เซ็นทรัลกรุ๊ป – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 12 Mar 2024 09:21:01 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สยบข่าวลือ! “สุโกศล” ร่อนจดหมายแจง “ไม่ขาย” ที่ดินลานมรกต (ข้างเซ็นทรัล ชิดลม) ตามที่เป็นข่าว https://positioningmag.com/1466035 Tue, 12 Mar 2024 08:32:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466035 หลังจากมีข่าวสะพัดในวงการซื้อขายที่ดินมาพักใหญ่ว่า “ลานมรกต” ที่ดินทำเลทองข้างเซ็นทรัล ชิดลมกำลังจะมีการเปลี่ยนมือ ล่าสุด “สุโกศล” ครอบครัวเจ้าของที่ดินดังกล่าวออกจดหมายชี้แจงแล้วว่า ที่ดินแปลงดังกล่าว “ไม่ขาย” จะทำสัญญาให้เช่าเท่านั้น

สื่อมวลชนได้รับจดหมายชี้แจงจาก บริษัท กมลสุโกศล จำกัด เนื้อความจดหมายชี้แจงเรื่องการซื้อขายที่ดินข้างซอยสมคิดของครอบครัวสุโกศลซึ่งคนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ “ลานมรกต” โดยมีเนื้อหาดังนี้

คำชี้แจง
เรื่อง ที่ดินชิดลมข้างซอยสมคิด

สืบเนื่องจากข่าวการขายที่ดินลานโล่งชิดลมข้างห้างเซ็นทรัลและซอยสมคิด ที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าวครอบครองโดยเจ้าของร่วมครอบครัวสุโกศล และยังไม่มีการขายหรือเจรจาขายตามปรากฎในข่าว ครอบครัวสุโกศลไม่มีแผนการขายแต่อย่างใด และมีเพียงแผนการปล่อยเช่าระยะสั้นและระยะยาวเท่านั้น

วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2567
ครอบครัวสุโกศล

ลานมรกต ไม่ขาย

“ลานมรกต” ที่ดินไข่แดงกลางดงเซ็นทรัล

ที่ดินแปลงดังกล่าวถือเป็นที่ดินทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ มีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ หัวมุมถนนเพลินจิตตัดกับซอยสมคิด

เมื่อกางแผนที่ดูจะพบว่า ที่ดินลานมรกตตั้งอยู่ติดกับเซ็นทรัล ชิดลม และเกือบติดกับเซ็นทรัล เอ็มบาสซี มีเพียงถนนซอยสมคิดคั่นไว้เท่านั้น

ที่ผ่านมามักจะมีข่าวในแวดวงซื้อขายที่ดินมาตลอดว่าที่ดินแปลงนี้จะมีการขายเปลี่ยนมือ รวมถึงข่าวสะพัดรอบล่าสุด ที่มีรายงานว่า “จิราธิวัฒน์” ตระกูลเจ้าของเครือเซ็นทรัล ติดต่อซื้อที่ดินแปลงนี้ได้แล้วในราคาถึง 4.4 ล้านบาทต่อ ตารางวา ก่อนที่ทางสุโกศลจะออกจดหมายชี้แจงดังกล่าว

ลานมรกต ไม่ขาย
ตำแหน่งแปลงที่ดิน “ลานมรกต” (Photo: Google Maps)

หากเครือเซ็นทรัลจะสนใจซื้อที่ดินลานมรกตจริงย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะนอกจากเซ็นทรัล ชิดลม และ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ที่เปิดบริการแล้ว เครือเซ็นทรัลร่วมกับฮ่องกงแลนด์ยังปิดดีลซื้อที่ดินสถานทูตอังกฤษเนื้อที่ 23 ไร่ ด้านหลังเซ็นทรัล เอ็มบาสซีไปเมื่อปี 2561 เพื่อนำมาก่อสร้างโครงการส่วนต่อขยายของเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ด้วยเหตุนี้ ที่ดินลานมรกตที่อยู่ตรงกลางอาณาจักรเซ็นทรัลจึงน่าจะเป็นที่หมายปองของกลุ่มจิราธิวัฒน์ เพื่อต่อจิ๊กซอว์อาณาจักรให้เป็นผืนเดียว

สำหรับครอบครัวสุโกศลเจ้าของที่ดินนั้นมีธุรกิจหลากหลายในเครือ เช่น ธุรกิจนำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวิศวกรรม ธุรกิจโรงแรมเครือสุโกศล รวมถึงมีสมาชิกครอบครัวที่มีชื่อเสียงในแวดวงศิลปะดนตรี เช่น กมลา สุโกศล เจ้าของเพลง Live and Learn, กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือ น้อย วงพรู

]]>
1466035
รู้จักแบรนด์ “Go!” ในเครือ “เซ็นทรัล” ใช้บุกเซ็กเมนต์ “ราคาประหยัด” ตั้งแต่ค้าปลีกถึงโรงแรม https://positioningmag.com/1388952 Thu, 16 Jun 2022 06:22:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1388952 แบรนด์ Go! ปรากฏขึ้นในแผนธุรกิจเครือ “เซ็นทรัล” อีกครั้งเมื่อเซ็นทรัลพัฒนาประกาศใช้แบรนด์นี้ทำตลาดโรงแรมระดับพรีเมียมแมสในนาม “Go! Hotel” หลังจากก่อนหน้านี้เมืองไทยได้เห็นทั้งแบรนด์ร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ด “Go! Wow” และแบรนด์ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน “Go! Power” แล้วแบรนด์ “ราคาประหยัด” นี้ที่จริงแล้วเริ่มต้นมาจากไหน?

แบรนด์ Go! นั้นถือกำเนิดขึ้นในประเทศเวียดนามเมื่อปี 2561 จากสถานการณ์การซื้อขายเปลี่ยนมือที่ทำให้ “เซ็นทรัล” ต้องคิดค้นปั้นแบรนด์ใหม่ขึ้นมาแทนที่แบรนด์เก่าซึ่งจะไม่อยู่ในครอบครองของบริษัท

ปูพื้นก่อนว่าเครือเซ็นทรัลนั้นเริ่มเข้าไปทำตลาดเวียดนามตั้งแต่ปี 2555 โดยเริ่มจากส่งแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นเข้าไปจำหน่าย ก่อนที่ปี 2558 จะเริ่มการบุกค้าปลีก เข้าซื้อหุ้น “เหงียนคิม” ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และ “ลานซี มาร์ท” ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลางถึงใหญ่

โอกาสครั้งใหญ่ในเวียดนามเกิดขึ้นเมื่อปี 2559 กลุ่มคาสิโน จากฝรั่งเศสต้องการขายกิจการ “บิ๊กซี” ในเวียดนามและประเทศไทย หลังจากเจรจาดีลกันแล้วปรากฏว่า กลุ่มเซ็นทรัลได้เข้าซื้อบิ๊กซีเวียดนาม ส่วนกลุ่มบีเจซีได้สิทธิเข้าซื้อบิ๊กซีฝั่งไทย และยังได้ถือลิขสิทธิ์แบรนด์บิ๊กซีอีกด้วย

นั่นหมายความว่าในอนาคต เมื่อสิ้นสุดสัญญาใช้แบรนด์ (คาดหมดสัญญาราวปี 2565) กลุ่มเซ็นทรัลจะต้องเปลี่ยนแบรนด์บิ๊กซีในเวียดนามไปเป็นอย่างอื่น ทำให้เซ็นทรัลมีการปั้นแบรนด์ใหม่ของตนเองในชื่อ “Go!” ใช้แบรนด์เป็นสีแดง-ขาว ฟอนต์ตัวอักษรดูสนุกสนาน สดใส เป็นกันเอง ฉีกแนวไปจากบิ๊กซีเดิม แต่ว่ายังสื่อสารแบรนด์ในกลุ่มเซ็กเมนต์เดิม คือเป็นแบรนด์ “ราคาประหยัด” และยังใช้สโลแกนเดิมคือ “ราคาถูกเสมอ”

แบรนด์ Go!
Go! Mall ประเทศเวียดนาม

Go! ถูกนำมาใช้งานตั้งแต่ช่วงปี 2561 และทยอยรีแบรนด์บิ๊กซีเป็นชื่อใหม่นี้ ปัจจุบัน “เซ็นทรัลรีเทล” ได้ขยายแบรนด์ Go! ในเวียดนามไปหลายฟอร์แมท ได้แก่

  • Go! Hypermarket โมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ เน้นทำเลหัวเมือง
  • Go! Mall ค้าปลีกสไตล์ใหม่ ผสมผสานซูเปอร์มาร์เก็ตเข้ากับส่วน กิน ช้อป เล่น และเรียนรู้ มีร้านอาหาร ร้านค้าแฟชั่น จนถึงโรงภาพยนตร์ (คล้ายกับโรบินสันไลฟ์สไตล์)
  • Mini Go! ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดย่อมลงมา เน้นทำเลเมืองรองและชนบท
Go! Hypermarket ในเวียดนาม

จากนั้นเมื่อเซ็นทรัลรีเทลมีแผนจะเปิดธุรกิจใหม่ในไทยโดยเป็นตลาดระดับราคาประหยัด ทำให้แบรนด์ Go! ถูกดึงมาใช้ที่ไทยได้พอดี และตามด้วยแผนของเซ็นทรัลพัฒนาที่จะเปิดโรงแรมระดับ 3 ดาวที่สอดคล้องกับลักษณะแบรนด์ โดยมีการเปิดตัวธุรกิจต่างๆ ภายใต้แบรนด์นี้แล้ว ดังนี้

  • Go! Wow ร้านสินค้าเบ็ดเตล็ด เปิดตัวครั้งแรกปี 2564 ปัจจุบันขยายไป 23 สาขา และมีแผนเปิดครบ 70 สาขาภายในปีนี้ โดยคอนเซ็ปต์ร้านขายสินค้าจิปาถะราคาเริ่มต้นเพียง 5 บาท ร้านมีขนาดใหญ่ ลงทำเลทั้งในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และสแตนด์อโลนที่เจาะเข้าไปในชุมชน
Go! Wow ในรูปแบบสแตนด์อโลน
  • Go! Power ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาประหยัด เปิดตัวครั้งแรกปี 2564 ปัจจุบันขยายไปแล้ว 7 สาขา คอนเซ็ปต์ร้านเน้นทางเลือกเงินผ่อนสำหรับลูกค้า โดยจับมือกับธุรกิจลิสซิ่งเพื่อให้ลูกค้าผ่อนได้ง่ายโดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว ทำเลเลือกตั้งในชุมชนต่างจังหวัด
บรรยากาศร้าน Go! Power
  • Go! Hotel โรงแรมระดับพรีเมียมแมสที่พัฒนาโดยเซ็นทรัลพัฒนา และบริหารโดยเซ็นทารา เกิดจากนโยบายของเซ็นทรัลพัฒนาที่ต้องการโรงแรมประกบคู่กับศูนย์การค้าในหัวเมืองรอง เจาะกลุ่มลูกค้าไทยที่มีทั้งการเดินทางเพื่อพักผ่อนและเพื่อธุรกิจ ต้องการโรงแรมราคาไม่สูงมากแต่ได้มาตรฐาน
โรงแรม 3 ดาว
ภาพจำลอง Go! Hotel

หลังโลดแล่นในตลาดมา 4 ปี นับว่าแบรนด์ Go! มีการขยายไปใช้ในธุรกิจต่างๆ หลากหลายทั้งในเวียดนามและในไทย ทำให้เป็นฐานแบรนด์สำคัญสำหรับเซ็กเมนต์ ‘ราคาประหยัด’ ของเซ็นทรัล น่าสนใจว่าธุรกิจที่แตกต่างกันแต่ใช้แบรนด์ร่วมกันของฝั่งเวียดนามและฝั่งไทย จะสามารถข้ามฟากไปปักหมุดในอีกประเทศหนึ่งได้หรือไม่ในอนาคต

]]>
1388952
“วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” มอลล์หรูติดหาด ยกระดับรีเทลรูปแบบพิเศษของ “เซ็นทรัล” https://positioningmag.com/1384365 Mon, 09 May 2022 07:43:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1384365 “แหงนหน้าเห็นท้องฟ้า ระดับสายตาเห็นต้นไม้ ก้าวเท้าเหยียบผืนทราย” คือแนวคิดการออกแบบโปรเจ็กต์รีเทลใหม่ของ “เซ็นทรัล” ที่ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” เห็นภาพการสร้างศูนย์การค้าที่แตกต่าง โดยจะเป็นมอลล์แห่งแรกในไทยที่มีพื้นที่ติดหน้าหาดแบบไม่มีถนนกั้น พร้อมถมทรายในโครงการ เป็น ‘บีช ปาร์ค’ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่

โปรเจ็กต์พิเศษนี้อยู่ภายใต้การนำของ “พงศ์ ศกุนตนาค” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล หน่วยธุรกิจที่ดูแลโครงการรีเทลพิเศษของเซ็นทรัลซึ่งไม่อยู่ภายใต้เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือเซ็นทรัลพัฒนา ปัจจุบันมีโครงการในมือ 10 แห่ง เช่น ปอร์โต เดอ ภูเก็ต, ตลาดจริงใจ เชียงใหม่, ไชน่าเวิลด์ วังบูรพา, หัวหมาก ทาวน์เซ็นเตอร์, มาร์เก็ต เพลส วงศ์สว่าง รวมแล้วทำรายได้กว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี

ทำให้โครงการ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” จะเป็นโครงการที่ 11 และพลิกโฉมการพัฒนารีเทลแบบดั้งเดิม เพราะคอนเซ็ปต์โครงการออกแบบเป็น Unique Natural Beach Park and Lifestyle Mall แห่งแรกของประเทศไทย ใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาท

ทำเลที่ตั้ง วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ ติดหน้าหาด (ภาพจาก: Google Maps)

ทำเลของโครงการนี้เป็นที่ดินเก่าของ “เซ็นทรัล” ตั้งอยู่ติดหาดวงศ์อมาตย์ ห่างจากโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช พัทยา 200 เมตร เดินทางเข้าได้ทั้งทางซอยนาเกลือ 16 และซอยนาเกลือ 18 พื้นที่โครงการแบ่งเป็น 3 เฟส บริเวณติดหาดเฟส 1-2 พื้นที่ 13 ไร่ และเฟส 3 มีพื้นที่ 55 ไร่

ด้วยความที่ทำเลติดหน้าหาดกว้าง 90 เมตรโดยไม่มีถนนกั้น ทำให้เป็นมอลล์แห่งแรกที่สามารถออกแบบเป็น บีช ปาร์ค ได้ การออกแบบโครงการจะกลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด ร้านค้าทั้งหมดจะเป็นอาคารชั้นเดียว ถมทรายภายในโครงการให้เหมือนกับเดินบนชายหาด เก็บต้นไม้ใหญ่ไว้ และมีพื้นที่สีเขียวถึง 75% นักท่องเที่ยวจะได้บรรยากาศความสงบ ไม่แออัด

วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

ด้านการวางคอนเซ็ปต์ไลฟ์สไตล์ จะแบ่งพื้นที่ 70% ให้กับร้านอาหาร คาเฟ่ และ 30% เป็นร้านค้าปลีก เน้นการเป็น Central of Life คือสามารถเข้ามาใช้ชีวิตได้ทุกกลุ่ม ทุกวัย อยู่ได้ทั้งวัน ตั้งแต่มื้อเช้า จิบกาแฟ ทานอาหารกลางวัน ช้อปปิ้ง ชมพระอาทิตย์ตกดิน ทานอาหารเย็น และปาร์ตี้ยามค่ำคืน

ไฮไลต์อีกส่วนคือ “กิจกรรม” ที่จะใช้ประโยชน์เต็มที่จากพื้นที่ติดหาดของศูนย์ฯ เช่น กิจกรรมโยคะ วาดภาพ วอลเลย์บอลชายหาด ชมภาพยนตร์ริมหาด จนถึงงานดนตรี

วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

 

เจาะกลุ่มเป้าหมาย “ตลาดบน”

พงศ์กล่าวต่อว่า เซ็กเมนต์ที่มุ่งเป้าของ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” จะเป็นกลุ่มระดับบน ให้สอดคล้องกับพื้นที่รอบข้าง เพราะบริเวณหาดวงศ์อมาตย์เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ แวดล้อมด้วยโรงแรม 5 ดาว ทำให้ร้านค้า-ร้านอาหารจะเป็นระดับพรีเมียม ขณะนี้มีจองพื้นที่แล้ว 50% จากร้านค้า 29 ร้าน ค่าเช่าที่เฉลี่ย 5,000 บาทต่อตร.ม.

แผนผังร้านค้าในโครงการ เฟส 1 และ 2 ส่วนเฟส 1 นั้นจะมีสนามเด็กเล่นไว้รองรับกลุ่มครอบครัว และเฟส 2 จะมีฟาร์มออร์แกนิกส์ด้วย

ร้านที่เปิดเผยได้แล้วว่าจะมีการเปิดสาขาคือ Siwilai City Club ขยายออกจาก เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และจากภาพเพอร์สเปคทีฟ เราอาจจะได้เห็น % Arabica สาขาใหม่ที่นี่

กลุ่มเป้าหมายของโครงการ พงศ์คาดว่าจะเป็นชาวไทย 60-70% และชาวต่างชาติ 30-40% และหากมองในระยะยาว เมื่อเฟส 3 สร้างเสร็จ คาดว่าจะมีทราฟฟิกเข้ามาถึงปีละ 1 ล้านคน เพราะอนาคตพัทยาจะมีรถไฟความเร็วสูงตัดผ่าน และจะทำให้การมาพัทยาสะดวกยิ่งขึ้น

วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

เฟสแรกของโครงการคาดสร้างเสร็จธันวาคม 2565 และเฟส 2 จะสร้างต่อเนื่องในปี 2566 ส่วนเฟส 3 นั้นยังต้องรอรายละเอียดต่อไปว่า “เซ็นทรัล” จะออกแบบพัฒนาอย่างไร

สำหรับโปรเจ็กต์พิเศษลักษณะนี้ที่อยู่ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล พงศ์ระบุว่า ปกติจะใช้เวลา 2-3 ปีในการเปิดตัว 1 โครงการ โครงการก่อนหน้านี้ที่เปิดไปคือ ปอร์โต เดอ ภูเก็ต ศูนย์การค้าแบบ open air ย่านหาดบางเทา ซึ่งในช่วงเปิดตัวใหม่ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี แต่โชคร้ายที่หลังเปิดตัวเพียง 4 เดือนก็เผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 แต่เชื่อว่าหลังจากเปิดประเทศแล้วจะกลับมาคึกคัก ทำให้บริษัทเตรียมขยายเฟส 2 ต่อช่วงปี 2566

พื้นที่พัทยานั้นกำลังเนื้อหอมรับการเปิดประเทศ นอกจากกลุ่มเซ็นทรัลแล้ว ก่อนหน้านี้ AWC ของตระกูลสิริวัฒนภักดีก็เพิ่งแย้มรายละเอียดโครงการ อควอทิค พัทยา บริเวณพัทยากลาง ติดตามอ่านได้ที่นี่

]]>
1384365
เซ็นทรัลพัฒนา ผู้นำสะอาด มั่นใจ ผนึก 33 สาขาทั่วประเทศ เดินหน้าฝ่าวิกฤต ยกการ์ดสูงสุดทั่วไทย ป้องกันเชิงรุกขั้นสูงสุดในทุกมิติ https://positioningmag.com/1328856 Thu, 22 Apr 2021 10:30:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328856 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัล ภูเก็ต และ เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกของไทย ย้ำผู้นำแผนแม่บทมาตรการเชิงรุก “เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ” ยกระดับความเข้มข้นขั้นสูงสุดในศูนย์การค้าทั้ง 33 สาขาทั่วประเทศ ภายใต้แผนปฏิบัติการเชิงรุกที่แข็งแกร่งครอบคลุมในทุกมิติเพื่อให้สามารถรับมือได้ในสถานการณ์ทุกรูปแบบอย่างมืออาชีพ รวดเร็ว ลงลึกทุกรายละเอียด ให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด ครอบคลุมใน 5 แกนหลักสำคัญของแผนแม่บท ได้แก่ 1)การคัดกรองอย่างเข้มงวด 2) ยกระดับมาตรฐาน Social Distancing ทุกจุด 3) การติดตามเพื่อความปลอดภัย 4) การใส่ใจในความสะอาดทุกจุดสัมผัส และ 5) แนวทางลดการสัมผัส (Touchless) ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการป้องกันของกระทรวงสาธารณสุขที่เน้นย้ำให้ประชาชนการ์ดไม่ตก ยึดหลัก D-M-H-T-T ป้องกันตนเอง เพื่อย้ำความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า, พันธมิตรร้านค้า และให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจสูงสุดทุกครั้งเมื่อมาใช้บริการที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 33 สาขาทั่วประเทศ

ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ท่ามกลางสถานการณ์ในขณะนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทุกคน ช่วยกันยกการ์ดขึ้นสูงสุดอีกครั้ง เซ็นทรัลพัฒนา ในฐานะผู้นำสะอาด มั่นใจ เราเดินหน้าต่อเนื่องในการรักษามาตรฐานสูงสุดของแผนแม่บทเชิงรุกที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทั้ง 5 แกนหลักที่ครอบคลุม ยืดหยุ่น และถูกอัพเดทตลอดเวลา จากการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาหลากหลายรูปแบบใน 33 สาขา ทั่วประเทศ, การเป็นผู้นำนวัตกรรมความสะอาดด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ การพัฒนาลิฟต์ไร้สัมผัส และหุ่นยนต์ทำความสะอาด รวมไปถึงการคุมเข้มการเว้นระยะ 100% Social distancing ในทุกพื้น เพื่อช่วยกันสร้างบรรทัดฐานที่ดีและแข็งแกร่งให้พื้นที่ศูนย์การค้าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย รองรับการออกมาใช้ชีวิตจับจ่ายใช้สอย และสร้างความมั่นใจให้ของประชาชนมากที่สุด นอกจากนี้ ในทุกๆ วัน ทีมงานจะมีการประเมินสถานการณ์เชิงรุกด้วยการมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวตลอดเวลา แบบ Real-time เพราะในยุค Digital ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก การรับมือต้องกระชับ และมีกลยุทธ์  “Golden time” เพื่อการดำเนินงานรวดเร็ว ฉับไว ตลอด 24 ชม. จัดการสถานการณ์ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และมีการประเมินผลลัพธ์ เพื่อนำมาแก้ไข และพัฒนาอยู่เสมอ ทำให้ทุก Scenario ที่เข้ามายิ่งทำให้มาตรการของเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

ดร. ณัฐกิตติ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามีมาตรการที่ดี ระบบที่ดี ทีมงานที่ดี ด้วยการรักษามาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย ทำให้รับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้อย่างมืออาชีพ ทุกขั้นตอนถูกยกระดับให้เข้มข้นขึ้น ลงลึกรายละเอียดมากขึ้นตลอดเวลา เพื่อความมั่นใจสูงสุดตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาภายในศูนย์ ดังขั้นตอนต่อไปนี้

  • ทันที – ปฏิบัติการ Extra deep cleaning ทั่วทั้งศูนย์การค้า ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อพิเศษแบบเข้มข้น ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำยาเคมีภันฑ์ไม่กี่ชนิด ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันระดับโลก CBC approved (Center for Biocide Chemistries) สามารถฆ่าเชื้อ COVID-19 ได้ และรับรองโดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Agency – EPA) มีคุณสมบัติเป็น Food Grade ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร โดยเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์มาตรฐานระดับโลกที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก พร้อมมีมาตรการกักตัวผู้เกี่ยวข้องที่ชัดเจน นอกจากนี้ ร้านอาหารทุกร้านจะต้องทำความสะอาดโต๊ะทันทีภายใน 5 นาที ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหลังลูกค้าใช้บริการเรียบร้อยแล้ว
  • ป้องกันทุกวัน 100% สะอาดตลอดเวลา – มั่นใจสูงสุดด้วยการทำ Big cleaning ลงลึกทุกรายละเอียด และฉีดพ่นฆ่าเชื้อเชิงรุกหลังศูนย์ปิดทุกวัน เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เน้นย้ำเป็นพิเศษในจุดที่มีการสัมผัสร่วมสูง รวมถึงเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดทุกจุดสัมผัสทุกๆ 30 นาที และในห้องน้ำทุกๆ 1 ชั่วโมง, รณรงค์ขอความร่วมมือลูกค้างดการเดินรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการไม่สวมหน้ากากอนามัยระหว่างอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของศูนย์การค้า
  • ปลอดภัย – ระบบปรับอากาศฆ่าเชื้อด้วยแสง UVC ตลอดเวลา เพื่อให้อากาศที่หมุนเวียนภายในศูนย์การค้า สะอาด และปลอดภัยมากที่สุด พร้อมลิฟท์ไร้สัมผัส และนวัตกรรมหุ่นยนต์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ เป็นต้น
  • เข้มงวด – เน้นย้ำการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารทุกประเภท พร้อมติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ตามจุดต่างๆ กระจายทั่วศูนย์การค้า เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือตามประกาศภาครัฐ และลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด, เข้มงวดการเว้นระยะ 100% Social Distancing ในพื้นที่ส่วนกลาง และร้านค้า ทั้งการยืนรอคิว, พื้นที่พักรอคิว และ พื้นที่ Rest area

โดยเรายังคงเชื่อมั่นว่า หากคนไทยทุกคนร่วมมือกันดูแลตัวเอง กลับมาเฝ้าระวัง ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด จะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศลงได้ คนไทยทุกคนจึงต้องช่วยกันระมัดระวัง ใส่หน้ากากป้องกันตนเอง 100% หลีกเลี่ยงการไปในที่แออัดเพื่อลดความเสี่ยง ทั้งนี้ เซ็นทรัลพัฒนา ยังคงเดินหน้าสร้างวินัยตามมาตรการคุมเข้ม โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการร้านค้า และพนักงานร้านค้าทุกคนในการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาศูนย์การค้าให้สะอาดปลอดภัย และส่งเสริมการช้อปออนไลน์ต่างๆ ด้วย

ชมคลิป มาตรการแผนแม่บท เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ ยกการ์ดสูงสุดทั่วประเทศ

]]>
1328856
“ห้างเซ็นทรัล” เปิด 26 มาตรการ เตรียมความพร้อมเปิดให้บริการ 23 สาขาทั่วประเทศอีกครั้ง https://positioningmag.com/1277949 Mon, 11 May 2020 10:52:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1277949 ห้างเซ็นทรัล 23 สาขาทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมเปิดบริการอีกครั้ง ในกรณีที่รัฐบาลประกาศมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อควบคุมการระบาดของโรค COVID-19 ครอบคลุม 5 หัวข้อหลัก 26 มาตรการเข้มด้านสุขอนามัย

หลังจากที่ทาง CPN หรือเซ็นทรัลพัฒนาได้เปิดมาตรการรองรับความปลอดภัย เพื่อเตรียมพร้อมการเปิดให้บริการศูนย์การค้าแล้ว ทางห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลก็เปิดมาตรการรองรับด้วยเช่นกัน พบว่ามีรูปแบบไม่แตกต่างกันมากนัก

โดยมีข้อกำหนดครอบคลุมใน 5 หัวข้อหลัก 26 มาตรการเข้มด้านสุขอนามัย เพื่อเตรียมความพร้อมจะเปิดให้บริการทั้ง 23 สาขาทั่วประเทศอีกครั้ง

ปลอดภัยสูงสุด (Central is…Safe)

  • พนักงานต้องสวมหน้ากากอนามัย และเฟซชิลด์ (Face Shield) ตลอดเวลา ขณะปฏิบัติงาน และทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังบริการ
  • ตรวจวัดอุณหภูมิพนักงานทุกคน ทุก 3 ชั่วโมง

  • ควบคุมดูแลระบบระบายอากาศหมุนเวียน (Air Change) มากกว่า 10 เท่า เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งยังเพิ่มระบบฆ่าเชื้อโรคด้วยแสง UVC ในระบบปรับอากาศตลอดเวลา
  • มีระบบติดตาม (Tracking) ข้อมูลลูกค้าที่มาใช้บริการ รวมถึงพนักงานที่เข้ามาปฏิบัติงานที่ห้างสรรพสินค้า

เคร่งครัด คัดกรอง (Central is…Screening)

  • ให้บริการตรวจวัดอุณหภูมิ และบริการเจลแอลกอฮอล์ ก่อนเข้าห้างฯ ให้กับลูกค้า พนักงาน ทั้งหน้าร้านและสำนักงาน รวมถึงพนักงานร้านเช่า ตลอดจนผู้มาติดต่องาน หากพบว่ามีอุณหภูมิเกิน 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่ และแนะนำให้ไปพบแพทย์ทันที
  • ลูกค้า พนักงานหน้าร้าน และสำนักงาน รวมถึงพนักงานร้านเช่า และผู้มาติดต่องาน ต้องสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าห้างฯ หากไม่ได้เตรียมมา จะแนะนำให้ซื้อที่จุดคัดกรอง ซึ่งมีการตั้งโต๊ะจำหน่าย

  • คัดกรองความเสี่ยงของพนักงานทุกคนก่อนกลับเข้ามาปฏิบัติงาน โดยให้พนักงานทำแบบประเมินตนเอง (Self-Assessment) ผ่านลิงก์ หรือคิวอาร์โค้ดที่บริษัทฯ กำหนด หากพบความเสี่ยง พนักงานจะต้องปฏิบัติตามแนวทางการกักตัว (Self-Quarantine) มีการติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 14 วัน รวมทั้งหมั่นตรวจสอบอาการตนเองสม่ำเสมอ

สะอาด ปลอดภัย ไร้กังวล (Central is…Clean)

  • สินค้าที่จำเป็นต้องสัมผัสกับลูกค้าโดยตรง อาทิ ชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ เสื้อผ้า รองเท้า หรือแผนกเครื่องครัว ต้องนำสินค้าที่ลองหรือสัมผัสแล้ว ไปฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งทำความสะอาดภายในห้องลองด้วยการฆ่าเชื้อโรคทุกครั้งหลังใช้บริการ
  • ปูผ้าหุ้มพรม บริเวณประตูทางเข้า-ออก ห้างฯ พร้อมพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และเปลี่ยนผ้าวันละ 2 รอบ หรือบ่อยครั้งตามความเหมาะสมของแต่ละสาขา

  • ติดตั้งเครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วย UVC แบบอัตโนมัติที่ราวบันไดเลื่อน ห้างเซ็นทรัล (บางสาขา)
  • จัดให้มีจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ อาทิ ทางเข้าห้างฯ จุดประชาสัมพันธ์ เคาน์เตอร์แคชเชียร์ และในลิฟต์ทุกตัว รวมทั้งตรวจจุดติดตั้งเครื่องเจลแอลกอฮอล์ ทุก 2 ชั่วโมง เพื่อเติมไม่ให้ขาด
  • ทำความสะอาดห้องน้ำทุก 30 นาที และติดตั้งเครื่องจ่ายเจลแอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อโรคบนฝาสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ
    ทำความสะอาดตามรอบความถี่ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งทำความสะอาด Deep Cleaning ทั่วพื้นที่ขาย และห้องให้บริการต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เครื่องอบโอโซน และเครื่อง UVC เคลื่อนที่ หลังปิดทำการในแต่ละวัน
    ทำความสะอาดในจุดที่ลูกค้าสัมผัสมากด้วยนํ้ายาฆ่าเชื้อโรคทุกครึ่งชั่วโมง อาทิ ราวบันไดเลื่อน ที่จับประตู และปุ่มกดลิฟต์
  • ทำความสะอาดบัตรจอดรถและบัตรศูนย์อาหาร ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ก่อนและหลังการใช้งานทุกครั้ง

เว้นห่าง อย่างห่วงใย (Central is…Distancing)

  • จำกัดจำนวนคนเข้าห้างฯ ไม่เกิน 1 คน ต่อ 5 ตร.ม. โดยมีระบบในการนับที่เคร่งครัด
  • กำหนดจุดเว้นระยะห่าง ทุกประตูทางเข้า-ออก และทุกจุดให้บริการ อาทิ เคาน์เตอร์แคชเชียร์ เคาน์เตอร์บริการลูกค้า จุดเข้าคิวห้องน้ำ จุดแลกซื้อ จุดรอลิฟต์ บันไดเลื่อน ร้านและศูนย์อาหาร
  • มีการจัดที่นั่งเว้นระยะห่าง ณ พื้นที่ห้องบริการ และที่นั่งคอยในพื้นที่ขาย บริเวณเคาน์เตอร์ รวมถึงจุดบริการอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับภาชนะต่างๆ ในห้องเลาจน์ อาทิ แก้วน้ำ และช้อน เปลี่ยนเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง

  • จัดให้มีพื้นที่ติดต่อของบุคคลภายนอก และพนักงานรับส่งอาหาร โดยจัดทำป้าย และสติกเกอร์การเว้นระยะห่าง รวมทั้งทำความสะอาดตามรอบที่กำหนด
  • มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ เพื่อให้ลูกค้าเว้นระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างกัน ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข
    กำหนดทางเข้า-ออกของลูกค้า โดยใช้คนละข้างของประตู
  • ทำฉากกั้นใส (Window Shield) ที่เคาน์เตอร์บริการลูกค้า และบนโต๊ะรับประทานอาหาร (Table Shield) ในร้านและศูนย์อาหาร
  • ทำป้ายรณรงค์การป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 พร้อมข้อควรปฏิบัติในแต่ละพื้นที่ อาทิ การใช้ห้องน้ำ การใช้ลิฟต์ และการใช้บันไดเลื่อนที่ปลอดภัย

ลดเสี่ยงจากสัมผัส (Central is…A Touchless Experience)

  • ส่งเสริมการชำระเงินผ่านโมบายแบงกิ้ง หรืออีเพย์เมนต์ แทนการชำระเงินสด
  • กรณีลูกค้าชำระเงินสด ทั้งธนบัตรและเหรียญที่ได้รับจะแยกไว้เพื่อนำไปฆ่าเชื้อโรคโดยการอบโอโซน และเงินที่ทอนให้ลูกค้าจะมีการใส่แผ่นรองเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง
  • ติดตั้งแป้นเปิดประตูด้วยเท้าที่ประตูห้องน้ำ และห้องบริการต่างๆ เพื่อเลี่ยงการสัมผัสประตู

]]>
1277949
ถึง “บริการด้านการเงิน และฟินเทค” จะไม่สร้างรายได้โดยตรง แต่ก็ขาดไม่ได้! เหตุผลที่ “เซ็นทรัล” ต้องจับมือ “เวสเทิร์น ยูเนี่ยน” เปิดบริการโอนเงินข้ามประเทศแบบออนไลน์ https://positioningmag.com/1235378 Thu, 20 Jun 2019 03:53:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1235378 ภายใต้ยุทธศาสตร์ของกลุ่มเซ็นทรัลที่ทศ จิราธิวัฒน์ประธานกรรมการบริหารได้ประกาศไว้ว่า ต้องการก้าวเข้าสู่ Retail Tech Company เต็มรูปแบบ หรือการที่กลุ่มเซ็นทรัลจะไม่ใช่แค่การทำธุรกิจรีเทลเหมือนในช่วง 70 ปีก่อน แต่เป็น Tech Company ที่ทุกอย่างจะถูกขับเคลื่อนอยู่บนแพลตฟอร์ม

ที่มีทั้งฟิสิคัล แพลตฟอร์ม หรือร้านค้าปลีก และศูนย์การค้าในรูปแบบของออฟไลน์ และ ดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ แพลตฟอร์ม ที่จะเข้าถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่อยู่บนโลกของดิจิทัล เป็น Omni channel ที่เชื่อมโยงระหว่างออนไลน์และออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ

หนึ่งใน Bsiness Units ที่ถูกยกขึ้นมาเป็นคีย์หลักคือบริการด้านการเงิน และฟินเทค (Financial services & Fin Tech) ที่แม้จะไม่สร้างรายได้ให้โดยตรง แต่มนตรี สิทธิญาวณิชย์รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงิน บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด จำเป็นต้องมีเพราะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า โดยมีงาบใช้งบลงทุนเพื่อพัฒนาระบบต่างๆ กว่า 2,000 ล้านบาท

ปัจจุบันบริการด้านการเงินและฟินเทคภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มหลักได้แก่ บริการโบรคเกอร์ประกัน, บริการที่ปรึกษาด้านการลงทุน, อีเพย์เมนต์, บัตรของขวัญ, บัตรเครดิตเดอะวัน เซ็นทรัล, สินเชื่อเพื่อการใช้จ่าย และสินเชื่อส่วนบุคคล และ อีวอลเล็ท

แต่ที่ผ่านมาภาพของกลุ่มเซ็นทรัลกับ Bsiness Units อาจจะยังไม่ชัดมากนัก จนกระทั่งได้จับได้ออกมาประกาศจับมือกับเวสเทิร์น ยูเนี่ยนในการเปิดตัวบริการโอนเงินข้ามประเทศในรูปแบบออนไลน์ โดยสามารถโอนครั้งละไม่เกิน 2.5 แสน วันละไม่เกิน 8 แสนบาท คิดค่าบริการ 99 บาทต่อครั้ง ซึ่งเซ็นทรัลบอกว่า ถูกกว่าการไปโอนผ่านช่องทางอื่นๆ ที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์

นอกจากการชำระเงิน (โอนเงิน) สามารถชำระเงินในการทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชั่น เว็บไซต์ หรือการตัดบัญชีธนาคารไทย ธนาคารสามารถเลือกชำระเป็นเงินสดได้ที่เคาน์เตอร์เวสเทิร์น ยูเนี่ยน ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน ท็อปส์ และบิ๊กซี ทั่วประเทศจำนวน 84 สาขา ขณะเดียวกันเคาน์เตอร์เหล่านี้ยังเป็นสถานที่ยืนยันตัวตน กฎของธนาคารแห่งประเทศไทยหลังจากสมัครด้วย

สำหรับการโอนเงินหากโอนไปยังออนไลน์ด้วยกันจะใช้เวลา 15 นาทีถึงจะได้เงิน ถ้าเข้าบัญชีจะใช้เวลาราว 1-3 วัน ปัจจุบันสามารถโอนเงินโดยตรงไปยังบัญชีธนาคารหลายพันล้านบัญชีเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก หรือโอนไปยังตัวแทนของเวสเทิร์น ยูเนี่ยนที่มีอยู่มากกว่า 500,000 สาขาใน 200 ประเทศทั่วโลก

ดังนั้นการจับมือครั้งนี้จะทำให้เซ็นทรัล สามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยจะมีลูกค้าใหม่ที่เป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยกับการใช้ดิจิทัลเพย์เมนต์และไม่ชอบไปที่เคาน์เตอร์ นอกเหนือไปจากส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมที่จะได้รับ

ขณะเดียวกันดีลนี้ถือเป็นเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับเซ็นทรัลที่เวสเทิร์น ยูเนี่ยนจะให้บริการช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ขอเปิดเผย โดยสาเหตุที่เลือกเป็นเพราะเซ็นทรัลคือ Agent รายแรกในเมืองไทย ตั้งแต่ 25 ปีก่อน

ก่อนหน้านี้ได้เริ่มทดลองให้บริการมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และเปิดตัวอย่างเป็นทางการปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่ามียอดสมัครเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และมีจำนวนที่มาพิสูจน์ตัวตนเพิ่มจาก 10-20% เป็น 30-40% ในจำนวนนี้กว่า 90% เริ่มใช้บริการแล้ว ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเพศชายอายุ 30 – 40 ปี โอนเงินไปให้ทั้งญาติและด้านธุรกิจ เป็นกลุ่มชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย

ขณะเดียวกันกลุ่มเซ็นทรัลได้หันมารุกบัตรของขวัญโดยเปิดตัวบัตรที่สามารถใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่อยู่ในเครือได้ เบื้องต้นใช้จ่ายได้ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน ท็อปส์ B2S เป็นต้น เฟสถัดไปจะสามารถจ่ายในแฟมิลี่มาร์ท เดิมบัตรของขวัญจะใช้ได้เฉพาะธุรกิจที่ออกเท่านั้น ต่อไปวางแผนที่จะพัฒนาให้บัตรนี้สามารถเติมเงินได้ ซึ่งจะทำให้เซ็นทรัลได้ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้ามาวางแผนการตลาดได้.

]]>
1235378
เปิดสาขาใหญ่ไปทำไมในเมื่อซื้อออนไลน์ได้! “Power Buy” เพิ่มโมเดลไซส์เล็กควบ Omni Channel  https://positioningmag.com/1228988 Thu, 09 May 2019 06:59:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1228988 อย่างที่รู้กันว่านับวันพฤติกรรมของผู้บริโภค หันไปซื้อสินค้าในช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น ทำให้ร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่าง Power Buy ต้องปรับตัวรับมือด้วยกลยุทธ์ “Omni Channel” ผสมผสานการขายสินค้าทั้งหน้าร้านและในออนไลน์

วิธีการเช่นนี้ Power Buy ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อายุ 22 ปีของ “เครือเซ็นทรัล” ก็หยิบเอา Omni Channel มาใช้ได้ราว 3 ปีแล้ว โดยปีที่ผ่านมายอดขาย 18,000 ล้านบาท มาจากออนไลน์ราว 5% เติบโตจากปีก่อนหน้าที่มีสัดส่วนราว 1-2% เท่านั้น

ยอดขายที่เติบโตในออนไลน์ทำให้ Power Buy มองว่า ไม่จำเป็นต้องปูพรมเปิดสาขามากเท่าอดีต และการเปิดสาขาขนาดใหญ่ 2,000 – 5,000 ตารางเมตร ก็ไม่ใช่เป้าหมายอีกแล้ว

ธีรินทร์ คูสมิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดบริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด กล่าวว่า “สาขาจำนวน 106 สาขาที่มีอยู่ในระดับที่เพียงพอแล้ว โดยรีโนเวตใหม่และปรับเปลี่ยนสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมยุคนี้”

การขยายสาขายังต้องมีอยู่ เพราะยังมีบางกลุ่มที่ไม่คุ้นเคยวิธีสั่ง และกลุ่มที่ยังต้องการมาดูสินค้าจริง เพื่อสอบถามกับพนักงานอยู่ ซึ่งปีที่ผ่านมาพบมีลูกค้าเหล่านี้กว่า 1.3 ล้านคน

ดังนั้น จะใช้ขยายสาขาโมเดลไซส์เล็กขนาด 300 – 500 ตารางเมตร เปิดในศูนย์การค้า ซึ่งปัจจุบันมี 8 – 10 สาขา นอกเครือเซ็นทรัล เช่น เซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่พลาซ่า แต่สินค้าย่อมน้อยตามไปด้วย Power Buy จึงอุดช่องว่างด้วย “Ordering” 

ซึ่งหากลูกค้ามาที่ร้านแล้วไม่เจอ ค่อยสั่งในออนไลน์ที่มีกว่า 20,000 รายการแทน ตอนนี้เปิดแล้วใน 40 สาขา นี่ยังถือเป็น Next Step ของ Omni Channel ต่อจาก Click and collect หรือสั่งออนไลน์แล้วค่อยมารับสินค้าร้าน

ธีรินทร์ คูสมิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด

ขณะเดียวกันความท้าทายในการลุย Omni Channel คือการแข่งขันกับกลุ่ม E – Commerce ที่วันนี้แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าเอง ก็หันไปเปิด Official Store กันมากขึ้น รวมไปถึงสงครามราคาที่ดุเดือด ธีรินทร์ มองว่า ตอนนี้ใครตอบโจทย์ได้ดีกว่าก็จะได้ใจไป แต่ด้วยตลาดเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่มีใครสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด ต้องเก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

อย่าง Power Buy ได้เปรียบคู่แข่งตรงบริการ โดยทุกการสั่งซื้อในออนไลน์ จะมาพร้อมบริการติดตั้งฟรีโดยช่างผู้ชำนาญการ รวมถึงการให้บริการซ่อม เคลม หรือเปลี่ยน/คืนสินค้าได้ถึงที่บ้าน รวมไปถึงการแข็งเกร่งในสินค้ากลุ่มทีวีซึ่งมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุด และเครื่องซักผ้า แม้สินค้าหลักที่ขายดีในออนไลน์จะเป็นกลุ่มแก็ดเจ็ตก็ตาม

สำหรับภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า ธีรินทร์ ประเมิน อาจจะทรงตัว โดยช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาสินค้ากลุ่มเครื่องปรับอากาศมีเติบโตกว่า 30-40% เนื่องจากอากาศร้อน ไม่เหมือนปีที่แล้วฝนตกเกือบทุกวัน และกลุ่มเครื่องฟอกอากาศ

ส่วนเทรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในปีที่ผ่านมาพบว่า สินค้าชิ้นใหญ่และชิ้นเล็กเติบโตขึ้นมา โดยเฉพาะไมโครเวฟ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ซื้อคอนโคอยู่กันมากขึ้น ส่วนสินค้าที่ไม่หวือหวาเหมือนเดิมคือกลุ่มสมาร์ทโฟน

ในปีนี้ Power Buy เตรียมงบการตลาด 350 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50 ล้านบาท สำหรับกระตุ้นยอดขาย โดยเตรียมจัดอีเวนต์ลดราคา 2 ครั้ง กลางและปลายปี คาดมียอดขายรวมกัน 500 ล้านบาท ด้านภาพรวมปี 2019 คาดโต 8% ส่วนยอดขายจากออนไลน์เชื่อว่าจะยังไม่ถึง 8 – 10%

]]>
1228988
กลุ่มเซ็นทรัล หนุนภูมิปัญญาไทย ปั้นแบรนด์ “สินค้าชุมชนของเรา” สร้างรายได้คืนกลับสู่ชุมชนทั่วประเทศกว่า 400 ล้านบาท พร้อมชวนช็อปใหญ่แห่งปี “มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา 2559” วันที่ 16-19 มิ.ย. นี้ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ https://positioningmag.com/1094395 Mon, 13 Jun 2016 07:20:50 +0000 http://positioningmag.com/?p=1094395 กลุ่มเซ็นทรัล ขานรับนโยบายรัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศ เดินหน้าผลักดันสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรไทย ภายใต้แบรนด์ “สินค้าชุมชนของเรา” ด้วยสินค้ากว่า 883 รายการ จาก 104 ชุมชน รวม 38 จังหวัดทั่วประเทศ จำหน่ายในกลุ่มธุรกิจในเครือบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล ได้แก่ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์, โฮมเวิร์ค, ไทวัสดุ สร้างรายได้คืนกลับสู่ชุมชน ตั้งแต่ปี 2555-2558 กว่า 427 ล้านบาท ส่งผลให้ชุมชนมีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง พึ่งพาตนเองได้ มีความรู้ ความเข้าใจในการบริหารธุรกิจค้าปลีกที่สามารถถ่ายทอดต่อสู่ชุมชนข้างเคียง เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ไปพร้อมๆกัน อีกทั้งได้ร่วมมือ กับ กระทรวงพาณิชย์ จัด “มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา 2559” จำหน่ายสินค้าชุมชนจากเกษตกรแหล่งผลิตในโครงการสินค้าชุมชนของเรา โดยภายในงานจะมีสินค้ามาจำหน่ายมากกว่า 100 รายการ คาดมีจำนวนคนเที่ยวชมงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเกือบ 10,000 คนต่อวัน และตั้งเป้ายอดขาย 3.2 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 16-19 มิ.ย.59 ณ ลานอิเดน และ เซ็นทรัลคอร์ท ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์.

บุษบา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า เป็นเวลากว่า 5 ปี ที่กลุ่มเซ็นทรัล ได้ริเริ่ม โครงการสินค้าชุมชนของเรา โดยสร้าง แบรนด์ “สินค้าชุมชนของเรา” มุ่งเน้นที่จะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชุมชน ด้วยการมอบองค์ความรู้ด้านค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล ถ่ายทอดให้กับเกษตกรไทยที่มีพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นอยู่แล้ว ให้ต่อยอด เพิ่มขีดความสามารถทางการค้าได้มากขึ้น สามารถผลิตสินค้าคุณภาพ มีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่าง หรือสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น พร้อมเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าชุมชนภายในห้างร้านเครือกลุ่มเซ็นทรัลที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทำให้ชุมชนมีรายได้ที่แน่นอน และเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากช่องทางการจำหน่ายเดิมที่มีอยู่แล้วของตนเอง ทำให้ระบบเศรษฐกิจภายในชุมชนเกิดการหมุนเวียนที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เติบโตเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพได้ สำหรับโครงการสินค้าชุมชนของเรา กลุ่มเซ็นทรัลได้ให้ความช่วยเหลือชุมชน 3 ด้าน คือ

ข้อ 1.การพัฒนาคน เมื่อชุมชนมีความรู้ จะทำให้การประกอบการธุรกิจค้าปลีกของชุมชนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กลุ่มเซ็นทรัลจึงทำการส่งพนักงานของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีความรู้ในด้านค้าปลีก เข้าไปคลุกคลีก พูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์ให้กับชุมชนแหล่งผลิตอย่างใกล้ชิด อาทิ การส่งทีมจัดซื้อ เข้าไปช่วยแนะนำคัดสรรสินค้า, การผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, การบรรจุและออกแบบสินค้าให้สวยงามสะดุดตา และการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายตามหลักการอย่างถูกวิธี

ข้อ 2.พัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงศักยภาพด้านการผลิตของชุมชน ด้วยการ สนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง เพื่อผลผลิตที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย อาทิ การสร้างโรงคัดบรรจุ,การสร้างโรงเรือน การสร้างโรงแพ็คผัก , การให้ความรู้ด้านการพัฒนาผลผลิตเกษตรอินทรีย์หรือปลอดสารพิษ, การให้ความรู้ด้าน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัยตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้า

ข้อ 3.พัฒนาชุมชน เมื่อสินค้าชุมชนถูกนำมาจำหน่ายภายในโมเดิร์นเทรดของกลุ่มเซ็นทรัล ส่งผลให้ ชุมชนมีรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว อีกทั้งยังสามารถส่งต่อความรู้ความสามารถที่ได้รับไปช่วยเหลือชุมชนหรือหมู่บ้านอื่นๆ ให้สามารถมีอาชีพ มีรายได้เช่นเดียวกัน เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเกื้อกูล

ทั้งนี้ ภายในงาน มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา ประจำปี 2559 โดยความร่วมมือของ กลุ่มเซ็นทร้ล และกระทรวงพาณิชย์ จะได้พบกับบูธสินค้าจากชุมชนที่เดินทางไกลมาจำหน่ายด้วยตัวเองกว่า 50 บูธ จาก 50 ชุมชน มีสินค้ามากกว่า 100 รายการ ทั้งกลุ่มอาหารสด-แห้ง, กลุ่มผักผลไม้, กลุ่มเครื่องใช้-ของประดับ เช่น ส้มโอทับทิมสยาม จ.นครศรีธรรมราช, ข้าวไร่ลืมผัว จ. เพชรบูรณ์ , สับปะรดนางแล-ภูแล จ.เชียงราย, เมี่ยงปลาสมุนไพร จ.ประจวบคีรีขันธ์, กล้วยหน้าธัญพืช จ.ราชบุรี, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสกินแคร์ จ.เชียงใหม่และอุบลราชธานี, พรมอนกประสงค์ทรงใบไม้ จ.แพร่ เป็นต้น คาดมีผู้มาเดินชมงานตลอดทุกวันของการจัดงานไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นคน มียอดขายเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 50-60% จากเดิม 2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 3.2 ล้านบาท โดยประมาณ นอกจากนี้ มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา จะจัดให้มีขึ้นอีก 3 ครั้ง ได้แก่ ภาคกลาง วันที่ 8-12 กรกฎาคม 2559 ณ บริเวณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา แจ้งวัฒนะ ภาคเหนือ วันที่ 28 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม 2559 ณ บริเวณลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 1- 4 กันยายน 2559 ณ บริเวณลานโปรโมชั่นชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา อุดรธานี

ปัจจุบันแบรนด์ สินค้าชุมชนของเรา มีทั้งสิ้น 883 รายการ จากเดิม 690 รายการ และมีสินค้าจากชุมชนเพิ่มมากขึ้นเป็น 104 ชุมชน จากเดิม 72 ชุมชน แบ่งเป็น กลุ่มอาหารแปรรูป, กลุ่มผักและผลไม้อินทรีย์, กลุ่มสุขภาพและความงาม กลุ่มเครื่องใช้และของประดับตกแต่ง นอกจากนี้ยังทำให้ ชุมชนมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ต่อเดือนจากยอดขายเดิม ซึ่งเป็นผลมาจากการนำสินค้ามาจำหน่ายภายในห้างร้านของเครือกลุ่มเซ็นทรัล

ร่วมอุดหนุน สินค้าชุมชนของเรา ในงาน มหกรรมสินค้าชุมชนของเรา ระหว่างวันที่ 16-19 มิ.ย. 59 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ลานอิเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

]]>
1094395
สารพันความอร่อยชั้นเลิศ ราคาใหม่ สุดคุ้ม ที่มาร์คแอนด์สเปนเซอร์ฟู้ดฮอลล์ (M&S Food Hall) https://positioningmag.com/56627 Tue, 18 Jun 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=56627

มาร์คแอนด์สเปนเซอร์ (Marks&Spencer) หรือ M&S แบรนด์คุณภาพสัญชาติอังกฤษ นำเสนอผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม และขนม อาทิ บิสกิต สแน็ค ช็อกโกเลต ชา กาแฟ ซีเรียล ไวน์ ฯลฯ ราคาใหม่สุดคุ้ม พร้อมหลากหลายผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ยังคงใช้วัตถุดิบระดับพรีเมียม ภายใต้ M&S Food Hall ที่ทันสมัย สะอาด เรียบง่าย สะดวกยิ่งขึ้นในการเลือกซื้อสินค้า และโดดเด่นสวยงามสะดุดตาด้วยดิสเพลย์ที่มีธีมการตกแต่งแตกต่างไปในแต่ละเดือน

พบกับ M&S Food Hall ได้ ตั้งแต่ 20 มิ.ย 56 เป็นต้นไป ที่ห้างเซ็นทรัลทุกสาขา, เซ็นทรัลเวิลด์, ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา สาขาแจ้งวัฒนะ และสาขาแกรนด์ พระราม 9

]]>
56627
“ชาติ จิราธิวัฒน์” ปั้นห้างหรูใครว่ายาก https://positioningmag.com/14839 Mon, 09 Jul 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14839

ถึงจะมีกำหนดสร้างเสร็จปลายปี 2556 แต่ก็จำเป็นต้อง “อัพเดต” ความคืบหน้าให้สื่อมวลชนรับรู้กันเป็นระยะ เพราะโครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ถือได้ว่าเป็นความท้าทายใหม่โดยเฉพาะกับ “ชาติ จิราธิวัฒน์” เจนเนอเรชั่น 3 วัย 37 ปี มีชื่อเล่นว่า “เสือ” ที่ถูกเลือกให้เป็น “หัวเรือใหญ่” ดูแลโครงการนี้ 

“ดูสิ ผมหงอกเกือบเต็มหัวแล้ว เมื่อก่อนตอนอยู่ซีพีเอ็นยังไม่หงอกเท่านี้” ชาติพูดกับผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดีในงานแถลงข่าวความคืบหน้าโครงการที่เขาต้องให้ข้อมูลแบบจัดเต็มกับผู้สื่อข่าวทั้งจากไทยและต่างประเทศที่มากันแน่นห้องประชุม

ชาติ เคยมีประสบการณ์ดูแลแบรนด์ Mark & Spencer และManchester United  รวมถึงยังเคยได้ร่วมงาน “ซีพีเอ็น” ในการปรับปรุงห้างเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า ชาติร่วมตั้งแต่คิด ออกแบบตัวอาคารทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนการบริหารพื้นที่ภายในศูนย์การค้าฯ มาเป็นเวลา 5 ปี ช่วงนั้นเองเขาเคยฝากผลงานดึงแบรนด์ดังจำนวนมากมาไว้ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และเคยเป็นผู้จัดการแบรนด์ดังอย่าง Manchester United และ Mark & Spencer ก่อนจะได้รับมอบหมายจาก “ทศ จิราธิวัฒน์” ผู้เป็นอาให้เข้ามารับผิดชอบโครงการหรูแห่งนี้   

ภารกิจอันท้าทายของชาติครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เป็นห้างหรูระดับเฟิร์สคลาสเท่านั้น ยังต้องเป็นตัวตั้งตัวตี ปลุกปั้นให้สี่แยกเพลินจิต (คลิก) กลายเป็น “แลนด์มาร์ค” ใหม่ของกรุงเทพฯ โดยร่วมมือกับ 4 พันธมิตรสำคัญ คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, โครงการโนเบิล เพลินจิต, โครงการปาร์คเวนเจอร์ ดิ อิโคเพล็กซ์ ออนวิทยุ โดยกลุ่มบริษัทยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน), นายเลิศ กรุ๊ป ร่วมสร้าง “โครงการเพลินจิต ซิตี้” ด้วยมูลค่าเงินลงทุนรวม 50,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งศูนย์การค้า คอนโดมิเนียม และโรงแรม ที่มีกำหนดสร้างเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในช่วงปลายปี 2556 

เมื่อสี่แยกเพลินจิตกลายเป็น “แลนด์มาร์ค” ใหม่ของนักช้อป ที่จะมีทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม ชาติเชื่อว่าทำให้แยกนี้มียอดใช้จ่ายสูงกว่าย่านราชประสงค์เสียอีก เพราะอนาคตยังมีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านนี้ที่รอเปิดตัวอีก 14 โครงการ มูลค่ารวมถึง100,000 ล้านบาท 

สำหรับการบริหารพื้นที่ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี มีพื้นเช่า 70,000 ตารางเมตร ราคาเช่าต่อตารางเมตร 5,000 บาท พื้นที่ 50% จะรองรับแบรนด์เนมหรูที่ไม่เคยมาไทย ในลักษณะ Exclusive Brand ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากเทกโอเวอร์ห้างลา รีนาเซนเต ในอิตาลี โดยจะมีประมาณ 30% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด ส่วนแบรนด์เนมที่เคยเปิดในไทยแล้ว เมื่อมาเปิดสาขาที่นี่ก็ต้องเป็นแฟลกชิพสโตร์ที่ไม่เหมือนที่ไหน 

“มีคนถามเยอะว่า เซ็นทรัล เอ็มบาสซี กับห้างเซ็นทรัล ชิดลม จะไม่แย่งลูกค้ากันเองหรือ ผมบอกไม่หรอก เพราะผมจะใช้วิธีการเชื่อมทาง และใช้กิจกรรมอีเวนต์ดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการแบบคลัสเตอร์ ช้อปปิ้งและใช้บริการได้ทั้ง 2 ห้าง”

กลุ่มเป้าหมายจะเป็นไทยและต่างชาติอย่างละครึ่ง โดยกลุ่มที่จับตาสำหรับชั่วโมงนี้ คือลูกค้าชาวตะวันออก โดยเฉพาะจีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ จะมีถึง 50% รองลงมาเป็นอินเดีย 30% ตามมาด้วยตะวันออกกลาง 20% และยุโรป อเมริกา อยู่ที่ 10% 

ส่วนลูกค้าไทยต้องเริ่มจากลูกค้ากระเป๋าหนัก ระดับวีไอพี ที่มีอยู่ในลิสต์ประมาณ 10,000 รายทั่วประเทศ มียอดการซื้อสินค้าเฉลี่ย 100,000 บาท ต่อเดือน โดยต้องทำยอดขายช่วงแรกขอแค่ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทก็พอ

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”vertical-align: top; width: 464px;”>Profile :
ชาติ
จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร
สายงานค้าปลีก และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริษัทในกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด Age 37 ปี Family ลูกชายคนโตของ
สุทธิชาติ-แมรี่ แอนน์ จิราธิวัฒน์ มีพี่น้อง คือ ชาติ, ไท, แคน

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; width: 464px;”>Education
ปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์
Trinity College สหรัฐอเมริกา ระดับปริญญาโท
ที่ประเทศอังกฤษ

style=”vertical-align: top; width: 464px;”>Carrer  Hilight
style=”font-weight: bold;”>ปี 2554 – ปัจจุบัน : style=”font-weight: bold;”> กรรมการผู้จัดการ โครงการเซ็นทรัล
เอ็มบาสซี บริษัทเซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด style=”font-weight: bold;”>ปี 2548 : style=”font-weight: bold;”> ผู้จัดการ International
Leasing Manager บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา style=”font-weight: bold;”>ปี 2545-2548 : style=”font-weight: bold;”>ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ Manchester United
และกล้องดิจิตอลบริษัท ซีเอ็มจี จำกัด style=”font-weight: bold;”>ปี 2544-2545 : style=”font-weight: bold;”>ผู้จัดการฝ่ายการตลาด Mark &
Spencer กรุงเทพฯ ปี 2541-2543 : style=”font-weight: bold;”>ร่วมงานกับ GE Capital
ในโปรแกรมพัฒนาการบริหารจัดการ แผนกการตลาดพัฒนาธุรกิจ ปี 2540-2541 : style=”font-weight: bold;”>ผู้จัดการร้าน Mark & Spencer
ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล สาขาชิดลม ปี 2539-2540 : style=”font-weight: bold;”>เริ่มงานโปรแกรมฝึกอบรมการจัดการที่
Mark & Spencer อังกฤษ

]]>
14839