โคคา-โคล่า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 20 Dec 2024 04:10:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ทำไมยักษ์ใหญ่น้ำอัดลม Coca-Cola ถึงส่ง ‘ชเวปส์ มิกซ์’ ชิงตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย https://positioningmag.com/1504241 Thu, 19 Dec 2024 08:04:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504241 เป็นเรื่องที่น่าจับตา เมื่อ ‘โคคา-โคล่า’ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจเครื่องดื่ม โดยเฉพาะน้ำอัดลม ตัดสินใจเปิดตัว ‘ชเวปส์ มิกซ์’ ชิงมาร์เก็ตแชร์ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (ARTD) และน่าสนใจไปกว่านั้น คือ การเลือก ‘ประเทศไทย’ เป็น 1 ใน 5 ประเทศจากทั่วโลก และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเปิดตัวโปรดักต์ตัวนี้

 

นั่นนำมาสู่คำถามที่ว่า ทำไม โคคา-โคล่า ถึงสนใจประเทศไทย และเลือกเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำหรับก้าวสำคัญของการขยายพอร์ตที่เดิมทีแข็งแกร่งในกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์  สู่กลุ่มแอลกอฮอล์

 

‘ริชา ซิงห์’ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจ โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย และลาว ให้คำตอบว่า นั่นเพราะประเทศไทยเป็นตลาดที่ ‘สดใส’ และเป็น ‘อนาคต’ ด้วยเหตุผลจากการศึกษาตลาดแอลกอฮอล์และพฤติกรรม ผู้บริโภคมานาน ทำให้พบประเด็นน่าสนใจ ได้แก่

 

ประเด็นแรก คนไทยมีปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงสุด ติด Top 20 ของโลก (ซึ่งริชา ซิงห์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยอยู่ที่เท่าไร)

ประเด็นถัดมา ตลาดในประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางบวก

และประเด็นที่ 3 พฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศไทย เป็นกลุ่มที่พร้อมเปิดรับกับสิ่งใหม่ ๆ และพยายามมองหาโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ เพื่อสร้างความตื่นเต้นและความแปลกใหม่ให้กับตัวเองอยู่เสมอ

 

ส่วนสาเหตุที่เลือกชเวปส์ มาบุกตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มในไทย เพราะเป็นแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 200 ปี อีกทั้งเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและเป็น Brand love ในใจผู้บริโภคในระดับโลก รวมถึงในไทยด้วย

 

นอกจากนี้ ชเวปส์เองยังมีไลน์โปรดักต์ใน ‘กลุ่มมิกเซอร์’ อยู่แล้ว จึงมองเป็นโอกาส โดยชเวปส์ มิกซ์ จะเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุระหว่าง 20-49 ปี นำเสนอภายใต้คอนเซ็ปต์ Thank Goodness It’s Thursday เติมเต็มวันพฤหัสบดีอย่างมีเอกลักษณ์แบบไม่ต้องรอให้ถึงวันศุกร์ และพยายามเชื่อมโยงและสร้างประสบการณ์ให้กับผู้คน ผ่านแพลตฟอร์ม Schweppes Mixed Social Club

 

“เทรนด์โลกมาแรง คือ คนต้องการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่จำเจ ส่วนอีกเทรนด์ที่ชัดเจน เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่อาจเจอเรื่องเครียด ๆ เลยต้องการฉลองกันในช่วงกลางสัปดาห์ ไม่ต้องรอให้ถึงวันศุกร์ ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยตัวโปรดักต์ และคอนเซ็ปต์ของชเวปส์ มิกซ์จะตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้”

 

เบื้องต้นชเวปส์ มิกซ์ จะมีด้วยกัน 2 รสชาติ ได้แก่ ชเวปส์ มิกซ์ วอดก้า ซิตรัส และชเวปส์ มิกซ์ วอดก้า โกลเด้น มะนาว จำหน่ายในราคา 49 บาท ส่วนช่องทางการขายนั้นจะวางจำหน่ายในร้านอาหาร โรงแรม ร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์นเทรด

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 200 ปี แต่สำหรับตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ชเวปส์ก็ถือเป็น ‘น้องใหม่’ เมื่อรวมกับประเทศไทยมีกฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจเป็นข้อจำกัดต่อการทำธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประเด็นที่ท้าทายสำหรับโคคา-โคล่าไม่น้อย

 

ริชา ซิงห์ บอกว่า โคคา-โคล่า รู้ถึงกฎต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอย่างดีและพร้อมปฏิบัติตาม เพราะมองประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส ส่วนยอดขายหรือเรื่องมาร์เก็ตแชร์ อยากให้มองเป็นภาพในระยะยาว แต่มั่นใจว่า ชเวปส์ มิกซ์ จะได้รับการตอบโจทย์ที่ดี เนื่องจากตอบสนองเทรนด์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน และอนาคตจะมีโปรดักต์ใหม่ออกมาอีก

 

อย่างไรก็ตาม ชเวปส์ มิกซ์ ไม่ใช่โปรดักต์ตัวแรกของโคคา-โคล่า ที่ได้ส่งโปรดักต์เข้ามาชิมลางในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม

 

เพราะเมื่อปี 2018 ได้มีการเปิดตัว ‘เลมอน-โด’ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่โคคา-โคล่า ก้าวเข้าสู่ตลาดแอลกอฮอล์ โดยเลมอน-โด เป็นเครื่องดื่มประเภท chu-hi หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบกระป๋องยอดนิยมชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นที่ผลิตมาจากแอลกอฮอล์กลั่น ‘โชชู’ (shochu) ผสมกับโซดาและแต่งกลิ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะกลิ่นผลไม้

 

ถัดมาในปี 2022 โคคา-โคล่า ได้จับมือกับ Brown-Forman เปิดตัวค็อกเทลพร้อมดื่มแบรนด์ Jack & Coke หรือ Jack Daniel’s Tennessee Whiskey and Coca-Cola

]]>
1504241
ลอสแองเจลิส ยื่นฟ้อง “เป๊ปซี่โค” และ “โคคา-โคล่า” ข้อหาสร้างมลพิษจากพลาสติก และสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรีไซเคิล https://positioningmag.com/1497055 Fri, 01 Nov 2024 08:30:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497055 หน่วยการปกครองของลอสแองเจลิส (LA) ได้ยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่ม เป๊ปซี่โค (PepsiCo) และ โคคา-โคล่า (Coca-Cola) โดยกล่าวว่า บริษัทฯ ได้สร้างมลพิษจากปริมาณขวดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความนิยมในการบริโภคของผู้คนในรัฐฯ ซึ่ง ลอสแองเจลิส ถือเป็นเขตที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา 

รวมถึงการทําให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่ไม่สามารถดำเนินการรีไซเคิลได้ตามที่บริษัทฯ ได้กล่าวไว้ และมักจบลงที่การจัดการโดยวิธีฝังกลบหรือขวดบรรจุภัณฑ์เหล่านั้นกลายเป็นขยะที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก 

Lindsey Horvath ประธานคณะกรรมการกํากับดูแลของลอสแองเจลิส กล่าวในแถลงการณ์ว่า บริษัท เป๊ปซี่และโคคา-โคล่า ควรต้องถูกสั่งปรับ และรับผิดชอบต่อปัญหามลพิษจากพลาสติกที่ถือเป็นบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากภายในรัฐฯ มากกว่านี้ 

จากการฟ้องร้องดังกล่าว ยังไม่มีท่าทีความเคลื่อนไหวจากทางบริษัท เป๊ปซี่โค และ โคคา-โคล่า แต่ William Dermody รองประธานฝ่ายสื่อและกิจการสาธารณะของกลุ่มการค้าอุตสาหกรรม American Beverage Association ซึ่งสมาชิก เป๊ปซี่โค และ โคคา-โคล่า กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่ว่าบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ ไม่ได้ถูกกำจัดหรือไม่ถูกรีไซเคิลนั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากบริษัทฯ มีการทํางานเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการทำธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง 

โดยคดีนี้ ถือเป็นคดีล่าสุดที่รัฐบาลท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกาและผู้สนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม ได้ยื่นฟ้องต่อบริษัทที่มีการผลิตและใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกในการบรรจุผลิตภัณฑ์ ซึ่งในอดีต เป๊ปซี่โค ก็ได้เผชิญหน้ากับอัยการสูงสุดของนิวยอร์ก ในการฟ้องร้องคดีมลพิษจากขยะพลาสติกมาเมื่อปีที่แล้วและบริษัทฯ ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ทําให้เข้าใจผิดไปแล้ว 

และในเดือนสิงหาคม ศาลอุทธรณ์ในวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รื้อคดี ปี 2020 ที่กลุ่มสิ่งแวดล้อม Earth Island Institute กล่าวหาว่า โคคา-โคล่า ทําให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทฯ นั้นมีการจัดการเกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เช่นกัน

นอกจากนั้นในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อัยการสูงสุดของแคลิฟอร์เนียก็ได้ฟ้องบริษัทน้ํามัน Exxon Mobil โดยกล่าวว่า บริษัทฯ มีการผลิตโพลิเมอร์เพื่อใช้ในการทําพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวในอุตสาหกรรมน้ํามัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

รายงานจากคดีความ ระบุว่า ในปี 2024 มีขยะพลาสติกจำนวนกว่า 246,124 ตัน ถูกผลิตขึ้นจากเขตที่อยู่อาศัยในลอสแองเจลิส และ 628,211 ตันของขยะพลาสติก มาจากการผลิตของอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ในชุมชน

ทั้งนี้ ตามรายงานของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ขยะพลาสติกมากกว่า 400 ล้านตันถูกผลิตขึ้นทั่วโลกทุกปี ซึ่งขยะโดยส่วนใหญ่ จะถูกจัดการโดยการฝังกลบและมีบางส่วนหลุดออกไปเป็นขยะในมหาสมุทร มีขยะน้อยกว่า 10% ที่ถูกนำมารีไซเคิลใหม่

ที่มา : Reuters 

]]>
1497055
“โค้ก” เปลี่ยนมาใช้ “พลาสติกรีไซเคิล” (rPET) ผลิตขวด ประเดิมในกลุ่ม “1 ลิตร” วางจำหน่ายทั่วไทย https://positioningmag.com/1448518 Wed, 18 Oct 2023 09:11:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1448518 ตั้งแต่วันนี้ “โค้ก” ขวดพลาสติกขนาด 1 ลิตร จะเปลี่ยนมาใช้ขวด “rPET” หรือขวดที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ทั้งหมด (*ใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลเฉพาะส่วนตัวขวด ไม่รวมฝาและฉลาก) วางจำหน่ายทั่วประเทศ

“ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศ ‘ก้าวแรก’ ของโคคา-โคล่าในไทยที่เปลี่ยนมาใช้ขวดทำจากพลาสติกรีไซเคิล หรือ rPET ในบางไลน์ผลิตภัณฑ์

โดยก้าวแรกนี้จะเปลี่ยนมาใช้ขวด rPET ในไลน์ผลิตภัณฑ์ “โค้ก” รสออริจินอลและรสไม่มีน้ำตาล เฉพาะสินค้าขนาด “1 ลิตร” ก่อน แต่เป็นการเปลี่ยนทั้งไลน์การผลิตของขวด 1 ลิตร และส่งไปจำหน่ายทั่วประเทศ

rPET โค้ก
“โค้ก” ขวด 1 ลิตร ที่เปลี่ยนมาใช้ขวดผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล

ศรุตขอสงวนข้อมูลด้านจำนวนการจำหน่ายโค้กขวด 1 ลิตรในแต่ละปี และบอกกว้างๆ ว่าเหตุที่เลือกเริ่มต้นใช้ rPET ในกลุ่ม 1 ลิตรก่อน มาจากการพิจารณา ‘หลายด้าน’ ประกอบกัน

อย่างไรก็ตาม เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าขวด 1 ลิตรไม่ใช่ขนาดสินค้าที่ขายดีที่สุดของโค้ก การเลือกผลิตในกลุ่มนี้ก่อนจึงเป็นเหมือนการทดลองตลาดของโคคา-โคล่า เพราะต้องยอมรับว่าสังคมไทยยังมีหลายคนไม่มั่นใจในขวดที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลแบบผ่านการใช้งาน (post-consumer) มาแล้ว ด้วยความกังวลว่าขวดอาจไม่สะอาด ทำให้โคคา-โคล่าอาจจะต้องการเปลี่ยนในไลน์สินค้าที่มีจำนวนน้อยกว่าก่อน

สำหรับการเปลี่ยนมาใช้งานขวด rPET ของโคคา-โคล่า ภาพรวมทั่วโลกมีการใช้งานจริงไปแล้วถึง 40 ประเทศ ส่วนในอาเซียนนั้นไทยถือเป็นประเทศที่ 4 ต่อจากอินโดนีเซีย เวียดนาม และเมียนมา ที่มีการใช้งานขวดจากพลาสติกรีไซเคิล

การเปลี่ยนมาใช้ขวดจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนั้นดีต่อโลกมากกว่าเพราะได้นำพลาสติกเก่ากลับมาใช้ใหม่ แต่ด้านต้นทุนนั้นยังสูงอยู่ โดยทีมงานโคคา-โคล่าแจ้งเป็นภาพกว้างๆ ว่า ต้นทุนการผลิตขวดด้วยเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนั้นแพงกว่าพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) อย่างน้อย 10%

แต่ในอนาคต หากมีการใช้งานเม็ดพลาสติกรีไซเคิลกันสูงขึ้น มีโรงงานผลิตได้จำนวนมากขึ้น โอกาสที่ต้นทุนจะลดลงมาเท่ากับเม็ดพลาสติกใหม่ก็เป็นไปได้ เพราะเป็นไปตามหลักดีมานด์-ซัพพลาย

 

“โค้ก” ผนึกพันธมิตร “เอ็นวิคโค”

ด้านซัพพลายการผลิตขวด rPET ของโคคา-โคล่า มาจากโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลรายแรกของไทยอย่าง บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (*บริษัทในกลุ่ม PTTGC)

“ณัฐนันท์ ศิริรักษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด ชี้แจงถึงวิธีการแปรรูปขวด PET ที่ผ่านการใช้งานแล้วมาเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลว่า เริ่มจากการรับขวดพลาสติกที่ทำความสะอาดแล้วมาตัดเป็นเกล็ด แล้วผ่านกระบวนการแปลงกลับเป็นเม็ดพลาสติกโดยใช้ความร้อนสูงถึง 200 องศาเซลเซียส จากนั้นเอ็นวิคโคจึงส่งเม็ดพลาสติกรีไซเคิลให้ลูกค้าไปขึ้นรูปเป็นขวดอีกครั้ง

ณัฐนันท์กล่าวว่า ด้วยความร้อนที่สูงขนาดนี้ตั้งแต่ขั้นตอนการแปลงกลับเป็นเม็ดพลาสติก ทำให้เชื้อโรคและสิ่งเจือปนต่างๆ ถูกกำจัดออกหมด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ถึงความสะอาด

“ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด และ “ณัฐนันท์ ศิริรักษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด

ทั้งนี้ ณัฐนันท์ระบุว่า ปัจจุบันโรงงานเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทยมีเพียง 3 แห่งเท่านั้น โดยเอ็นวิคโคเป็นรายใหญ่ที่สุด มีกำลังการผลิต 30,000 ตันต่อปี ขณะนี้เดินเครื่องที่อัตรา 70-80% ของกำลังการผลิตสูงสุด มีลูกค้าสั่งเม็ดพลาสติกรีไซเคิลแบ่งเป็นในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50%

 

โจทย์ใหญ่: ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจ “rPET”

ในตลาดเครื่องดื่มปัจจุบัน การที่ขวด rPET จะประสบความสำเร็จได้ ทางโคคา-โคล่ามองว่าการทำความเข้าใจเรื่องกระบวนการผลิตขวด rPET ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะปัจจุบันผู้บริโภคทั่วไปมักจะเข้าใจว่า การนำขวดพลาสติกใช้แล้วกลับมารีไซเคิลหมายถึงการนำขวดเดิมมาล้างทำความสะอาดแล้วเติมเครื่องดื่มเข้าไปใหม่ทันที ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดจากความจริงอย่างมาก

โคคา-โคล่าจึงต้องมีแคมเปญสร้างความเข้าใจถึงขวด rPET และรณรงค์เรื่องการรีไซเคิล ดึงซัพพลายขวด PET ใช้แล้วจากผู้บริโภคกลับมาเข้ามาในวงจรรีไซเคิล

โค้ก rPET
“ขวดโค้กยักษ์” ในอีเวนต์ชั้น G ดิเอ็มควอเทียร์

โดยบริษัทมีการจับมือกับ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” เปิดแคมเปญ “โค้ก คิดเพื่อโลก” จัดอีเวนต์วาง “ขวดโค้กยักษ์” ที่ชั้น G ดิเอ็มควอเทียร์ จัดนิทรรศการสร้างความเข้าใจเรื่องการผลิตขวด rPET พร้อมกับวางจุดรับคืนขวด PET แบบไม่จำกัดแบรนด์เพื่อนำมารีไซเคิล ผู้ร่วมคืนขวดจะได้ลุ้นรับสิทธิเป็นผู้โชคดี 30 คนที่ได้กระทบไหล่ “พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ในมินิคอนเสิร์ต (*จะมีแคมเปญเดียวกันนี้อีกแห่งหนึ่งที่ “สยามเซ็นเตอร์” ด้วย)

รวมถึงโคคา-โคล่ายังมีแคมเปญกับ “Trash Lucky” สตาร์ทอัปด้านสิ่งแวดล้อมมาก่อนหน้านี้ด้วย ภายใต้แคมเปญ “โค้กชวนแยก แลกลุ้นโชค” ซึ่งทาง Trash Lucky มีการวางจุดรับขวด PET ตามห้างฯ และปั๊มน้ำมัน 64 จุดทั่ว กทม. และ 5 จุดในจ.ภูเก็ต ผู้ที่สนใจสามารถหย่อนขวด PET ใช้แล้วได้ทุกแบรนด์ และรับโค้ดไปลุ้นของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท รางวัลใหญ่ที่สุดแจกรถยนต์ไฟฟ้า Neta V แคมเปญเปิดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2566

นิทรรศการสร้างความเข้าใจด้านกระบวนการผลิตขวด rPET

ด้านการขยายไปใช้ rPET ในไลน์สินค้าชนิดอื่น “ศรุต” กล่าวว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยแผนได้อย่างชัดเจนและขอรอดูผลตอบรับจากลูกค้าก่อน แต่จะต้องมีการผลักดันอย่างแน่นอนเพราะเป็นนโยบายจากบริษัทแม่ โดยโคคา-โคล่าระดับโลกมีเป้าที่จะเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลให้ได้ 50% ของสินค้าทั้งหมด ภายในปี ค.ศ.2030

สำหรับการใช้งานขวด rPET ในไทย “โค้ก” ไม่ใช่รายแรก เพราะปี 2566 นี้มีหลายแบรนด์ที่ประกาศการใช้งานออกมาก่อนแล้ว เช่น  “เป๊ปซี่” ที่เริ่มใช้ในไลน์ผลิตภัณฑ์เป๊ปซี่สูตรปกติและสูตรไม่มีน้ำตาลขนาด 550 มล. และ “มิเนเร่” น้ำแร่จากเครือเนสท์เล่ ที่เริ่มใช้ในไลน์ขวดขนาด 750 มล.

]]>
1448518
“โคคา-โคล่า” ส่งแบรนด์น้องใหม่ “อู-ฮ่า” เจาะตลาดคน Gen Z ด้วย “โซดากลิ่นผลไม้” https://positioningmag.com/1431208 Mon, 22 May 2023 09:23:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431208
  • “โคคาโคล่า” เจ้าตลาด “น้ำอัดลม” เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ในเครือ “อูฮ่า” (OOHA) โซดากลิ่นผลไม้ที่วางตำแหน่งทางการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมาย Gen Z โดยเฉพาะ
  • หลังโควิด-19 โคคาโคล่ากระหน่ำออกผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะสูตร “ไม่มีน้ำตาล” ตอบรับเทรนด์รักสุขภาพ
  • “Gen Z” กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ “น้ำอัดลม” ต่างจับจ้องที่จะชิงตลาดไว้ให้ได้ แม้แต่เจ้าตลาดที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดอย่าง “โคคา-โคล่า” ก็ต้องไม่พลาดที่จะจับกลุ่มลูกค้า

    “ริชา ซิงห์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว กล่าวถึงลูกค้า Gen Z หรือคนวัย 16-25 ปีในขณะนี้ว่าทวีความสำคัญขึ้นเพราะมีสัดส่วนถึง 29% ของประชากรไทย

    เมื่อบริษัทลงมือศึกษาความต้องการของคน Gen Z พบว่าคนวัยนี้มากกว่า 70% “ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ” และเทรนด์รักสุขภาพยังแข็งแรงมากในกลุ่มนี้ด้วย ทำให้เกิดความต้องการน้ำอัดลมแบบ “ไม่มีน้ำตาล” (Zero Sugar)

    ความต้องการประสบการณ์ “ใหม่” จึงทำให้น้ำอัดลมต้องมีรสชาติหลากหลาย และน้ำอัดลมที่เป็นตลาดรองอย่างกลุ่ม “โซดากลิ่นผลไม้” ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 4% ในตลาดน้ำอัดลมทั้งหมด กลับเติบโตดีมากมาตั้งแต่ปี 2563 และในปีที่ผ่านมาก็ยังแรงดีไม่มีตก โตได้ดับเบิลดิจิต

    เครื่องดื่มแบรนด์ใหม่ “อู-ฮ่า” (OOHA) โซดากลิ่นผลไม้ ไม่มีน้ำตาล

    หันมาดูในพอร์ตของโคคา-โคล่า แบรนด์ที่ตรงเป้ากับตลาดโซดากลิ่นผลไม้ คือ “ชเวปส์” กับ “แฟนต้า” ทำให้ปีที่ผ่านมา บริษัทนำแบรนด์เหล่านี้มาปั้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้โดนใจ Gen Z เช่น ชเวปส์ 2 รสชาติใหม่ รสไพน์แอปเปิ้ล โมฮีโต้ และ รสซิตรัส ราสพ์เบอร์รี่ หรือ แฟนต้า WTF (What The Fanta) ทั้งหมดผลิตเป็นสูตรไม่มีน้ำตาล

    แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือน Gen Z จะยังต้องการมากกว่านั้น เพราะ “ชเวปส์” ก็ยังติดภาพเป็นแบรนด์ดั้งเดิมของคน Gen Y วัย 25-39 ปี ที่มักจะซื้อชเวปส์สำหรับดื่มในงานเลี้ยงหรือผ่อนคลายส่วนตัว ส่วนแบรนด์ “แฟนต้า” ก็ยังมีความแมส แม้จะดูเด็ก แต่ยังไม่เจาะเฉพาะกับ Gen Z ได้

    ในที่สุดปีนี้โคคา-โคล่าจึงขยับครั้งใหญ่ เปิดตัวโซดากลิ่นผลไม้แบรนด์ “อู-ฮ่า” (OOHA) ในประเทศไทย โดยมาในรูปลักษณ์กระป๋องสีสดใส ดีไซน์ทันสมัย และยังดึงพรีเซ็นเตอร์วัยรุ่น “นนกุล-ชานน สันตินธรกุล” มาช่วยโปรโมต

    อู-ฮ่าริชากล่าวว่า แบรนด์อู-ฮ่าไม่ได้เปิดตัวที่ไทยเป็นที่แรก แต่เคยมีมาแล้วในจีนและฮ่องกง เพียงแต่ในไทยมีการคิดค้นรสชาติใหม่ให้เหมาะกับท้องถิ่น จึงออกมาเป็น 2 รสชาติ กลิ่นลิ้นจี่และโยเกิร์ต และ กลิ่นเลมอนผสมซีซอล์ท (เกลือสมุทร) ซึ่งเป็นการจับคู่รสชาติแบบ 1+1 ในกระป๋องเดียว เชื่อว่าจะทำให้กลุ่มลูกค้าตื่นเต้น ต้องการทดลองรสชาติแบบใหม่ ประสบการณ์ใหม่ รวมถึงเป็นเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ตอบเทรนด์รักสุขภาพ เป็นเครื่องดื่มที่พัฒนาเพื่อ Gen Z โดยตรง จึงน่าจะดึงลูกค้าได้ดี

     

    ปี 2565 เข็นผลิตภัณฑ์ใหม่รวดเดียว 15 รายการ “ไม่มีน้ำตาล” มาแรง

    ด้านภาพรวมตลาดหลังโควิด-19 ริชาอ้างอิงข้อมูลจาก “นีลเส็น” พบว่า ตลาดน้ำอัดลมในประเทศไทยปี 2565 มีมูลค่า 56,000 ล้านบาท และเติบโต 7% จากปีก่อนหน้า นับว่าตลาดฟื้นตัวแล้วจากช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาด

    โคคา-โคล่าเองเมื่อปีก่อนก็มีส่วนในการขับเคลื่อนตลาดสูง เพราะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือปรับสูตรใหม่ถึง 15 รายการ เช่น โค้ก ไม่มีน้ำตาล ลิมิเต็ด อิดิชั่น มาร์ชเมลโล่ และ สตาร์ชายน์, แฟนต้า WTF ไม่มีน้ำตาล, สไปรท์ สูตรใหม่ ไม่มีน้ำตาล เป็นต้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปีที่บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวนสูงมาก

    โคคา-โคล่า
    โค้ก ลิมิเต็ด อิดิชั่น มาร์ชเมลโล่ ไม่มีน้ำตาล หนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่หรือสูตรใหม่ที่ออกเมื่อปี 2565

    สำหรับปี 2566 บริษัทยังมีนวัตกรรมออกสู่ตลาดอีก โดยต้นปีที่ผ่านมาบริษัทเริ่มปรับสูตร “สไปรท์” และ “แฟนต้า” ให้ซ่ายิ่งขึ้นและน้ำตาลน้อยลง ตามด้วยการออก “โค้ก มูฟ โรซาเลีย ไม่มีน้ำตาล” อีกหนึ่งรสชาติในกลุ่มลิมิเต็ด อิดิชั่น และล่าสุดคือการเปิดแบรนด์ใหม่ “อู-ฮ่า” 2 รสชาติ และภายในปีนี้ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่รอในแผนงานอีก

    เห็นได้ว่าสินค้าใหม่ๆ ของโคคา-โคล่าส่วนใหญ่ “ไม่มีน้ำตาล” ทำให้ปัจจุบันกลุ่มสินค้าน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 5% ของปริมาณขายของโคคา-โคล่าเรียบร้อยแล้ว

    ความเป็นไปได้ที่จะเห็นผลิตภัณฑ์ไม่มีน้ำตาลเพิ่มขึ้นอีกก็มีสูง เพราะเทรนด์นี้มาแรงจริงๆ ในปี 2565 กลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเติบโตถึง 30% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดถึง 4 เท่า ดังนั้น น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลจึงเป็นสมรภูมิใหม่ของธุรกิจนี้อย่างแน่นอน

    ]]>
    1431208
    “โคคา-โคล่า” ปรับโฉมโลโก้ใหม่ ให้เหมือนการ “โอบกอด” https://positioningmag.com/1354271 Thu, 30 Sep 2021 09:30:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1354271 เดอะโคคา-โคล่า คัมปะนี เปิดตัวแนวคิดใหม่ของแบรนด์ภายใต้ชื่อ Real Magic™ เชิญชวนร่วมฉลองความมหัศจรรย์ของทุกเรื่องราวความรัก ความผูกพันที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคน ตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ในการสร้างสายสัมพันธ์และส่งมอบความสดชื่นให้กับผู้คนทั่วโลก

    โดยแนวคิดนี้ เกิดจากการเรียนรู้สถานการณ์จริงในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาว่าพลัง และความงดงามของสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ และสามารถเปลี่ยนวันธรรมดาให้เป็นช่วงเวลาสุดแสนพิเศษ ช่วยให้เราสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาต่างๆ ไปด้วยกันได้ แนวคิดดังกล่าวยังตอกย้ำเรื่องราวของเจเนอเรชันใหม่ ที่สามารถส่งต่อความรู้สึก สื่อสารถึงกันได้ในโลกเสมือน สามารถอยู่ใกล้กันได้ แม้ในเวลาที่ต้องห่างไกลกัน

    มาโนโล อาร์โรโย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เดอะโคคา-โคล่า คัมปะนี กล่าวว่า

    “โคคา-โคล่า เป็นแบรนด์ที่เชื่อมโยงเรื่องราวความแตกต่างสองด้านเข้าด้วยกัน ได้แก่ ความเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ เข้าถึงได้แต่น่าค้นหา จริงแต่มหัศจรรย์ ซึ่งแนวคิด Real Magic™ เองก็มีรากฐานมาจากความเชื่อเดียวกันที่ว่า ความแตกต่างเป็นสิ่งที่สร้างความพิเศษให้โลกของเรา ทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความหลากหลายที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง มีโอกาสที่คาดไม่ถึง และช่วงเวลาที่สุดพิเศษ”

    Real Magic™ เป็นแนวคิดล่าสุดของแบรนด์โคคา-โคล่านับตั้งแต่ปี 2016 โดยจะเปิดตัวพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ที่มีการปรับดีไซน์ผสานมุมมองใหม่ของการใช้โลโก้โคคา-โคล่า ที่จะปรากฎอยู่ในทุกกิจกรรมทางการตลาดของแบรนด์

    โดยมุมมองการใช้โลโก้แบบใหม่นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพจริงของบรรจุภัณฑ์โคคา-โคล่า ซึ่งจะเห็นว่าโลโก้ของแบรนด์โค้งไปตามรูปร่างของขวดและกระป๋อง เปรียบเสมือนสัญลักษณ์การ “โอบกอด” ที่สื่อถืงความสัมพันธ์สุดพิเศษของชีวิตคน

    โคคา-โคล่ายังได้ร่วมมือกับศิลปิน ช่างภาพ และนักวาดภาพประกอบ ในการถ่ายทอดแนวคิด Real Magic™ ให้ออกมาเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษในชีวิตประจำวันของผู้คนในหลากหลายแง่มุม โดยมีพันธมิตรด้านการออกแบบชื่อดังอย่าง เอเจนซี่โฆษณา Wieden+Kennedy London KnownUnknown และ Kenyon Weston ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน

    นอกจากโลโก้ใหม่แล้ว แบรนด์ยังได้เปิดตัวแคมเปญ “One Coke Away From Each Other” ที่เชื่อมโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกัน เฉลิมฉลองความมหัศจรรย์ของผู้คน ตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าการแบ่งแยกผู้คนออกจากกัน

    โดยโคคา-โคล่าได้ร่วมงานกับเอเจนซี่โฆษณา BETC London ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง Daniel Wolfe และ Mathematic พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเกมและ CGI ปล่อยภาพยนตร์สั้นออนไลน์ชุดพิเศษที่มีโคคา-โคล่าเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เชื่อมจักรวาลที่กำลังแตกสลายเข้าด้วยกัน สร้างเป็นช่วงเวลา Real Magic™ ที่แท้จริง โดยภาพยนตร์สั้นดังกล่าวร่วมแสดงโดยดีเจชื่อดัง Alan Walker นักกีฬาบาสเกตบอล Aerial Powers จาก Team Liquid และเกมเมอร์ชื่อดัง Average Jonas

    ]]>
    1354271
    รุกเทรนด์เครื่องดื่มไฮบริด โคคา-โคล่า เตรียมขาย “โค้กผสมกาเเฟ” 3 รสชาติใหม่ เจาะอเมริกา https://positioningmag.com/1290955 Tue, 04 Aug 2020 08:32:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1290955 เครื่องดื่มลูกผสมเเบบไฮบริดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคนี้ จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องดื่มที่สดชื่น แต่ต้องเป็นมิตรต่อสุขภาพ กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่มีโอกาสทางการตลาดสูง

    เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้นเเละสร้างความแปลกใหม่ บรรดายักษ์ใหญ่วงการน้ำอัดลม จึงหันมาเอาดีด้านการพัฒนารสชาติเดิมผสมไปกับเครื่องดื่มอื่น เพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์

    ล่าสุดโคคาโคล่าเตรียมวางจำหน่าย Coca-Cola With Coffee หรือโค้กผสมกาแฟ เจาะตลาดอเมริกา ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2021 โดยใช้กาแฟบราซิล 100% พร้อมเปิดตัว 3 รสชาติใหม่ ได้เเก่ Dark Blend, Vanilla และ Caramel ในแพ็กเกจจิ้งกระป๋องขนาด 12 ออนซ์ โดยมีกาเฟอีนอยู่ที่ 69 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง ขณะที่โค้กปกติขนาด 12 ออนซ์จะมีกาเฟอีน 34 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง และ Diet Coke มีกาเฟอีน 46 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง

    ก่อนหน้านี้ บริษัทเริ่มชิมลางตลาดเครื่องดื่มไฮบริดในสหรัฐฯ ด้วยการเปิดตัว Coke Energy Cherry, Cherry Vanilla Coke, Orange Vanilla Coke มาเเล้ว

    น้ำอัดลมผสมกับน้ำผลไม้ปั่น หรือน้ำอัดลมผสมกับชา ก็เป็นอีกตัวอย่างของแนวโน้มต่อไปในเทรนด์นี้  โคคาโคล่าระบุ

    Photo : coca-cola company

    การเปิดศึกในตลาดเครื่องดื่มกาเเฟของเจ้าใหญ่น้ำดำ ช่วงที่ผ่านมานี้ สอดคล้องกับอัตราการบริโภคโซดาในสหรัฐฯ ที่ลดลงทุกปี สวนทางกับกลุ่มกาแฟที่เติบโตต่อเนื่อง ดังนั้นการเข้าไปเเข่งในตลาดนี้ จึงจะทำให้ได้กลุ่มลูกค้าทั้งคนที่ชอบน้ำอัดลมเเละชอบกาเเฟ รวมถึงคนรุ่นใหม่ก็หันมาดื่มกาเเฟตั้งเเต่อายุยังน้อยมากขึ้นด้วย

    คู่เเข่งสำคัญอย่างเป๊ปซี่จึงไม่ปล่อยให้โคคาโคล่า เจาะตลาดนี้เเต่เพียงผู้เดียว เดินเกมเปิดตัว Pepsi Café โคล่ารสกาแฟอาราบิก้า ที่ให้กาเฟอีนมากกว่าเป๊ปซี่ขนาดปกติถึงสองเท่า มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ Original และ Vanilla วางขายในสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา

    โคคาโคล่า พยายามเจาะตลาด Coffee-Cola Drinks ครั้งเเรกตั้งเเต่ปี 2006 เเต่เป็นช่วงสั้นๆ เเค่ 2 ปีก็เลิกไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในปี 2017 กับ Coca-Cola Plus Coffee เเต่นำไปลองตลาดในออสเตรเลีย เเละอีก 1 ปีต่อมาก็นำไปทดลองขายในตลาดเอเชีย หลังเปลี่ยนสูตรใหม่

    ในปี 2018 ผลิตภัณฑ์โค้กผสมกาแฟ ทดลองตลาดครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เเละได้รับเสียงตอบรับที่ดี ปัจจุบันหาซื้อได้ใน 30 ประเทศเเล้ว โดยจะหลักๆ ของเเต่ละประเทศจะไม่เเตกต่างกันมาก เเต่จะมีการปรับสูตรกาเเฟและแพ็กเกจจิ้งให้เข้ากับรสนิยมของคนในประเทศนั้นๆ

    Javier Meza ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของโคคาโคล่า กล่าวว่า การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ต้องมีการระมัดระวังในการออกสินค้าใหม่มากขึ้น เเต่ก็เป็นตัวเร่งให้มีการตรวจสอบเเละพัฒนาสินค้า ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่บริษัทจะเปิดตัว “โค้กผสมกาเเฟ” รสชาติใหม่ในตลาดอเมริกา หลังจากที่ได้เรียนรู้ในตลาด
    ประเทศอื่นๆ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    “Coca-Cola With Coffee เป็นผลลัพธ์ของกลยุทธ์ Lift and Shift ของบริษัทในการต่อยอดนวัตกรรมเครื่องดื่มที่ประสบความสำเร็จ จากตลาดหนึ่งไปสู่อีกตลาดหนึ่ง ผ่านการทดลอง ทดสอบ และเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ เมื่อความชอบและไลฟ์สไตล์ของผู้คนกำลังเปลี่ยนไป ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนา Product Portfolio ของเราให้ตอบสนองความต้องการเหล่านั้น

     

    ที่มา : CNN , coca-cola

     

    ]]>
    1290955
    ยอดขายร่วง! รายได้ “โค้ก” รวมทั่วโลกลด 25% เพราะร้านอาหาร-โรงหนังปิดทำการ https://positioningmag.com/1274822 Wed, 22 Apr 2020 09:33:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1274822 แม้แต่ “โค้ก” สินค้ากลุ่ม FMCG ยังหนีไม่พ้นผลกระทบจากไวรัส COVID-19 โดยในช่วงไตรมาส 1/2020 ยอดขายยังค่อนข้างทรงตัวเนื่องจากผู้บริโภคกักตุนสินค้าไว้ดื่มในบ้าน แต่เมื่อเข้าสู่เดือนเมษายน ยอดขายของโคคา-โคลากลับตกฮวบไปถึง 25%

    จากผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2020 ของ โคคา-โคลา เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2020 รายงานว่า รายได้รวมทั่วโลกของไตรมาส 1 ยังทรงตัว โดยรายงานยอดขายลดลง 1%

    แต่เข้าสู่ช่วงเดือนเมษายน 2020 ปริมาณการขายของบริษัทโคคา-โคลาลดลงถึง 25% เนื่องจากมาตรการปิดเมืองของหลายประเทศส่งผลให้ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และสนามกีฬาถูกปิดทำการ ซึ่งตามปกติยอดขายจากการดื่มเครื่องดื่มนอกบ้านเหล่านี้คิดเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายรวมบริษัท

    “ยังประเมินไม่ได้ว่ายอดขายที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการทั้งปีเพียงใด เพราะต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาการใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและข้อบังคับให้อยู่แต่ในที่พำนัก รวมถึงความเร็วในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมหภาค” โค้กกล่าวในรายงาน

    ความคิดเห็นต่ออนาคตของโค้กมาพร้อมกับรายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้ ซึ่งโค้กทำยอดขายไป 8.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ทำกำไรได้ดีขึ้น โดยมีผลกำไรสุทธิ 2.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 65% จากปีก่อน

    โค้ก ซีโร่ หนึ่งในสินค้าที่ขายดีขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัส COVID-19 เนื่องจากผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพมากขึ้น (Photo : Shutterstock)

    โค้กพบว่ายอดขายที่ลดลงจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ถูกชดเชยจากผู้บริโภคที่ซื้อเครื่องดื่มตุนไว้ในช่วงเริ่มมีมาตรการปิดเมืองในไตรมาส 1/20 รายงานยังชี้ให้เห็นว่า เครื่องดื่มที่ผู้บริโภคนิยมกักตุนเมื่อต้องกักตัวที่บ้านเปลี่ยนมาเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า เช่น น้ำอัดลมแบบกระป๋องเล็ก น้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล น้ำส้มแบรนด์มินิทเมด เป็นต้น

    สำหรับช่องทางการขาย ช่องทางอี-คอมเมิร์ซเติบโตเป็นเท่าตัวในหลายๆ ประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังถือเป็นสัดส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับยอดขายรวม

    ก่อนหน้านี้ในช่วงเริ่มต้นปี 2020 โค้กเคยประมาณการณ์รายได้ปีนี้จะเติบโตถึง 5% แต่เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นทำให้โคคา-โคลาต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ลดต้นทุนทุกจุดที่ทำได้ รวมถึงการลดงบประมาณการตลาด และคาดว่าจะไม่มีการควบรวมกิจการสำคัญๆ ในปีนี้

    “บริษัทเราเคยผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายกว่านี้มาแล้ว เราเชื่อว่าเราอยู่ในจุดที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ และจะกลับมาใหม่อย่างแข็งแรงกว่าที่เคย” เจมส์ ควินซีย์ ซีอีโอ โคคา-โคลากล่าว

    Source

    ]]>
    1274822