เช็กชื่อผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด “โรงแรม 3 ดาว” เมืองไทย

โรงแรม 3 ดาว
หลังจาก “เซ็นทรัลพัฒนา” ประกาศแผนลงมาจับตลาด “โรงแรม 3 ดาว” กลายเป็นอีกหนึ่งรายใหญ่ที่เข้าสู่ตลาด โดยแต่ละรายมีทิศทางการทำธุรกิจที่ทั้งเหมือนและแตกต่าง เราไปเช็กชื่อกันว่าโรงแรม 3 ดาวในไทยมีเชนใดบ้างในขณะนี้ และมุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มไหนเป็นหลัก

เครือ Accor – Ibis, Ibis Style

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,700 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 21 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 2 แห่ง (ไอบิส สไตล์ ทวินทาวเวอร์ส และ ไอบิส เชียงใหม่ นิมมาน)
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมในสไตล์เรียบง่าย ทันสมัย สนุกสนาน พนักงานเป็นมิตร ในราคาประหยัด เจาะกลุ่มทั้งนักท่องเที่ยวและกลุ่มเดินทางเพื่อธุรกิจ

โรงแรม 3 ดาว
ไอบิส สไตล์ กรุงเทพฯ-รัชดา

เครือ IHG – Holiday Inn Express

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 1,300-2,000 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 6 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: อย่างน้อย 7 แห่ง
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมเรียบง่ายและดูดี ตอบสนองลูกค้าที่ต้องการที่พักเพื่อการพักผ่อน เติมพลัง และทำงานเล็กๆ น้อยๆ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบที่ลูกค้าต้องการ

Holiday Inn Express สุขุมวิท 11

เครือ BWH Hotel Group – Best Western

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,500 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 5 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: N/A
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมออกแบบทันสมัย ต้อนรับอย่างอบอุ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เช่น Free Wi-Fi, เครื่องชงชากาแฟในห้อง, บริการเครื่องปรินท์ เน้นทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนและธุรกิจ (ทั้งนี้แบรนด์จะมีระดับ Plus และ Premier ที่ยกระดับขึ้นมาเป็น 4 ดาวด้วย)

Best Western Royal บุรีรัมย์

เครือดุสิตธานี – ASAI (อาศัย)

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 1,000-1,500 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 1 แห่ง (อาศัย เยาวราช)
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 1 แห่ง (อาศัย สาทร)
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: Eat, Work, Play กินดื่ม ทำงาน พักผ่อน ประสบการณ์แบบลักชัวรีในราคาจับต้องได้ เชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นในทำเล

อาศัย เยาวราช

เครือเซ็นทารา – COSI (โคซี่)

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 500-1,000 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 3 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: N/A
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมสุดชิคที่มีหลายฟังก์ชันเปิด 24 ชั่วโมง เช่น คาเฟ่, โซเชียลฮับ, ห้องซักผ้าหยอดเหรียญ พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เหมาะกับวัยรุ่น

โรงแรม 3 ดาว
COSI พัทยา วงศ์อมาตย์ บีช

เครือ CPN x เซ็นทารา – Go! Hotel

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,100 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: (อยู่ระหว่างก่อสร้าง)
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 25 แห่ง (ภายใน 5 ปี)
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมระดับพรีเมียมแมสขนาด 79 ห้อง ทำเลติดศูนย์การค้า ทั้งในหัวเมืองหลักและเมืองรอง เหมาะกับทั้งนักท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ สามารถพักผ่อนค้างคืนได้ในโรงแรมที่มีมาตรฐาน

โรงแรม 3 ดาว
ภาพจำลอง Go! Hotel

บีทู โฮเทล – B2 (บีทู)

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 400-900 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 55 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 100 สาขา (ภายใน 5 ปี) โดยมี 20 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะเปิดภายในปีหน้า
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมบูทีคในราคาจับต้องได้ การออกแบบและตกแต่งมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเอกลักษณ์พื้นที่ โดยมีแผนผนึกกับร้านกาแฟ Wake Up Coffee 24 ชั่วโมงเข้าไปในบางสาขา หลังจากที่เครือเพิ่งเทกโอเวอร์ร้านกาแฟเข้ามาเมื่อปี 2563

ดิ เอราวัณ กรุ๊ป – Hop Inn (ฮ็อป อินน์)

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 600-900 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 47 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 53 แห่ง (ภายใน 5 ปี) โดยมี 7 แห่งที่อยู่ระหว่างก่อสร้างแล้ว
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: ที่พักที่ให้ประสบการณ์คุณภาพสำหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจและท่องเที่ยว มีมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา

โรงแรม 3 ดาว
ฮ็อป อินน์ ชัยภูมิ

จะเห็นว่าแบรนด์โรงแรม 3 ดาวส่วนใหญ่จะมองทั้งกลุ่มผู้เข้าพักเพื่อการพักผ่อนและการเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ แต่จะเน้นหนักไปทางใดขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของโรงแรมแต่ละแห่ง และทุกแบรนด์จะเสนอมาตรฐานโรงแรมที่เพียงพอให้ลูกค้ารู้สึกได้รับประสบการณ์ที่ดี ในราคาที่จับต้องได้ง่าย

ส่วนแบรนด์ใหม่ๆ ของเชนโรงแรมไทยอย่าง COSI, Go! Hotel หรือ ASAI จะเห็นชัดมากขึ้นว่ามีการนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกและสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับนักเดินทางแบบ Workation วิถีการทำงานแบบใหม่ของคนยุคนี้ที่มักจะนำงานไปทำด้วยระหว่างท่องเที่ยว หรือตั้งใจเปลี่ยนไปทำงานแบบ Work from Anywhere ระยะหนึ่งในสถานที่ที่ผ่อนคลายได้มากกว่า

 

โรงแรม 3 ดาว หอมหวานเพราะกระแสไทยเที่ยวไทย

กระแสการลงทุนโรงแรมระดับ 3 ดาวของผู้เล่นรายใหญ่เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 ยกตัวอย่าง เครือดุสิตธานี ที่เคยมีแผนจะเปิดโรงแรม ASAI ถึง 10 แห่งในช่วงเปิดตัวแบรนด์เมื่อ 4 ปีก่อน

แม้ว่า COVID-19 อาจจะทำให้แผนลงทุนของบริษัทต่างๆ ชะลอลงไปบ้าง แต่โรงแรม 3 ดาวก็ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจของรายใหญ่ ตัวอย่างเช่น ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ที่เลื่อนแผนเปิดตัวโรงแรมใหม่ออกไปหลายแห่ง และมีการขายโรงแรมไอบิส สมุย บ่อผุด กับเรเนซองส์ เกาะสมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา ออกจากพอร์ต ในทางกลับกัน บริษัทจะลงทุนกับโรงแรม Hop Inn อย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นเทรนด์แล้วว่าตลาดไทยเที่ยวไทยฟื้นได้เร็วกว่า โรงแรมบัดเจ็ทแบบนี้สามารถทำอัตราเข้าพักได้เฉลี่ยถึง 60% และบางสาขาขึ้นไปถึง 80-90%

ฝั่งหน้าใหม่แต่อยู่ในเครือใหญ่อย่าง บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (HHR) ในเครือออริจิ้น แย้มแผนแล้วว่าบริษัทกำลังพัฒนาเชนของตนในชื่อ “แฮมป์ตัน” ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรม 3 ดาว วางราคาที่ประมาณ 1,200 บาทต่อคืน เหตุที่สนใจตลาดระดับนี้เพราะเป็นระดับเจาะตลาดนักท่องเที่ยวไทยที่ยั่งยืนกว่า และในหน้าเทศกาลยังมีโอกาสปั้นราคาขึ้นไปสูงได้ใกล้เคียงกับโรงแรม 4 ดาว ทำกำไรได้ดียิ่งขึ้น

เซ็นทรัลพัฒนาก็เช่นกัน การลงทุนกับโรงแรม Go! Hotel เพราะเล็งเห็นกระแสการท่องเที่ยวในประเทศ การฟื้นตัวของการเดินทางทั้งเพื่อพักผ่อนและธุรกิจ รวมถึง Workation ด้วย