
ดัชนีราคาอสังหาฯ ในภาพรวมลดลง -10% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 จากที่เคยเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเกือบทุกทำเลมีดัชนีราคาลดลง ยกเว้นอำเภอเมืองชลบุรี ดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% และอำเภอศรีราชาเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน ส่วนดัชนีอุปทานลดลงอย่างมากถึง -70% จากไตรมาสก่อน โดยอุปทานส่วนใหญ่ถึง 70% อยู่ในอำเภอบางละมุง รูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากที่สุด ได้แก่ คอนโดฯ มีจำนวนถึง 64% ของอุปทานทั้งหมดในจังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบางละมุงเช่นกัน
หากแบ่งจำนวนอุปทานตามระดับราคา พบว่า ที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดฯ และทาวน์เฮาส์ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวอยู่ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท
แม้จะมีสัญญาณดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ซึ่งตลาดอสังหาฯ ได้อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาดีขึ้น แต่จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 พบว่า ดัชนีราคาอสังหาฯ ในภาพรวมลดลง -7% จากไตรมาสก่อน โดยดัชนีราคาลดลงทุกรูปแบบที่อยู่อาศัยในเกือบทุกทำเล เช่น อำเภอเมืองเชียงใหม่ลดลง -3% และลดลงมากที่สุดในอำเภอพร้าว ลดลงถึง -35% ยกเว้นในอำเภอแม่แตง และอำเภอแม่วัง เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 23% และ 22% ตามลำดับ
ขณะที่ดัชนีอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน โดย 43% อยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ รูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากที่สุดในเชียงใหม่คือ บ้านเดี่ยว มีจำนวนถึง 66% ของอุปทานทั้งหมดในจังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ และอำเภอสันทราย ทั้งนี้ หากแบ่งจำนวนอุปทานตามระดับราคา พบว่าที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท โดยคอนโดฯ บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาททั้งหมด
ตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตเริ่มกลับมาส่งสัญญาณฟื้นตัวอีกครั้งหลังคลายล็อกดาวน์ พร้อมทั้งได้แรงหนุนที่ดีจากการท่องเที่ยวของคนไทยที่เลือกเดินทางมาภูเก็ตมากขึ้นในช่วงที่ปิดประเทศ รวมถึงสัญญาณของภาครัฐที่เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในภูเก็ตได้อีกครั้ง แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็ยังเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งล้วนส่งผลให้มีการเติบโตในตลาดอสังหาฯ อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ภูเก็ตนั้นได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการระบาดระลอกใหม่ เนื่องจากยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อไม่มากนัก ขณะที่ดัชนีราคาอสังหาฯ ในภาพรวมยังคงเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากบ้านเดี่ยวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นถึง 3% และคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน สะท้อนให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีทิศทางเติบโต
ในขณะที่ดัชนีอุปทานเพิ่มขึ้นถึง 18% จากไตรมาสก่อนเช่นกัน โดยอยู่ในอำเภอกะทู้ อำเภอเมืองภูเก็ต และอำเภอถลางในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน รูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากที่สุดในภูเก็ตคือ คอนโดมิเนียม คิดเป็นสัดส่วน 56% ของอุปทานทั้งหมดในจังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอกะทู้ และเมื่อพิจารณาจำนวนอุปทานตามระดับราคา พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์อยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท
“การแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่เป็นอีกแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะเป็นปีปรับสมดุลของตลาดอสังหาฯ ทั้งในแง่ของราคาและอุปทาน และจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แต่การแพร่ระบาดระลอกใหม่อาจส่งผลให้ต้องใช้ระยะเวลาปรับตัวนานขึ้น แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ชัดเจนเนื่องจากระยะเวลาที่สั้นเกินไป แต่เชื่อว่าจากประสบการณ์ในปีที่ผ่านมา และการที่วัคซีนที่กำลังจะเข้าไทยเร็ว ๆ นี้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้ข้ามผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้” นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าว
]]>ณัฐธีรา จิราธิวัฒน์ บุญศรี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด เผยว่า
“เซ็นทรัล เล็งเห็นศักยภาพของธุรกิจค้าปลีกทางภาคเหนือ จึงได้ศึกษาแผนธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ เปลี่ยนห้างเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว เป็น ห้างเซ็นทรัลเอาต์เล็ต (CENTRAL OUTLET) ที่ศูนย์การค้ากาดสวนแก้ว ซึ่งนับเป็นห้างเอาต์เล็ตแห่งใหม่ล่าสุดของภาคเหนือ ใจกลางเมืองเชียงใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งให้ลูกค้าชาวเชียงใหม่ และภาคเหนือ“
ห้างเซ็นทรัลเอาต์เล็ต (CENTRAL OUTLET) ที่ศูนย์การค้ากาดสวนแก้ว พร้อมต้อนรับลูกค้าให้ได้มาช้อปปิ้ง ด้วยส่วนลดสูงสุดถึง 90% พบกับกองทัพสินค้าทั้งแบรนด์ไทย–แบรนด์อินเตอร์ (International Brand) ครบครันสินค้าทุกประเภทไม่ว่าจะเป็น สินค้าแฟชั่น, เครื่องสำอาง, ชุดชั้นใน, สินค้าสปอร์ต, อุปกรณ์เครื่องใช้ครัวเรือน รวมถึงสินค้าเด็ก
ณัฐธีรา กล่าวเสริมว่า “เราเชื่อมั่นว่า การเปลี่ยนห้างเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว เป็น ห้างเซ็นทรัลเอาต์เล็ต (CENTRAL OUTLET) ที่ศูนย์การค้ากาดสวนแก้ว จะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการจับจ่าย หนุนเสริมเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ ให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น และจะกลายเป็นจุดหมายใหม่ของนักช้อปในพื้นที่ภาคเหนือ
นอกจากนี้ ยังมี ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ (แยกศาลเด็ก) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ร่วมสร้างความตื่นเต้น และสร้างสีสันการช้อปปิ้งได้อย่างแน่นอน”
]]>