คนดัง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 14 Dec 2021 07:44:32 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Time ประกาศ Elon Musk เป็น “บุคคลแห่งปี” ด้าน “ฮีโร่แห่งปี” เป็นของเหล่านักวิจัยวัคซีน https://positioningmag.com/1366667 Tue, 14 Dec 2021 04:44:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366667 ธรรมเนียมของนิตยสาร Time จะมีการประกาศชื่อ “บุคคลแห่งปี” โดยปี 2021 นี้ตกเป็นของ Elon Musk ซีอีโอบริษัทยานยนต์ไฟฟ้า Tesla ผู้มีอิทธิพลปลุกกระแสข่าวสารพัดเรื่อง ส่วนตำแหน่ง “ฮีโร่แห่งปี” ถูกมอบให้เหล่านักวิทย์ผู้วิจัยวัคซีน

นิตยสาร Time มอบตำแหน่ง “บุคคลแห่งปี” 2021 ให้กับ Elon Musk ซีอีโอ Tesla บริษัทยานยนต์ไฟฟ้าที่ทะยานขึ้นมาเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาด 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงบริษัทพัฒนาการเดินทางสู่อวกาศ SpaceX ของเขา ยังเปิดการเดินทางจริงสำหรับพลเรือนธรรมดาเป็นเที่ยวแรกสำเร็จในปีนี้เช่นกัน

ความร้อนแรงของ Tesla เกิดจากความสามารถในการแก้ปัญหาด้านซัพพลายเชนและผลิตรถยนต์ออกมาได้หลายแสนคันต่อปี รวมถึงเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เปลี่ยนมาขับรถอีวี กระตุ้นให้บรรดาค่ายรถยนต์เก่าแก่ต้องหันมาเน้นรถอีวีตามไปด้วย

“Elon Musk ได้รับตำแหน่ง บุคคลแห่งปี 2021 จากการสร้างโซลูชันให้กับวิกฤตอัตถิภาวนิยม จากการโอบกอดทุกความเป็นไปได้และความเสี่ยงของยุคแห่งยักษ์ใหญ่วงการเทค จากการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิรูปที่ท้าทายและดิสรัปต์สังคม” Edward Felsenthal บรรณาธิการนิตยสาร Time กล่าว

Photo : Thom Baur / Reuters

ไม่ใช่แค่งานด้านเทคโนโลยีเท่านั้นที่ทำให้ Musk โดดเด่น การปรากฏตัวกับสื่อในทุกรูปแบบยังส่งอิทธิพลให้สังคมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการไปเป็นพิธีกรรายการ Saturday Night Live จนถึงการทวีตสารพัดมีมตลกๆ และเรื่องเงินคริปโต ที่ทำให้ตลาดคริปโตปั่นป่วนไปหมด เพราะเขามีผู้ติดตามบน Twitter ถึง 66 ล้านคน

นิตยสาร Time ระบุว่า ตำแหน่ง “บุคคลแห่งปี” หมายถึงบุคคลที่ “ส่งผลกระทบต่อกระแสข่าวหรือชีวิตของเรามากที่สุด ไม่ว่าจะในทางดี หรือร้ายก็ตาม”

นอกจากนี้ Time ยังระบุชื่อ Olivia Rodrigo นักร้องเพลงป๊อปชื่อดัง ให้เป็น “เอนเตอร์เทนเนอร์แห่งปี” ยกย่องให้ Simon Biles นักยิมนาสติกชาวอเมริกันเป็น “นักกีฬาแห่งปี” และเหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นวัคซีนเป็น “ฮีโร่แห่งปี” โดยเฉพาะผู้วิจัยวัคซีน mRNA ซึ่งความรู้ของพวกเขาและเธอเป็นกุญแจสำคัญในการคิดค้น ได้แก่ Katalin Kariko, Drew Weissman, Kizzmekia Corbett และ Barney Graham

ปีที่แล้ว Time เลือก Joe Biden และ Kamala Harris เป็นบุคคลแห่งปี และในอดีตที่ผ่านมา ทั้ง Mark Zuckerberg และ Jeff Bezos ต่างเคยได้เป็นบุคคลแห่งปีมาแล้ว

Source

]]>
1366667
งดปั่นโหวต! Weibo เตรียมลบลิสต์อันดับคนดัง หลังรัฐเข้มกวดขันเยาวชน “แฟนด้อม” จีน https://positioningmag.com/1345794 Mon, 09 Aug 2021 07:31:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1345794 Weibo (เวยป๋อ) คือโซเชียลมีเดียทรงอิทธิพลของวงการบันเทิงจีน แต่แพลตฟอร์มนี้กำลังจะลบ “ลิสต์จัดอันดับคนดัง” ออกไป เพื่อตอบรับนโยบายรัฐที่เริ่มกวดขัน “แฟนด้อม” ทั้งหลาย โดยมองว่าพฤติกรรมการเป็นแฟนคลับที่มากเกินไปทำให้เยาวชน “บริโภคเกินตัว”

โซเชียลมีเดียดัง Weibo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคล้ายกับ Twitter ผสมกับ Facebook ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2021 ว่า แพลตฟอร์มกำลังจะลบลิสต์คนดังในวงการบันเทิงและดนตรีหรือ “Weibo Star Power Ranking List” ออกไป โดยลิสต์นี้มีการจัดอันดับจากยอดผู้ติดตามและความนิยมของโพสต์ที่คนดังเหล่านั้นลงใน Weibo

นโยบายของบริษัทรับลูกหลังหนังสือพิมพ์ของรัฐ People’s Daily ลงบทความวิพากษ์วิจารณ์แพลตฟอร์มว่า ให้ความสำคัญกับทราฟฟิกยอดผู้เข้าชมออนไลน์ของตัวเองมากกว่าผลประโยชน์ของเยาวชน

สำนักข่าว Reuters แปลบทความชี้ชะตาชิ้นนี้ว่า บทความระบุให้สื่อโซเชียล “ควรจะกำกับควบคุมรายการพัฒนาไอดอล และเข้มงวดกับรายการประกวดแสดงทาเลนต์ต่างๆ” การควบคุมที่ว่าคือให้จัดระเบียบระบบการโหวต การรีวิว และคอมเมนต์เสียใหม่

ตัวอย่างรายการประกวดไอดอลที่ถูกรัฐบาลจีนจับตามอง

บทความดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อ Weibo โดยตรง แต่ทางบริษัทก็ตัดสินใจจะนำ “ลิสต์คนดัง” ออกจากแพลตฟอร์มในเวลาต่อมา ทั้งนี้ แพลตฟอร์มให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแฟนคลับบางกลุ่มแสดงออกถึง “แรงสนับสนุนที่ไร้เหตุผล” ต่อเซเลปคนดังที่พวกเขาหรือเธอชื่นชอบ

แพลตฟอร์มมองว่า ลิสต์คนดังนี้กลายเป็นตัวกระตุ้นในเชิงลบในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนดังกับกลุ่มแฟนๆ

บทความของ People’s Daily ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังกล่าววิจารณ์อย่างรุนแรงด้วยว่า “พฤติกรรมการไล่ตามดาราอย่างบ้าคลั่งได้ทำให้ประชาชนค่อยๆ เสียสติของตนเองไป”

ตัวอย่างหน้าแพลตฟอร์ม Weibo

บทความดังกล่าวมีข้อความที่สื่อถึงแนวคิดจากรัฐบาลจีนหลายจุด เช่น “โดยทั่วไปแล้ว แฟนคลับอายุน้อยส่วนมากยังไม่สามารถหาเงินเองได้ อีกทั้งความคิดความอ่านก็ยังไม่โตพอ พวกเขามักจะตกลงในกับดักของ ‘การบริโภคเกินตัว’ และ ‘มีการยืมเงินเพื่อไปตามดารา’ ด้วย”

“…ด้วยความรักที่มีให้ แฟนคลับยินดีที่จะใช้ทั้งเงิน เวลา และพลังงานเพื่อสร้างโมเมนตัมและทรัพยากรเป็นฐานให้กับไอดอล ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล แต่ในกรณีของแฟนคลับที่สุดโต่งบางคน เงินเท่ากับความรัก และความรักที่มีให้ไอดอลมากเท่าไหร่ ต้องสะท้อนออกไปด้วยเงินที่คุณใช้จ่ายให้พวกเขามากเท่านั้น”

“ถ้าคุณใช้เงินน้อยลง คุณจะถูกโจมตีว่า ‘ความรักของคุณไม่มีค่า’ ทำให้การกดไลก์และการสนับสนุนต่างๆ กลายมาเป็นการสร้างแบรนด์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สร้างลิสต์จัดอันดับไม่มีที่สิ้นสุด และดาต้ามากมายไม่มีที่สิ้นสุด”

หนังสือพิมพ์ยังสรุปด้วยว่าธุรกิจโชว์บิซขณะนี้กลายเป็น “ทฤษฎีสมคบคิดจากหลายฝ่ายที่ล้อมรอบและกดขี่แฟนคลับเอาไว้” โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีตั้งแต่ “ศิลปิน แบรนด์ แพลตฟอร์ม ทีมโบรกเกอร์ ฯลฯ”

Screenshot วิดีโอแบบ UGC ใน Bilibili

นอกจาก Weibo แล้ว ช่องทางที่แฟนๆ มักใช้ติดตามคนดังยังรวมถึง Bilibili (คล้าย YouTube ที่เรารู้จัก) , Kuaishou (เว็บไซต์จัดไลฟ์สตรีมมิ่ง) และ Douyin (หรือที่เรารู้จักในชื่อ TikTok)

การกวดขันโซเชียลมีเดียของจีนมีมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ยกตัวอย่างเช่น เดือนก่อนทั้ง Weibo, Taobao มาร์เก็ตเพลซของจีน, QQ แอปแชทจีน, Kuaishou และ Xiaohongshu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ต่างถูกปรับเงินทั้งหมดเพราะซื้อขายสติ๊กเกอร์ออนไลน์หรือเผยแพร่วิดีโอที่เกี่ยวข้องกับ “เยาวชน” ในท่าทางที่ “สื่อถึงเรื่องเพศ”

หนังสือพิมพ์ People’s Daily เปรียบได้กับกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในอดีตมีบทความหลายชิ้นที่ตีพิมพ์เพื่อวิพากษ์วิจารณ์บางเรื่องและรัฐดำเนินการจัดการตามนั้น เช่น เคยมีบทความเรียกร้องให้ทลายอุตสาหกรรมเกมเพราะทำให้วัยรุ่นเหมือน “ติดฝิ่นทางจิตวิญญาณ” จากการเล่นเกมมากเกินไป หลังจากนั้นรัฐเข้ามากวดขันวงการเกมทันที

Source

]]>
1345794
ปรากฏการณ์ ‘Call Out’ อาจทำ ‘อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง’ สะดุด เหตุแบรนด์ไม่ขอเสี่ยง https://positioningmag.com/1343722 Thu, 22 Jul 2021 10:54:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1343722 จากกรณีที่ นายสนธิญา สวัสดี ยื่นขอตำรวจนครบาลตั้งคณะกรรมการกำกับ ตรวจสอบ กรณีดารา-นักร้องกว่า 20 คน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 เนื่องจากไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงทำให้นักแสดง คนดังหลายคน รวมถึงชาวโซเชียลต่างเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก

ดารา Call Out กระทบแบรนด์แน่นอน

แน่นอนว่าการที่เหล่าดารา นักร้อง หรือคนดังเริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนั้น กำลังสร้างความลำบากใจให้กับ แบรนด์ ต่าง ๆ ที่เคยทำหรือมีแผนที่จะทำ อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง โดย ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด (MI) ได้แสดงความคิดเห็นว่า จากนี้แบรนด์ต้องคิดมากขึ้นหากจะใช้อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง

การออกมา Call Out ของดารา คนดัง และอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและหลากหลายมากขึ้นทำให้แบรนด์ส่วนหนึ่ง เลิกใช้อินฟลูเอนเซอร์ ทั้งที่ ออกและไม่ออก มา Call Out เนื่องจากแบรนด์ไม่กล้าที่จะเสี่ยงยุ่งเกี่ยว เพราะประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่อง ละเอียดอ่อน ไม่รู้ว่าจะส่งผลด้านไหนกับแบรนด์ ดังนั้น แม้ว่าแบรนด์เองจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามแต่จะ ไม่แตะเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติ

“ตอนนี้การ Call Out มันอยู่ในวงกว้างขึ้น ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช้คนนี้ เราหนีไปใช้อีกคน ตอนนี้มันไม่ได้ ดังนั้น แบรนด์จึงเลือกที่จะหยุดไปเลยเพราะแบรนด์รู้ตัวว่าไม่สามารถคุมอินฟลูเอนเซอร์ได้ ไม่เหมือนการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่มีสัญญาชัดเจน ดังนั้นดาราบางคนไม่ออกมา Call Out อาจติดสัญญาอยู่”

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด (MI)

ไม่มีอะไรแทนอินฟลูเอนเซอร์ได้

ด้วยตลาดและกลุ่มเป้าหมายในการทำตลาดในปัจจุบัน การใช้งานอินฟลูเอนเซอร์ถือว่าตอบโจทย์และเนียนที่สุด เพราะการที่แบรนด์ต้องคุยกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายมากขึ้น ดังนั้น อาจทำให้แบรนด์ โยกเม็ดเงินไปทำอย่างอื่นที่ไม่เสี่ยงแทน เช่น ยิงแอดใน Facebook เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรทดแทนอินฟลูเอนเซอร์ได้ ดังนั้น ถือเป็นอีกเรื่องใหม่ที่แบรนด์และนักการตลาดต้องปรับตัว และเป็นที่น่าเสียดายที่เงินไม่สะพัดในอินฟลูเอนเซอร์

สำหรับแบรนด์ที่กำลังใช้พรีเซ็นเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่มีการ Call Out รุนแรง ถือเป็นความท้าทายของแบรนด์ เนื่องจากการแอคชั่นใด ๆ ก็ตามอาจส่งผลกระทบได้ เช่น การถอดโฆษณาก็จะถือว่าไม่สนับสนุนดารา Call Out เป็นต้น ดังนั้น ด้วยความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ทำให้ไม่มีแบบแผนตายตัวถือเป็นโจทย์ยากของเหล่านักการตลาด

(Photo : Shutterstock)

ประเมินไม่ได้ตลาดอินฟลูจะเป็นอย่างไร

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอินฟลูเอนเซอร์กำลังมี อิทธิพล อย่างมากกับผู้บริโภค เป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่สำคัญของแบรนด์ เพราะชาวโซเชียลกว่า 47 ล้านรายในไทยมีการติดตามอินฟลูเอนเซอร์อย่างน้อย 1 คน และในปีที่ผ่านมามีการใช้อินฟลูเอนเซอร์เพิ่มขึ้นกว่า 20% ปัจจุบัน คิดเป็น อันดับ 3 ของภาพรวมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง มีสัดส่วน 10%

“ที่ผ่านมาตลาดเติบโตมาโดยตลอด และปีนี้ที่เราคาดว่าตลาดโฆษณาออนไลน์จะโตได้ 10-20% แต่พอมาเจอโควิดระลอก 3-4 เราเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างที่คาด ขณะที่ภาพของตลาดอินฟลูเอนเซอร์ก็ยังประเมินไม่ได้ว่าจะเติบโตหรือลดลงจากปีที่แล้ว”

มีทั้งต่อต้าน และสนับสนุน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เรื่องการเมืองผ่านการเปลี่ยนผ่านหลายยุคหลายสมัย จากการแบ่งแยกเสื้อเหลือง เสื้อแดง มาถึงกปปส. และล่าสุดกับม็อบราษฎร

การแบ่งพรรคแบ่งพวกเริ่มมีให้เห็นมานานแล้ว แต่ก่อนถ้าดาราคนไหนที่ประกาศจุดยืนนชัดเจนว่าเป็นฝั่งนี้ ก็อาจจะถูกแบน หรือไม่มีงานไปได้ ยกตัวอย่างกรณี ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ เพราะไม่มีใครกล้าจ้างงาน ไม่อยากเข้าไปเสี่ยง

แต่ในยุคนี้ก็เริ่มมีดารา นักร้อง รวมถึงเน็ตไอดอล อินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ประกาศจุดยืนมากขึ้น เริ่มมา Call Out พูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทย อย่าง ทราย เจริญปุระ, เพชร กรุณพล, แอมมี่ เดอะ บอททอม บลู, มิลลิ และอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะยุคนี้มีการเข้าถึงสื่อมากขึ้น ใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารมากขึ้น

ดารากลุ่มนี้ก็มีทั้งกลุ่มที่ต่อต้าน และกลุ่มที่สนับสนุน กลุ่มที่ต่อต้านอาจจะแบนผลงาน และธุรกิจส่วนตัวไปเลย ส่วนกลุ่มที่สนับสนุนก็ยังตามซัพพอร์ตอยู่เสมอ แต่ถ้าถามถึงงานในวงการบันเทิง ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะอย่างที่ทราบว่า แบรนด์ หรือผู้จัดอาจจะไม่อยากเสี่ยงก็ได้

รัฐเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ

การที่ภาครัฐออกมาตรวจสอบดารา-นักร้องที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 มองว่าเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับกลุ่มคนที่มีทัศนคติเดียวกัน ดังนั้น ยิ่งทำให้เกิดภาพลบและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ซึ่งอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

“เราไม่แน่ใจว่ารัฐต้องการออกมาเบรกไม่ใช่ดารามา Call Out หรือเปล่า หรือคิดเฉพาะแง่การบังคับใช้กฎหมายด้านเดียว เพราะสายตาคนนอกมันเป็นการยิ่งเติมเชื้อมากกว่า เนื่องจากไม่ใช่การเล่นกับดารา แต่เป็นการออกมาเล่นกับประชาชนที่เรียกร้องให้ดาราออกมา Call Out”

สุดท้าย การ Call Out คงไม่จบง่าย ๆ ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือไม่ดีขึ้นก็ตาม เพราะการ Call Out ถือเป็นการสะท้อนเสียงของพวกเขา ขณะที่แบรนด์เองคงต้องหลีกเลี่ยงการใช้อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเพราะมองว่าไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้

]]>
1343722
ถอดสูตร “พาวเวอร์ชอต” อาหารเสริมของ “กาละแมร์-พัชรศรี” ขอเดินตาม “คาราบาวโมเดล” https://positioningmag.com/1310686 Wed, 16 Dec 2020 10:49:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310686 ในเวลา 1 ปีครึ่ง บริษัทอาหารเสริม “พาวเวอร์ชอต” ของ กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ กำลังจะทำรายได้แตะ 1,500 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2564 จะโต 3 เท่าเป็น 6,000 ล้านบาท ทำให้ตัวเลข “หมื่นล้าน” อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม โดยเธอมองว่าจะทำได้ภายใน 3 ปี พร้อมเล็งโอกาสธุรกิจ แตกไลน์ไปทำงานด้านระบบชำระเงินเร็วๆ นี้

ปีแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจ แต่ธุรกิจด้านสุขภาพกลับมาแรง เพราะปัญหาโรคระบาด COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคใส่ใจเรื่องสุขภาพสูงขึ้น โดย Euromonitor International คาดการณ์ว่า ตลาดอาหารเสริมในไทยจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 20,876 ล้านบาทเมื่อปี 2562 เป็นมูลค่า 23,916 ล้านบาทในปี 2563 หรือเติบโตขึ้นเกือบ 15% สวนทางกับจีดีพีประเทศ

เทรนด์ตลาดรวมดังกล่าวเป็นลมใต้ปีกให้ธุรกิจของ “กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ” พิธีกรคนดัง เติบโตสุดขีดในเวลา 1 ปีครึ่ง โดยเธอก่อตั้ง บริษัท พาวเวอร์ชอต จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 เพื่อจำหน่ายสินค้าอาหารเสริมบำรุงสุขภาพและความงาม ปัจจุบันมีจำหน่าย 13 รายการ และคาดว่าจะปิดยอดขายปี 2563 ที่ 1,500 ล้านบาท โดยเป็นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ล้วนๆ และไม่มีตัวแทนจำหน่าย ใช้ระบบขายตรงจากบริษัท

Lion Queen ผลิตภัณฑ์ล่าสุดของพาวเวอร์ชอต

สำหรับ ปี 2564 พัชรศรีกล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายโตถึง 3 เท่าเป็น 6,000 ล้านบาท เนื่องจากเดือนธันวาคมปี 2563 บริษัทออกสินค้าใหม่ชื่อ Lion Queen เน้นสรรพคุณบำรุงสมอง บำรุงกำลัง และผิวพรรณ ซึ่งจะเป็นเรือธงทำตลาดปีหน้า ด้วยราคาถูกลงที่ 490 บาทต่อกล่อง 10 ซอง ทำให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มเจาะตลาดโมเดิร์นเทรดเป็นครั้งแรก ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาร้านค้า ประกอบกับการอัดงบการตลาด 600 ล้านบาท มีพรีเซ็นเตอร์เพิ่มจากตัวกาละแมร์เอง และจะออกสินค้าเพิ่มอีกอย่างน้อย 5 รายการ ซึ่งทั้งหมดจะช่วยดันให้ยอดขายเป็นไปตามเป้า

กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ ประธานกรรมการ บริษัท พาวเวอร์ชอต จำกัด

เมื่อถามว่าภายใน 3 ปี เธอมองเห็นบริษัทจะแตะ “หมื่นล้าน” เลยหรือไม่ พัชรศรีตอบอย่างมั่นใจว่า “ถึงแน่นอน” โดยวางวิสัยทัศน์จะขยายไปจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ ซึ่งส่วนนี้อยู่ระหว่างหาพาร์ตเนอร์เพื่อเข้าไปทำตลาด รวมถึงมองว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนขยายตัวต่อเนื่อง

นับว่าเป็นการพลิกสู่เส้นทางนักธุรกิจเต็มตัวของพัชรศรี โดยเธอมอง “โมเดลต้นแบบ” คือ แอ๊ด คาราบาว ซึ่งวันนี้มีธุรกิจคาราบาว กรุ๊ปมูลค่าถึง 5 หมื่นล้านบาทแล้ว จากจุดเริ่มต้นที่คล้ายกันคือการนำชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของตนมาเป็นรากฐานการพัฒนาสินค้า

วิธีทำงานและพัฒนาสินค้าของพาวเวอร์ชอตเป็นอย่างไร เราจะพาไปถอดสูตรจากกาละแมร์-พัชรศรีกัน!

 

พัฒนาสินค้าที่ “แก้ปัญหา”

จุดตั้งต้นของการพัฒนาพาวเวอร์ชอตคือ “ตนเอง” โดยเธอเล่าย้อนไปว่าเธอเริ่มประสบปัญหาสมองเบลอ ความจำแย่ลง จึงต้องการอาหารบำรุงสมองและทำให้มีพลัง แต่มองไปในตลาดแล้วไม่มีสินค้าที่ใช่ทั้งในแง่ผลลัพธ์และแพ็กเกจเหมาะกับไลฟ์สไตล์ สุดท้ายจึงลงทุนพัฒนาสินค้าเอง นอกจากได้ทานเองแล้วยังมีโอกาสการขายด้วย

สินค้าแรกที่ออกขายจึงเป็น Power Shot Brain เป็นอาหารเสริมชนิดผงสำหรับชงดื่มหรือฉีกซองทานได้ทันที เน้นเรื่องการบำรุงสมอง หลังจากนั้นมีสินค้าอื่นออกตามมาอีกหลายรายการ แต่ละผลิตภัณฑ์จะเน้นประโยชน์ต่างกันไป เช่น บำรุงผิว ช่วยการขับถ่าย ช่วยให้พลังงานสูง ยกกระชับใบหน้า เสริมภูมิคุ้มกัน ให้โปรตีนสูง แต่ภาพรวมจะมีสินค้าที่เน้นด้านสุขภาพ 70% และสินค้าที่เน้นความงาม 30%

พอร์ตสินค้าแบ่งเป็นกลุ่มที่เน้นสุขภาพ 70% และกลุ่มที่เน้นความงาม 30%

จากจุดเริ่มต้นที่ออกสินค้ามาแก้ปัญหาให้ตนเอง พัชรศรีกล่าวว่า เมื่อมีฐานลูกค้าแล้วจะมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าว่าต้องการแก้ปัญหาอะไร ทำให้เป็นโจทย์ให้บริษัทมาวิจัยและพัฒนา ยกตัวอย่างเช่น Cele Fooz ซึ่งเป็นอาหารเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ก็มาจากการพูดคุยกับลูกค้า และปัจจุบันเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด

ปีหน้าก็จะมีสินค้าใหม่ๆ ที่ออกมาจากโจทย์ที่ลูกค้าเรียกร้อง เช่น ต้องการรูปร่างที่ดีขึ้น ต้องการบำรุงสายตา บำรุงกระดูกและข้อ เป็นต้น

 

ใช้ภาพลักษณ์และแฟนคลับของตนเป็นฐาน

Instagram ของกาละแมร์-พัชรศรี มีผู้ติดตาม 3 ล้านคน เป็นฐานลูกค้าได้ทันที

ด้วยความเป็นคนดังของกาละแมร์-พัชรศรี ทำให้เธอมีแฟนคลับติดตามอยู่แล้ว และมีการสื่อสารไลฟ์สไตล์ของตัวเองมาตลอด โดยมีภาพลักษณ์เป็นสาวแกร่ง รักการทำงาน วิถีชีวิตรักสุขภาพ ออกกำลังกาย ทำให้ตัวเธอเองคือพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาทั้งคุณสมบัติสินค้าจนถึงแพ็กเกจผลิตภัณฑ์ รวมถึงเป็นแกนในการทำการตลาด

ฐานแฟนคลับที่ติดตามอยู่ 3 ล้านรายใน Instagram และอีก 9.5 แสนรายใน Facebook Page คือการตลาดที่ทรงพลังมาก เธอจะลงรูปผลิตภัณฑ์และไลฟ์ขายสินค้าสลับไปกับการโพสต์ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ทำให้มียอดขายทะยานเร็ว

 

แพ็กเกจต้องสวยและตรงกับไลฟ์สไตล์

แพ็กเกจแบบผู้หญิงๆ เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

ดังที่กล่าวว่าเธอพัฒนาสินค้าจากตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เธอพบในตลาดอาหาร/เครื่องดื่มบำรุงกำลังคือ “แพ็กเกจ” มักจะไม่สวยงาม ทำให้ตนเองหรือลูกค้าไม่กล้าบอกใครว่าทานอยู่ ไม่กล้าพกไปทานนอกบ้าน ซึ่งทำให้เธอเลือกดีไซน์แพ็กเกจให้มีความเป็นผู้หญิง ดูแฟชั่น พรีเมียม ตรงกับไลฟ์สไตล์ตนเอง

“ไม่ใช่แค่ได้ผลจริง ผลิตภัณฑ์ต้องดูแล้วน่าพึงพอใจด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต้องมาหมด ต้องเป็นสิ่งที่เขาถือแล้วภาคภูมิใจ” พัชรศรีกล่าว

 

สร้าง “คอมมูนิตี้” ของลูกค้า

พัชรศรีกล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ 90% คือกลุ่ม “ผู้หญิง” และส่วนมากเป็น คนวัยทำงานอายุ 30-60 ปี รองลงมาคือกลุ่มนักศึกษา เธอวิเคราะห์ว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เป็นฐานที่ดีมาก เพราะผู้หญิงเป็นกลุ่มที่ชอบการบอกต่อ แนะนำต่อให้คนรอบตัว ซึ่งทำให้ติดสปีดยอดขายขึ้นไปอีก

จากพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้การตลาดของพาวเวอร์ชอตจะมีการสร้างคอมมูนิตี้ของลูกค้าบนโลกออนไลน์ด้วย กระตุ้นให้ลูกค้าที่รับประทานแล้วมาแชร์ผล รีวิวกัน สร้างความแข็งแรงของการตลาดมากขึ้นไปอีก

 

สั่งง่าย ชำระเงินสะดวก

หลังลูกค้าตัดสินใจซื้อแล้ว จุดนี้เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการปิดการขาย คือต้องมีทุกช่องทางให้ซื้อและชำระเงิน โดยปัจจุบันมีขายผ่านเว็บไซต์, Line@, Line My Shop, Facebook, Shopee, Call Center และล่าสุดมี
แอปพลิเคชันของตนเอง ส่วนการชำระเงินทำได้ทั้งตัดบัตรเครดิต สแกนจ่ายด้วย QR Code ชำระที่ 7-Eleven
และชำระเงินปลายทาง (COD)

จุดนี้เองที่ทำให้พัชรศรีเล็งจะเปิดธุรกิจใหม่ บริการช่วยจัดการระบบชำระเงิน (payment) ให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซต่างๆ เพราะเห็นช่องว่างว่าการจัดการระบบชำระเงินค่อนข้างยุ่งยาก เป็นโอกาสที่จะแตกไลน์ออกไป

นอกจากพาวเวอร์ชอตซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ใหญ่ที่สุด กาละแมร์-พัชรศรี มีธุรกิจที่ร่วมหุ้นกับพาร์ตเนอร์อื่นอีก 3 บริษัทคือ พาวเวอร์บอล (อาหารคลีน), ร้านชา-น้ำผลไม้ Zer0Kcal และนมอัลมอนด์ Better Milk รวมเป็นพอร์ตโฟลิโอสายสุขภาพของพิธีกรคนดังคนนี้

]]>
1310686
การตลาดฉบับ Kylie Jenner ปิดดีลขายหุ้นใหญ่ Kylie Cosmetics มูลค่า 18,000 ล้าน https://positioningmag.com/1254332 Wed, 20 Nov 2019 17:58:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254332 ข่าวดังสะเทือนวงการบิวตี้ส่งท้ายปี หลังเซเลบริตี้สาวคนดังเเห่งบ้านคาร์เดเชี่ยน “Kylie Jenner” เศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดจากการจัดอันดับของ Forbes ปิดดีลขายหุ้นใหญ่ Kylie Cosmetics ให้กับ COTY ในสัดส่วน 51% ด้วยมูลค่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว18,126 ล้านบาท) ส่งผลให้มูลค่าบริษัทของ Kylie เพิ่มขึ้นแตะ 1.2 พันล้านเหรียญ

อาณาจักรธุรกิจเครื่องสำอาง Kylie Cosmetics ไม่มีแผ่วลงตามกระเเสข่าวเเละยังคงเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ เเละดีลนี้คือจุดก้าวกระโดดที่น่าจับตามองที่สุด…

ยุคเเห่งความงามโซเชียล 

นับตั้งเเต่ Kylie เปิดตัวเเบรนด์ เมื่อปี 2015 โดยเริ่มต้นจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ก่อน เเละได้สร้างปรากฎการณ์การตลาดความงามบน “โซเชียลมีเดีย” ด้วยชุด “Lip Kit” ราคา 29 เหรียญสหรัฐฯ ประกอบด้วยลิปสติกและดินสอเขียนริมฝีปาก โดยสามารถจำหน่ายสินค้าได้มากกว่า 630 ล้านเหรียญตั้งแต่เปิดตัว รวมรายได้ประมาณ 330 ล้านเหรียญในปี 2017 เเม้จะหักตัวเลขรายได้ทั้งหมดลงอีก 20% ตามมาตรฐานการคำนวณของ Forbes ก็ตามเเละยังได้ประเมินค่าบริษัทของเธอที่เพิ่มไลน์สินค้าใหม่เป็น 800 ล้านเหรียญ โดย Kylie Cosmetics ยังทำเงินต่อเนื่องมาตลอด 4 ปี เเละเธอครองสิทธิ์เป็นเจ้าของแบรนด์เบ็ดเสร็จ 100% ไม่มีหุ้นส่วน

ยังไม่หมด หากรวมรายได้ส่วนเเบ่งจากรายการโทรทัศน์ชื่อดังของครอบครัวเธออย่าง “Keeping Up with the Kardashians” และพรีเซนเตอร์ให้รองเท้า Puma และแบรนด์เสื้อผ้า PacSun อีกทั้งเงินปันผลหลังหักภาษีที่ได้จากบริษัทของเธอเองที่ประมาณ 60 ล้านเหรียญ Kylie มีทรัพย์สินกว่า 900 ล้านเหรียญจากการประเมินของ Forbes ส่งผลให้เธอกลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยในโลกประจำปี 2019 ด้วยวัยเพียง 21 ปี เหนือกว่า Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งสื่อสังคมออนไลน์รายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง Facebook ที่มีทรัพย์สินระดับมหาเศรษฐีเมื่ออายุ 23 ปี

ลงสนามตลาดออฟไลน์ เอาใจเเฟนคลับ

การตลาดของเเบรนด์ Kylie Cosmetics นั้นไม่ธรรมดา นอกจากใช้ชื่อเสียงวงการบันเทิงเเละอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมแห่งยุค Instagram ที่เฉพาะของเธอคนเดียวก็มีผู้คิดตามกว่า 151 ล้านคนเเล้ว (ไม่รวมพี่สาวนางเเบบ Kendall Jenner มีผู้ติดตาม 118 ล้านคนเเละทั้งครอบครัวอีกจำนวนมหาศาล)

เธอเลือกต่อยอดแบรนด์เครื่องสำอาง ด้วยการเลือกจำหน่ายออฟไลน์ผ่านทางร้านค้าชื่อดังของอเมริกาอย่าง Ulta ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้หลากลายขึ้น โดยนักการตลาดมองว่า การที่ Kylie เลือกขายผ่านร้านค้าของ Ulta ถือว่าฉลาดมาก เพราะเป็นเครือข่ายที่เข้าถึงวัยรุ่นเเละ Young Adults ที่เป็นเเฟนคลับกลุ่มหลักของเธอมากกว่าการเลือกลงขายสินค้ากับคู่เเข่งอย่าง Sephora ซึ่งขายสินค้าที่มีราคาเเพงกว่า

ส่วนการดึงคนไปซื้อในร้านออฟไลน์นั้นเธอเพียงเเค่พูดถึงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย คนก็เห่ไปซื้อจนเกลี้ยง เเทบจะใช้เงินกับการโฆษณาหรือทำมาร์เก็ตติ้งเเบบดั้งเดิมน้อยมากเมื่อเทียบการเเบรนด์ความงามระดับโลกรายอื่น โดย COTY เผยว่า Kylie Cosmetics สร้างยอดขายได้มากถึง 177 ล้านเหรียญในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

kylie

จับตาหลังขายหุ้นใหญ่ จะมีอะไรเซอร์ไพรส์ ? 

การขายหุ้นให้กับ COTY บริษัทเจ้าของแบรนด์ด้านความงามชั้นนำครั้งนี้ลือกันมาตั้งเเต่ช่วงต้นปี เเละในที่สุดก็ได้รับการยืนยัน เมื่อทาง COTY ประกาศแถลงการณ์เกี่ยวกับข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกับ Kylie Cosmetics โดยจะเข้ามาถือหุ้นใหญ่กว่า 51% เเละจะเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 โดย COTY จะกลายเป็นผู้พัฒนา ผลิตและจัดจำหน่าย Kylie Cosmetics ออกสู่ตลาดใหม่ทั่วโลก

ขณะที่ทาง Kylie ก็คอนเฟิร์มผ่านทวิตเตอร์ว่า “ฉันตั้งตารอที่เห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นกับแบรนด์ Kylie Skin และ Kylie Cosmetics ฉันตื่นเต้นมากที่ได้พาร์ทเนอร์กับ Coty Inc. เพื่อขยายแบรนด์ของฉันไปสู่ตลาดทั่วโลกมากขึ้น เเละนี่ก็เป็นเเค่การเริ่มต้นเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม Kylie วัย 23 ปีและทีมงานเดิมจะยังคงการสร้างสรรค์เเละพัฒนาเเบรนด์นี้เหมือนเดิม รวมถึงการโปรโมทผ่านช่องทางต่างๆ

ภายหลัง COTY การประกาศข่าวการเข้าถือหุ้นใหญ่ของ Kylie Cosmetics ออกไป หุ้นของ COTY ก็ขึ้นสูงสุดถึง 6% โดยปัจจุบันมีสินค้าเพื่อความสวยงามในเครือกว่า 77 แบรนด์ ครอบคลุมตั้งแต่น้ำหอม เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงเล็บ เสื้อผ้า อย่างเช่น Marc Jacobs, Gucci , Mui Mui Chloé, Burberry Beauty, Hugo Boss, OPI, Covergirl เเละ GHD เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน COTY มีมูลค่าบริษัทราว 9.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

 

Photo: Kylie Cosmetics , ultabeauty via Instagram

Source
Source
Source
Source
Source

 

]]>
1254332
ของมันต้องมี 4 คนดัง วู้ดดี้-ชูวิทย์-ตือสนิท-สู่ขวัญ พีเพิ่ลแบรนด์เรียกแขก https://positioningmag.com/1157305 Sat, 17 Feb 2018 01:00:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1157305 สู่ขวัญ บุลกุล เจ้าของวลีฮิต #ของมันต้องมี – วู้ดดี้วุฒิธร มิลินทจินดา แห่งวู้ดดี้เวิลด์ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์, สมบัษร ถิระสาโรช เจ้าของคลิป ตือสนิท 4 คนดัง ต่างวิถี ต่างเส้นทาง แต่ทั้งหมดนี้คือนักสร้างคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยามตามบทบาที่เลือกเดิน

วู้ดดี้กับจุดยืนของการกลับคืนจอทีวี

วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา เป็นข่าวใหญ่ต้นปี 2560 เมื่อประกาศเลิกทำรายการทีวีทั้งหมด ทั้งวู้ดดี้เกิดมาคุย ที่เรียกกระแสทำรายการให้เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อยู่บ่อยๆ กับรายการตื่นมาคุยซึ่งจัดชนกับรายข่าวเช้าของช่องต่างๆ โดยเป็นรายการที่เสนอประเด็นต่างๆ ในสังคม ไม่ใช่รายการข่าวแต่คุยกันสารพัดเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแสในสังคม ให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ไม่อยากดูสารพัดข่าวลบในสังคมตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้า

เหตุผลง่ายๆ ที่ออกมาบอกเลิกเพราะ หนึ่งคนสมัยนี้ไม่ดูทีวี สองช่วงที่ผ่านมาแม้รายการเป็นที่รู้จัก ผู้คนพูดถึงแต่บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด บริษัทผู้ผลิตจากที่เคยมีกำไรนับ 10 ล้าน ก็เริ่มกลายเป็นตัวเลขขาดทุนเกือบ 30 ล้านบาท สามไม่เลิกตอนนั้นวันหนึ่งก็ต้องเลิก และบริษัทเองก็จัดรายการมานานแล้วถึง 9 ปี วู้ดดี้จึงตัดสินใจเลิกทำตอนที่ยังมีความสุขดีกว่า รวมทั้งเชื่อว่าการจบลงของสิ่งหนึ่งก็มักจะเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ต่อไป

บทบาทของวู้ดดี้ในจอทีวีก็เริ่มผันตัวเองไปตามยุคสมัย คอนเทนต์ของวู้ดดี้ทั้งหมดยังคงสร้างสรรค์โดยวู้ดดี้และทีมงาน แต่เปลี่ยนช่องทางในการสื่อสารใหม่มาอยู่บน Facebook Live ภายใต้เพจ Woody @ Woodytalkshow ที่เปลี่ยนมาเน้นการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก ทำให้แบรนด์วู้ดดี้ไม่เคยหายไปจากกระแส แม้จะยุติบทบาทหน้าจอและหยุดการผลิตคอนเทนต์ในสื่อโทรทัศน์แล้วโดยสิ้นเชิง

ผ่านไปไม่ถึง 1 ปีเต็ม ต้นปีนี้มีรายการวู้ดดี้ในทีวีให้ดูถึง 2 รายการ ได้แก่ วู้ดดี้เวิลด์ (Woody World) ในช่อง 23 ของเวิร์คพอยท์ และการเป็นพิธีกรรายการ เดอะวอลล์ (The Wall) ทางช่องวัน 25 สองรายการนี้มาพร้อมกับคำถามซ้ำๆ ที่วู้ดดี้ต้องตอบให้เข้าใจว่าการหวนคืนจอทีวีครั้งนี้ไม่ใช่การกลืนน้ำลายตัวเองทั้งที่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงปี จากที่ประกาศว่าจะไม่ทำรายการทีวี

วู้ดดี้กลับจอทีวีไม่ได้หวังเงิน แต่ทีวีวันนี้คือซับเซตของดิจิทัลคอนเทนต์

ทำทีวีอย่างเดียวผมก็ไม่ทำ แต่เพราะรายการออนโซเชียลมีเดียด้วย ไลฟ์ด้วยวู้ดดี้พูดถึงส่วนหนึ่งของเหตุผลสำคัญที่ทำไมวู้ดดี้ถึงคืนจอทีวีและย้ำด้วยว่าการกลับสู่จอทีวีไม่ได้มุ่งหวังรายได้เป็นตัวตั้งเพราะ

ทีวีวันนี้ได้ผู้ชม แต่ไม่ได้เงินโดยย้ำด้วยว่า

เอาจริง ๆ นะครับที่ผ่านมาทั้งปี เม็ดเงินของผมในโซเชียลมากกว่าทำทีวีด้วยซ้ำ และจนกระทั่งวันนี้ก็มากกว่า ทีวีก็เป็นแพลตฟอร์มที่กระจายคนดูได้ แต่ว่าเม็ดเงินสู้โซเชียลไม่ได้แล้วตอนนี้

ที่สำคัญได้ชื่อว่าทำรายการทีวีก็จริง แต่ทีวีก็เป็นแค่แพลตฟอร์มเดียวของการกระจายคอนเทนต์ที่สามารถนำไปเผยแพร่ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มอื่นๆ อีก ทั้งเฟซบุ๊กไลฟ์ที่ออกอากาศไปพร้อมกัน ไลน์ ทีวี ยูทูป ไลฟ์ รวมแล้วอย่างน้อย 4 แพลตฟอร์มหลักรวมถึงโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับการเผยแพร่คอนเทนต์ในปัจจุบัน ดังนั้นยิ่งย้ำให้เห็นว่าบทบาทของคำว่าทีวีที่เป็นแค่เพียงช่องทางหนึ่งของการเสพคอนเทนต์ และไม่ใช่สื่อหลักเหมือนในอดีตอีกแล้ว

เหตุผลแรกนี้ค่อนข้างหนักไปทางรายการวู้ดดี้เวิลด์ ซึ่งวู้ดดี้ร่วมกับเวิร์คพอยท์จัดทำรายการขึ้น และมีรายได้ในลักษณะของไทม์แชร์ริ่งซึ่งวู้ดดี้บอกว่า เป็นรายการที่รอและตัดสินใจอยู่นานว่าจะทำหรือไม่ทำดี

ความลงตัวระหว่าง วู้ดดี้ และเวิร์คพอยท์ สำหรับรายการนี้ เกิดจากทั้งสองฝ่ายต่างก็อยากให้มีรายการทอล์กโชว์ดี ๆ สักรายการ แบบไม่โหนกระแส ไม่เอาเร็วแบบข่าวรายวัน ไม่เน้นข่าวซุบซิบ ซึ่งตรงกันข้ามกับลักษณะของรายการเฟซบุ๊กไลฟ์ของเพจวู้ดดี้เองด้วย

มันหมดเวลาที่จะมาไล่ตามกระแสแล้ว ไม่อย่างนั้นผมก็ต้องไปตามไลฟ์ใครต่อใครเหมือนเดิม แต่รายการนี้ที่ใช้ชื่อว่า วู้ดดี้ เวิลด์ เพราะเราอยู่ในวันที่รู้สึกว่า ทุกอย่างมันน่าสนใจไปหมด อยากแชร์ ให้คนเห็นเบื้องหลังที่คนไม่เคยเห็น เพราะฉะนั้นรายการจริง ๆ ไม่ใช่ทอล์กโชว์ แต่จะเป็นแชร์ริ่งโชว์มากกว่า แชร์เรื่องราวรอบข้างที่คนสนใจ สงสัย อยากรู้ โดยนำเสนอแบบเจาะลึก

รายการนี้จะออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 4 ทุ่ม 15 ทางช่องเวิร์คพอยท์ โดยวู้ดดี้เป็นเจ้าของและผู้ผลิต

บอกเลยว่า รายการนี้ไม่แซ่บ ไม่แรง แต่ละมุน อยากให้คนดูดูแล้วมีความสุข ดูเสร็จแล้วนอน ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าชีวิตอยากทำอะไรมากกว่านี้ ไม่แซ่บไม่แรงก็ถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่แซ่บกับแรงอยู่ได้ชั่วคราว แต่เราอยากได้อินไซด์ที่ดูแล้วคนดูได้อะไรที่อยากทำให้ชีวิตดีขึ้น รวยขึ้น มีความกล้ามากขึ้น กล้าทำอะไรให้กับชีวิตตัวเอง

จะสังเกตได้ว่าสเต็ปการเติบโตของวู้ดดี้ในฐานะผู้สร้างคอนเทนต์ที่เลือกทำรายการจากความต้องการภายในตัวเอง ก็ไม่ต่างจากแบรนด์คนดังทั่วโลกโดยเฉพาะในวงการสื่อ เมื่อเติบโตเป็นที่รู้จักถึงจุดหนึ่งก็เลือกที่จะทำรายการแบบที่ตัวเองต้องการหรือชอบ ไม่ว่าจะเป็น โอปราห์ วินฟรีย์หรือ มาร์ธา สจ๊วต และทำให้คนติดตามดูรายการเพราะเชื่อในบุคคลหรือแบรนด์ของคนๆ นั้น

แต่โดยมากคนเหล่านี้เริ่มจากเป็นลูกจ้าง พิธีกร นักจัดรายการ ก่อนจะกลายมาเป็นเจ้าของกิจการและเป็นนายของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่รูปแบบตายตัวสำหรับวู้ดดี้ที่เลือกที่จะย้อนศรกลับไปสู่บทบาทของการเป็นลูกจ้างอีกครั้ง พร้อมๆ กับการทำรายการของตัวเอง

อยากเป็นนักสร้างคอนเทนต์ที่ดี ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น เหตุผลที่ย้ำถึงบทบาททีวี ที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่คนใช้เสพคอนเทนต์ เพียงเท่านั้นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับโปรดักต์แบรนด์อย่างวู้ดดี้ เพราะในอีกมุมหนึ่ง สำหรับการรับเป็นพิธีกรรายการ เดอะวอลล์ ให้กับ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ของช่องวัน ก็เป็นอีกบทบาทที่แตกต่างจากวู้ดดี้เวิลด์ และวู้ดดี้ก็มีเหตุผลที่ต่างออกไป

บทบาทนี้คนเป็นลูกจ้างต้องฟังให้ดี เพราะนี่คือประโยชน์ที่จะได้จากประสบการณ์ของการเป็นลูกจ้างโดยตรง

รายการเดอะวอลล์ ผมรับค่าตัวเป็นพิธีกรอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นลิขสิทธิ์ของช่องวัน

ส่วนเหตุผลที่รับทำ ตอบในสไตล์วู้ดดี้แบบตรงไปตรงมาว่า

มันเป็นความคัน อยากรู้ว่าเป็นลูกน้องเป็นอย่างไร เพราะเราสั่งมาตลอดชีวิต อยากเป็นคนที่ถูกสั่งดูบ้าง เวลาเป็นนายไม่ได้ฟีดแบ็ก เพราะลูกน้องไม่บอก

แม้วู้ดดี้จะออกปากว่าเขาให้เกียรติเรามากแต่ก็เริ่มได้ฟีดแบ็กที่นำมาพัฒนาตัวเองได้บ้างแล้ว ถึงขั้นบอกพฤติกรรมของตนเองที่เป็นมานานแต่ไม่เคยรู้มาก่อนได้ว่าเป็นคนพูดเร็วมาก พูดเร็วจนเสียงแหบ ตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ก็เพิ่งค้นพบตัวเองจากรายการเดอะวอลล์

รวมถึงว่าถ้าการดำเนินรายการของเขาไม่โอเคก็มีการฟีดแบ็กตรงๆ ซึ่งวู้ดดี้บอกว่ารู้สึกดีขึ้นและได้พัฒนาตัวเอง และดีกว่าทำรายการแบบเป็นนายตัวเองที่ลูกน้องจะไม่บอกข้อเสียอะไรเลยโดยเฉพาะบุคลิกภาพที่ชอบกะพริบตาถี่ เกาจมูก ฯลฯ

การกลับคืนจอในฐานะลูกจ้างจึงเหมือนมีกระจกพูดได้ที่คอยสะท้อนสิ่งที่เห็นจริงให้ฟังตรงๆ

อีกทั้งการกลับคืนจอครั้งนี้ยังกลายเป็นกระแสที่ทำให้เห็นว่าวู้ดดี้แบรนด์ยังเป็นที่จับตาของผู้ชมรายการไทยอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าเขาจะปรากฏให้เห็นในแพลตฟอร์มไหน


ชูวิทย์ สร้างเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์จากประสบการณ์ตรง

ฟาก ชูวิทย์ กมลวิศิษย์ หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถาน ในช่วงเดือนธันวาคม 2559 จากการเป็นผู้ต้องขังคดีรื้อบาร์เบียร์ ก็ได้รับการทาบทามให้มาเป็นพิธีกร จัดรายการ ชูวิทย์ตีแสกหน้า ที่ช่อง 32 ไทยรัฐทีวี ทันที โดยเริ่มออกอากาศ 30 มกราคม 2560 เป็นวันแรก 

แม้ชูวิทย์จะไม่ได้โดดเด่นเรื่องการเล่าข่าว แต่ประสบการณ์จากเรือนจำ เคยเป็นนักการเมือง ประวัติการศึกษาด้านนิติศาสตร์ และรวมถึงบทบาทนักธุรกิจที่มีประสบการณ์หลากหลาย รวมถึงธุรกิจต่างๆ อาบอบนวด รวม ๆ กันแล้ว ชูวิทย์ จึงกลายเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง ท่าช่องทีวีคาดหวังว่าจะมาถ่ายทอดเรื่องราวและให้แง่มุมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะข่าวหน้าหนึ่งที่กลายเป็นกระแสที่คนในสังคมกำลังสนใจ

รายการชูวิทย์ตีแสกหน้า ที่จัดมาได้รับการตอบรับจากผู้ชมด้วยการเสนอมุมมองพร้อมให้ข้อมูลความรู้ที่แตกต่างไปจากการรายงานข่าวหรือเล่าข่าวทั่วไป ที่ทำให้คนดูรู้สึกว่ารู้ลึกไปถึงเบื้องหลังของข่าวและคดีความต่างๆ

ชูวิทย์เป็นโปรดักต์แบรนด์เรียกแขกอีกรายซึ่งเป็นรูปแบบรายการที่ส่งให้ชูวิทย์เป็นแบรนด์ที่ต้องการมากขึ้นของทีวีดิจิทัล

เมื่อช่อง 3 ปรับต้องปรับผังรายการข่าวเช้า ชื่อของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็เด่นขึ้นมาเป็นแบรนด์หลักและถูกเลือก ด้วยสไตล์กล้าพูดกล้าลุย มีประสบการณ์โชกโชนหลายวงการ บวกพื้นฐานด้านฐานะและการเป็นที่รู้จักในวงการว่ามีความรู้ด้านกฎหมาย อีกทั้งมักจะมีข้อมูลอินไซด์ในวงการต่างๆ อยู่เสมอ จากเครือข่ายคนรู้จักและประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาหลายรูปแบบ

แบรนด์ชูวิทย์มีจุดเริ่มต้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปหรือผู้ชมทีวี จากการถูกจับเป็นตัวประกันแล้วมาให้สัมภาษณ์เล่าเหตุการณ์กับสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวคนดัง จนทำให้คนทั่วไปรู้จักแบรนด์ชูวิทย์ว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำธุรกิจอะไร ก่อนจะต่อยอดไปเล่นการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองต้องโทษเข้าเรือนจำแล้วก็ออกมาจัดรายการทีวี รวมทั้งการประกาศเลิกเล่นการเมือง

ชูวิทย์ ถูกดึงไปเสริมทีมเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งเป็นรายการที่ทำรายได้หลักให้กับช่อง 3 แต่เรตติ้งและรายได้จากโฆษณาก็ลดลงทั้งเหตุเพราะขาดแม่เหล็กสำคัญของรายการอย่างสรยุทธที่ต้องยุติบทบาทไป และจากการแข่งขันของรายการข่าวที่มีตัวเลือกให้ผู้บริโภคเลือกดูมากมายจากทีวีดิจิทัลนับสิบช่อง

รายการที่ชูวิทย์รับผิดชอบคือ ชูวิทย์มีเรื่องเล่า ทำหน้าที่สร้างสีสันในเบรกที่ 4 ของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ รูปแบบรายการเป็นการส่งชูวิทย์ ไปลุยหาข่าวถึงแหล่งจากเรื่องเล่าในที่ต่าง ๆ ที่เป็นข่าว หรือมีประเด็นที่ต้องหาคำตอบ

ด้วยบารมีและความเป็นชูวิทย์ที่รู้ลึก รู้หลักการ รู้ช่องทาง ทำให้เขากลายเป็นสื่อที่มีชื่อเสียงเข้าถึงจุดเกิดเหตุ เข้าถึงต้นตอ และหาแหล่งข่าวได้ตรงตัว บวกกับความกล้าที่ยิงคำถามตรงๆ ในสิ่งที่คนทั่วไปในสังคมอยากรู้อยากถาม ด้วยสไตล์ถึงลูกถึงคนไม่กลัวใคร ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้ที่มีอยู่ภายในแบรนด์ชูวิทย์ ล้วนถูกนำเสนอไว้ในการปรับโฉมรายการเรื่องเล่าเช้านี้ที่ปรับใหม่ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา

แม้กระทั่งในโปสเตอร์รายการที่เผยแพร่ออกไป ยังมีรูปชูวิทย์ถือโทรโข่งด้วยท่าทางขึงขัง โดยเป็นพิธีกรคนเดียวในบรรดาพิธีกรทั้ง 6 ของรายการที่มีพร็อพอยู่ในมือและแอคชั่นที่แตกต่างจากคนอื่น

ความขึงขังช่างลุยและประสบการณ์ตรงรวมถึงความรู้เรื่องต่างๆ ที่มี คือข้อได้เปรียบของชูวิทย์ที่สร้างความแตกต่างให้กับคอนเทนต์ที่เขาเป็นพิธีกร และเป็นจังหวะที่ในเมืองไทยยังหานักเล่าข่าวที่มาแทนนักเล่าข่าวคนดังไม่ได้ แม้ทักษะด้านการเล่าข่าวและการตั้งคำถามอาจจะด้อยกว่ากรรมกรข่าวมืออาชีพอยู่บ้าง แต่องค์ประกอบต่างๆ ที่ชูวิทย์มีก็สามารถทดแทนข้อด้อยที่มี และเป็นจุดขายที่ดีให้กับทั้งตัวเขาเองและเจ้าของช่องผู้ผลิตรายการ

ที่สำคัญ คือแบรนด์ชูวิทย์เป็นตัวสร้างเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์เฉพาะตัวที่ทำให้เกิดความแตกต่างจากรายการของช่องอื่น ๆ ซึ่งการแข่งขันด้วยความแตกต่างที่โดดเด่นได้เปรียบเสมอ


ตือสนิท รายการขายของโต้ง เดินเรื่องด้วยคอนเทนต์โฆษณาสุดโต่ง

สมบัษร ถิระสาโรช เจ้าของบริษัท ตือ จำกัด ออกาไนเซอร์ชื่อดังของเมืองไทย เมื่อหันมาทำรายการบนโซเชียลมีเดียตือสนิท ในช่อง Spokedark.tv ก็เป็นอีกคนที่กลายเป็นแบรนด์เด่นของผู้สร้างสรรค์ดิจิทัลคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วอีกราย

ตือสนิท เปิดตัวด้วยรูปแบบรายการและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าเป็นการทำคอนเทนต์แบบเงินมาผ้าหลุดหรือเข้าใจตรงได้เลยว่า ถ้าจ้างจะให้ทำอะไรก็ได้ และมีจุดขายที่ตัวผู้ดำเนินรายการอย่างตือที่ออกมาขายโฆษณาด้วยตัวเองทุกตอนยิ่งกว่าทีวีไดเร็ค

ดังนั้น ไม่ว่าคนจะดู ตือสนิท ด้วยเหตุผลอะไร แต่ทุกตอนคือโฆษณาขายของแบบโต้ง ๆ ในสไตล์ของรายการที่ผ่านการครีเอตมาแล้วให้มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน ซึ่งถ้าจะว่าไป นี่คือคอนเทนต์ที่แสดงให้เห็นว่า ต่อให้เป็นการขายของหรือโฆษณา ถ้าทำให้คนสนใจ หรือรู้อินไซต์ของกลุ่มเป้าหมาย ก็มีคนคลิกเข้ามาดูเองมากมาย

คำจำกัดความรายการ ตือสนิทเป็นรายการเมาส์มอยขำขำเกี่ยวกับแฟชั่น+บิวตี้+ไลฟ์สไตล์ พร้อมขายของตั้งแต่น้อยไปจนมหาศาล

“เงินมาผ้าหลุด นิยามรายการตั้งแต่เปิดตัวเพจ ตือสนิท ที่ ตือ เขียนชี้แจ้งไว้ชัดเจนพร้อมโพสต์ภาพที่เขียนข้อความนี้ด้วยมือไว้ในเฟซบุ๊ก ซึ่งหลังจากนั้นทุกตอน ตือ ก็ดำเนินรายการตามที่ชี้แจ้งไว้นี้

คอนเทนต์ในรายการคือการโฆษณาขายของโต้ง ๆ ที่ไม่กระมิดกระเมี้ยนแต่ฮาไปขายไปด้วยประโยคขายของโจ่งแจ้งและครบทุกแมสเสจของแต่ละแบรนด์

แถมยังได้แขกรับเชิญระดับท็อป ดารา เซเลบ มาร่วมรายการ เพราะด้วยการเป็นผู้ทรงอิทธิพลทั้งในวงการแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ อีกทั้งมีแบล็กกราวน์จากครีเอทีฟเอเยนซี่มาก่อนหน้าที่จะมีบริษัทออกาไนซ์ ที่รับทำงานไม่จำกัดเล็กใหญ่ ไม่จำกัดประเภท ทำให้ตือสามารถทำให้แขกรับเชิญมาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขายคู่ไปกับตัวเองได้ตลอดรายการ

ตือสนิท อาจจะเป็นรายการเดียวที่ผู้ดำเนินรายการอย่างตือ ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อแขกรับเชิญ แต่แขกรับเชิญกลับต้องเป็นฝ่ายปรับคาแร็กเตอร์ให้เข้ากับรายการของเขา ด้วยรูปแบบการดำเนินรายการ และกลายเป็นอีกแรงดึงดูดให้กับคนตามชมว่า แขกรับเชิญ คนดังแต่ละคน จะปรับตัวและทำตัวให้กลมกลืนและฮาไปกับตืออย่างไร

แม้จะเป็นรายการขายของ แต่ตือสนิทในแต่ละตอนก็ได้รับควานนิยมกระทั่งมีแบรนด์สินค้า หรือแม้กระทั่งรายการทีวีอย่างเดอะวอยซ์ก็ยังต้องหันมาจอยคอนเทนต์กับตือสนิทเพื่อขายบีไฮด์เดอะซีนกระตุ้นรายการอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นการย้ำให้เห็นว่า ด้วยคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของแบรนด์ตือ แม้จะขายของก็ยังมีความแตกต่างจนเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจติดตามได้เหมือนกัน

ความสำเร็จของตือสนิทจึงมีส่วนประกอบมากมายที่ผ่านการคิดสร้างสรรค์ที่จะสร้างความชัดเจนให้กับรายการได้ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตัวเจ้าของรายการที่มีความชัดเจนในตัวเอง ใช้ความเป็นตัวเองในการดำเนินรายการ

ขณะเดียวกันก็ได้บารมีของแขกรับเชิญตัวท็อป เป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการเซเลบ ดารา นักร้อง ได้มาเพิ่มแรงดึงดูดให้กับรายการแต่ละตอน ซึ่งจะไม่อยู่ในลุค” ที่เป็นตัวเอง แต่ต้องทำตัวกลมกลืนไปกับรายการ ถึงเวลากรี๊ดต้องกรี๊ด และพูดตามประโยคที่ตือกำหนด ตามการเดินเรื่องของตือ ที่ต้องยอมรับว่าเป็นธรรมชาติของตือมาก ๆ

โดยบุคลิกของตัวรายการนั้น ยังถูกกำหนดให้เข้ากับคนเสพคอนเทนต์ในโซเชียลไว้ตั้งแต่ต้น ว่าต้องเดินเรื่องเร็ว ไม่ใช้เวลานานเกินไป จากปกติคลิปที่ลงในโซเชียลมีเดียที่คนจะคลิกดูส่วนมากจะอยู่ที่ 1-3 นาที ถ้าไม่สนุกถูกใจจริง คนก็ยังดูไม่จบ แต่ตือสนิทแต่ละตอนก็ยังทำได้นานกว่านั้นเกือบเท่าตัว ก็ยังได้รับความสนใจ รายการไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินเที่ยว ช้อปปิ้ง เยี่ยมรายการ ก็ต้องเน้นขำนำเพื่อให้คนดูหัวเราะคลายเครียด แต่ก็เอาใจคนเสพคอนเทนต์ด้วยเทคนิคการตัดต่อเร็ว เดินเรื่องฉับไว ใส่กราฟิกเร้าใจตลอดรายการ

คาแร็กเตอร์ชัดเจน ขายของไม่กระมิดกระเมี้ยน เปิดเผยจริงใจต่อผู้ชม ใช้ความฮาเป็นตัวนำ ทำให้คนดูรับความเป็นตือสนิทและรู้จักได้เร็ว แต่ในแง่ของการทำตลาดคอนเทนต์ก็ต้องทำไปควบคู่กัน เพราะเนื้อหาดี แต่วางคอนเทนต์ผิดที่ ไม่บริหารการกระจายคอนเทนต์ให้ดี ก็อาจจะไปไม่ถึงกลุ่มผู้ชมในปริมาณมากเท่าที่ต้องการ

ตือสนิท นอกจากใช้ช่องทางเฟซบุ๊กเพจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้มีผู้ชื่นชอบอยู่ 446,054 ก็ยังแชร์ผ่านแฟนเพจของ SpokedarkTV ที่มีแฟนเพจอยู่ประมาณ 3.1 ล้านราย และยูทูบของทั้งสองแอคเคาต์ที่มีคนติดตามอยู่ 83,208 และ 860,176 ตามลำดับ

คอนเทนต์ แต่ละตอน นอกจากปล่อยแบบเต็ม ๆ ก็ยังมีการตัดทำ ทีเซอร์เรียกน้ำย่อย ตัดท่อนฮา ตัดขายเป็นคน ๆ เพื่อเรียกผู้ชมตามฐานแฟนคลับของคนที่มาร่วมรายการ ซึ่งมีทั้งรายการดังที่ยังต้องอาศัยตือสนิทในการช่วยขายช่วยเพิ่มช่องทางโปรโมต อย่างเดอะวอยซ์ ละครชายไม่จริงหญิงแท้ ผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ดาราที่กำลังมีข่าว หรืออยู่ในกระแส เรียกว่าสลับไปทั้งขายของ ขายกระแสสร้างรายการไปพร้อม ๆ กัน

ที่สำคัญที่สุด การจะทำให้รายการเป็นที่รู้จักดังนาน ต้องไม่ลืมความต่อเนื่อง ที่ต้องมีตอนใหม่ ๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยถึงตอนนี้ในยูทูปของตือสนิท มีวิดีโอที่อัพโหลดไปแล้วทั้งสิ้น 62 ตอน

ตัวอย่างขายของแบบโต้ง ๆ ที่เห็นได้ประจำในตือสนิท ใช้ดาราโปรโมตรายการตอนใหม่ แต่เนื้อหาในรายการโฆษณารถยนต์

กว่าจะได้รู้คำตอบตามชื่อตอนก็รู้จักเบื้องหลังรายการ The Voice เกือบทั้งรายการ

รายการโฆษณาของโฆษณาคอนเทนต์แบบนี้ก็ฮิตได้


สู่ขวัญ เซเลบมีของ

สู่ขวัญ บูลกุล หมดหน้าที่จากคนข่าวไปหลายปีแต่กระแสไม่เคยเงียบหายไปจากหน้าสื่อ เพราะจัดเป็นคนมีของ เป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์ เซเลบริตี้ที่งานสังคมต้องการตัว เป็นคุณแม่ยังสาวและมีครอบครัวที่อบอุ่นมั่นคงมั่งคั่ง ล่าสุดบทบาทที่มาแรงของเธอคือการเป็นกูรูด้านการช้อปปิ้งสินค้าสำหรับแฟชั่น รวมไปถึงการแต่งหน้าที่ระดับบิวตี้บล็อกเกอร์ดังๆ ก็อาจจะต้องสะเทือนถ้าเธอคิดจะมาเอาดีทางนี้อย่างจริงจัง

สู่ขวัญรับหน้าที่เป็นบล็อกเกอร์ด้านแฟชั่น ในเซเลบบล็อกของเว็บไซต์นิตยสารแพรว (preaw.com) ที่ไม่ได้มีแค่เธอ แต่ที่ดังทะลุเว็บก็มีแต่เธอนี่ล่ะ นอกจากนี้ยังมีการทำคลิปร่วมกับนิตยสาร Vouge ด้วย

โดยปกติการทำคลิปของนิตยสารแฟชั่นมักจะนิยมเลือกดาราดังแถวหน้ามาทำคลิปวิดีโอ และโดยมากก็จะเป็นวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายเซตแฟชั่นปกไม่ว่าจะเป็นนิตยสารในไทยหรือในต่างประเทศ หรือมากหน่อยก็จะมีการตัดบทสัมภาษณ์บางช่วงที่น่าสนใจเป็นคลิปออกมาโปรโมตก่อนหนังสือจะวางแผงด้วย

แต่ความน่าสนใจของคลิปของสู่ขวัญที่เป็นที่พูดถึงไม่ใช่แนวเดียวกับดาราดัง เพราะเสน่ห์ของเธออยู่ที่การพูดคุยไอเดียที่ผ่านประสบการณ์และสมองของคนมีสไตล์และไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงที่มีครบทั้งความสวยในระดับที่สะดุดตาในรูปลักษณ์หนึ่ง ฐานะ ชื่อเสียง ความน่าสนใจของชีวิตส่วนตัวตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ เรื่อยมาจนเป็นพิธีกรข่าวในโทรทัศน์

เพียงแค่เธอเอาความเป็นตัวเองมานำเสนอผ่านคลิปวิดีโอ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เป็นคอนเทนต์ที่คนส่วนใหญ่พร้อมจะทดลองชม และเมื่อได้ชมแล้วถูกใจกระแสการบอกต่อแบบปากต่อปากก็ยิ่งทวีความฮิตให้วิดีโอคอนเทนต์ของเธอมีคนเข้ามาพิสูจน์มากขึ้นพร้อมเสียงชมที่เพิ่มขึ้น

คลิปวิดีโอในเซเลบบล็อกของแพรวที่ทำมาร่วมปีบางคลิปเปรี้ยงปร้างไม่แพ้คลิปข่าวดาราดังที่สามารถมีผู้เข้าชมขึ้นหลักหลายแสนไปจนถึงกว่าครึ่งล้านวิวในเวลา 3 วัน 7 วัน บางคลิปที่จัดว่าไม่แรงมาก ก็มียอดสะสมเรื่อย ๆ จนขึ้นหลักแสนในเวลา 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน นั่นแสดงว่านอกจากความดังของกระแสที่เกิดจากบางคลิปที่ทำให้ยอดวิวพุ่งสูงอย่างรวดเร็วแล้ว เธอยังมีแฟนคลับที่คอยติดตามชมอย่างต่อเนื่องในหลักแสนอีกด้วย

การมีผู้ติดตามชมระดับนี้ถือว่าไม่ธรรมดา จัดเข้าขั้นอินฟลูอินเซอร์ตัวท็อปที่นักการตลาดต้องจับตาเลยทีเดียว เพราะขนาดดาราดังก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถสร้างแฟนคลับที่คอยติดตามหรือพร้อมจะสร้างยอดเอ็นเกจเมนต์ที่แท้จริงได้มากเท่านี้ โดยเฉพาะยุคนี้ที่แบรนด์และการตลาดเลือกที่จะวัดจากเอ็นเกจเมนต์มากกว่ายอดผู้ติดตาม เพราะต่อให้มีเป็นหลักล้านแต่ถ้าทำให้เอ็นเกจได้ไม่ถึง 10% ของผู้ติดตามที่มีก็อาจจะกลายเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์เทียมที่ไม่ได้สร้างผลตอบลัพธ์ที่แท้จริงให้กับแบรนด์

 กระแสของสู่ขวัญ มาถึงจุดพีค ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 ที่ผ่านมา จากคลิปวิดีโอที่ทำให้เซเลบบล็อกของแพรว ตอน สู่ขวัญ พาช้อปมาราธอน ซื้อจริงแจกจริง! รับปีใหม่ ที่มียอดผู้ชมเกินครึ่งล้านในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ตามมาด้วยคลิป เจ้าแม่ป้ายยา สู่ขวัญ พาพุ่งชนของ Sale! มาเช็คของกัน มียอดชมเกิน 3 แสนวิวใน 3 วัน

สถิตินี้ชี้ให้เห็นพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ที่เปลี่ยนไปของผู้ติดตามนิตยสารแฟชั่น ที่เคยให้ความสนใจกับคลิปเบื้องหลังการถ่ายแฟชั่นของดาราขึ้นปกซึ่งเป็นไม้ตายของนิตยสารต่างๆ ที่หันมาทำวิดีโอคอนเทนต์เรียกแขกมาตลอด

เหมือนที่คลิปของสู่ขวัญที่ทำให้นิตยสารแพรวทำสถิติความนิยมขึ้นมาหลุดท็อป 5 ที่มีผู้ชมสูงสุดไปแค่อันดับเดียว แต่ก็เชื่อว่าถ้าปล่อยเวลานานไปอีกนิด ก็อาจจะแซงขึ้นมาติดท็อป 5 ได้แน่ ๆ เพราะคลิปที่ติดท็อป 5 ของนิตยสารแพรวนั้นใช้เวลาสะสมยอดวิวมา 3 ปีขึ้นไปแล้วทั้งนั้น

ด้วยความแรงขนาดนี้ เซเลบที่มีไลฟ์สไตล์และเรื่องราวที่คนในสังคมรู้จักติดตาม จากคนกลุ่มหนึ่งจึงถูกขยายตัวกลุ่มผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ชื่อของสู่ขวัญ กลายเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ตัวท็อปของวงการโดยไม่มีใครกังขา เพราะเพียงแค่แฮชแท็กว่า #ของมันต้องมี คำเดียว ก็สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นคำฮิตติดปากนักช้อป รวมถึงวงการอื่น ๆ ไปเลย ทั้งที่โดยปกติ ศัพท์ฮิตใหม่ ๆ มักจะมาจากกลุ่มสาวประเภทสอง

รายการดังแต่นี่แค่พูดธรรมดาสไตล์สู่ขวัญ เท่านี้ก็โดนใจสาว ๆ เพราะเป็นคำที่ไปสะกิจต่อมลึก ๆ ที่อธิบายเหตุผลของสาว ๆ นักช้อปหลายคนที่ไม่เคยให้คำอธิบายกับตัวเองได้ว่ามันเพราะอะไร เห็นเดินห้างไหนตลาดไหน หรือแม้กระทั่งสกอร์เมาส์อยู่หน้าจอ ไถหน้าจอมือถือในหน้าเว็บช้อปปิ้งทีไรจะต้องซื้อโน้นซื้อนี่อยู่เรื่อยไป 

#ของมันต้องมี สั้น ๆ เลยโดนอินไซต์ขาช้อปจัง ๆ ไม่นับรวมลีลา ท่าทาง การเลือกสินค้า การลอง การให้เหตุผลว่าทำไมควรซื้อสินค้าแต่ละชิ้น ทั้งความชอบส่วนตัว เคล็ดลับการแต่งกาย หรือแม้แต่เพราะโปรโมชั่นที่มีอยู่

สไตล์การช้อปของสู่ขวัญยังมีการให้ข้อมูลและบอกเรื่องราวตัวตนของตัวเอง ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับนักช้อปส่วนใหญ่เคยเจอมาเหมือน ๆ กันทั้งนั้น อาทิ ปัญหาสินค้าที่ซื้อมาเพราะถูกใจแต่หาโอกาสใช้งานไม่ได้ ของบางอย่างยังไม่ได้ใช้แต่จะหาเหตุผลอะไรที่ต้องซื้อ ชอบแต่แบบแปลกจะใช้ยังไงให้ลงตัว

ปัญหาเหล่านี้ล้วนโดนใจสาว ๆ เพราะนักช้อปส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยมักมีประสบการณ์แบบเธอมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ไม่อยู่ในระดับที่สวยออกสื่อและอาจจะไม่สามารถสื่อสารได้โดนใจ รวมทั้งสื่อสารได้เป็นธรรมชาติน่าติดตามแบบสู่ขวัญ

เมื่อคลิปของเธอในเซเลบบล็อกของแพรวที่ทำออกมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้มีคนติดตามเพราะดูแล้วสนุก บางคนถึงกับบอกรู้สึกเหมือนได้ตามไปช้อปกับเธอโดยไม่รู้สึกเบื่อ ทั้งที่บางคนบอกว่าปกติไม่ใช่ขาช้อปด้วย

ที่สำคัญคลิปของสู่ขวัญไม่ใช่แค่เพลินแต่ได้เทคนิคการเลือกซื้อ รวมถึงไอเดียการแต่งตัวที่ดีติดตัวไว้ใช้งานในชีวิตได้จริง รวมถึงได้รู้จักจริตและความเป็นสู่ขวัญในมุมนักช้อป ซึ่งหลายคนคงรู้สึกว่า แหม งานแบบนี้ดี ๆ แค่ช้อปปิ้งออกสื่อ แต่ได้ทำทั้งกิจกรรมที่ชอบ แถมได้รายได้จากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชั่นจากความเป็นตัวตนที่คนเห็นและเชื่อถือมานาน จนสินค้าแฟชั่นทุกห้าง ทุกแบรนด์ ต่างต่อคิวรอเธอไปช้อปไม่หยุด 

คำเด็ดของสู่ขวัญ

การแสดงความหมายด้วยการใช้คำพูดแสดงความรู้สึกของสินค้าที่พบเห็นกลายเป็นเสน่ห์ และความแตกต่างที่สู่ขวัญใช้สื่อกับผู้ชมคลิป ที่ผู้ชมรับรู้ได้จากความเป็นธรรมชาติของเธอ ที่เธอเองก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะส่งสัญญาณให้ซื้อหรือไม่ซื้อ เพียงแต่บอกไปตามความรู้สึกที่เห็นโดยไม่เตรียมการ ลองมาดูตีความหมายจากตัวอย่างคำแต่ละคำของสู่ขวัญ ที่แต่ละคำสะท้อนความหมายความน่าสนใจในระดับที่ต่างกันไปดังนี้

น่าร๊ากกก!!”น่าสนใจมาก ต้องหันไปมอง พิจารณาได้ดี มีโอกาสที่คนจะซื้อตามสูง

อันนี้ก็น่ารักกก” น่าสนใจในระดับทั่ว ๆ ไป เป็นหนึ่งในตัวเลือกได้ แต่อาจจะยังไม่ทำให้ตัดสินใจซื้อในทันที

พี่ขวัญว่าอันนี้ก็น่ารักชอบแบบพี่ขวัญ ก็ซื้อเลยจ้า พี่ขวัญอาจจะไม่ได้ซื้อไม่ได้ใช้ แต่พี่ขวัญชอบ ถ้าน้องชอบพี่ขวัญ น้องจะใช้ น้องควรซื้อ

อันนี้พี่ขวัญชอบนะพิจารณาตามหน่อยถ้าคนดูชอบด้วยก็ตัดสินใจง่ายขึ้น หรือถ้าจะซื้อให้ใครก็มีรสนิยมระดับสู่ขวัญการันตีล่ะ

อยากจะบอกว่าอันนี้ดีผ่านประสบการณ์การใช้จริงของสู่ขวัญมาแล้ว

ขวัญเป็นคนที่ถูกใจกระเป๋ายากมากถ้าเธอใช้กระเป๋าแบบไหน มันจะต้องเป็นรุ่นที่ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที

ได้แน่ พี่ขวัญต้องซื้อแน่ๆไม่ต้องสืบซื้อไปเลย แค่อยากรู้ต่อว่าบางชิ้นพี่ขวัญจะซื้อไปใช้อย่างไรหรือทำอะไร

พี่ขวัญชอบถ้าน้องชอบด้วยก็สบายใจที่จะซื้อนะคะ

เราต้องมีจะมีก็ต้องซื้อสิค่ะ

ของมันต้องมีหรือมันเป็นของต้องมีของจำเป็นในชีวิต ระดับปัจจัยสี่สำหรับสาว ๆ

พี่ขวัญอันนี้ได้ใส่ก็ซื้อไปเถอะไม่เสียเปล่าแน่ ๆ มีโอกาสได้ใช้

และไม่ว่าจะอย่างไรกับบทบาทเซเลบ บางคลิปก็ต้องจบด้วย หน้าที่แม่สำคัญนั่นคือความรับผิดชอบในชีวิตจริง ส่วนสำคัญที่ทำให้ชีวิตผู้หญิงคนนี้ประสบความสำเร็จ.

]]>
1157305
a day’s direction วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ https://positioningmag.com/7366 Mon, 16 May 2005 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=7366

อีก 3-4 เดือนข้างหน้า บริษัทของผมก็จะเข้าสู่ปีที่ 5 นึกดูแล้วเวลาผ่านไปไวเหลือเกิน บางครั้งผมยังรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ที่พวกเราเชิญชวนให้ผู้อ่านมาร่วมลงขันทำหนังสือซ่าๆ บ้าๆ เล่มหนึ่ง มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันสองวันนี้เอง

ใครคนหนึ่งพูดว่า ถ้าเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แสดงว่าเรามีความทุกข์ แต่ถ้ารู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสดงว่าห้วงยามนั้นเรามีความสุข

ใช่ ผมไม่ปฏิเสธว่า 4 ปีกว่าที่ผ่านมา ผมมีความสุขมาก และผมก็เชื่อว่า น้องๆ และเพื่อนร่วมงานของผมทุกคนในบริษัทก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับผม

เรามีความสุขที่ได้ทำหนังสืออย่างที่เราชอบ เป็นหนังสือดีๆ ที่อ่านแล้วให้ความรู้ ความคิด จินตนาการ และความเพลิดเพลินเจริญใจ
และเราก็ยิ่งมีความสุขที่ได้รับรู้ว่า หนังสือแบบที่เราชอบ คนอ่านก็ชอบด้วยเช่นกัน

เรามีความสุขที่หนังสือทุกเล่มของเราขายดี

เรามีความสุขที่คนมากมายชื่นชมผลงานของเรา

เรามีความสุขที่เราได้ชื่อว่า เป็นบริษัทสิ่งพิมพ์รุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่ธุรกิจและในแง่การยอมรับจากผู้อ่าน รวมทั้งพี่น้องเพื่อนฝูงในวงการ

การทำหนังสือเป็น ‘ธุรกิจ’ แน่นอน ไม่ว่าคุณจะตั้งแง่รังเกียจรังงอนทุนนิยมแค่ไหน เมื่อคุณผลิตหนังสือออกมาแล้วไม่ได้แจกให้คนอ่านฟรี แต่แปะราคาขายไว้บนปก นั่นแปลว่าคุณทำธุรกิจแล้ว คุณค้าขายแล้ว คุณนิยมทุนแล้ว

เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ค่อยเข้าใจคนทำหนังสือบางคนที่ป่าวประกาศว่ามีอคติกับทุนนิยม เมื่อถึงเวลาที่หนังสือไปไม่ได้ ต้องปิดตัวลง ก็ก่นว่าว่าถูกระบบทำร้าย พร้อมรวบสรุปว่าหนังสือที่จะอยู่ได้ในประเทศนี้ต้องสยบยอมต่ออำนาจทุนนิยมอันชั่วร้ายเท่านั้น

พูดตรงๆ ว่าผมไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดเช่นนี้อย่างสิ้นเชิง ถ้าให้แสดงทัศนะในเรื่องนี้จริงๆ คงยาวและแรงแน่ เอาเป็นว่าวิถีใคร วิถีมันก็แล้วกัน

แต่ผมเชื่อว่าวิถีของพวกเราเป็นวิถีที่ถูก

ตั้งแต่วันแรกที่ตั้งบริษัท เราไม่เคยปฏิเสธเลยว่าเราจะทำธุรกิจ เป็นธุรกิจสิ่งพิมพ์ซึ่งเรามีทักษะ มีประสบการณ์และมีความรักที่จะทำ

เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะผสมผสานอุดมการณ์ในการทำหนังสือกับการค้าขายให้อยู่ควบคู่กันไปในสัดส่วนที่เหมาะสม

เรารู้ตัวว่าเรามีแต้มต่อน้อย มีเงินทุนไม่มาก เราจึงชดเชยข้อด้อยนี้ด้วยการทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก

ครั้งหนึ่ง เคยมีคนมาสัมภาษณ์ผมที่บริษัท แล้วได้เห็นบรรยากาศการทำงานของทีมงานของผม เขาถึงกับเอ่ยปากว่า ไม่เคยเห็นบริษัททำหนังสือบริษัทไหนทำงานกันเต็มที่ แต่ยังสนุกสนานเฮฮากันได้อย่างนี้

ช่วงทำนิตยสาร a day สองสามปีแรก ความที่รู้ตัวว่าเราเป็นหนังสือใหม่ ผมจึงตั้งใจว่าเราต้องประชาสัมพันธ์หนังสือให้เป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไป

ดังนั้น เมื่อมีสถาบันการศึกษาไหนเชิญให้ไปบรรยาย ผมจึงแทบไม่ปฏิเสธเลย เพราะรู้ว่านอกจากจะถือเป็นวิทยาทาน ได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเรื่องงานสื่อสารมวลชนแก่นักเรียนนักศึกษาแล้ว เรายังได้พ่วงการประชาสัมพันธ์หนังสือของเราให้พวกเขาได้รู้จักเข้าไปด้วย
ซึ่งในแง่ธุรกิจแล้ว นักเรียนนักศึกษาเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกค้าของเราทั้งนั้น

ทุกวันนี้ บรรณาธิการหนังสือในบริษัททุกเล่มของเรา จึงมีอีกหน้าที่คือต้องไปบรรยายตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่เชิญมาอยู่เนืองๆ รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนด้วยกัน อย่างนิตยสาร หนังสือพิมพ์ รายการวิทยุ และรายการโทรทัศน์ด้วย

ผมเชื่อว่าการประชาสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าใช้มันให้ถูกทางและในปริมาณที่พอเหมาะพอควร ตรงกันข้าม ประชาสัมพันธ์เป็นสิ่งจำเป็นด้วยซ้ำ ในสภาพของธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่เกลื่อนไปด้วยคู่แข่งขันเช่นปัจจุบัน

อีกสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยสำหรับการอยู่รอดของธุรกิจสิ่งพิมพ์ยุคใหม่ ก็คือ การทำการตลาด

ความที่รายได้หลักทางหนึ่งของนิตยสารมาจากการขายโฆษณา ซึ่งลูกค้าโฆษณาจำนวนมากทุกวันนี้มักไม่พอใจเพียงแค่ลงหน้าโฆษณาในนิตยสาร แต่อยากได้อะไรที่พิเศษมากกว่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หนังสือแต่ละเล่ม ต้องมีกิจกรรมทางการตลาดมารองรับ ต้องมีการจัด
อีเวนต์โน่นนี่อยู่เสมอ

หนังสือแต่ละเล่มในบริษัทผมก็มีการทำอีเวนต์เช่นกัน แต่ก่อนที่จะทำอีเวนต์อะไรออกมาสักงาน สิ่งที่เราคำนึงเป็นลำดับแรกก็คือ อีเวนต์ที่ว่ามัน ‘เข้า’ กับหนังสือแต่ละเล่มของเราหรือไม่ และทำไปแล้วผู้อ่าน ‘ได้อะไร’

นั่นคือที่มาของอีเวนต์ Live in a day ฟรีคอนเสิร์ตโดยวงดนตรีหน้าใหม่ของนิตยสาร a day ซึ่งจัดติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แล้ว อีเวนต์ HAMBURGER Fair ของนิตยสาร HAMBURGER อีเวนต์ ‘สัปดาห์หนังสังคมการเมือง’ ของนิตยสาร a day weekly หรืออีเวนต์ KNOCK KNOCK! Gang ของนิตยสาร KNOCK KNOCK! นิตยสารวัยรุ่นน้องใหม่ในเครือบริษัทเรา

ความที่อีเวนต์เป็นสิ่งสำคัญ ปัจจุบันบริษัทผมจึงตั้งแผนกใหม่ล่าสุดขึ้นมา นั่นคือ Creative Marketing Event รับหน้าที่คิดกิจกรรมทางการตลาดของหนังสือแต่ละเล่มออกมาเป็นระยะๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แต่ถือว่าต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ หนังสือคุณจะเงียบ

พอหนังสือคุณเงียบ ต่อไปหนังสือคุณก็จะหาย

เมื่อหนังสือหายไปจากการรับรู้ของผู้คน ก็เท่ากับรอวันที่จะตายจากไปเท่านั้น

นอกจากกิจกรรมเชิงการตลาดที่พูดง่ายๆ ว่า ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่องแล้ว บริษัทเรายังมีกิจกรรมที่เอาแต่ ‘กล่อง’ อย่างเดียวอีกด้วย

เรื่องของเรื่องเกิดจากเรามาคิดว่า หนังสือเราเกิดและเติบโตขึ้นมาได้ ก็ด้วยการได้รับการสนับสนุนจากผู้คน ดังนั้น เมื่อถึงวันที่เราพอมีเหลือ พอมีกำลัง เราจึงควรที่จะเอื้อเฟื้อเกื้อหนุนคนอื่นบ้าง

a day poets society, a day support และ a team junior คือ สามโครงการเอื้อเฟื้อเกื้อหนุนที่ว่า โครงการแรกเราจัดสอนหนังสือนอกห้องเรียน โดยรับสมัครนักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศให้มาเข้าฟังประสบการณ์ชีวิตของวิทยากร ซึ่งเป็นผู้ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่างๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้พวกเขา โครงการนี้ตระเวนไปในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ซึ่งล่าสุดทำติดต่อกันเป็นปีที่ 4 แล้ว โครงการที่สองเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีแนวคิดทางศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเพื่อสังคมที่น่าสนใจมาเสนอโครงการ เพื่อรับทุนไปทำความฝันให้เป็นความจริง รวมทั้งตัวนิตยสารก็ช่วยใช้พื้นที่ประชาสัมพันธ์ให้ด้วยอย่างเต็มที่ ส่วนโครงการสุดท้ายเปิดรับสมัครนักศึกษา คัดเลือกเข้ามาลองปฏิบัติงานจริงกับนิตยสาร a day ในช่วงปิดเทอมเป็นเวลา 2 เดือน นอกจากจะได้เรียนรู้งานหนังสือแบบมืออาชีพ ได้ลงมือทำหนังสือเองจริงๆ ในทุกกระบวนการแล้ว ยังมีค่าน้ำพักน้ำแรงให้อีกด้วย

กิจกรรมแนว ‘กล่อง’ ทั้งหมดที่กล่าวมา ใครจะเรียกเชยๆ ว่าเป็นการ ‘ให้เปล่า’ หรือ ‘คืนกำไร’ แก่สังคมผมก็ยินดี

ตอนเริ่มต้นทำ a day ใหม่ๆ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว บริษัทผมมีพนักงานแค่ 7 คน ปัจจุบันบริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด มีพนักงานทั้งสิ้นรวม 96 คน จากนิตยสารเล่มเดียว ทุกวันนี้เราทำนิตยสาร 4 หัว และทำ 1 สำนักพิมพ์คือ a book อีกทั้งยัง รับจ้างผลิตสิ่งพิมพ์ให้บริษัทอื่นอีกหลายฉบับในนาม a day graphic

แม้คนภายนอกจะดูว่าพวกเราเติบโตขึ้นมาก ซึ่งในทางหนึ่งผมก็ยอมรับว่าจริง แต่ในฐานะแรงงานคนหนึ่งที่คลุกคลีใกล้ชิดอยู่กับบริษัทนี้มาตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ผมรู้ดีว่าถึงแม้พวกเราจะเติบโตขึ้นสักเพียงใดหรือขยับขยายจนกว้างขวางสักขนาดไหน ทว่าปรัชญาดั้งเดิมที่เราใช้มาตลอดตั้งแต่แรกเริ่มจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป เป็นปรัชญาที่เราเชื่อว่า กลมกลืนสอดคล้องกับวิถีของเรา

นั่นคือ Less is more ทำอะไรเล็กๆ แล้วเจ๋ง ดีกว่าทำอะไรใหญ่โตมโหฬารแต่เอาไม่อยู่

]]>
7366