ขณะที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ‘ธนวรรธน์ พลวิชัย’ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์ดังกล่าว และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ไว้ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะมีสัญญานการฟื้นตัวที่ดีขึ้นอยู่ที่ 2.8-3% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านอยู่ในกรอบ 2.6-2.8% ซึ่งการฟื้นตัวดังกล่าวจะอยู่ในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ภายใต้ 3 สัญญาณชี้วัดที่ต้องจับตา
ปัจจัยแรก ‘Trade War’ จะรุนแรงหรือไม่ และส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศไทยมากน้อยเพียงใด
ปัจจัยที่ 2 ‘ภาวะสงครามจริง จะยุติหรือไม่’ นั่นคือ สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน รวมถึงสงครามในตะวันออกกลาง ที่จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อภาวะราคาน้ำมันโลก และภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจ โดยต้องจับตามองในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2568 หลังจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ
ปัจจัยที่ 3 ‘มาตรการภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยจะมีผลเพียงใด’ โดยช่วงปลายปีที่ผ่านมารัฐบาลได้เริ่มอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เช่น โครงการ Easy e-receipt ตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 คาดจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาท
รวมถึงมีแคมเปญ ‘คุณสู้เราช่วย’ และแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับผู้สูงอายุ ฯลฯ รวมแล้วจะมีเม็ดเงินที่ภาครัฐอัดฉีดเข้ามาเกือบ 100,000 ล้านบาท โดยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ต่อเนื่องมาไตรมาส 2 ของปี 2568 และส่งผลให้ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวแบบกระจายตัวไปทั่วประเทศ
แต่จุดเปลี่ยนที่ต้องตาม คือ หลายฝ่ายมีการวิเคราะห์ถึงความห่วงใยเกี่ยวกับ ‘เสถียรภาพทางการเมืองไทย’ ที่เห็นภาพของความสับสนทางการเมืองเกิดขึ้นแล้ว และต้องตามอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ไตรมาส 1 ไปจนถึงพฤษภาคม 2568 ที่จะชี้ว่า ‘การเมืองนิ่งแค่ไหน’ และเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เห็นภาพของเศรษฐกิจไทยจะนิ่งได้แค่ไหน
หากสถานการณ์ทางการเมือง ‘ไม่นิ่ง’ และเกิดปัญหาบานปลายจนต้องยุบสภาในไตรมาส จะส่งผลต่อการพิจารณางบประมาณปี 2569 ที่จะต้องล่าช้า เกิดเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยการพิจารณางบประมาณปี 68 ซึ่งจะกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน
]]>SCB EIC ได้มองถึงเศรษฐกิจโลกเติบโตดีกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข GDP จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตดีส่งผลทำให้มีการลดดอกเบี้ยเลื่อนออกไปอีก
อย่างไรก็ดีสำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลกในระยะปานกลาง SCB EIC ชี้ว่าปัญหาของเศรษฐกิจจีนรวมถึงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างโลกลดลง การจ้างงานน้อยลง ในท้ายที่สุดปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้น้อยลง
เศรษฐกิจไทย “ฟื้นช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน”
สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยเปรียบได้กับคนที่ป่วยค่อยๆ ซึมลง เหมือนกับการป่วยเป็นโรคมะเร็ง
เขายังเปรียบว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้เหมือนกับร่างกายอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงชัดเจน หรือเกิดวิกฤตอะไรเกิดขึ้น ไทยจะเกิดวิกฤตหรือไม่ก็ผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยจะหนักมากขึ้นกว่าเดิม เปรียบได้เหมือนติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจจะยากมากขึ้น
สมประวิณ มองว่าเศรษฐกิจหลายประเทศมีตัวช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แตกต่างกับไทยที่มีตัวเลือกน้อยลง และเขามองปัญหาเศรษฐกิจไทยจากที่ผ่านมานั้นเป็นปัญหาจากนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน EIC ยังมองว่าไทยนั้นเหลือเครื่องจักรสำคัญก็คือภาคการท่องเที่ยว ทั้งที่ได้ปัจจัยนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือแม้แต่การส่งเสริมให้มีการเที่ยวเมืองรองที่ยังช่วยเศรษฐกิจไทยได้ ขณะที่เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไม่ว่าจะเป็น ภาคการส่งออก ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก หรือแม้แต่การเบิกจ่ายภาครัฐ
สำหรับในปี 2024 นี้ SCB EIC คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโตได้แค่ 2.5% เท่านั้น ซึ่งปรับลดลงจากคาดการณ์เดิมที่มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 3% โดยมองว่าปัจจัยสำคัญที่เศรษฐกิจไทยแตกต่างจากเศรษฐกิจโลกนั้นมาจากภาคการบริโภคในประเทศถือว่าอ่อนแอ ต่างกับหลายประเทศ
SCB EIC มองว่าต้องลดดอกเบี้ย
สมประวิณยังเล่าถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเงินไทยกับภาคเศรษฐกิจจริงๆ โดยยกตัวอย่างผลกระทบจากตลาดรถยนต์มือสองขึ้นมา โดยมองว่าตลาดรถยนต์มือสองมีราคาลดลง ส่งผลทำให้มีการรับซื้อรถยนต์มือสองในราคาที่ถูกลง ทำให้ขายรถยนต์ได้ยากขึ้น
ผลกระทบคือสถาบันการเงินเองขายรถยนต์มือสองได้ยากขึ้น หรือไม่ก็ต้องขาดทุนจากผลกระทบ ทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อยานยนต์ลดลง
ขณะเดียวกัน สมประวิณ ยังมองว่าความเปราะบางของครัวเรือนจะส่งผลต่อเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น เงินสำรองฉุกเฉิน หรือแม้แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจะส่งผลมากขึ้น อย่างในกรณีของภาคธุรกิจไทยมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าวนั้นจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย
SCB EIC มีการศึกษาว่าถ้าหากมีการลดดอกเบี้ยจะทำให้คนก่อหนี้เพิ่มหรือไม่ โดยมุมมองธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาจะทำให้เกิดการก่อหนี้ในครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น แต่สมประวิณมองว่าจริงๆ แล้วธนาคารอาจไม่ปล่อยสินเชื่อให้ก็ได้ (ซึ่งไม่ทำให้อัตราส่วนหนี้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้น) ซึ่งเรื่องใหญ่กว่านั้นคือการหารายได้ของครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น
สมประวิณยังกล่าวเสริมว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังสามารถที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจผ่อนคลาย คนมีรายได้มากขึ้น กล้าลงทุนมากขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะกลับมาส่งผลต่อเรื่องหนี้ในครัวเรือนไทย
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ SCB EIC มองว่าช่วงปลายปี 2024 จะมีการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง และในปี 2025 อีก 1 ครั้ง
เมื่อโลกเปลี่ยนไป ภาคการผลิตของไทยก็ต้องเปลี่ยนตาม
ปราณิดา ศยามานนท์ ผู้อำนวยการฝ่าย Industry Analysis ของ SCB EIC ได้กล่าวถึงภาคการผลิตของไทย สามารถที่จะคว้าโอกาสท่ามกลางโลกแบ่
1) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตเก่ง แต่แข่งขันสูง : นโยบายภาครัฐควรเน้นพัฒนาความสามารถในการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม และความได้เปรียบในการแข่งขัน ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวชูจุดแข็งของสินค้าและเจาะตลาดเป้าหมาย รวมถึงวางกลยุทธ์เพิ่มส่วนแบ่งตลาด และปรับสินค้าให้ทันเทรนด์โลก
2) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตเก่ง และการแข่งขันไม่สูง : นโยบายภาครัฐควรสนับสนุนให้ผู้ส่งออกเปิดตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง และยกระดับกระบวนการผลิตตามมาตรฐานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวลดความเสี่ยงจาก Climate change และลงทุนพลังงานหมุนเวียน
3) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตไม่เก่ง แต่การแข่งขันไม่สูง : นโยบายภาครัฐควรให้สิทธิประโยชน์จูงใจให้ดำเนินธุรกิจเดิม แต่ลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิต มุ่งตลาดส่งออกที่มีอยู่ ขณะที่ภาคธุรกิจควรปรับตัวเพิ่มศักยภาพเทคโนโลยีการผลิตและสร้างความเข้าใจในตลาดขั้วสหรัฐฯ และขั้วจีนเพื่อเข้าถึงความต้องการของตลาดได้ดีขึ้น
4) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตไม่เก่ง และแข่งขันสูง : นโยบายภาครัฐควรช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปยังภาคการผลิตที่มีศักยภาพในการเติบโตบนห่วงโซ่การผลิตใหม่ได้ ขณะที่ภาคธุรกิจควรเร่งปรับตัวสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่และหาพันธมิตรด้านเทคโนโลยีสนับสนุน
SCB EIC มองว่าในช่วงเวลาในเรื่องการค้าโลกที่เปลี่ยนไป 2 มหาอำนาจมีความขัดแย้งกันนั้น ไทยเองควรที่สอดแทรกโอกาสดังกล่าวเข้าไป และจะต้องคิดเรื่องดังกล่าวใหม่ทั้งหมดแบบกลับหัวกลับหาง เช่น ในอดีตไทยส่งสินค้าไปประกอบที่จีน แต่ปัจจุบันจีนกลับส่งสินค้ามาให้ไทยประกอบแล้วส่งออกไปยังประเทศอื่น
]]>สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ของปี 2567 นั้น GDP เติบโตได้ 1.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขดังกล่าวดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้
ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ของปีนี้ถือว่าดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ โดยผลสำรวจของสำนักข่าว Bloomberg คาดว่า GDP ไทยจะโตแค่ 0.8% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเท่ากันกับสำนักข่าว Reuters ที่สำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 19 รายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แต่ถ้าหากมองเป็นการเติบโตต่อไตรมาส เศรษฐกิจไทยจะเติบโตจากไตรมาส 4 ของปี 2566 ที่ 1.1%
สำหรับตัวเลขที่น่าสนใจในไตรมาส 1 นี้
ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่สภาพัฒน์มองไว้ ได้แก่ เรื่องหนี้ของครัวเรือนที่มีระดับสูง ผลกระทบของสภาวะอากาศต่อภาคการเกษตร ความผันผวนจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จากเรื่องของสภาวะดอกเบี้ยที่ยังมีระดับสูง ผลของความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศ
สภาพัฒน์คาดว่า GDP ไทยในปีนี้จะเติบโตได้ 2.5% โดยมองข้อดีของการส่งออกและการท่องเที่ยวรวมถึงการเบิกจ่ายภาครัฐที่ฟื้นตัว และคาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ 0.1-1.1%
ในบทวิเคราะห์ของ HSBC ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างช้าๆ แต่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยตัวเลขที่สร้างความประหลาดใจคือตัวเลขการบริโภคภายในประเทศ แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะขัดกับดัชนีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำไว้ ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงก็ตาม
ตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 1 นั้นทำให้ HSBC มองว่าแบงกชาติจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% ตลอดทั้งปี และในบทวิเคราะห์ดังกล่าวชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบ V Shape หลังจากนี้ เนื่องจากมาตรการของรัฐบาล เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณ แต่ปัจจัยดังกล่าวเองก็อาจส่งผลลบต่อ GDP ไทย ถ้าหากมีการเบิกจ่ายล่าช้ากว่าที่คาด
ขณะที่บทวิเคราะห์จาก Goldman Sachs นั้นมองว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตกว่าที่คาดไว้ แต่มองว่าปัจจัยภายนอกก็เป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตัวเลขการส่งออก
Note: อัพเดต 15:34 เพิ่มบทวิเคราะห์จาก HSBC และ Goldman Sachs
]]>IMF ได้ออกคาดการณ์เศรษฐกิจล่าสุดฉบับเดือนเมษายน โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกนั้นจะเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิม ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศกำลังพัฒนาที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดีก็ได้เตือนถึงเรื่องปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย
สำหรับเศรษฐกิจโลก IMF ได้คาดการณ์ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 3.2% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยบวกจากการเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งอยูที่ 1.8% ขณะเดียวกันก็ปรับคาดการณ์ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเหลือเติบโตแค่ 4.2% ในปีนี้
นอกจากนี้ IMF ยังมองว่าเศรษฐกิจโลกถือว่ามีความยืดหยุ่น แม้ว่าโลกจะอยู่ในสภาวะดอกเบี้ยสูงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ นอกจากนี้ชื่นชมว่าธนาคารกลางทั่วโลกได้ต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อได้ถูกทางแล้ว
IMF ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเติบโตได้มากถึง 2.7% ในปีนี้ ขณะที่จีนคาดว่าจะเติบโตที่ 4.6% ขณะที่อินเดียคาดว่าจะเติบโตได้ 6.8% ยกเว้นในส่วนของยูโรโซนที่ปรับประมาณการลดลง เนื่องจากราคาพลังงานที่สูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปอย่างมาก
ในส่วนเศรษฐกิจไทยนั้น IMF คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 2.7% ในปีนี้ และคาดว่าจะเติบโต 2.9% ในปี 2025 ขณะที่เงินเฟ้อของไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7%
ทางด้านของความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก IMF ยังมองถึงความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง แต่ก็ทยอยลดลงจากราคาพลังงานและอาหารลดลง รวมถึง Supply Chain ทั่วโลกกลับมาสู่สภาวะปกติมากขึ้น คาดว่าทั่วโลกนั้นตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ 5.9% ในปีนี้ และ 4.5% ในปี 2025
ในเรื่องอื่นๆ นั้น IMF ยังกังวลถึงความเสี่ยงระยะสั้นคือ ต้นทุนการเงินที่สูง การถอนมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจทำให้ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงระยะกลางนั้น ด้านผลิตภาพ (Productivity) ถือว่าต่ำสุดในรอบหลายสิบปี และยังกังวลถึงเรื่องของความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก
และยังรวมถึงปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ในจีน การแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ส่งผลทำให้เกิดการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
]]>การปรับปรุงมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ปี 2567 โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ จากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 เฉพาะที่จดทะเบียนโอนในคราวเดียวกัน สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ อาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว หรือห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้อที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567
มาตรการลดหย่อนกาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน กำหนดให้บุคคลธรรมดา (ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มีใช่นิติบุคคล) หักลดหย่อนค่าจ้างก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้รับจ้างซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจ่ายค่าจ้างตามสัญญาจ้างตั้งแต่วันนี้ (9 เมษายน 2567) ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยให้หักลดหย่อนภาษีได้ 1 หมื่นบาทต่อทุกจำนวนค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 1 แสนบาท เฉพาะค่าจ้างก่อสร้างบ้านไม่เกิน 1 หลัง ในปีภาษีที่ก่อสร้างบ้านเสร็จตามสัญญาจ้างที่ได้กระทำขึ้นและเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันนี้ (9 เมษายน 2567) ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และได้เสียอากรแสตมป์โดยวิธีการชำระอากรเป็นตัวเงินผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร และเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี วงเงินต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3,000,000 บาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ
โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร เพื่อต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมอาคาร หรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ร้อยละ 2.98 ต่อปี วงเงินต่อรายตั้งแต่ 2,500,000 บาทขึ้นไป โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ
การให้การส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (โครงการบ้าน BOI) คณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้ออกประกาศที่ ส. 1/2567 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2567 ให้สิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข เช่น 1) ที่อยู่อาศัยที่ขอรับการส่งเสริม กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร และกรณีบ้านเดี่ยวหรือบ้านแถว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร 2) การก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ขอรับการส่งเสริมต้องจำหน่ายให้บุคคลธรรมดาเท่านั้น โดยก่อสร้างที่อยู่อาศัย (รวมค่าที่ดิน) ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท 3) ต้องมีที่อยู่อาศัยตามเงื่อนไขที่กำหนดไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของที่อยู่อาศัยทั้งโครงการ 4) มีแผนผังและแบบแปลนที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และได้รับการอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 5) ต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2568 เป็นต้น
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการตังกล่าวข้างต้นช่วยจะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Chain) ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ อันจะก่อให้เกิดการจ้างงาน การผลิต รวมถึงอาจก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวม
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ซึ่งมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ Thailand Vision ในการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลกที่มีเป้าหมายในการดึงดูดนักลงทุนและผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตให้มาลงทุนในประเทศไทย รวมถึงการปรับกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการถือครองทรัพย์สิน ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ไปดำเนินการพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการซึ่งจะได้นำเสนอกลับมาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
“ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า มาตรการที่ ครม. มีมติเห็นชอบจะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ ได้กว้างกว่าเดิมมาก
ยกตัวอย่างเช่น การขยายเพดานลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนองได้สูงสุด 7 ล้านบาท จะทำให้ครอบคลุมได้ถึง 80% ของตลาดอสังหาฯ จากเดิมที่เคยมีมาตรการเฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทซึ่งครอบคลุมเพียง 40% ของตลาดอสังหาฯ เชื่อว่ามาตรการใหม่ที่ขยายเพดานราคาขึ้นจะช่วยกระตุ้นการระบายสต็อกที่อยู่อาศัยทั้งตลาดได้ดีขึ้น
รวมถึงโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home ของ ธอส. ก็เช่นกัน เมื่อขยับเพดานราคาวงเงินกู้เป็น 3 ล้านบาทจึงครอบคลุมได้ถึง 40% ของตลาด จากเดิมที่โครงการบ้านล้านหลังดอกเบี้ยต่ำของ ธอส. เคยให้กู้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทซึ่งคิดเป็นเพียง 10% ของตลาดรวม โครงการนี้จึงช่วยครอบคลุมตลาดได้ดีขึ้นและได้ประโยชน์กับผู้ซื้อกลุ่มใหญ่ที่มักจะซื้อบ้านราคา 2-3 ล้านบาทอยู่แล้ว
ขณะที่โครงการบ้าน BOI ซึ่งเคยกำหนดเพดานราคา 1.2 ล้านบาท ขยับเป็น 1.5 ล้านบาท ทำให้โอกาสเป็นไปได้ที่จะสร้างโครงการในกลุ่มราคา BOI สูงขึ้น สำหรับเสนาฯ เองมีโครงการในมือที่พร้อมจะยื่นขอเป็นโครงการบ้าน BOI อยู่แล้ว 9 โครงการ โดย 3 โครงการอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และ 6 โครงการในเขตปริมณฑล
]]>มุมมองเศรษฐกิจโลกนั้น SCB EIC คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.6% ซึ่งมุมมองปรับดีขึ้นจากแรงส่งจากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในช่วงต้นปีนี้ รวมถึงเศรษฐกิจโลกได้รับแรงสนับสนุนจากการค้าโลกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัวลง แต่ยังมีแรงกดดันจากผลกระทบของภาวะดอกเบี้ยสูง ความขัดแย้งต่างๆ อยู่
นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองว่าธนาคารกลางหลายแห่งของประเทศพัฒนาแล้ว จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2024 เหลือ 2.7% (จากเดิม 3%) แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องได้ จากแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและภาคบริการรวมถึงเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อื่นที่กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มดีขึ้น
อย่างไรก็ดี SCB EIC มองว่าแรงส่งภาครัฐจะยังหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2567 รวมถึงปัญหาสินค้าคงคลังสะสมสูงจากปีก่อนจะยังไม่สามารถคลี่คลายได้เร็ว ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทยที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นช้าต่อเนื่องมาในปีนี้
สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจไทยนั้นเหมือนจะดี และเห็นสัญญาณที่ไม่ดีตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2023 ที่ผ่านมา และเขายังกล่าวว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้นฟื้นตัวช้าในกลุ่มรั้งท้ายของโลก ซึ่งอันดับของไทยอยู่ที่อันดับ 162 ซึ่งแย่ลงกว่าเดิม จากปีก่อนหน้าอยู่ที่อันดับ 155
ขณะเดียวกัน สมประวิณ เชื่อว่า การที่ กนง.จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ได้มาจากปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อเป็นสำคัญ แต่น่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะยาวที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาในเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน โดยชี้ถึงสาเหตุสำคัญมาจาก
SCB EIC ยังคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรกของปี ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยจะเหลือแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งสมประวิณมองว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสอดคล้องกับผลิตภาพการผลิตของไทย
นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองว่าการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก ขณะเดียวกันการที่เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนและห่วงโซ่การผลิตจีนมากท่ามกลางกระแสภูมิรัฐศาสตร์โลกรวมถึงความสามารถของภาคการผลิตไทยในการปรับตัวกับห่วงโซ่การผลิตโลกใหม่และรูปแบบความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้ช้าทำให้การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคส่งออกไทยยังทำได้ค่อนข้างจำกัด สะท้อนจากส่วนแบ่งยอดขายสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลกที่ยังใกล้เดิมมาตลอดทศวรรษ
SCB EIC ยังชี้ว่าไทยยังมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการยกระดับขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกใหม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว
]]>DDproperty จัดทำสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคและเผยแพร่ผ่านรายงาน DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด ครึ่งปีแรกประจำปี 2567 พบว่าความเชื่อมั่นต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคไทยลดลงทุกด้าน ดังนี้
รายงานชิ้นนี้พบว่า 44% ของผู้บริโภคมีแผน “ซื้อบ้าน” ภายใน 1 ปีข้างหน้า ตัวเลขนี้ถือว่าลดลงอย่างมีนัยยะจากการสำรวจรอบก่อนหน้าช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ที่เคยมีสัดส่วน 53% ตัวเลขคนอยากซื้อบ้านที่ลดลงต่ำกว่าครึ่งหนึ่งเป็นภาพสะท้อนว่ากำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้น และภาวะเศรษฐกิจกระทบมากต่อกลุ่มผู้ซื้อระดับกลางถึงล่างซึ่งมีความเปราะบางทางการเงินสูง
สอดคล้องกับคำตอบของผู้บริโภคในอีกหัวข้อหนึ่งคือ 30% ของผู้บริโภคตอบว่าได้ตัดสินใจเลื่อนแผนซื้อบ้านออกไปก่อน เนื่องจากปัญหาทางการเงิน
ผู้บริโภคที่เลื่อนแผนซื้อบ้านออกไปหรือไม่มีแผนที่จะซื้อมาจากปัจจัยด้านการเข้าถึงที่อยู่อาศัย ดังนี้
ปัจจัยเหล่านี้ส่งเสริมให้คนไทยเลือกจะเช่าบ้านเพิ่มขึ้น โดยมี 14% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มองว่าตนจะหาเช่าบ้านใน 1 ปีข้างหน้า เพิ่มจากสัดส่วน 9% เมื่อการสำรวจรอบก่อน
อีกวิธีหนึ่งที่ผู้บริโภคใช้ในการแก้ปัญหาคือ “ลดช่วงราคาที่อยู่อาศัยที่จะซื้อลง” โดยมี 20% ของผู้ถูกสำรวจที่จะใช้แนวทางนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการก่อหนี้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซบเซา
อุปสรรคคนซื้อบ้านยุคนี้จึงเป็นเรื่องทางการเงินที่รุมเร้า นอกจากจะมีปัญหาจากเศรษฐกิจแล้ว ฝั่งแบงก์เองก็ระมัดระวังสูงในการอนุมัติสินเชื่อบ้าน มีการพิจารณาอย่างเข้มงวดจนทำให้อัตราลูกค้าที่ถูกปฏิเสธให้สินเชื่อสูงถึง 60-65% ของการยื่นขอกู้ทั้งหมด (ข้อมูลโดย LWS)
เหตุที่ลูกค้าขอสินเชื่อบ้านไม่ผ่านนั้น 56% เกิดจากรายได้และอาชีพไม่มั่นคง 38% มีประวัติทางการเงินไม่ดี และ 31% มีเงินดาวน์ไม่พอ
ขณะที่การช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ นั้น ผู้บริโภค 58% ต้องการมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน 51% ต้องการมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านทั้งที่มีอยู่แล้วและที่กู้ใหม่ และ 40% ต้องการมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนอง
]]>พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่สภาวะชะลอตัวตามวัฎจักร หลังจากหลายประเทศได้ใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบผ่อนคลาย แล้วมีการปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายการคลังของรัฐบาลการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเบาลง
นอกจากนี้ยังมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในยุโรป ภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่
เศรษฐกิจสหรัฐฯ วิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP จะเติบโต 2.1% โดยมองว่าเศรษฐกิจเติบโตไม่ร้อนแรงเหมือนเดิม แต่การจ้างงาน ค่าแรง ยังดูโอเค และหลังจากนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเติบโตกลับสู่ระดับปกติ นอกจากนี้ยังคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) น่าจะลดดอกเบี้ยช่วงกลางปีเป็นต้นไป
สำหรับเศรษฐกิจจีน วิจัยกรุงศรีมองว่าความเสี่ยงสำคัญคือภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาเชิงโครงสร้างทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง นอกจากนี้จีนยังต้องหาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจใหม่ๆ แทนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจีนโตได้ 4.6%
ในส่วนของเศรษฐกิจในยูโรโซน วิจัยกรุงศรี มองว่ายังทรงๆ แม้ว่าจะรอดจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ยังมองว่าการเติบโตยังอ่อนแอ ขณะที่ญี่ปุ่นเศรษฐกิจได้รับแรงบวกจากการเปิดประเทศแทบจะ 100% แล้ว แต่มองว่าการเพิ่มค่าแรง อาจทำให้ BoJ ปรับดอกขึ้นได้ แม้ว่าไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะถดถอยก็ตาม
ปัจจัยดังกล่าวทำให้หัวหน้าทีมวิจัยกรุงศรีมองว่าสำหรับเศรษฐกิจโลกนั้นน่าจะเติบโตได้ 3.1% ถือว่าเติบโตต่ำใกล้เคียงกับปีก่อน
เศรษฐกิจอาเซียน
วิจัยกรุงศรีคาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิ
อย่างไรก็ตามความท้าทายต่
นอกจากนี้ นโยบายการคลังจะทวีความสำคั
เศรษฐกิจไทย
หัวหน้าทีมของวิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตได้ 2.7% เติบโตมากกว่า GDP ของไทยในปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 1.9% สาเหตุสำคัญคือการใช้จ่ายภาครัฐที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี ขณะเดียวกันภาคการส่งออกก็กลับมาฟื้นตัว รวมถึงคาดว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะมาไทยมากถึง 35.6 ล้านคน ส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชน หรือแม้แต่การจ้างงาน
อย่างไรก็ดีการบริโภคภาคเอกชนอาจกระทบจากหนี้ครัวเรือน เนื่องจากภาระครัวเรือนที่ต้องจ่ายยังสูง นอกจากนี้ยังรวมถึงรายได้ภาคเกษตรที่ยังเติบโตไม่มากนัก แม้ว่าราคาพืชผลจะสูงจากสภาวะเอลนีโญก็ตาม
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมทยอยฟื้นตัว แต่วิจัยกรุงศรีมองว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับ 3% ต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องที่ 1.1% ปัจจัยดังกล่าวเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง
]]>สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้รายงานตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นั้น GDP ไทยเติบโตได้ 1.9% ซึ่งต่ำกว่าที่คาด และแย่กว่าปี 2565 ที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% ด้วยซ้ำ โดยพระเอกสำคัญคือภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ช่วยฉุดภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนกลับมาอีกครั้ง
ตัวเลขเศรษฐกิจไทยนั้นถือว่าต่ำว่าการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg ซึ่งคาดไว้อยู่ที่ 2.6% และต่ำกว่าสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าว Reuters ที่คาดไว้ 2.5%
อีกปัจจัยที่ทำให้ GDP ไทยเติบโตน้อยคือ ภาคการส่งออกที่อ่อนแอจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว รวมถึงการเบิกจ่ายของรัฐบาลที่ล่าช้า เนื่องจากไม่สามารถที่จะออก พรบ. งบประมาณ ประจำปี 2567 ได้ทันในช่วงกลางปี 2566 เนื่องจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลทำให้ต้องใช้งบของปี 2566 แทน
สำหรับตัวเลขที่น่าสนใจในปี 2566 นี้
ขณะที่มุมมองสถาบันการเงินต่างประเทศ J.P. Morgan ได้ออกบทวิเคราะห์โดยมองว่าตัวเลข GDP ที่ออกมานั้นแย่กว่าคาด และได้ปรับคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2567 เหลือแค่ 2.3% แต่ยังมองถึงแง่บวกจากการกระจายด้าน Supply Chain แต่มีด้านลบจากโอกาสต่อต้านนโยบายของภาครัฐ และคาดว่าภายในครึ่งปีหลังจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมกัน 0.5%
ทางด้านของ Citi ได้ออกบทวิเคราะห์โดยยังให้คาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 ที่ 3% โดยมองว่าระยะสั้นจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาถ้าหากงบประมาณประจำปี 2567 ผ่านสภาออกมา และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ภายในเดือนมิถุนายน เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านลบของเศรษฐกิจไทย
Bank of America มองว่าไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ เริ่มในเดือนมิถุนายน และอาจปรับลดได้ก่อนถ้าหากเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าคาด
ตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยที่แย่กว่าคาด ยังทำให้สภาพัฒน์ยังปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยที่เคยทำไว้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เหลือแค่ 2.2-3.2% เท่านั้น และความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีนี้คือ สภาวะเอลนีโญ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เป็นต้น
Note: อัพเดต 17:53 เพิ่มมุมมองบทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างประเทศ
ที่มา – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, บทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างประเทศ
]]>“ภูมิภัทร พรหมมา” ประธานคณะกรรมการจัด “งานมหกรรมบ้านและคอนโด” ครั้งที่ 45 แถลงความคืบหน้าการจัดงานในครั้งนี้ที่จะมีขึ้นวันที่ 21-24 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พบว่า ยอดจองบูธภายในงานมีการจองแล้วกว่า 90% และคาดว่าจะปิดยอดเต็มทั้งงานได้ภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้
งานครั้งนี้น่าจะมีผู้ประกอบการร่วมออกบูธกว่า 150 บริษัท รวมโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1,000 โครงการ และคณะกรรมการฯ ทุ่มงบด้านการตลาดไปกว่า 7 ล้านบาทเพื่อประชาสัมพันธ์ดึงผู้บริโภค โดยปีนี้มีไฮไลต์จับแจกของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท รางวัลใหญ่ที่สุดคือ รถยนต์ MG 5C
ภูมิภัทรกล่าวว่า เป้าหมายงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 45 หวังยอดขายภายในงานสูงขึ้นกว่าปีก่อน 10% ซึ่งปีที่แล้วมียอดจองในงานไปกว่า 4,000 ล้านบาท และปีนี้ยังวางเป้าทราฟฟิกเข้างานรวม 4 วันจะอยู่ระหว่าง 50,000-80,000 คน
คณะกรรมการจัดงานยังพบเทรนด์ที่น่าสนใจคือ ปีนี้บูธผู้ประกอบการในงานเป็นกลุ่ม “รายใหญ่” เข้ามาจองบูธถึง 40-50% ของพื้นที่จัด จากปกติรายใหญ่จะเข้ามาประมาณ 30% เท่านั้น
ภูมิภัทรคาดว่า เกิดจากวิธีการทำตลาดของรายใหญ่เปลี่ยนไป ไม่เน้นการจัดอีเวนต์แยกเฉพาะของบริษัท แต่เลือกเข้าร่วมในงานมหกรรมบ้านและคอนโดที่เป็นงานรวมผู้ประกอบการ ซึ่งอาจเกิดจากการทำต้นทุนได้ดีกว่าการจัดอีเวนต์เฉพาะของตนเอง โดยปีนี้ Top 3 ผู้ประกอบการที่จองพื้นที่งานไว้ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี, อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และ แสนสิริ ตามลำดับ
ยอดจองบูธที่คึกคักขึ้นมีแรงขับเคลื่อนอีกส่วนหนึ่งจากเทรนด์การตลาด ช่วงที่ผ่านมาต้นทุนการตลาดออนไลน์สูงขึ้นมาก ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มเปลี่ยนกลับมาใช้งบกับอีเวนต์ออฟไลน์ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่กลับมาชอบเดินงานอีเวนต์เช่นกัน ภูมิภัทรจึงเชื่อว่ายอดขายปีนี้น่าจะเติบโต
ด้านตลาดอสังหาฯ ปี 2567 จะเป็นอย่างไร “พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์” นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย มองว่า ตลาดอสังหาฯ จะล้อตามกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจไทยเวลานี้ยังเป็นลักษณะ K-Shape คนระดับบนฟื้นตัวดีและมีกำลังซื้อ แต่คนระดับกลางลงมากำลังซื้อจะยังซบเซา
“เศรษฐกิจเป็น K-Shape จริงๆ ตัวเคขาบนคนรวยยิ่งรวย ท่องเที่ยวดี โรงแรมแน่น จองกันเต็มจนถึงสงกรานต์แล้ว แต่ถ้าไปถามตัวเคขาล่าง พรุ่งนี้แย่ยิ่งกว่าวันนี้” พรนริศกล่าว
นั่นทำให้ปัจจุบันกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 4 ล้านบาทติดปัญหาในการกู้ซื้อบ้าน เพราะธนาคารพาณิชย์เข้มงวดมากในการอนุมัติสินเชื่อให้กลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูงมากนัก ตามภาวะเศรษฐกิจที่จะทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงเกิดหนี้เสีย
“ยิ่งถ้าลูกค้าทำงานในบริษัทที่มีปัญหา เช่น ขาดทุนติดกัน 2 ปี ถึงแม้มีประวัติส่วนตัวดีแต่แบงก์ก็ไม่ให้ลูกค้ากู้ เพราะเขาไม่รู้ว่าคุณจะถูกปลดออกเดือนหน้าหรือเปล่า แบงก์เขาดูลึกขนาดนี้แล้ว ทำให้กู้ผ่านยาก” พรนริศกล่าว
ผู้ประกอบการจึงต้องเบนเข็มไปขายสินค้าให้กลุ่ม ‘เคขาบน’ ซึ่งเป็นตลาดที่ขายและโอนง่ายกว่า “ปีนี้ยิ่งแพงยิ่งขายดี” พรนริศกล่าว
ด้าน “วสันต์ เคียงศิริ” นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่จีดีพีไทยปี 2567 ที่คาดการณ์ขณะนี้ก็ยังถือว่าต่ำกว่าที่ควร (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโต 1.8% ส่วนคาดการณ์ปี 2567 น่าจะเติบโต 2.8%)
ทำให้ปีนี้น่าจะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐออกมาอีก จากปัจจุบันมีเพียงโครงการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt ออกมากระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย
“วิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดตอนนี้ ผมว่าคือการให้คนมีตังค์ออกมาใช้ตังค์ และเป็นนโยบายที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมากเลย อาจจะให้ incentive (แรงจูงใจ) สักหน่อยเพื่อให้เขาจับจ่าย” วสันต์กล่าว โดยเสริมว่าหากมีมาตรการเกี่ยวกับภาคอสังหาฯ ก็ยินดี เพราะภาคอสังหาฯ เองมีมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละ 8-9 แสนล้านบาท คิดเป็น 6% ของจีดีพีประเทศ และหากรวมกับธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ เช่น วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ จะถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงเป็น 12% ของจีดีพีประเทศ
วสันต์เชื่อว่าปี 2567 นี้ภาคอสังหาฯ ก็ถือว่ายังไม่อยู่ในวิกฤตที่สุด เพราะหากจับตลาดลูกค้าที่สามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ก็จะยังขายได้
“ตอนนี้ยังไม่แย่เท่าปี 2540 นะ เพราะสมัยนั้นแบงก์พาณิชย์หยุดปล่อยสินเชื่อบ้านกันเกือบทั้งตลาดเลย เพราะทุกคนสภาพแย่กันหมด ยุคนี้ถ้าเจอลูกค้าที่ประวัติพร้อม แบงก์ก็ยังพร้อมปล่อยสินเชื่อให้เลย และอยากอัดวงเงินให้มากกว่า 100% ด้วย” วสันต์กล่าวปิดท้าย
]]>