แพ็กเกจจิ้ง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 23 May 2023 05:08:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก “XSight” เครื่องมือ AI วิเคราะห์ความโดดเด่นของ “แพ็กเกจจิ้ง” นวัตกรรมเบื้องหลังกระป๋องใหม่ “est Cola” https://positioningmag.com/1431317 Wed, 24 May 2023 04:00:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431317

การออกแบบ “แพ็กเกจจิ้ง” ให้โดดเด่นบนชั้นวางเป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์มองข้ามไม่ได้ เพราะถึงแม้จะทำการตลาดมาได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าแพ็กเกจจิ้งไม่เตะตา ลูกค้ามองหาไม่เจอ ก็จะไม่เกิดเป็นยอดขาย ความสำคัญนี้ทำให้เอเจนซี่โฆษณาดิจิทัล “ adapter digital ” พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ในแพลตฟอร์ม “XSight” เครื่องมือ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ความโดดเด่นของแพ็กเกจจิ้งสินค้า เบื้องหลังความสำเร็จของกระป๋องแบบใหม่แบรนด์ “est Cola”

“บรรจุภัณฑ์” ของสินค้าหรือ “แพ็กเกจจิ้ง” เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแบรนด์ที่สำคัญมากต่อยอดขาย มีหลายกรณีศึกษาที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแพ็กเกจจิ้งที่ดีจะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ และช่วยปิดยอดขายได้เพราะภาพที่โดดเด่นบนชั้นวางจำหน่าย ในทางกลับกันก็มีอีกหลายกรณีศึกษาที่พบว่า แพ็กเกจจิ้งที่ไม่ดีจะทำให้ยอดขายตกลง แม้แต่แบรนด์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วในตลาด แต่ถ้าหากปรับแพ็กเกจจิ้งผิดทิศทางก็ทำให้ยอดขายดิ่งลงทันทีได้เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น เมื่อปี 2552 มีกรณีศึกษาระดับตำนานของ “น้ำส้ม” แบรนด์ดังในต่างประเทศ ที่ออกแบบปรับแพ็กเกจจิ้งจากเดิมที่ใช้รูป “ผลส้มใบโต” มาเป็นรูป “แก้วใสใส่น้ำส้ม” ซึ่งแตกต่างจากเดิมมาก ทำให้ลูกค้าไม่พึงพอใจ รู้สึกไม่คุ้นเคยกับแพ็กเกจจิ้งโฉมใหม่ ไม่ผูกพันกับแบรนด์เช่นเดิม และนำมาสู่ความเสียหายของยอดขายถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) จนแบรนด์ต้องรีบพลิกเกมกลับไปใช้แพ็กเกจจิ้งแบบเดิม

อรรถวุฒิ เวศรานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อะแด็ปเตอร์ ดิจิตอล จำกัด (adapter digital group) ให้ความเห็นว่า Brand’s Visual Identity หรือองค์ประกอบแบรนด์ที่สามารถมองเห็นและจดจำได้ เป็นเรื่องที่ส่งอิทธิพลกับลูกค้า เป็นเหมือน “จุดสุดท้าย” (Last Contact Point) ที่แบรนด์จะได้สื่อสารกับผู้บริโภค ก่อนลูกค้าตัดสินใจซื้อจริง

อรรถวุฒิ เวศรานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อะแด็ปเตอร์ ดิจิตอล จำกัด (adapter digital group)

ขณะที่ “ adapter digital ” เองมีแพลตฟอร์ม “XSight” เครื่องมือวิเคราะห์ประสิทธิภาพชิ้นงานโฆษณาด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์​ (AI) และหลักคิดด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) ที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2565 อยู่แล้ว และเมื่อเห็นความสำคัญของการออกแบบแพ็กเกจจิ้ง บริษัทจึงพัฒนาต่อเนื่องเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ “XSight Attentive Packaging” เพื่อนำพลัง AI มาใช้วิเคราะห์ความโดดเด่นของบรรจุภัณฑ์ด้วย

adapter digital พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ Attentive Packaging ให้กับ XSight ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการเข้ามาตอบโจทย์ลูกค้าฝั่งแบรนด์ โดยเฉพาะการตอบคำถามในใจต่อประเด็นที่ว่า แพ็กเกจจิ้งแบบไหนกันแน่ที่จะ Win ในสายตาและความคิดของผู้บริโภค เพื่อสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนและปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว (Long-term branding & Quick Win Sales)”


วัดคะแนน “แพ็กเกจจิ้ง” แบบไหนที่เด่นในสายตาผู้บริโภค

สำหรับวิธีการทำงานของเครื่องมือ “XSight Attentive Packaging” จะมีการวัดค่าคะแนนความโดดเด่น (Outstanding Score) ของบรรจุภัณฑ์ โดยวัดจากประสิทธิภาพดึงดูดสายตาและความสนใจของคน และสามารถเปรียบเทียบได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเทียบกับแบบบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์เอง หรือเปรียบเทียบกับของคู่แข่ง โดยมีฟีเจอร์แยกย่อย 4 ส่วนที่ให้บริการ ดังนี้

  1. การวิเคราะห์บรรจุภัณฑ์แบบเดี่ยว (Single Packaging Test): การวิเคราะห์ประสิทธิภาพงานออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบเดี่ยว โดยสามารถใช้วิธีทดสอบนี้เพื่อหาองค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดบน Packaging ได้
  2. การวิเคราะห์บรรจุภัณฑ์เปรียบเทียบแบบ 1:1 (VS Test): การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบรรจุภัณฑ์แบบเปรียบเทียบ 1 ต่อ 1 เพื่อหาบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่นที่สุด ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งการเปรียบเทียบระหว่างต้นแบบงานออกแบบบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ตนเอง และบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์คู่แข่ง
  3. การวิเคราะห์บรรจุภัณฑ์มากกว่า 2 ดีไซน์ขึ้นไป (Plan-o-gram Shuffling): การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบรรจุภัณฑ์ที่มากกว่า 2 ดีไซน์ขึ้นไป (ไม่เกิน 6 รูปแบบ) โดยสามารถสุ่มตำแหน่งการวางได้อัตโนมัติเพื่อตัดปัญหาเรื่องจุดนำสายตา รวมถึงสามารถนำไปทดสอบกับสภาพแวดล้อมที่อยู่บนชั้นวางสินค้าได้อีกด้วย (On-Shelf Test) เพื่อความสมจริงมากที่สุด
  4. กระดานสรุปผลลัพธ์การวิเคราะห์แบบใหม่ (New Results Dashboard): กระดานสรุปผลลัพธ์การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของงานดีไซน์บรรจุภัณฑ์ที่ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่เพื่อให้นักการตลาด แบรนด์ สามารถอ่านผลลัพธ์ของการวิเคราะห์ได้อย่างสะดวก เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย

 


กรณีศึกษา ‘est Cola’ โฉมใหม่ที่ผู้บริโภคชื่นชอบ

หลังจากเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่นี้ออกไป มีแบรนด์หนึ่งที่ได้ทดลองใช้จริงและพัฒนาบรรจุภัณฑ์จริงออกสู่ตลาดแล้ว นั่นคือ “est Cola” (เอสโคล่า) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้

ตลาดน้ำอัดลมถือเป็นธุรกิจหนึ่งที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทำให้ปีนี้ est Cola มีการปรับแนวทางการตลาด และการปรับแพ็กเกจจิ้งก็ถือเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ “สุภรณ์ เด่นไพศาล” ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์คือลูกค้า Gen Z ทำให้แบรนด์ต้องการจะ อัพเลเวลลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสะท้อนภาพของแบรนด์ที่ต้องการก้าวไปข้างหน้าเสมอ

การนำ XSight มาใช้งานจึงถือเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์การตลาดกับการดีไซน์แพ็กเกจจิ้งใหม่ของพวกเรามาก เพราะจริงๆ แล้วคนดีไซน์กับคนซื้อ ต่างคนก็ต่างความคิดดังนั้นการมีเครื่องมือ AI มาช่วยตรวจสอบความชื่นชอบที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมายเอสโคล่า ก็ทำให้เรามั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าแพ็กเกจจิ้งนี้จะตอบโจทย์ความชื่นชอบชาว Gen Z มากที่สุด และจากเสียงตอบรับที่เราได้รับมา คนส่วนใหญ่ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เอสโคล่าโฉมใหม่ ดูสวย ดูเด่นออกมาจากชั้นวางจริงๆ”

ผลลัพธ์ที่ได้ของแพ็กเกจจิ้งใหม่ที่ผ่านการใช้งาน XSight วิเคราะห์ ทำให้ผู้บริโภคกดโหวตให้โฉมใหม่และรสชาติใหม่ของ est Cola มีความ ‘Awesome’ มากกว่า 91% ถือเป็นความสำเร็จที่เห็นผลจริงจากการใช้ XSight เป็น MarTech Tool

ด้านประธานเจ้าหน้าที่บริหาร adapter digital กล่าวทิ้งท้ายว่า ในอนาคต adapter จะพัฒนา XSight ให้เพิ่มขีดความสามารถการเป็นเครื่องมือวิเคราะห์สื่อโฆษณาทุกรูปแบบได้อย่างไร้ข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็น Key Visual, OOH หรือ Social Content ที่แบรนด์ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูง เพื่อช่วยให้แบรนด์ใช้งบสื่อโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

XSight Attentive Packaging พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ สำหรับแบรนด์หรือนักการตลาดที่สนใจทดลองใช้บริการ หรือต้องการสอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://xsight.adapterdigital.com/en/services/package-design-analytics หรือติดต่อได้ที่ https://xsight.adapterdigital.com/


]]>
1431317
KitKat ออสเตรเลีย จะเปลี่ยนมาใช้ซองทำจาก “พลาสติกรีไซเคิล” นำร่องขนมอื่น ๆ ของ Nestle https://positioningmag.com/1387903 Mon, 06 Jun 2022 11:46:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387903 Nestle ผลักดันนโยบายสิ่งแวดล้อม ด้วยการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ KitKat ในออสเตรเลียให้ผลิตจาก “พลาสติกรีไซเคิล” 30% ของตัวแพ็กเกจจิ้ง โดยจะเป็นการนำร่องสำหรับขนมแบรนด์อื่นๆ ในเครือ

บริษัท Nestle ประกาศนโยบายนี้เพื่อต้อนรับ “วันสิ่งแวดล้อมโลก” วันที่ 5 มิถุนายน 2022 โดยขนมช็อกโกแลต KitKat ขนาด 45 กรัมมีการจำหน่ายในออสเตรเลียถึงปีละ 40 ล้านชิ้น และบริษัทเตรียมเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ผสมพลาสติกรีไซเคิลตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป พร้อมกระจายสินค้าไปทั่วประเทศ

การปรับมาใช้พลาสติกรีไซเคิลของขนม KitKat จะทำให้บริษัทลดการใช้พลาสติกใหม่ได้ 250,000 ตารางเมตร เทียบเท่ากับสระว่ายน้ำโอลิมปิก 200 สระรวมกัน

มาร์กาเร็ต สจ๊วต ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและความยั่งยืน Nestle Oceania กล่าวว่า เป้าหมายของบริษัทต้องการจะลดการใช้พลาสติกใหม่ลง 1 ใน 3 ภายในปี 2025 รวมถึงมีเป้าให้พลาสติกทำแพ็กเกจจิ้งเหล่านี้สามารถรีไซเคิลหรือนำไปใช้ใหม่ได้ทั้งหมด

“เราหวังว่าห่อบรรจุภัณฑ์นี้จะไม่เพียงแต่ลดการใช้พลาสติกใหม่ แต่ยังหวังว่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่าการวนกลับมาใช้ใหม่ของพลาสติกประเภทอ่อนนั้นทำได้ รวมถึงความสำคัญของการรีไซเคิลแพ็กเกจจิ้งของคุณด้วย” สจ๊วตกล่าว

“เรายังไปไม่ถึงขั้นนั้นก็จริง แต่เราอยากจะเห็นอนาคตที่ออสเตรเลียสามารถนำขยะพลาสติกอ่อนมาเปลี่ยนกลับเป็นแพ็กเกจจิ้งอาหารที่เป็นพลาสติกอ่อนได้อีก”

KitKat พลาสติกรีไซเคิล
ด้านหลังซองขนม KitKat ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 30%

เธอยังกล่าวด้วยว่า การที่บริษัทใหญ่อย่าง Nestle จัดซื้อและใช้พลาสติกรีไซเคิล จะทำให้มีบริษัทจำนวนมากขึ้นลงทุนผลิตวัตถุดิบแพ็กเกจจิ้งประเภทนี้ และนำไปสู่การรีไซเคิลมากขึ้น

ในกรณีพลาสติกอ่อนตัวนั้น การนำมารีไซเคิลยังไม่แพร่หลาย และเทคโนโลยีเพื่อจะนำมันมารีไซเคิลหรือใช้ใหม่ก็ยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก

“เราต้องตามหาไปทั่วเพื่อจะให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้ แต่เราก็ได้ส่งข้อความออกไปด้วยว่ามันเป็นเรื่องสำคัญในการจัดเก็บและรีไซเคิลพลาสติกอ่อน เพราะเรารู้ว่าผู้บริโภคจะต้องการสินค้าที่ยั่งยืน” สจ๊วตกล่าว

“การจะใช้วัสดุรีไซเคิล 100% นั้นเป็นไปได้แต่ยังทำไม่ได้ในตอนนี้ แต่เราเองจะเดินต่อในการใช้พลาสติกรีไซเคิลในซองบรรจุภัณฑ์สินค้าของเราทั้งหมด” โดยบริษัท Nestle จะศึกษาบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดที่มีว่าสามารถพัฒนากับสินค้าไหนได้บ้างอย่างเหมาะสม

คริส โอดอนเนล ผู้จัดการทั่วไปแผนกขนมและของหวาน กล่าวว่า การเปลี่ยนวัสดุซองห่อขนมจะไม่มีผลต่อสินค้า KitKat จะยังคงสดใหม่และกรอบเหมือนปกติ

“ขณะที่ทุกคนเคยชินกับขวดพลาสติกที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลแล้ว พลาสติกอ่อนที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลแบบนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ในวงการ” โอดอนเนลกล่าว

“คำมั่นของเราต่อการพัฒนาแพ็กเกจจิ้งเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของเราต่อความยั่งยืน ประเด็นอื่นของเรา เช่น การสนับสนุนฟาร์มและชุมชนผลิตโกโก้ รวมถึงการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2025”

ในออสเตรเลียนั้นมีเครือข่ายองค์กรที่เรียกว่า REDcycle ซึ่งผนึกกำลังกับร้านค้ารีเทลในการตั้งถังรับพลาสติกอ่อน เช่น ซองห่อไอศกรีมแท่ง ซองขนม ถุงขนมปังแถว บับเบิ้ลกันกระแทก ถุงใส่ของสด ฯลฯ เพื่อนำไปรีไซเคิล โดยองค์กรนี้จะรณรงค์ให้ผู้บริโภคช่วยกันนำพลาสติกอ่อนมาคืน และติดต่อให้บริษัท/ราชการนำพลาสติกอ่อนไปรีไซเคิลใช้งาน

Source

]]>
1387903
SCGP ซุ่มพัฒนาพันธุ์ “กัญชง” มองธุรกิจ “แพ็กเกจจิ้ง” ทิศทางดีขึ้น แม้ต้นทุนพลังงานสูง https://positioningmag.com/1382988 Tue, 26 Apr 2022 12:37:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382988
  • SCGP รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/65 รายได้พุ่ง 34% แต่อัตรากำไรลดลง เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้นโดยเฉพาะค่าพลังงาน ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
  • มองภาพปี 2565 เป็นขาขึ้นทั้งปี ตลาดไทยและอาเซียนเปิดประเทศเต็มที่ การกินใช้ฟื้นตัว ส่งผลดีกับธุรกิจ “แพ็กเกจจิ้ง”
  • อัปเดตโปรเจ็กต์ใหม่บริษัท พัฒนาพันธุ์ “กัญชง” ให้เหมาะกับเมืองไทย
  • “วิชาญ จิตร์ภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รายงานผลการดำเนินงานบริษัทไตรมาส 1/2565 ทำรายได้ที่ 36,634 ล้านบาท เติบโต 34% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,658 ล้านบาท ลดลง -22% หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 5% ลดจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิ 8%

    ผลกระทบหลักมาจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งบริษัทเร่งบริหารต้นทุนอย่างดีที่สุด รวมถึงพยายามตรึงราคาให้กับลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น แพ็กเกจจิ้งกระดาษอาจลดความหนาลงแต่ไม่ส่งผลต่อความทนทานของการใช้งาน เพื่อให้ลูกค้าได้ซื้อในราคาเดิม

     

    เป้าหมาย 1.4 แสนล้าน เชื่อตลาดสดใสขึ้น

    วิชาญกล่าวต่อถึงเป้าหมายรายได้ 1.4 แสนล้านบาทในปีนี้ของ SCGP เชื่อว่าจะทำได้ตามเป้า จากแนวโน้มในตลาดที่ดีขึ้น

    ปัจจุบันตลาดหลักของ SCGP แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

    • ตลาดอาเซียนยกเว้นไทย 43%
    • ตลาดไทย 41%
    • ตลาดประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรป จีน 16%

    เป็นปีแรกที่ตลาดอาเซียนมีสัดส่วนมากกว่าตลาดไทยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ที่บริษัทได้วางไว้เพราะมองว่าอาเซียนจะเป็นตลาดที่เติบโตได้ดี โดยปี 2565 เห็นได้ชัดว่ากลุ่มประเทศอาเซียนมีการเปิดเมืองเปิดประเทศมากขึ้น จะเป็นผลดีต่อธุรกิจ “แพ็กเกจจิ้ง” เพราะมีการกินใช้ภายในประเทศสูงขึ้น ส่วนตลาดประเทศจีนขณะนี้อาจมีดีมานด์ไม่แน่นอน จากการล็อกดาวน์ที่ยังเกิดขึ้นในหลายเมือง

    ในแง่ของการลงทุนตามกลยุทธ์ M&P (Merger & Partnership) วิชาญกล่าวว่าบริษัทมีงบลงทุน 15,000 ล้านบาทในปีนี้ แต่การลงทุนยังชะลอการตัดสินใจในช่วงไตรมาสแรกเพราะผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทำให้ดีลต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม บริษัทยังหาโอกาสลงทุนอย่างต่อเนื่อง และยังคงเน้นในกลุ่มธุรกิจปลายน้ำ (downstream) และตลาดประเทศอาเซียน

     

    ลงทุน “กัญชง” ปรับปรุงพันธุ์

    อีกหนึ่งธุรกิจที่ SCGP ขอแจ้งความคืบหน้าคือการลงทุนปลูกกัญชงใน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี จำนวน 210 ต้น ที่กำลังจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้

    วิชาญระบุว่า การทดลองปลูกกัญชงครั้งนี้มีเป้าหมายสูงสุดคือการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้น เหมาะกับการปลูกในเมืองไทย และให้ผลผลิตสูงสุด ตอบโจทย์กระแสการนำกัญชงไปใช้งานหลากหลายสินค้า

    “เรามีทีมทาเลนต์ที่มีศักยภาพมาตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์ต้นยูคาลิปตัสจนสามารถปลูกในไทยได้ดี จึงให้ทีมพัฒนาพันธุ์กัญชงต่อ ซึ่งต่อไปกัญชงอาจจะนำมาเป็นส่วนผสมของแพ็กเกจจิ้งได้” วิชาญกล่าว

    ทั้งนี้ ยังไม่มีการแจ้งอย่างชัดเจนถึงแผนการนำกัญชงไปใช้ในเชิงพาณิชย์ของ SCGP ว่าจะเป็นการจำหน่ายในเชิงต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำ แต่จะเห็นได้ว่าช่วงหลังบริษัทเริ่มให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพมากขึ้น อย่างการจำหน่ายอาหารเสริมแบรนด์ HOLIS by SCGP เป็นต้น

    ]]>
    1382988
    “ยูนิลีเวอร์” ลอนดอน เตรียมนำร่องต้นแบบเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้ง “ขวดกระดาษ” https://positioningmag.com/1350284 Sun, 05 Sep 2021 14:26:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1350284 ยูนิลีเวอร์ ลอนดอน เปิดตัวขวดน้ำยาซักผ้าที่ทำจากกระดาษเป็นแห่งแรกของโลก เมื่อประมาณเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ที่นี่ถือเป็นต้นแบบในการพัฒนาแพ็กเกจจิ้งที่เป็นมิตรต่อโลกโดยเริ่มจากแบรนด์น้ำยาดูแลผ้า OMO (หรือที่รู้จักในชื่อ Persil, Skip และ Breeze) พร้อมมีกำหนดเปิดตัวในบราซิลภายในต้นปี 2565 รวมถึงในยุโรปและประเทศอื่นๆ ในไม่ช้า หลังจากนั้น จะนำร่องเทคโนโลยีเดียวกันนี้กับขวดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ทำจากกระดาษ

    นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีนี้เป็นการพัฒนาร่วมกับกลุ่มบริษัท Pulpex ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Unilever, Diageo, Pilot Lite และสมาชิกในอุตสาหกรรมอื่นๆ ยูนิลีเวอร์สามารถใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อบรรจุผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่เป็นของเหลวในขวดที่ทำจากกระดาษชนิดแรก ซึ่งทำจากเยื่อกระดาษที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน และได้รับการออกแบบให้สามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ในกลุ่มกระดาษ

    ภายในขวดมีการฉีดพ่นด้วยสารเคลือบที่กันน้ำได้ อันเป็นลิขสิทธิ์โดยเฉพาะ ทำให้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษสามารถบรรจุผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลว เช่น น้ำยาซักผ้า แชมพู และครีมนวด ซึ่งประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิว น้ำหอม และสารออกฤทธิ์อื่นๆ

    การสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษรีไซเคิลได้โดยไม่ต้องใช้ชั้นพลาสติกเพิ่มเติมถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ บรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ Pulpex ให้แนวทางในการลดการใช้พลาสติกลงอย่างมาก และจะช่วยให้ Unilever บรรลุพันธสัญญาต่อโลกที่ปราศจากขยะ

    Richard Slater ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า “เพื่อจัดการกับขยะพลาสติก เราต้องคิดใหม่ทั้งหมดว่าเราออกแบบและบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์อย่างไร สิ่งนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สามารถทำได้ผ่านความร่วมมือระดับอุตสาหกรรมเท่านั้น เทคโนโลยีขวดที่ทำจากกระดาษ Pulpex เป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้นในทิศทางที่ถูกต้อง เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกันเพื่อทดลองนวัตกรรมนี้สำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา

    “นวัตกรรมด้วยวัสดุทางเลือกเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนของเรา และจะมีบทบาทสำคัญในความมุ่งมั่นของเราที่จะลดการใช้วัสดุพลาสติกบริสุทธิ์ของเราลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2568”

    ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์ที่มีต่อโลกมากขึ้น และจะพิจารณาปัจจัยด้านความยั่งยืนเพื่อตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงบรรจุภัณฑ์ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าที่ช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ผู้คนต่างมีความกังวล เช่น นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนที่ประกาศในวันนี้ จะทำให้ยูนิลีเวอร์เป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากขึ้น

    นวัตกรรมขวดกระดาษ มาจากแหล่งที่ยั่งยืนและรีไซเคิลได้ เป็นอีกหนึ่งมุ่งหมายของยูนิลีเวอร์ เพื่อจะลดใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติก ยูนิลีเวอร์อาศัยเทคโนโลยีขวดที่ทำจากกระดาษของ Pulpex เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการใช้วัสดุพลาสติกบริสุทธิ์ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2568

    ขวดนี้ทำมาจากเยื่อกระดาษเซลลูโลสที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน และออกแบบมาให้นำกลับมาใช้ใหม่ในขยะกระดาษ มันถูกฉีดพ่นภายในด้วยสารเคลือบที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะซึ่งกันน้ำได้ ทำให้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษสามารถเก็บผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลว เช่น น้ำยาซักผ้า แชมพู และครีมนวดผม ซึ่งประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิว น้ำหอม และส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ

    การสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษรีไซเคิลได้โดยไม่ต้องใช้ชั้นพลาสติกเพิ่มเติมถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ จากข้อมูลของ Unilever บรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ Pulpex ได้นำเสนอโซลูชันที่มีแนวโน้มว่าจะลดการใช้พลาสติกลงอย่างมาก

    “ในการจัดการกับขยะพลาสติก เราต้องคิดใหม่ทั้งหมดว่าเราออกแบบและบรรจุผลิตภัณฑ์อย่างไร สิ่งนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สามารถทำได้ผ่านความร่วมมือระดับอุตสาหกรรมเท่านั้น” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ Unilever กล่าว

    Source

    ]]>
    1350284
    SCGP คาดเป้าทะลุ 1 แสนล้าน ได้ปัจจัยหนุน “ฟู้ดเดลิเวอรี่-อีคอมเมิร์ซ” ช่วงไวรัสระบาด https://positioningmag.com/1329614 Wed, 28 Apr 2021 07:35:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1329614
  • เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/64 รายได้โต 12% กำไรสุทธิโต 23%
  • ยังวางเป้ารายได้ 1 แสนล้านบาทในปีนี้ แม้เผชิญ COVID-19 ระลอกสาม เหตุเพราะฐานรายได้กระจายเสี่ยงในหลายประเทศ มีกลยุทธ์ M&P ควบรวมกิจการเสริมแกร่ง
  • “วิชาญ จิตร์ภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/64 ของบริษัท ดังนี้

    – รายได้จากการขาย 27,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% YoY
    – EBITDA อยู่ที่ 5,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% YoY
    – กำไรสำหรับงวด 2,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% YoY

    โดยการเติบโตของรายได้และกำไรมาจากเศรษฐกิจอาเซียนบางประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน และกลยุทธ์การควบรวมกิจการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ บริษัท Go-Pak UK Limited ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในสหราชอาณาจักร และบริษัท Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษในประเทศเวียดนาม

    ผลประกอบการไตรมาสแรกของเอสซีจี แพคเกจจิ้ง มีส่วนที่น่าสนใจคือ “สัดส่วนแหล่งรายได้แยกตามประเทศ” เพราะรายได้จากประเทศไทยอยู่ที่ 49% เป็นครั้งแรกที่ลดต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือแบ่งเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน (อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ฯลฯ) สัดส่วน 40% ตามด้วยประเทศอื่นๆ อีก 11%

    วิชาญกล่าวว่า สัดส่วนรายได้ที่ลดลงของไทยและมีรายได้จากประเทศกลุ่มอาเซียนมาแทนที่ เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการจะบุกตลาดอาเซียนให้มากขึ้น

     

    ยังมองเป้า 1 แสนล้าน จากการ M&P และไลน์ผลิตใหม่

    ก่อนหน้านี้ SCGP เคยวางเป้าจะทำรายได้แตะ 1 แสนล้านบาทในปี 2564 ต่อประเด็นนี้ประกอบกับสถานการณ์ COVID-19 ที่ระบาดระลอกสามในไทย “กุลเชษฏฐ์ ธาราจันทร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน SCGP ตอบประเด็นนี้ว่า เป้ารายได้ของปีนี้บริษัทน่าจะยังควบคุมได้เพราะมีปัจจัยภายในที่เอื้อต่อการทำรายได้

    ปัจจัยภายในดังกล่าวได้แก่ กลยุทธ์การควบรวมกิจการและเป็นพันธมิตร (Merger & Partnership) โดยปีนี้มีข้อตกลงการการเข้าถือหุ้น 70% ในบริษัท Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในประเทศเวียดนาม ซึ่งคิดว่าน่าจะเสร็จสิ้นช่วงกลางปีนี้ และจะเป็นแหล่งรายได้เพิ่มเติม รวมถึงยังมีดีลอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างเจรจาต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ ยังมีสายการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามา 4 ไลน์ ทั้งที่เริ่มเดินเครื่องแล้ว และที่จะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ เข้ามาเสริมรายได้ของบริษัท ได้แก่

    1) ไลน์ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป วิซี่ แพคเกจิ้ง ประเทศไทย กำลังผลิต 347 ล้านชิ้นต่อปี เริ่มเดินเครื่องแล้ว มีนาคม 2564
    2) ไลน์ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ บริษัท Fajar อินโดนีเซีย กำลังผลิต 4 แสนตันต่อปี เริ่มเดินเครื่องแล้ว เมษายน 2564
    3) ไลน์ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ บริษัท UPPC-Paper ฟิลิปปินส์ กำลังผลิต 2.2 แสนตันต่อปี จะเริ่มเดินเครื่องไตรมาส 4/2564
    4) ไลน์ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบอ่อน พรีแพ็ค ประเทศไทย กำลังผลิต 53 ล้านตร.ม.ต่อปี จะเริ่มเดินเครื่องไตรมาส 4/2564

     

    บริษัทกระจายเสี่ยงหลายประเทศ

    อย่างไรก็ตาม SCGP มีปัจจัยภายนอกที่ต้องระวัง เช่น การระบาดซ้ำทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงด้านแหล่งรายได้ไปหลายประเทศอยู่แล้ว ทำให้ลดผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดได้

    “วิชาญ จิตร์ภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP

    วิชาญกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ประเทศไทยอาจกำลังเผชิญการระบาดระลอกสาม แต่ในเวียดนาม (สัดส่วน 13% ในรายได้รวม) ยังไม่มีการระบาดซ้ำ ส่วนอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์แม้มีการระบาดอย่างต่อเนื่องแต่รัฐยังควบคุมได้ ขณะที่ยุโรปปัจจุบันสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ

    ขณะเดียวกัน บริษัทมองว่าเศรษฐกิจปี 2564 ยังเป็นไปในทิศทางบวกมากกว่าปี 2563 จะมีผลดีต่อกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม/สินค้าคงทน เช่น รถยนต์ ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนรายได้แพ็กเกจจิ้งจากสินค้าเหล่านี้อยู่ 30% ส่วน 70% หลักเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคกลุ่ม FMCG อาหาร เครื่องดื่ม

    เมื่อปี 2563 บริษัท SCGP ทำรายได้ไป 9.33 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 6,457 ล้านบาท ยังเติบโตได้ท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 เกือบเต็มปี เพราะปีก่อนมีอานิสงส์จากการสั่งเดลิเวอรี่ อีคอมเมิร์ซ และการกักตุนสินค้าของผู้บริโภค

    ]]>
    1329614
    รู้จัก Loop ระบบ ‘รียูส’ บรรจุภัณฑ์ ลดใช้พลาสติกแต่ไม่ลดความสะดวก https://positioningmag.com/1327850 Thu, 15 Apr 2021 11:39:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1327850 Loop ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นระบบแบบเดียวกับ “คนส่งนม” ในสหรัฐฯ ยุค 1950-60s บริษัทนี้ใช้ไอเดียแบบเดียวกันแต่นำมาปรับใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น เช่น แชมพู ไอศกรีม ผงซักฟอก ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ลดใช้พลาสติก” ผ่านการ “รียูส” บรรจุภัณฑ์ และลูกค้ายังรู้สึกสะดวกเหมือนเดิม

    สารพัดสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น แชมพู สบู่ ยาสีฟัน ที่เราใช้ในครัวเรือน เมื่อใช้จนเกลี้ยงเราก็มักจะโยนแพ็กเกจจิ้งทิ้ง เพราะนำไปใช้ประโยชน์อื่นต่อได้ยาก

    แต่เมื่อโลกเราเริ่มตระหนักถึงผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมจากของใช้แล้วทิ้งมากขึ้น ทำให้มีธุรกิจพยายามจะสร้างโมเดลใหม่มาแก้ปัญหา เช่น ร้านขายเครื่องอุปโภคบริโภคที่ให้ลูกค้านำบรรจุภัณฑ์มากดสบู่-แชมพูเอง แต่ก็ยังติดปัญหา “ความสะดวก” และ “ความมั่นใจในแบรนด์” ของสินค้านั้นๆ ทำให้โมเดลธุรกิจแบบนี้ยังไม่นิยมเป็นวงกว้าง

    ด้วยเหตุนี้ Loop จึงเป็นบริษัทที่คิดการใหญ่ จับมือแบรนด์เครื่องอุปโภคบริโภคชื่อดังเป็นพาร์ตเนอร์เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์แบบ ‘รียูส’ ได้ โดยอาจจะทำมาจากอะลูมิเนียม สเตนเลส หรือแก้ว และสร้างระบบจัดส่ง-เก็บคืนที่สะดวก ทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกยุ่งยาก แถมยังได้เลือกใช้สินค้ายี่ห้อเดิมที่ตัวเองพอใจ

    ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของ Loop กับแบรนด์พาร์ตเนอร์ ใช้บรรจุภัณฑ์ใหม่ รียูสได้หลายครั้ง

    วิธีใช้งาน Loop ก็เหมือนกับการใช้คนส่งนมในอดีต ยุคที่นมยังบรรจุในขวดแก้วและมีบริการเดลิเวอรี่ส่งถึงหน้าบ้านพร้อมกับเก็บขวดเก่ากลับ นั่นคือ

    1) ลูกค้าเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใช้แพ็กเกจของ Loop อาจเป็นการสั่งซื้อออนไลน์ หรือบางเมืองอาจจับมือกับไฮเปอร์มาร์เก็ตมีวางขายแบบออฟไลน์ด้วย โดยจะมี “ค่ามัดจำ” บรรจุภัณฑ์เมื่อซื้อ

    2) เมื่อลูกค้าใช้สินค้าจนหมด สามารถจองนัดให้ระบบจัดส่ง-รับคืนของ Loop มารับบรรจุภัณฑ์คืนถึงบ้าน พร้อมรับค่ามัดจำคืนแบบ 100% และไม่มีค่าใช้จ่ายในการคืนขวด หรือในบางเมืองอาจมีจุดให้ส่งบรรจุภัณฑ์คืนที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือไปรษณีย์ หรือพาร์ตเนอร์อื่นๆ ของบริษัท

    3) Loop จะนำบรรจุภัณฑ์ไปทำความสะอาดในโรงงาน พร้อมนำไปบรรจุสินค้าล็อตใหม่วางจำหน่ายอีกครั้ง

    กล่องสำหรับนำส่งผลิตภัณฑ์จาก Loop โดยบริษัทจะลดการใช้แพ็กเกจเพิ่มเติมในการขนส่ง เช่น กล่องกระดาษ แผ่นกันกระแทก เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Photo: IG@shoploopstore)

    เห็นได้ว่า โมเดลของ Loop มีความเป็นไปได้ที่จะชวนคนมาร่วมรักษ์โลกกับบริษัทมากขึ้น เพราะสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการลดใช้พลาสติกอย่างแรงกล้า การอำนวยความสะดวกให้ใกล้เคียงกับการใช้แพ็กเกจจิ้งพลาสติกใช้แล้วทิ้งมากที่สุดจะเป็นปัจจัยสำคัญ

     

    2 ปีขยายไปกว่า 30 แบรนด์

    บริษัท Loop ก่อตั้งขึ้นโดย Tom Szaky ในนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคม ปี 2019 นี้เอง ปัจจุบัน Loop มีบริการแล้วใน 4 ประเทศคือ สหรัฐฯ แคนาดา อังกฤษ และฝรั่งเศส

    ขณะนี้มีสินค้าที่ใช้แพ็กเกจจิ้งและระบบของ Loop ถึง 111 SKUs จากทั้งหมดกว่า 30 แบรนด์ ครอบคลุมสารพัดผลิตภัณฑ์ เช่น แชมพูแพนทีน, มีดโกนหนวดยิลเลตต์, ไอศกรีมฮาเก้นดาส เป็นต้น

    บนหน้าเว็บไซต์ของ Loop ยังระบุถึงแบรนด์ใหญ่อื่นๆ ที่จะมาในอนาคต เช่น คอลเกต, โดฟ และมีแผนจะขยายไปอีก 3 ประเทศ คือ เยอรมนี, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

    ประเทศที่มีบริการ และที่จะเปิดบริการเร็วๆ นี้

     

    คอนเนกชันและดีไซน์เพื่อแบรนด์

    โมเดลของบริษัทจัดว่าน่าสนใจ แต่สาเหตุหนึ่งที่บริษัทได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก Szaky ผู้ก่อตั้ง ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการ เขาคือผู้ก่อตั้งบริษัทแม่ของ Loop คือ TerraCycle ซึ่งทำธุรกิจรีไซเคิลขยะมาตั้งแต่ 17 ปีก่อน เขาจึงมีเครือข่ายพันธมิตรแบรนด์ใหญ่ๆ ให้เริ่มธุรกิจได้เร็ว

    อีกส่วนหนึ่งคือ Loop เข้าใจการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ว่า แต่ละแบรนด์ล้วนมีอัตลักษณ์งานดีไซน์ของแบรนด์ ดังนั้น แต่ละบรรจุภัณฑ์จะดีไซน์ใหม่เพื่อให้สะท้อนตัวตนแบรนด์โดยเฉพาะ ทำให้การจูงใจแบรนด์เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทำได้ดีขึ้น

    ตัวอย่างการดีไซน์ที่เป็นไปตามอัตลักษณ์ของแบรนด์

     

    รียูส vs ลดพลาสติกในบรรจุภัณฑ์

    ประเด็นบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นใหญ่ที่บริษัททั่วโลกต่างกำลังตามหาโมเดลที่ดีที่สุด โดย Loop นำเสนอว่า การรียูสบรรจุภัณฑ์ที่ทนทานเหล่านี้มากกว่า 10 ครั้ง จะทำให้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลงจากปกติ 35%

    อย่างไรก็ตาม หากมองในฝั่งของผู้ผลิตสินค้า การเลือกบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกแบบไหนย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคำนวณรอบด้าน ทั้งเรื่องต้นทุน ความสะดวก ความพอใจของผู้บริโภค ฯลฯ ทำให้ Loop ต้องแข่งขันกับอีกโมเดลที่มาแรงในกลุ่มผู้ผลิตขณะนี้ คือการเลือก “ลดพลาสติกในบรรจุภัณฑ์” ทำขวดให้บางลง เพื่อลดทั้งต้นทุนและการใช้พลาสติก

    ขึ้นอยู่กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคแล้วว่า มองว่าหนทางไหนที่จะช่วยสิ่งแวดล้อมได้จริง และยังสะดวกพอที่คนจะพร้อมปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่

    Source: Forbes, The Rising, Loop

    ]]>
    1327850
    “Burger King” ตามเทรนด์รักษ์โลก! นำร่องใช้แก้ว-กล่องรียูสในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1302966 Fri, 23 Oct 2020 14:26:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302966 ไม่ยอมน้อยหน้าคู่แข่ง! “Burger King” จับมือ Loop พัฒนาบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำได้ โดยจะนำร่องใช้กับแก้วน้ำดื่มและกล่องใส่เบอร์เกอร์ก่อน รวมถึงเลือกทดลองเฉพาะบางสาขาใน นิวยอร์ก กับ พอร์ตแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มปี 2021

    Burger King ร่วมกับบริษัท Loop เปิดตัว กล่องและแก้วใช้ซ้ำได้ เพื่อเตรียมทดลองใช้จริงปีหน้า มุ่งเป้าหมายช่วยลดขยะให้กับโลกใบนี้ พื้นที่ที่จะได้นำร่องก่อนประกอบด้วย 2 เมืองในสหรัฐฯ คือ นิวยอร์ก และ พอร์ตแลนด์ กับอีก 1 เมืองที่ประเทศญี่ปุ่น คือ กรุงโตเกียว แต่บริษัทมีแผนเตรียมไว้แล้วเพื่อขยายต่อไปยังเมืองอื่นๆ

    บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้นี้จะเริ่มทดลองเฉพาะกล่องสี่เหลี่ยมสำหรับใส่วอปเปอร์และแซนด์วิช กับแก้วสำหรับใส่กาแฟหรือน้ำอัดลม โดยเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปทำความสะอาดได้อย่างปลอดภัยก่อนนำกลับมาใช้ใหม่

    วิธีการทำงานคือ ผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินมัดจำที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่อรับบรรจุภัณฑ์แบบรียูสแทนแบบใช้แล้วทิ้ง จากนั้นเมื่อทานเสร็จสามารถนำบรรจุภัณฑ์มาคืนที่ร้านและรับเงินมัดจำคืน จากนั้นบรรจุภัณฑ์จะถูกทำความสะอาดภายในร้านก่อนนำกลับมาเสิร์ฟใหม่ พูดง่ายๆ คือเหมือนระบบการมัดจำเพื่อยืมภาชนะไปใช้ก่อนนั่นเอง

    ระบบนี้จะคล้ายคลึงกับที่ McDonald’s เปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายน ณ ประเทศอังกฤษ โดยร่วมมือกับบริษัทเดียวกันคือ Loop พัฒนาบรรจุภัณฑ์รียูสได้ เตรียมเปิดตัวปี 2021 เช่นกัน

    แต่ระบบของ McDonald’s ในอังกฤษจะแตกต่างตรงที่ Loop ได้วางโครงข่ายรับคืนบรรจุภัณฑ์เพื่อใช้ซ้ำไว้หลายจุด ไม่เพียงแค่ที่ร้าน McDonald’s แต่ยังมีจุดรับในซูเปอร์มาร์เก็ตหลายสาขา ทำให้ผู้บริโภคนำคืนที่ไหนก็ได้ จากนั้น Loop จะนำไปทำความสะอาด ก่อนส่งกลับคืนที่สาขาพันธมิตรนำไปใช้เสิร์ฟอาหารเครื่องดื่มต่อไป

    แก้วใช้ซ้ำของ McDonald’s ประเทศอังกฤษ

    Burger King นั้นมีนโยบายก้าวสู่ความยั่งยืน โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์ของร้านอาหารในเครือ 100% สามารถใช้ซ้ำได้ หรือรีไซเคิลได้ หรือผลิตจากวัสดุที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สำหรับสาขาในสหรัฐฯ และแคนาดา บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ของสาขาเหล่านี้จะต้องถูกนำไปรีไซเคิลทั้งหมด แนวนโยบายเหล่านี้วางเป้าจะปฏิบัติจริงภายในปี 2025

    “ระบบของ Loop ทำให้เรามีความมั่นใจว่าโซลูชันการใช้ซ้ำบรรจุภัณฑ์ ยังคงตอบโจทย์มาตรฐานความปลอดภัยสูงของเราได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความสะดวกให้ลูกค้าเช่นกัน” แมทธิว แบนตัน หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมและความยั่งยืนที่ Burger King กล่าว

    บริษัทอีกมากมายที่ตั้งเป้าสร้างความยั่งยืนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากประเด็นโลกร้อนและขยะล้นโลกกลายเป็นจุดโฟกัสสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ

    Source

    ]]>
    1302966
    “ชงเพื่อหมอ” กาแฟในขวดระบุชื่อผู้ให้ ส่งต่อกำลังใจแด่แพทย์-พยาบาลจาก “คาซ่า ลาแปง” https://positioningmag.com/1276096 Wed, 29 Apr 2020 16:20:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1276096 “คาซ่า ลาแปง” เปิดกิจกรรมส่งเครื่องดื่มเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ในชื่อโครงการ “ชงเพื่อหมอ” โดย 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ร้านกาแฟสเปเชียลตี้แห่งนี้ส่งเครื่องดื่มให้หมอ-พยาบาลไปแล้วกว่า 5,000 ขวด ล่าสุดคาซ่า ลาแปง อัปเกรดขวดลายใหม่น่ารักๆ ที่สามารถระบุชื่อผู้ร่วมบริจาคลงไปได้ด้วย

    โครงการ “ชงเพื่อหมอ” ของ คาซ่า ลาแปง ร้านกาแฟในเครือเจมาร์ท เริ่มขึ้นตั้งแต่ 3 สัปดาห์ก่อน โดยร้านจัดทำเครื่องดื่มเพื่อบริจาคให้กับเหล่าคุณหมอและพยาบาล และเปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคกันได้ คาซ่า ลาแปงระบุว่าได้ส่งมอบกำลังใจเหล่านี้ไปแล้วกว่า 5,000 ขวดตลอดการดำเนินโครงการ

    ล่าสุด ร้านคาซ่า ลาแปงยังอัปเกรดบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ด้วย จากเดิมติดสติกเกอร์ของร้านเท่านั้น กลายมาเป็นลายบนขวดระบุว่า “ขอบคุณที่เสียสละเพื่อเรา จาก… #ไม่ขายแต่อยากให้” และ “รู้นะ…ว่าเหนื่อย เราจะผ่านมันไปด้วยกัน จาก… #ไม่ขายแต่อยากให้” สร้างกำลังใจที่ดีให้กับบุคลากรการแพทย์ และยังมีกิมมิกน่ารักๆ ให้ผู้ร่วมบริจาค สามารถระบุชื่อของตนเพื่อให้พนักงานร้านเขียนชื่อลงไปในช่องว่างบนขวดได้ด้วย

    ขวดแบบใหม่ในโครงการ “ชงเพื่อหมอ” จากคาซ่า ลาแปง

    สำหรับผู้ที่สนใจยังร่วมบริจาคแบบไม่มีขั้นต่ำได้เหมือนเดิม เพื่อสมทบทุนให้โครงการชงเพื่อหมอที่คาซ่า ลาแปงจะจัดทำบริจาควันละ 200 แก้ว ส่วนท่านที่สนใจบริจาคแบบระบุชื่อบนขวด สามารถสั่งเป็นเซตได้ในราคา 10 ขวด 400 บาท มีให้เลือกรสชาติ 6 รายการ ได้แก่ Americano, Coffee Thai Style, Nutty Latte, Thai Milk Tea, Pink Guava และ Honey Lemon

    ติดต่อได้ที่ Facebook : Casa Lapin Specialty Coffee หรือ Instragram : @casalapin หรือ Line Official : @casalapin (มี @นำหน้า)

    รีวิวจากคุณหมอตัวจริง

    การออกแบบลายให้สามารถระบุชื่อผู้ส่งกำลังใจได้ น่าจะช่วยให้ทั้งผู้รับและผู้ให้ได้ใกล้ชิดกันทางจิตใจมากขึ้น แม้จะไม่ได้ไปส่งสิ่งของบริจาคด้วยตนเองก็ ‘connect’ กันได้นะ

    ]]>
    1276096
    ดีต่อโลก! Samsung เปลี่ยน “กล่องทีวี” เป็น “ของใช้ในบ้าน” ด้วยดีไซน์รักษ์สิ่งแวดล้อม https://positioningmag.com/1274175 Sun, 19 Apr 2020 17:04:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1274175 ย้อนกลับไปในงาน CES Innovation Awards เมื่อต้นปี Samsung ออกแพ็กเกจจิ้งรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยดีไซน์กล่องลังโทรทัศน์ของแบรนด์ให้สามารถนำไปใช้ใหม่เป็นของใช้ในบ้านได้หลายอย่าง เช่น โต๊ะวางของ กล่องใส่นิตยสาร ไปจนถึง บ้านแมว! และ Samsung กำลังจัดการแข่งขันออกแบบแพตเทิร์นสร้างของใช้อื่นๆ ในบ้านจากกระดาษลัง ชิงเงินรางวัล 20,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6.5 แสนบาท)

    จากนโยบายของ Samsung ที่ต้องการสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจ โดยพัฒนาให้การผลิตและองค์ประกอบของสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและของเสีย

    หนึ่งในองค์ประกอบของสินค้าที่บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกแห่งต้องมีคือ “กล่องลัง” ที่ใช้สำหรับป้องกันให้สินค้ายังอยู่ในสภาพดีระหว่างขนส่ง กล่องลังพวกนี้มักจะกลายเป็นขยะ เพราะด้วยขนาดและน้ำหนักของมันนั้นยากที่จะรีไซเคิลในบ้านเรือน ทำให้กล่องลังเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งเป็นขยะประมาณ 9 หมื่นล้านชิ้นต่อปี และนี่เป็นแค่สถิติในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวเท่านั้น

    ดังนั้นแพ็กเกจจิ้งรักษ์สิ่งแวดล้อมของ Samsung จึงมุ่งเป้าเพื่อทำให้สิ่งที่เคยเป็นได้แค่ขยะชิ้นนี้สามารถนำไปเปลี่ยนเป็นของใช้อื่นๆ ภายในบ้านได้

    จากกล่องลังกลายเป็นโต๊ะวางของเก๋ๆ

    โดย Samsung เริ่มนำกล่องลังบรรจุทีวีที่เปลี่ยนเป็นของใช้ในบ้านได้ไปใช้จริงแล้ว สำหรับกล่องบรรจุโทรทัศน์รุ่น The Serif, The Frame และ The Sero และหวังว่าจะสามารถนำคอนเซ็ปต์นี้ไปใช้กับโทรทัศน์รุ่นอื่นๆ ได้ในอนาคต

    ตัวกล่องลังดังกล่าวจะถูกพิมพ์ด้วยเส้นประ เมื่อกางออกเป็นแผ่นราบ แพตเทิร์นเส้นประเหล่านี้จะเป็นไกด์ไลน์ในการสร้างของใช้ในบ้านที่แตกต่างกันจากการตัดกล่องลังและประกอบเข้าใหม่ และยังมี QR Code ให้สแกนเพื่อดูวิธีตัดประกอบได้ด้วย

    โทรทัศน์ Samsung รุ่น The Serif, The Frame และ The Sero

    ด้วยความแข็งแรงระดับหนึ่งของกล่องลังทำให้มันสามารถนำไปสร้างเป็นวัตถุอย่างอื่นได้ โดยตอนนี้มีแพตเทิร์น 4 อย่างให้เลือกคือ โต๊ะวางของ กล่องใส่ของ กล่องนิตยสาร และบ้านแมว

    กล่องนิตยสารจากลังทีวี Samsung

    ส่วนแพตเทิร์นอื่นๆ ที่จะตามมา ขณะนี้ Samsung จับมือกับเว็บไซต์ด้านการดีไซน์ Dezeen เปิดการประกวด “Samsung Out of the Box Competition” ให้ผู้ที่สนใจร่วมแข่งขันดีไซน์สร้างของใช้ในบ้านด้วยกล่องลังได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 29 พฤษภาคม 2563

    ทุกคนที่มีอายุมากกว่า 18 ปีสามารถร่วมแข่งขันได้โดยไม่มีข้อจำกัด และประกาศผู้ชนะทั้งหมด 5 รางวัล โดยมีเงินรางวัลให้รวมมูลค่า 20,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6.5 แสนบาท) ผู้ผ่านเข้ารอบแรกจะประกาศในเดือนกรกฎาคม 2563 ประกาศผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในเดือนสิงหาคม 2563 และประกาศผู้ชนะ ณ งาน IFA ที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ในเดือนกันยายน 2563 (อ่านรายละเอียดกติกาแข่งขันเพิ่มเติมที่นี่)

    “การแข่งขันที่จัดร่วมกับ Dezeen ครั้งนี้เป็นวิธีการส่งต่อข้อความเกี่ยวกับนโยบายรักษ์สิ่งแวดล้อมของเราด้วยไอเดียนวัตกรรมจากผู้เข้าร่วมแข่งขัน” Samsung กล่าว “เป็นโอกาสให้ผู้รับชมงานได้คำนึงว่า ทำอย่างไรจึงจะช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมของเราด้วยการ ‘คิดนอกกล่อง’ ผ่านการคิดหาวิธีการนำแพ็กเกจจิ้งกล่องลังกลับมาใช้ใหม่”

    Source

    ]]>
    1274175
    มาอีกราย! myONE “ถุงยาง” น้องใหม่ ส่งดีไซน์แพ็กเกจ “วงกลม” ตีตลาดสุดหินของเมืองไทย https://positioningmag.com/1264582 Sat, 15 Feb 2020 15:10:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1264582 ตลาดถุงยางอนามัยมูลค่า 1,400 ล้านบาทของไทยเป็นตลาดที่ “ไม่ง่าย” ถ้าใครจะเบียดเข้ามา เพราะมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งอยู่ถึง 4 ราย ทั้ง Durex, Onetouch, Okamoto และ Playboy โดย Durex นั้นเป็นผู้ครองส่วนแบ่งกว่า 50% แต่ถึงแม้จะมีผู้เล่นมากขนาดนี้ แต่ myONE ก็ยังมั่นใจว่า DNA ด้านงานดีไซน์แพ็กเกจจิ้งของแบรนด์จะช่วยให้ตนเองเบียดแทรกขึ้นมาได้ในกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น

    “เอ็มเค โกห์” ประธานบริหารบริษัท Karex จากมาเลเซีย เท้าความประวัติแบรนด์ให้ฟังก่อนว่า แบรนด์ ONE และ myONE ก่อตั้งโดย “ดาวิน วิเดล” เมื่อปี 2546 ที่สหรัฐอเมริกา ในนามบริษัท Global Protection โดย Karex เป็นผู้ผลิต OEM ให้กับแบรนด์ ก่อนที่ Karex จะเข้าเทกโอเวอร์หุ้น 51% ในบริษัท Global Protection มาเมื่อปี 2557 และทำการขยายตลาดจนขณะนี้ ONE มีวางจำหน่าย 60 ประเทศทั่วโลก

    รากฐานที่มาจากการเริ่มต้นในสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหลักของถุงยาง ONE อยู่ที่สหรัฐฯ (อันดับ 4 ของตลาด) ตามด้วยมาเลเซีย (อันดับ 2) และแคนาดา (อันดับ 3) ส่วนตลาดอาเซียน นอกจากมาเลย์แล้วยังมีจำหน่ายที่สิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน

    ตัวบริษัท Karex เองเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีโรงงานทั้งหมด 3 แห่ง กำลังการผลิตรวมปีละ 5,000 ล้านชิ้น และบริษัทก็คุ้นเคยกับประเทศไทยอยู่บ้าง เพราะหนึ่งในโรงงานของ Karex ตั้งอยู่ที่หาดใหญ่นี่เอง โดยเข้ามาตั้งโรงงานผลิตตั้งแต่ปี 2549

    รายได้ส่วนใหญ่ 90% ของ Karex จึงมาจากการรับจ้างผลิต OEM ให้แบรนด์อื่น และประมูลผลิตถุงยางอนามัยให้หน่วยงานรัฐและองค์กรไม่แสวงหากำไรใช้สำหรับจ่ายแจกเพื่อการสาธารณสุข (โมเดลธุรกิจคล้ายคลึงกับไทยนิปปอนรับเบอร์ฯ ผู้ผลิตถุงยาง Onetouch)

    “เอ็มเค โกห์” ประธานบริหารบริษัท Karex

    “แต่การผลิตกับการทำการตลาดต่างกันมาก ทำให้ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเข้ามาทำตลาดในไทย” เอ็มเคกล่าว

    อย่างไรก็ตาม เอ็มเคมองว่า myONE มีจุดขายที่น่าจะเจาะตลาดไทยได้ ด้วยแบรนด์ชูเรื่องงานดีไซน์และความคิดสร้างสรรค์ มาตั้งแต่ดั้งเดิม มีความต่างจากแบรนด์อื่นด้วยดีไซน์ฟอยล์ที่ใช้ห่อถุงยางเป็นทรงกลมแทนที่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และภาพพิมพ์ลายบนฟอยล์จะเป็นลายงานศิลปะสนุกๆ หลากหลายแบบ ลายบนฟอยล์เหล่านี้ยังเปิดช่องทางให้ผู้บริโภคที่สนใจส่งผลงานมาให้แบรนด์ใช้ได้ด้วย

    ความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์ยังรวมไปถึงการผลิตรสและกลิ่นแปลกใหม่ออกจำหน่าย อย่างในมาเลย์จะมีถุงยางกลิ่นชาเย็น กลิ่นทุเรียน จนถึงกลิ่นนาซิเลอมัก! (อาหารมาเลย์ ทำจากกะทิ) เอ็มเคยังแย้มด้วยว่า สำหรับตลาดไทยนั้น myONE กำลังซุ่มทดลองกลิ่นที่เหมาะกับท้องถิ่นอยู่ 3 แบบ

    ดีไซน์ฟอยล์ห่อถุงยางอนามัย myONE เลือกใช้เป็นวงกลมแทนสี่เหลี่ยมแบบเดิม

    “เป้าหมายแบรนด์คือต้องการเปลี่ยนมุมมองการรับรู้ของคนที่มีต่อถุงยางอนามัย อยากให้คนรู้สึกว่าถุงยางคือของทั่วไป เหมือนเป็นหมากฝรั่งที่มีรสมีกลิ่น ดังนั้นแพ็กเกจที่เปลี่ยนไปจะเปลี่ยนความรู้สึกเดิม และทำให้แบรนด์แตกต่างด้วย” เอ็มเคอธิบาย โดยแนวคิดการดีไซน์เหล่านี้มีขึ้นเพื่อเอาชนะความอายของคนซื้อ ต้องการให้เป็นมิตรกับลูกค้านั่นเอง

     

    ส่ง 4 รุ่นหลักเจาะตลาดวัยเรียน

    ด้านตัวสินค้าที่จะนำมาขายในไทยของ myONE จะแบ่งเป็น 4 รุ่นหลัก คือ 1) ฮัก 49 มม. 2) กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ 3) ลูป พลัส เพิ่มสารหล่อลื่น 4) อัลติมา ไลท์ บางพิเศษ 0.03 มม.

    ราคาต่ำสุดคือรุ่นฮัก 49 บาทต่อแพ็ก 3 ชิ้น และสูงสุดรุ่นอัลติมา ไลท์ 79 บาทต่อ 3 ชิ้น ด้วยราคานี้ทำให้สินค้า myONE น่าจะเจาะตลาดแมส ชนกับทั้ง Durex และ Onetouch

    เอ็มเคกล่าวว่า กลุ่มลูกค้าหลักที่บริษัทมองคือวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นอายุ 16-35 ปี เพราะคาดว่าคนไทยน่าจะมีลักษณะนิสัยและวัฒนธรรมใกล้เคียงกับชาวมาเลย์ และในมาเลเซีย ลูกค้ากลุ่มนี้คือกลุ่มหลักของแบรนด์ เป็นวัยที่เปิดกว้าง ไม่ยึดติดแบรนด์ ชื่นชอบการทดลองสินค้าฟังก์ชันใหม่ซึ่งบริษัทจะได้เปรียบเพราะมีเทคโนโลยีการผลิตของตัวเอง

    เขายังให้อินไซต์คนไทยรวมถึงคนเอเชียด้วยว่า มุมมองในการเลือกซื้อถุงยางเปลี่ยนไปจากอดีตที่จะมองความปลอดภัยของถุงยางเป็นอันดับแรก (มั่นใจได้ว่าไม่ขาด) แต่หันมาสนใจเรื่องราคา ฟังก์ชันการใช้งาน และแพ็กเกจจิ้งมากขึ้น

     

    ศึกชิง “ชั้นวาง” เรื่องสำคัญของตลาดถุงยาง

    หลังจากเปิดตัวแล้ว ระยะแรกนี้ myONE จะวางขายผ่านออนไลน์ไปก่อน เนื่องจากยังอยู่ระหว่างเจรจากับร้านสะดวกซื้อและร้านขายยาหลายแห่ง โดยเอ็มเคกล่าวว่า แบรนด์น่าจะเริ่มวางขายในร้าน Lawson 108 ก่อนเป็นแห่งแรกช่วงปลายเดือนนี้

    myONE
    ดีไซน์ฟอล์ยห่อถุงยางของ myONE มีมากกว่า 100 ลาย

    การแย่งชิงชั้นวางจำหน่ายสินค้าในร้านสะดวกซื้อเป็นประเด็นสำคัญมากสำหรับถุงยางอนามัย โดยแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้รายหนึ่งอธิบายว่า พื้นที่ชั้นวางถุงยางมีค่อนข้างจำกัดถ้าเทียบกับจำนวนแบรนด์และจำนวน SKUs ที่มีจำหน่ายในไทยขณะนี้ บางแบรนด์ชิงพื้นที่มาได้เพียงสล็อตเดียวในร้านสะดวกซื้อรายใหญ่อย่างเซเว่น อีเลฟเว่น

    เป็นที่ทราบกันดีว่าเชลฟ์วางสินค้าทำเลทองนั้น แบรนด์ที่มีชื่อเสียง ยอดขายดี และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจะมีโอกาสต่อรองมากกว่า การเจรจาเพื่อเบียดที่ของเจ้าตลาดเดิมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

    และสินค้าถุงยางอนามัยสำหรับประเทศไทยก็เป็นสิ่งที่ลูกค้ามัก “ไปซื้อเมื่อจะใช้” มากกว่าซื้อยกแพ็กผ่านช่องทางออนไลน์มาพกติดตัว ทำให้การกระจายสินค้าเข้าไปจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อและร้านขายยาจึงจำเป็นมากสำหรับ myONE ในการทำตลาด

    ทุกอย่างจึงน่าจะขึ้นอยู่กับการสร้างกระแสเรียกหาสินค้าโดยผู้บริโภค เพื่อให้แบรนด์ได้มีที่ทางของตัวเองบนชั้นวางจำหน่ายโดยเร็ว!

    ]]>
    1264582