เศรษฐกิจไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 21 Jul 2025 06:47:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘เศรษฐกิจ’ ยังไม่มีความหวัง ทำคนไทยกลัว ‘ตกงาน’ ชะลอการใช้จ่าย https://positioningmag.com/1530643 Sun, 20 Jul 2025 15:23:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530643 เพราะยังเห็นวี่แววว่า ‘เศรษฐกิจจะดีขึ้น’ แถมมองประเทศกำลังไปผิดทาง ทำให้คนไทยกังวลกลัว ‘ตกงาน’ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเกิดขึ้นกับคน ‘ทุกกลุ่มรายได้’ ทำให้ชะลอการซื้อไม่เฉพาะของชิ้นใหญ่ แต่ลามไปถึง ‘ของใช้ทั่วไป’

 

‘บริษัท อิปซอสส์ จำกัด’ ได้จัดทำรายงาน What Worries Thailand H1 2025 ศึกษาถึงประเด็นความกังวลของคนไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568 พบว่า แม้ ‘ปัญหาสังคม’ จะเป็นประเด็นที่คนไทยมีความกังวลเป็นอันดับต้นๆ แต่มุมมองต่อเศรษฐกิจของคนไทย ก็มีความ ‘กังวลเพิ่มขึ้น’ อย่างมีนัยสำคัญ

 

โดย 65% มองสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันย่ำแย่ลง เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำนี้ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นใน ‘ทุกกลุ่มรายได้’ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อครอบครัวต่ำกว่า 60,000 บาทต่อเดือน

ชะลอการใช้จ่ายและกลัวตกงานเพิ่มขึ้น

 

มุมมองดังกล่าว ทำให้คนไทย 53% ชะลอและลังเลที่จะจับจ่าย โดยเฉพาะสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น บ้านหรือรถยนต์ ฯลฯ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน และความกังวลยังขยายไปถึงการซื้อของใช้ในบ้านทั่วไป โดย 46% ของคนไทยรู้สึกไม่สบายใจในการซื้อของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 10%

 

การชะลอและการลังเลที่จะใช้จ่ายนี้ เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลางที่มีรายได้ต่อครอบครัวประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน

 

ขณะเดียวกัน ‘การว่างงาน’ เป็นอีกประเด็นที่คนไทยกังวลมากขึ้นเช่นกัน โดยความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงในงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

– 59% ระบุว่า รู้จักคนที่เพิ่งตกงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

– 28% แสดงความกังวลว่า ตนเองอาจประสบปัญหาการ ‘ตกงาน’ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า

– 48% มี ‘ความมั่นใจน้อยลง’ เกี่ยวกับความมั่นคงในงานของตนเอง ครอบครัว และบุคคลใกล้ชิด เพิ่มขึ้นจากการสำรวจปีก่อนถึง 12%

– 54% มั่นใจน้อยลงกับความสามารถในการลงทุนเพื่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเกษียณอายุหรือเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 15%

 

เมื่อถามถึงความหวังสถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้าหรือไม่

 

37% ของคนไทยคาดการณ์ว่า สถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะแข็งแกร่งขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ลดลงถึง 17% จากปีที่แล้ว ขณะที่ 59% บอกต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี เศรษฐกิจถึงจะกลับมา

 

มองประเทศกำลังมาผิดทาง ขอมีผู้นำกล้าแหกกฎแก้ปัญหา

 

นอกจากประเด็นความกังวลแล้ว การสำรวจยังได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทิศทางของประเทศ รวมถึงความเปราะบางของสังคมและประเทศ โดย

56% เห็นว่า ไทยกำลังมาผิดทาง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 13%

66% เชื่อว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ใน ‘ภาวะวิกฤต’

60% มองว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะถดถอย  

 

และเมื่อดู ‘ดัชนีชี้วัดสังคมวิกฤตของอิปซอสส์’ (Ipsos Society is Broken Index) พบว่า ไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 77% นับเป็นอัตราสูงสุดจาก 31 ประเทศที่ทำการสำรวจ ส่วนค่าเฉลี่ยทั่วโลกของดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 61%

 

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนเรียกร้องหาผู้นำที่มีความโดดเด่นและมีอำนาจในการจัดการแก้ไขปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดย

 

79% เรียกร้องให้มีผู้นำที่กล้าหาญพอจะ ‘แหกกฎ’ เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ  

77% สนับสนุนผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อทวงคืนประเทศจากกลุ่มคนร่ำรวยและผู้มีอำนาจ 

 

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนต่อการเปลี่ยนแปลงและการแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาดจากผู้นำทางการเมือง

แนะแบรนด์ต้องปรับตัว

ทั้งนี้ อิปซอสส์ได้ให้คำแนะนำกับแบรนด์เพื่อปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์สำหรับรับมือกับผลกระทบจากความกังวลของคนไทยที่ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดและภาคธุรกิจใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.การคืนกำไรสู่สังคมและสร้างผลกระทบเชิงบวก: เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าบริษัทสนับสนุนและคืนกลับสู่สังคม จะสามารถสร้างความรู้สึกเชิงบวกและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์นำไปสู่การสร้างความจงรักภักดีและการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า

2.สร้างความเชื่อมั่นผ่านความโปร่งใส: การดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาลที่ดีจะส่งเสริมประสบการณ์เชิงบวกให้กับลูกค้า เพราะเป็นเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญ ดังนั้นหากแบรนด์หรือองค์กรมีธรรมาภิบาลที่ดี คนก็พร้อมสนับสนุน ทำให้ไม่ต้องไปแข่งขันด้วย ‘สงครามราคา’ หรืออัดโปรฯ แรง ๆ

]]>
1530643
จับตา 3 สัญญาณชี้วัดเศรษฐกิจไทยปี 68 จะ ‘รุ่ง’ หรือ ‘ร่วง’ https://positioningmag.com/1505237 Fri, 27 Dec 2024 12:51:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505237 ที่ผ่านมาได้มีสำนักพยากรณ์เศรษฐกิจหลายสำนักได้ออกมาประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่า จะเดินไปในทิศทางใด อย่าง SCB EIC คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะโต 2.4% จากเดิมประเมินไว้จะเติบโตที่ 2.8% ส่วนศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินจะเติบโต 2.4% ช้ากว่าปี 2567 ที่โต 2.6%

 

ขณะที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ‘ธนวรรธน์ พลวิชัย’ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์ดังกล่าว และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ไว้ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะมีสัญญานการฟื้นตัวที่ดีขึ้นอยู่ที่ 2.8-3% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านอยู่ในกรอบ 2.6-2.8% ซึ่งการฟื้นตัวดังกล่าวจะอยู่ในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ภายใต้ 3 สัญญาณชี้วัดที่ต้องจับตา

 

ปัจจัยแรก ‘Trade War’ จะรุนแรงหรือไม่ และส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศไทยมากน้อยเพียงใด

 

ปัจจัยที่ 2 ‘ภาวะสงครามจริง จะยุติหรือไม่’ นั่นคือ สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน รวมถึงสงครามในตะวันออกกลาง ที่จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อภาวะราคาน้ำมันโลก และภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจ โดยต้องจับตามองในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2568 หลังจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ

 

ปัจจัยที่ 3 ‘มาตรการภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยจะมีผลเพียงใด’ โดยช่วงปลายปีที่ผ่านมารัฐบาลได้เริ่มอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เช่น โครงการ Easy e-receipt ตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 คาดจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาท

 

รวมถึงมีแคมเปญ ‘คุณสู้เราช่วย’ และแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับผู้สูงอายุ ฯลฯ รวมแล้วจะมีเม็ดเงินที่ภาครัฐอัดฉีดเข้ามาเกือบ 100,000 ล้านบาท โดยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ต่อเนื่องมาไตรมาส 2 ของปี 2568 และส่งผลให้ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวแบบกระจายตัวไปทั่วประเทศ

 

แต่จุดเปลี่ยนที่ต้องตาม คือ หลายฝ่ายมีการวิเคราะห์ถึงความห่วงใยเกี่ยวกับ ‘เสถียรภาพทางการเมืองไทย’ ที่เห็นภาพของความสับสนทางการเมืองเกิดขึ้นแล้ว และต้องตามอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ไตรมาส 1 ไปจนถึงพฤษภาคม 2568 ที่จะชี้ว่า ‘การเมืองนิ่งแค่ไหน’ และเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เห็นภาพของเศรษฐกิจไทยจะนิ่งได้แค่ไหน

 

หากสถานการณ์ทางการเมือง ‘ไม่นิ่ง’ และเกิดปัญหาบานปลายจนต้องยุบสภาในไตรมาส จะส่งผลต่อการพิจารณางบประมาณปี 2569 ที่จะต้องล่าช้า เกิดเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยการพิจารณางบประมาณปี 68 ซึ่งจะกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน

]]>
1505237
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทย “ฟื้นช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน” คาดแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 1 รอบช่วงปลายปี https://positioningmag.com/1478717 Wed, 19 Jun 2024 13:55:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478717 SCB EIC ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโต 2.5% เท่านั้น อย่างไรก็ดียังมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยนั้น “ฟื้นช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน” และเปรียบเหมือนเศรษฐกิจไทยนั้นเหมือนกับป่วยเป็นมะเร็ง และมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ 1 ครั้ง

SCB EIC ได้มองถึงเศรษฐกิจโลกเติบโตดีกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข GDP จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตดีส่งผลทำให้มีการลดดอกเบี้ยเลื่อนออกไปอีก

อย่างไรก็ดีสำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลกในระยะปานกลาง SCB EIC ชี้ว่าปัญหาของเศรษฐกิจจีนรวมถึงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างโลกลดลง การจ้างงานน้อยลง ในท้ายที่สุดปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้น้อยลง

เศรษฐกิจไทย “ฟื้นช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน”

สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยเปรียบได้กับคนที่ป่วยค่อยๆ ซึมลง เหมือนกับการป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เขายังเปรียบว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้เหมือนกับร่างกายอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงชัดเจน หรือเกิดวิกฤตอะไรเกิดขึ้น ไทยจะเกิดวิกฤตหรือไม่ก็ผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยจะหนักมากขึ้นกว่าเดิม เปรียบได้เหมือนติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจจะยากมากขึ้น

สมประวิณ มองว่าเศรษฐกิจหลายประเทศมีตัวช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แตกต่างกับไทยที่มีตัวเลือกน้อยลง และเขามองปัญหาเศรษฐกิจไทยจากที่ผ่านมานั้นเป็นปัญหาจากนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน EIC ยังมองว่าไทยนั้นเหลือเครื่องจักรสำคัญก็คือภาคการท่องเที่ยว ทั้งที่ได้ปัจจัยนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือแม้แต่การส่งเสริมให้มีการเที่ยวเมืองรองที่ยังช่วยเศรษฐกิจไทยได้ ขณะที่เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไม่ว่าจะเป็น ภาคการส่งออก ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก หรือแม้แต่การเบิกจ่ายภาครัฐ

สำหรับในปี 2024 นี้ SCB EIC คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโตได้แค่ 2.5% เท่านั้น ซึ่งปรับลดลงจากคาดการณ์เดิมที่มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 3% โดยมองว่าปัจจัยสำคัญที่เศรษฐกิจไทยแตกต่างจากเศรษฐกิจโลกนั้นมาจากภาคการบริโภคในประเทศถือว่าอ่อนแอ ต่างกับหลายประเทศ

ข้อมูลจาก SCB EIC

SCB EIC มองว่าต้องลดดอกเบี้ย

สมประวิณยังเล่าถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเงินไทยกับภาคเศรษฐกิจจริงๆ โดยยกตัวอย่างผลกระทบจากตลาดรถยนต์มือสองขึ้นมา โดยมองว่าตลาดรถยนต์มือสองมีราคาลดลง ส่งผลทำให้มีการรับซื้อรถยนต์มือสองในราคาที่ถูกลง ทำให้ขายรถยนต์ได้ยากขึ้น

ผลกระทบคือสถาบันการเงินเองขายรถยนต์มือสองได้ยากขึ้น หรือไม่ก็ต้องขาดทุนจากผลกระทบ ทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อยานยนต์ลดลง

ขณะเดียวกัน สมประวิณ ยังมองว่าความเปราะบางของครัวเรือนจะส่งผลต่อเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น เงินสำรองฉุกเฉิน หรือแม้แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจะส่งผลมากขึ้น อย่างในกรณีของภาคธุรกิจไทยมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าวนั้นจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย

SCB EIC มีการศึกษาว่าถ้าหากมีการลดดอกเบี้ยจะทำให้คนก่อหนี้เพิ่มหรือไม่ โดยมุมมองธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาจะทำให้เกิดการก่อหนี้ในครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น แต่สมประวิณมองว่าจริงๆ แล้วธนาคารอาจไม่ปล่อยสินเชื่อให้ก็ได้ (ซึ่งไม่ทำให้อัตราส่วนหนี้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้น) ซึ่งเรื่องใหญ่กว่านั้นคือการหารายได้ของครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น

สมประวิณยังกล่าวเสริมว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังสามารถที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจผ่อนคลาย คนมีรายได้มากขึ้น กล้าลงทุนมากขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะกลับมาส่งผลต่อเรื่องหนี้ในครัวเรือนไทย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ SCB EIC มองว่าช่วงปลายปี 2024 จะมีการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง และในปี 2025 อีก 1 ครั้ง

เมื่อโลกเปลี่ยนไป ภาคการผลิตของไทยก็ต้องเปลี่ยนตาม

ปราณิดา ศยามานนท์ ผู้อำนวยการฝ่าย Industry Analysis ของ SCB EIC ได้กล่าวถึงภาคการผลิตของไทย สามารถที่จะคว้าโอกาสท่ามกลางโลกแบ่งขั้วรุนแรงขึ้นได้ แต่ต้องมีนโยบายส่งเสริมการส่งออกและการปรับตัวธุรกิจเชิงรุก ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของสินค้าแต่ละประเภทที่อาจได้หรือเสียประโยชน์แตกต่างกัน แบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ

1) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตเก่ง แต่แข่งขันสูง : นโยบายภาครัฐควรเน้นพัฒนาความสามารถในการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม และความได้เปรียบในการแข่งขัน ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวชูจุดแข็งของสินค้าและเจาะตลาดเป้าหมาย รวมถึงวางกลยุทธ์เพิ่มส่วนแบ่งตลาด และปรับสินค้าให้ทันเทรนด์โลก

2) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตเก่ง และการแข่งขันไม่สูง : นโยบายภาครัฐควรสนับสนุนให้ผู้ส่งออกเปิดตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง และยกระดับกระบวนการผลิตตามมาตรฐานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวลดความเสี่ยงจาก Climate change และลงทุนพลังงานหมุนเวียน

3) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตไม่เก่ง แต่การแข่งขันไม่สูง : นโยบายภาครัฐควรให้สิทธิประโยชน์จูงใจให้ดำเนินธุรกิจเดิม แต่ลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิต มุ่งตลาดส่งออกที่มีอยู่ ขณะที่ภาคธุรกิจควรปรับตัวเพิ่มศักยภาพเทคโนโลยีการผลิตและสร้างความเข้าใจในตลาดขั้วสหรัฐฯ และขั้วจีนเพื่อเข้าถึงความต้องการของตลาดได้ดีขึ้น

4) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตไม่เก่ง และแข่งขันสูง : นโยบายภาครัฐควรช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปยังภาคการผลิตที่มีศักยภาพในการเติบโตบนห่วงโซ่การผลิตใหม่ได้ ขณะที่ภาคธุรกิจควรเร่งปรับตัวสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่และหาพันธมิตรด้านเทคโนโลยีสนับสนุน

SCB EIC มองว่าในช่วงเวลาในเรื่องการค้าโลกที่เปลี่ยนไป 2 มหาอำนาจมีความขัดแย้งกันนั้น ไทยเองควรที่สอดแทรกโอกาสดังกล่าวเข้าไป และจะต้องคิดเรื่องดังกล่าวใหม่ทั้งหมดแบบกลับหัวกลับหาง เช่น ในอดีตไทยส่งสินค้าไปประกอบที่จีน แต่ปัจจุบันจีนกลับส่งสินค้ามาให้ไทยประกอบแล้วส่งออกไปยังประเทศอื่น

]]>
1478717
GDP ไทยไตรมาส 1 ปี 67 เติบโต 1.5% ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ ภาคการท่องเที่ยวยังแบกเศรษฐกิจต่อเนื่อง https://positioningmag.com/1474277 Mon, 20 May 2024 04:09:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474277 สภาพัฒน์รายงานตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ที่ผ่านมานั้นเติบโต 1.5% เท่านั้น ซึ่งดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ โดยปัจจัยหลักในไตรมาสนี้ที่ยังทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้คือ ภาคการบริโภค รวมถึงภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดีปัจจัยที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยไตรมาสนี้คือภาคการส่งออก รวมถึงการลงทุนและการบริโภคของภาครัฐ

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ของปี 2567 นั้น GDP เติบโตได้ 1.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขดังกล่าวดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้

ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ของปีนี้ถือว่าดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ โดยผลสำรวจของสำนักข่าว Bloomberg คาดว่า GDP ไทยจะโตแค่ 0.8% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเท่ากันกับสำนักข่าว Reuters ที่สำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 19 รายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

แต่ถ้าหากมองเป็นการเติบโตต่อไตรมาส เศรษฐกิจไทยจะเติบโตจากไตรมาส 4 ของปี 2566 ที่ 1.1%

สำหรับตัวเลขที่น่าสนใจในไตรมาส 1 นี้

  • การบริโภคในประเทศเติบโต 6.9%
  • การส่งออกของไทยถดถอย -2% (ในสกุลดอลลาร์ -1%) ขณะที่การนำเข้าสินค้าเติบโต 3.2%
  • การลงทุนภาคเอกชนเติบโต 4.6%
  • การลงทุนภาครัฐถดถอย -27.7%
  • การอุปโภคภาครัฐกลับถดถอยที่ -2.1%

ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่สภาพัฒน์มองไว้ ได้แก่ เรื่องหนี้ของครัวเรือนที่มีระดับสูง ผลกระทบของสภาวะอากาศต่อภาคการเกษตร ความผันผวนจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จากเรื่องของสภาวะดอกเบี้ยที่ยังมีระดับสูง ผลของความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศ

สภาพัฒน์คาดว่า GDP ไทยในปีนี้จะเติบโตได้ 2.5% โดยมองข้อดีของการส่งออกและการท่องเที่ยวรวมถึงการเบิกจ่ายภาครัฐที่ฟื้นตัว และคาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ 0.1-1.1%

ในบทวิเคราะห์ของ HSBC ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างช้าๆ แต่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยตัวเลขที่สร้างความประหลาดใจคือตัวเลขการบริโภคภายในประเทศ แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะขัดกับดัชนีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำไว้ ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงก็ตาม

ตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 1 นั้นทำให้ HSBC มองว่าแบงกชาติจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% ตลอดทั้งปี  และในบทวิเคราะห์ดังกล่าวชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบ V Shape หลังจากนี้ เนื่องจากมาตรการของรัฐบาล เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณ แต่ปัจจัยดังกล่าวเองก็อาจส่งผลลบต่อ GDP ไทย ถ้าหากมีการเบิกจ่ายล่าช้ากว่าที่คาด

ขณะที่บทวิเคราะห์จาก Goldman Sachs นั้นมองว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตกว่าที่คาดไว้ แต่มองว่าปัจจัยภายนอกก็เป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตัวเลขการส่งออก

Note: อัพเดต 15:34 เพิ่มบทวิเคราะห์จาก HSBC และ Goldman Sachs

]]>
1474277
IMF คาด GDP ไทยโต 2.7% ในปีนี้ มองเศรษฐกิจโลกเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เตือนยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมาก https://positioningmag.com/1470177 Tue, 16 Apr 2024 17:27:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470177 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโต 2.7% ขณะเดียวกันก็มองว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.2% จากปัจจัยของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ก็เตือนถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นยังมีความเสี่ยงอีกมาก

IMF ได้ออกคาดการณ์เศรษฐกิจล่าสุดฉบับเดือนเมษายน โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกนั้นจะเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิม ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศกำลังพัฒนาที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดีก็ได้เตือนถึงเรื่องปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย

สำหรับเศรษฐกิจโลก IMF ได้คาดการณ์ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 3.2% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยบวกจากการเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งอยูที่ 1.8% ขณะเดียวกันก็ปรับคาดการณ์ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเหลือเติบโตแค่ 4.2% ในปีนี้

นอกจากนี้ IMF ยังมองว่าเศรษฐกิจโลกถือว่ามีความยืดหยุ่น แม้ว่าโลกจะอยู่ในสภาวะดอกเบี้ยสูงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ นอกจากนี้ชื่นชมว่าธนาคารกลางทั่วโลกได้ต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อได้ถูกทางแล้ว

IMF ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเติบโตได้มากถึง 2.7% ในปีนี้ ขณะที่จีนคาดว่าจะเติบโตที่ 4.6% ขณะที่อินเดียคาดว่าจะเติบโตได้ 6.8% ยกเว้นในส่วนของยูโรโซนที่ปรับประมาณการลดลง เนื่องจากราคาพลังงานที่สูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปอย่างมาก

ในส่วนเศรษฐกิจไทยนั้น IMF คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 2.7% ในปีนี้ และคาดว่าจะเติบโต 2.9% ในปี 2025 ขณะที่เงินเฟ้อของไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7%

ทางด้านของความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก IMF ยังมองถึงความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง แต่ก็ทยอยลดลงจากราคาพลังงานและอาหารลดลง รวมถึง Supply Chain ทั่วโลกกลับมาสู่สภาวะปกติมากขึ้น คาดว่าทั่วโลกนั้นตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ 5.9% ในปีนี้ และ 4.5% ในปี 2025

ในเรื่องอื่นๆ นั้น IMF ยังกังวลถึงความเสี่ยงระยะสั้นคือ ต้นทุนการเงินที่สูง การถอนมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจทำให้ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงระยะกลางนั้น ด้านผลิตภาพ (Productivity) ถือว่าต่ำสุดในรอบหลายสิบปี และยังกังวลถึงเรื่องของความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก

และยังรวมถึงปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ในจีน การแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ส่งผลทำให้เกิดการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก

]]>
1470177
ครม. เคาะ 5 มาตรการอสังหาฯ “ลดค่าโอน-จดจำนองบ้านไม่เกิน 7 ล้าน” – “บ้านไม่เกิน 3 ล้านกู้ ธอส. ดอกเบี้ยต่ำ” https://positioningmag.com/1469614 Tue, 09 Apr 2024 07:40:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469614 “พรชัย ฐีระเวช” ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยของภาคประชาชน โดยมีทั้งหมด 5 มาตรการ ดังนี้
  1. “ลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 สำหรับอสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท”

การปรับปรุงมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ปี 2567 โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ จากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 เฉพาะที่จดทะเบียนโอนในคราวเดียวกัน สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ อาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว หรือห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้อที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

มาตรการ อสังหาฯ

  1. “ปลูกสร้างบ้านขอลดหย่อนภาษีได้ ‘ล้านละหมื่น’ รวมไม่เกิน 1 แสนบาท”

มาตรการลดหย่อนกาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน กำหนดให้บุคคลธรรมดา (ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มีใช่นิติบุคคล) หักลดหย่อนค่าจ้างก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้รับจ้างซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจ่ายค่าจ้างตามสัญญาจ้างตั้งแต่วันนี้ (9 เมษายน 2567) ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยให้หักลดหย่อนภาษีได้ 1 หมื่นบาทต่อทุกจำนวนค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 1 แสนบาท เฉพาะค่าจ้างก่อสร้างบ้านไม่เกิน 1 หลัง ในปีภาษีที่ก่อสร้างบ้านเสร็จตามสัญญาจ้างที่ได้กระทำขึ้นและเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันนี้ (9 เมษายน 2567) ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และได้เสียอากรแสตมป์โดยวิธีการชำระอากรเป็นตัวเงินผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

มาตรการ อสังหาฯ

  1. “โครงการ Happy Home สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท กู้ ธอส. ดอกเบี้ยต่ำ 3% นาน 5 ปี”

โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร และเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี วงเงินต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3,000,000 บาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ

กู้บ้าน ธอส.

  1. “โครงการ Happy Life สำหรับบ้านราคา 2.5 ล้านบาทขึ้นไป กู้ ธอส. ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.98% ช่วง 3 ปีแรก”

โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร เพื่อต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมอาคาร หรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ร้อยละ 2.98 ต่อปี วงเงินต่อรายตั้งแต่ 2,500,000 บาทขึ้นไป โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ

  1. “บ้าน BOI ขยับเพดานราคาขึ้นเป็น 1.5 ล้านบาท”

การให้การส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (โครงการบ้าน BOI) คณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้ออกประกาศที่ ส. 1/2567 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2567 ให้สิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข เช่น 1) ที่อยู่อาศัยที่ขอรับการส่งเสริม กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร และกรณีบ้านเดี่ยวหรือบ้านแถว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร 2) การก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ขอรับการส่งเสริมต้องจำหน่ายให้บุคคลธรรมดาเท่านั้น โดยก่อสร้างที่อยู่อาศัย (รวมค่าที่ดิน) ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท 3) ต้องมีที่อยู่อาศัยตามเงื่อนไขที่กำหนดไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของที่อยู่อาศัยทั้งโครงการ 4) มีแผนผังและแบบแปลนที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และได้รับการอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 5) ต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2568 เป็นต้น

 

ก๊อกสอง…รอมาตรการดึงชาวต่างชาติซื้ออสังหาฯ ไทย

โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการตังกล่าวข้างต้นช่วยจะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Chain) ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ อันจะก่อให้เกิดการจ้างงาน การผลิต รวมถึงอาจก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวม

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ซึ่งมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ Thailand Vision ในการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลกที่มีเป้าหมายในการดึงดูดนักลงทุนและผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตให้มาลงทุนในประเทศไทย รวมถึงการปรับกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการถือครองทรัพย์สิน ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ไปดำเนินการพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการซึ่งจะได้นำเสนอกลับมาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

 

เสนาฯ มองขยายเพดาน 7 ล้านกระตุ้นได้ 80% ของตลาด

“ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า มาตรการที่ ครม. มีมติเห็นชอบจะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ ได้กว้างกว่าเดิมมาก

ยกตัวอย่างเช่น การขยายเพดานลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนองได้สูงสุด 7 ล้านบาท จะทำให้ครอบคลุมได้ถึง 80% ของตลาดอสังหาฯ จากเดิมที่เคยมีมาตรการเฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทซึ่งครอบคลุมเพียง 40% ของตลาดอสังหาฯ เชื่อว่ามาตรการใหม่ที่ขยายเพดานราคาขึ้นจะช่วยกระตุ้นการระบายสต็อกที่อยู่อาศัยทั้งตลาดได้ดีขึ้น

รวมถึงโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home ของ ธอส. ก็เช่นกัน เมื่อขยับเพดานราคาวงเงินกู้เป็น 3 ล้านบาทจึงครอบคลุมได้ถึง 40% ของตลาด จากเดิมที่โครงการบ้านล้านหลังดอกเบี้ยต่ำของ ธอส. เคยให้กู้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทซึ่งคิดเป็นเพียง 10% ของตลาดรวม โครงการนี้จึงช่วยครอบคลุมตลาดได้ดีขึ้นและได้ประโยชน์กับผู้ซื้อกลุ่มใหญ่ที่มักจะซื้อบ้านราคา 2-3 ล้านบาทอยู่แล้ว

ขณะที่โครงการบ้าน BOI ซึ่งเคยกำหนดเพดานราคา 1.2 ล้านบาท ขยับเป็น 1.5 ล้านบาท ทำให้โอกาสเป็นไปได้ที่จะสร้างโครงการในกลุ่มราคา BOI สูงขึ้น สำหรับเสนาฯ เองมีโครงการในมือที่พร้อมจะยื่นขอเป็นโครงการบ้าน BOI อยู่แล้ว 9 โครงการ โดย 3 โครงการอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และ 6 โครงการในเขตปริมณฑล

]]>
1469614
SCB EIC คาด GDP ปีนี้โตแค่ 2.7% ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าอยู่กลุ่มรั้งท้ายของโลก และยังมีความท้าทายในเรื่อง Supply Chain https://positioningmag.com/1466313 Fri, 15 Mar 2024 04:47:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466313 SCB EIC คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้โตแค่ 2.7% ขณะเดียวกันก็ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าอยู่กลุ่มรั้งท้ายของโลก และยังมีความท้าทายในเรื่อง Supply Chain ซึ่งไทยเองมีความจำเป็นเร่งด่วนในการที่จะต้องแก้ปัญหาดังกล่าว

มุมมองเศรษฐกิจโลกนั้น SCB EIC คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.6% ซึ่งมุมมองปรับดีขึ้นจากแรงส่งจากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในช่วงต้นปีนี้ รวมถึงเศรษฐกิจโลกได้รับแรงสนับสนุนจากการค้าโลกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัวลง แต่ยังมีแรงกดดันจากผลกระทบของภาวะดอกเบี้ยสูง ความขัดแย้งต่างๆ อยู่

นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองว่าธนาคารกลางหลายแห่งของประเทศพัฒนาแล้ว จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก

สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2024 เหลือ 2.7% (จากเดิม 3%) แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องได้ จากแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและภาคบริการรวมถึงเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อื่นที่กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มดีขึ้น

อย่างไรก็ดี SCB EIC มองว่าแรงส่งภาครัฐจะยังหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2567 รวมถึงปัญหาสินค้าคงคลังสะสมสูงจากปีก่อนจะยังไม่สามารถคลี่คลายได้เร็ว ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทยที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นช้าต่อเนื่องมาในปีนี้

สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจไทยนั้นเหมือนจะดี และเห็นสัญญาณที่ไม่ดีตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2023 ที่ผ่านมา และเขายังกล่าวว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้นฟื้นตัวช้าในกลุ่มรั้งท้ายของโลก ซึ่งอันดับของไทยอยู่ที่อันดับ 162 ซึ่งแย่ลงกว่าเดิม จากปีก่อนหน้าอยู่ที่อันดับ 155

ขณะเดียวกัน สมประวิณ เชื่อว่า การที่ กนง.จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ได้มาจากปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อเป็นสำคัญ แต่น่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะยาวที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาในเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน โดยชี้ถึงสาเหตุสำคัญมาจาก

  • ผลิตภาพการผลิต (Total Factor Productivity) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวของไทยต่ำลงเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งจากปัญหาผลิตภาพแรงงานไทยลดลงและกฎเกณฑ์ภาครัฐจำนวนมากที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
  • ปัจจัยทุน (Capital) ปัจจัยดังกล่าวของไทยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะเห็นได้จากสัดส่วนการลงทุนในประเทศที่ลดลงเหลือประมาณ 24% ของ GDP ในช่วง 2 ทศวรรษหลัง นอกจากนี้ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (FDI) ของไทยต่ำลงหากเทียบประเทศในภูมิภาคอาเซียน
  • ปัจจัยกำลังแรงงาน (Labor) ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยเร็ว
เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวช้า เมื่อเทียบกับหลายประเทศ / ข้อมูลจาก SCB EIC

SCB EIC ยังคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรกของปี ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยจะเหลือแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งสมประวิณมองว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสอดคล้องกับผลิตภาพการผลิตของไทย

นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองว่าการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก ขณะเดียวกันการที่เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนและห่วงโซ่การผลิตจีนมากท่ามกลางกระแสภูมิรัฐศาสตร์โลกรวมถึงความสามารถของภาคการผลิตไทยในการปรับตัวกับห่วงโซ่การผลิตโลกใหม่และรูปแบบความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้ช้าทำให้การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคส่งออกไทยยังทำได้ค่อนข้างจำกัด สะท้อนจากส่วนแบ่งยอดขายสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลกที่ยังใกล้เดิมมาตลอดทศวรรษ

SCB EIC ยังชี้ว่าไทยยังมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการยกระดับขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกใหม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว

]]>
1466313
ปี 2567 คนมีแผน “ซื้อบ้าน” ลดลง สาเหตุจากเศรษฐกิจซบกระทบเงินเก็บ บ้านแพง ดอกเบี้ยสูง https://positioningmag.com/1464521 Thu, 29 Feb 2024 10:34:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464521
  • DDproperty สำรวจความต้องการ “ซื้อบ้าน” ของคนไทย พบว่าปี 2567 คนไทยที่วางแผนซื้อบ้านภายใน 1 ปีข้างหน้าลดลงเหลือ 44% เท่านั้น จากปีก่อนที่มี 53%
  • 30% ของผู้ตอบแบบสอบถาม “เลื่อน” แผนการซื้อบ้านออกไปก่อน สาเหตุหลักจากภาวะเศรษฐกิจส่งผลต่อเงินเก็บที่จะใช้ซื้อบ้าน มองว่าราคาบ้านแพงเกินไป และอัตราดอกเบี้ยสูง
  • ผู้บริโภคคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านออกมา เพื่อช่วยเหลือทั้งผู้กู้เดิมและที่จะกู้ใหม่
  • DDproperty จัดทำสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคและเผยแพร่ผ่านรายงาน DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด ครึ่งปีแรกประจำปี 2567 พบว่าความเชื่อมั่นต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคไทยลดลงทุกด้าน ดังนี้

    คนอยาก “ซื้อบ้าน” ลดลงอย่างมีนัยยะ

    รายงานชิ้นนี้พบว่า 44% ของผู้บริโภคมีแผน “ซื้อบ้าน” ภายใน 1 ปีข้างหน้า ตัวเลขนี้ถือว่าลดลงอย่างมีนัยยะจากการสำรวจรอบก่อนหน้าช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ที่เคยมีสัดส่วน 53% ตัวเลขคนอยากซื้อบ้านที่ลดลงต่ำกว่าครึ่งหนึ่งเป็นภาพสะท้อนว่ากำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้น และภาวะเศรษฐกิจกระทบมากต่อกลุ่มผู้ซื้อระดับกลางถึงล่างซึ่งมีความเปราะบางทางการเงินสูง

    สอดคล้องกับคำตอบของผู้บริโภคในอีกหัวข้อหนึ่งคือ 30% ของผู้บริโภคตอบว่าได้ตัดสินใจเลื่อนแผนซื้อบ้านออกไปก่อน เนื่องจากปัญหาทางการเงิน

    ซื้อบ้าน

     

    เงินเก็บไม่พอ บ้านแพง ดอกเบี้ยสูง

    ผู้บริโภคที่เลื่อนแผนซื้อบ้านออกไปหรือไม่มีแผนที่จะซื้อมาจากปัจจัยด้านการเข้าถึงที่อยู่อาศัย ดังนี้

    • “ดอกเบี้ยสูง”ผู้บริโภค 48% มองว่าดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และ 29% มองว่าอยู่ในระดับสูงมาก มีเพียง 16% ที่มองว่าดอกเบี้ยอยู่ในระดับเหมาะสม
    • “เงินเก็บไม่พอ” – ในกลุ่มผู้บริโภคที่เลือกเช่าแทนการซื้อ 61% ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะพวกเขายังไม่มีเงินเก็บพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัย
    • “บ้านแพง” – ขณะที่คนที่เลือกเช่าแทนซื้อ 38% มองว่าบ้านมีราคาแพงเกินไป

    ซื้อบ้าน

    ปัจจัยเหล่านี้ส่งเสริมให้คนไทยเลือกจะเช่าบ้านเพิ่มขึ้น โดยมี 14% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มองว่าตนจะหาเช่าบ้านใน 1 ปีข้างหน้า เพิ่มจากสัดส่วน 9% เมื่อการสำรวจรอบก่อน

    อีกวิธีหนึ่งที่ผู้บริโภคใช้ในการแก้ปัญหาคือ “ลดช่วงราคาที่อยู่อาศัยที่จะซื้อลง” โดยมี 20% ของผู้ถูกสำรวจที่จะใช้แนวทางนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการก่อหนี้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซบเซา

     

    ขอสินเชื่อไม่ผ่านเพราะ “รายได้ไม่มั่นคง”

    อุปสรรคคนซื้อบ้านยุคนี้จึงเป็นเรื่องทางการเงินที่รุมเร้า นอกจากจะมีปัญหาจากเศรษฐกิจแล้ว ฝั่งแบงก์เองก็ระมัดระวังสูงในการอนุมัติสินเชื่อบ้าน มีการพิจารณาอย่างเข้มงวดจนทำให้อัตราลูกค้าที่ถูกปฏิเสธให้สินเชื่อสูงถึง 60-65% ของการยื่นขอกู้ทั้งหมด (ข้อมูลโดย LWS)

    เหตุที่ลูกค้าขอสินเชื่อบ้านไม่ผ่านนั้น 56% เกิดจากรายได้และอาชีพไม่มั่นคง 38% มีประวัติทางการเงินไม่ดี และ 31% มีเงินดาวน์ไม่พอ

    ขณะที่การช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ นั้น ผู้บริโภค 58% ต้องการมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน 51% ต้องการมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านทั้งที่มีอยู่แล้วและที่กู้ใหม่ และ 40% ต้องการมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนอง

    ]]>
    1464521
    วิจัยกรุงศรีคาด GDP ไทยปี 67 โต 2.7% และยังมีความไม่แน่นอนสูง สวนทางกลุ่มประเทศในอาเซียน https://positioningmag.com/1463914 Sun, 25 Feb 2024 07:32:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463914 วิจัยกรุงศรีคาด GDP ไทยปี 67 โต 2.7% และยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ตัวเลขดังกล่าวของไทยถือว่าสวนทางกลุ่มประเทศในอาเซียนซึ่งคาดว่าจะเติบโตที่ 4.7% ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกนั้นถือว่าเติบโตชะลอตัวลงตามวัฎจักร 

    พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่สภาวะชะลอตัวตามวัฎจักร หลังจากหลายประเทศได้ใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบผ่อนคลาย แล้วมีการปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายการคลังของรัฐบาลการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเบาลง

    นอกจากนี้ยังมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในยุโรป ภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกนั้นสร้างแรงกระเพื่อมต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลก

    เศรษฐกิจสหรัฐฯ วิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP จะเติบโต 2.1% โดยมองว่าเศรษฐกิจเติบโตไม่ร้อนแรงเหมือนเดิม แต่การจ้างงาน ค่าแรง ยังดูโอเค และหลังจากนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเติบโตกลับสู่ระดับปกติ นอกจากนี้ยังคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) น่าจะลดดอกเบี้ยช่วงกลางปีเป็นต้นไป

    สำหรับเศรษฐกิจจีน วิจัยกรุงศรีมองว่าความเสี่ยงสำคัญคือภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาเชิงโครงสร้างทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง นอกจากนี้จีนยังต้องหาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจใหม่ๆ แทนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจีนโตได้ 4.6%

    ในส่วนของเศรษฐกิจในยูโรโซน วิจัยกรุงศรี มองว่ายังทรงๆ แม้ว่าจะรอดจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ยังมองว่าการเติบโตยังอ่อนแอ ขณะที่ญี่ปุ่นเศรษฐกิจได้รับแรงบวกจากการเปิดประเทศแทบจะ 100% แล้ว แต่มองว่าการเพิ่มค่าแรง อาจทำให้ BoJ ปรับดอกขึ้นได้ แม้ว่าไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะถดถอยก็ตาม

    ปัจจัยดังกล่าวทำให้หัวหน้าทีมวิจัยกรุงศรีมองว่าสำหรับเศรษฐกิจโลกนั้นน่าจะเติบโตได้ 3.1% ถือว่าเติบโตต่ำใกล้เคียงกับปีก่อน

    ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ – หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) / ภาพจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา

    เศรษฐกิจอาเซียน

    วิจัยกรุงศรีคาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศรวมกัน (ASEAN 5) จะอยู่ที่ 4.7% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวประมาณ 4.2%โดยอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ รวมถึงการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อยตามการคลี่คลายของภาวะชะงักงันด้านอุปทาน กำลังซื้อที่กระเตื้องขึ้นจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง และแรงกดดันจากสภาวะทางการเงินตึงตัวที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

    อย่างไรก็ตามความท้าทายต่อเศรษฐกิจภูมิภาคที่สำคัญ ได้แก่ ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ เศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแอ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเพิ่มความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มการเติบโตของภูมิภาคผ่านช่องทางทั้งภาคการเงินและการค้า

    นอกจากนี้ นโยบายการคลังจะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับความท้าทายด้านอุปทานที่มีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้น สำหรับนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวน อาจทำให้ธนาคารกลางในภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้จนถึงกลางปีนี้

    เศรษฐกิจไทย

    หัวหน้าทีมของวิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตได้ 2.7% เติบโตมากกว่า GDP ของไทยในปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 1.9% สาเหตุสำคัญคือการใช้จ่ายภาครัฐที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี ขณะเดียวกันภาคการส่งออกก็กลับมาฟื้นตัว รวมถึงคาดว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะมาไทยมากถึง 35.6 ล้านคน ส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชน หรือแม้แต่การจ้างงาน

    อย่างไรก็ดีการบริโภคภาคเอกชนอาจกระทบจากหนี้ครัวเรือน เนื่องจากภาระครัวเรือนที่ต้องจ่ายยังสูง นอกจากนี้ยังรวมถึงรายได้ภาคเกษตรที่ยังเติบโตไม่มากนัก แม้ว่าราคาพืชผลจะสูงจากสภาวะเอลนีโญก็ตาม

    แม้ว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมทยอยฟื้นตัว แต่วิจัยกรุงศรีมองว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับ 3% ต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องที่ 1.1% ปัจจัยดังกล่าวเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง

    ]]>
    1463914
    GDP ไทยปี 2566 เติบโตแค่ 1.9% เท่านั้น หลังไตรมาส 4 ตัวเลขแย่กว่าคาด สภาพัฒน์มองปีนี้โตแค่ 2.2-3.2% https://positioningmag.com/1463087 Mon, 19 Feb 2024 03:48:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463087 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้รายงานตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นั้น GDP ไทยเติบโตได้ 1.9% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าที่คาด โดยในปีที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการประคองเศรษฐกิจไทย

    สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้รายงานตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นั้น GDP ไทยเติบโตได้ 1.9% ซึ่งต่ำกว่าที่คาด และแย่กว่าปี 2565 ที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% ด้วยซ้ำ โดยพระเอกสำคัญคือภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ช่วยฉุดภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนกลับมาอีกครั้ง

    ตัวเลขเศรษฐกิจไทยนั้นถือว่าต่ำว่าการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg ซึ่งคาดไว้อยู่ที่ 2.6% และต่ำกว่าสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าว Reuters ที่คาดไว้ 2.5%

    อีกปัจจัยที่ทำให้ GDP ไทยเติบโตน้อยคือ ภาคการส่งออกที่อ่อนแอจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว รวมถึงการเบิกจ่ายของรัฐบาลที่ล่าช้า เนื่องจากไม่สามารถที่จะออก พรบ. งบประมาณ ประจำปี 2567 ได้ทันในช่วงกลางปี 2566 เนื่องจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลทำให้ต้องใช้งบของปี 2566 แทน

    สำหรับตัวเลขที่น่าสนใจในปี 2566 นี้

    • การบริโภคในประเทศเติบโต 7.1% ได้ปัจจัยจากภาคการท่องเที่ยว
    • การส่งออกเติบโต 2.1% (แต่ถ้ามองในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น -1.7%)
    • การลงทุนภาคเอกชนเติบโต 3.2%
    • การอุปโภคภาครัฐกลับถดถอยที่ -4.6% จากปัญหาการเบิกจ่ายของรัฐบาล
    • อัตราเงินเฟ้อ 1.2%

    ขณะที่มุมมองสถาบันการเงินต่างประเทศ J.P. Morgan ได้ออกบทวิเคราะห์โดยมองว่าตัวเลข GDP ที่ออกมานั้นแย่กว่าคาด และได้ปรับคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2567 เหลือแค่ 2.3% แต่ยังมองถึงแง่บวกจากการกระจายด้าน Supply Chain แต่มีด้านลบจากโอกาสต่อต้านนโยบายของภาครัฐ และคาดว่าภายในครึ่งปีหลังจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมกัน 0.5%

    ทางด้านของ Citi ได้ออกบทวิเคราะห์โดยยังให้คาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 ที่ 3% โดยมองว่าระยะสั้นจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาถ้าหากงบประมาณประจำปี 2567 ผ่านสภาออกมา และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ภายในเดือนมิถุนายน เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านลบของเศรษฐกิจไทย

    Bank of America มองว่าไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ เริ่มในเดือนมิถุนายน และอาจปรับลดได้ก่อนถ้าหากเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าคาด

    ตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยที่แย่กว่าคาด ยังทำให้สภาพัฒน์ยังปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยที่เคยทำไว้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เหลือแค่ 2.2-3.2% เท่านั้น และความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีนี้คือ สภาวะเอลนีโญ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เป็นต้น

    Note: อัพเดต 17:53 เพิ่มมุมมองบทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างประเทศ

    ที่มา – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, บทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างประเทศ

    ]]>
    1463087