ครีเอเตอร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 13 Jul 2023 06:37:02 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มาแล้ว! “Meta Verified” ในไทยเคาะราคาเริ่ม 280 บาท/เดือน ฟีเจอร์ยืนยันตัวตนให้ “ครีเอเตอร์” https://positioningmag.com/1437672 Thu, 13 Jul 2023 06:08:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1437672 “Meta Verified” เข้าไทยแล้ว เปิดราคาเริ่มต้นเดือนละ 280 บาท ฟีเจอร์ใหม่สำหรับ “ครีเอเตอร์” ใช้ยืนยันตัวตนจริงใน Facebook หรือ Instagram ป้องกันบัญชีแอบอ้างลอกเลียนแบบ

หลังจาก Meta เริ่มเปิดตัว “Meta Verified” ในสหรัฐอเมริกาไปเมื่อเดือนมีนาคม 2023 ตามด้วยอีกหลายประเทศ เช่น อังกฤษ อินเดีย ล่าสุดฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดให้ใช้งานในไทยแล้วเช่นเดียวกัน

โดยข่าวประชาสัมพันธ์จาก Meta สรุปราคา Meta Verified ในไทย ราคาอยู่ที่ 280 บาทต่อเดือนเมื่อสมัครผ่านเว็บไซต์ และ 330 บาทต่อเดือนเมื่อสมัครผ่านมือถือระบบ iOS หรือ Android

ทั้งนี้ เป็นราคาสำหรับต่อหนึ่งแอปฯ หากต้องการสมัคร Verified ทั้ง Facebook และ Instagram จะต้องจ่าย 2 ครั้ง

ฟีเจอร์นี้จะได้สิทธิต่างๆ ดังนี้

  • เครื่องหมาย Verified ในบัญชี Facebook หรือ Instagram ของครีเอเตอร์ เพื่อยืนยันว่ามีตัวตนจริงและเป็นตัวจริง
  • ช่วยตรวจสอบบัญชีในเชิงรุก เพื่อป้องกันบัญชีอื่นที่มาสวมรอยแอบอ้างตัวตน
  • สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรงหากเกิดปัญหากับบัญชี
  • ฟีเจอร์พิเศษอื่นๆ เช่น สติ๊กเกอร์พิเศษ สำหรับใช้ใน Facebook/Instagram/Reels

ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่าผู้สมัคร Verified จะได้รับการดันยอด Reach มากเป็นพิเศษจากการเพิ่มอัตราการแสดงเป็นโพสต์แนะนำ (suggested post) และขึ้นมาอยู่ลำดับบนเมื่อผู้ใช้กด search หาข้อมูล อย่างไรก็ตาม ในข่าวประชาสัมพันธ์ของประเทศไทยไม่ได้ระบุไว้ว่าจะได้สิทธิดังกล่าว

 

ใครสมัครได้บ้าง? พิสูจน์ตัวตนอย่างไร?

สำหรับครีเอเตอร์หรือบุคคลที่ต้องการสมัคร เพียงแค่เป็นบุคคลอายุ 18 ปีขึ้นไปก็สามารถสมัครได้ (ไม่มีขั้นต่ำยอดฟอลโลเวอร์) ทั้งนี้ บัญชีธุรกิจขณะนี้ยังไม่เปิดให้สมัคร Verified

ขั้นตอนการสมัครใช้เพียง “บัตรประชาชน” ที่มีชื่อสกุลและภาพถ่ายตรงกับชื่อบัญชี Facebook หรือ Instagram ที่จะยืนยันตัวตน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ ในบางกรณีเจ้าหน้าที่อาจจะร้องขอให้เจ้าของบัญชีถ่ายวิดีโอเซลฟี่เพื่อพิสูจน์ตัวตนอีกชั้นหนึ่ง (ดูขั้นตอนสมัครอย่างละเอียดที่นี่)

หลังจากสมัคร Verified ผ่านแล้ว ระบบจะไม่อนุญาตให้เปลี่ยนชื่อโปรไฟล์และวันเดือนปีเกิด ยกเว้นยกเลิกการสมัคร ทำการเปลี่ยนชื่อหรือวันเดือนปีเกิด แล้วสมัครใหม่อีกครั้ง

 

คาดมีผู้ใช้ 12 ล้านรายภายในปี 2024

ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์จาก Bank of America เคยคาดการณ์ไว้ว่า Meta Verified จะมีผู้สมัครราว 12 ล้านรายทั่วโลกภายในปี 2024 ซึ่งจะทำให้ Meta รับรายได้เพิ่มถึง 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์นี้มองในฐานคิดว่าผู้ที่จะยอมเสียค่าสมาชิกรายเดือนหลักๆ จะเป็นเพจของแบรนด์หรือบริษัทต่างๆ มากกว่าครีเอเตอร์ และต้องการฟีเจอร์ประเภทช่วยดันยอด Reach มากกว่าการป้องกันการแอบอ้าง แต่เมื่อปัจจุบัน Meta ยังไม่ได้เปิดให้นิติบุคคลรับ Verified และไม่เปิดเผยชัดเจนว่าผู้สมัครจะได้ยอด Reach เพิ่มหรือไม่ ก็ต้องติดตามต่อว่า Meta จะได้รายได้สูงอย่างที่คาดหรือเปล่า

Meta ไม่ใช่บริษัทเดียวที่มีบริการสมัครสมาชิกลักษณะนี้ โซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น Snapchat ก็มีบริการ Snapchat+ โดยบริษัทเคยระบุไว้เมื่อต้นปีนี้ว่ามียอดสมาชิกทะลุ 2 ล้านแล้ว ส่วน Twitter ก็เพิ่งเปิด Twitter Blue ซึ่งมีนักวิเคราะห์เคยประเมินไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า มีผู้สมัครสมาชิกแล้วประมาณ 475,000 คน

]]>
1437672
ตลาดกล้องยังไม่ตาย! ‘แคนนอน’ ชี้ ‘ครีเอเตอร์’ คือน่านน้ำใหม่ พร้อมวางเป้าเติบโต 20% https://positioningmag.com/1425989 Mon, 03 Apr 2023 06:12:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425989 ย้อนกลับไปปี 2019 ก่อนที่โลกจะเจอกับการระบาดของ COVID-19 ตลาด กล้อง มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 6,500 ล้านบาท มียอดขายประมาณ 230,000 เครื่อง แต่ในปี 2022 ที่ผ่านมา มูลค่าของตลาดก็ลดลงเหลือเพียง 3,000 ล้านบาท มียอดขายประมาณ 95,000 เครื่องเท่านั้น แต่ แคนนอน (Canon) ก็ยังเชื่อว่า ตลาดยังไม่ตาย และน่านน้ำใหม่ก็คือ ครีเอเตอร์

ตลาดยังไม่ตายแต่ไม่โต

ตลาดกล้อง ถือเป็นอีกตลาดที่ถือเป็นช่วงขาลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่การมาของสมาร์ทโฟนที่ประสิทธิภาพของกล้องนับวันจะดีมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อภาคการท่องเที่ยว ที่ถือเป็นอีกปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดยังหายไปนับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่มูลค่าตลาดกล้องจะหายไปเกินครึ่ง อย่างไรก็ตาม เนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เชื่อว่า ตลาดคงไม่ตกต่ำไปกว่านี้แล้ว

โดยสิ่งที่ช่วยพยุงตลาดในตอนนี้ก็คือ กล้อง Full Frame โดยในปีที่ผ่านมาเป็นกลุ่มเดียวที่ยังเติบโตได้ถึง 11% ขณะที่ปี 2023 ทาง GFK คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 6% นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่กลับมาเติบโตก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดยังคงประคองตัวได้ เพราะกล้องเป็นสินค้าแรก ๆ ที่คนอยากอัปเกรดเมื่อจะไปท่องเที่ยว

“ตลาดมันลดมานานจนถึงจุดที่มันนิ่งเเล้ว อย่างกล้องคอมแพคก็ถูกแทนที่โดยมือถือ ส่วนกล้อง DSLR คนก็อัปเกรดไปใช้ Full Frame ทำให้มูลค่าตลาดตกน้อยกว่าจำนวน เพราะมีราคาสูงกว่า แต่แม้ตลาด Full Frame ยังเติบโตได้ แต่คงจะโคเวอร์ตลาดไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้น ตลาดกล้องปีนี้เราคาดว่าตลาดยังทรงตัว”

ครีเอเตอร์ น่านน้ำใหม่ของตลาด

ด้วยการเติบโตของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะเห็นว่ามี อินฟลูเอนเซอร์ หรือ ครีเอเตอร์ หน้าใหม่เกิดขึ้นมาทุกวัน ซึ่งแคนนอนมองว่าครีเอเตอร์เป็น บลูโอเชี่ยน ของตลาดกล้อง ซึ่งแคนนอนก็ต้องการจะเจาะกลุ่มครีเอเตอร์ที่ต้องการ อัปเกรดจากสมาร์ทโฟนมาใช้งานกล้อง เพราะถึงแม้ว่าการใช้สมาร์ทโฟนจะสะดวกแต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง

โดย เนตรนรินทร์ มองว่า เห็นเทรนด์การเติบโตของครีเอเตอร์ตั้งแต่ก่อนโควิด ที่คนไทยเปลี่ยนจากแค่ถ่ายรูปมาเป็นถ่ายคลิป จนนำไปสู่การแชร์และเกิดเป็นการสร้างรายได้

“แน่นอนว่ากล้องมือถือมันสะดวก แต่ลูกค้าที่ซื้อกล้องเพราะฟีเจอร์มันตอบโจทย์สิ่งที่มือถือไม่มี โดยเราเชื่อว่ามีไม่น้อยกว่า 30% ของครีเอเตอร์ที่ใช้สมาร์ทโฟนทำคอนเทนต์เป็นหลัก และสำหรับคนที่เริ่มสร้างรายได้จากคอนเทนต์ได้ เขาก็อยากจะอัปเกรดอุปกรณ์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพิ่มคุณภาพของคอนเทนต์”

ส่งกล้อง 2 รุ่นใหม่จับตลาดเอนทรี่-มิดไฮ

ล่าสุด แคนนอนได้เปิดตัวกล้อง 2 รุ่น ได้แก่ EOS R8 และ EOS R50 สำหรับจับกลุ่มครีเอเตอร์ พร้อมออกแคมเปญ You ‘R Creator ใช้งบการตลาดที่ 50 ล้านบาท

โดย EOS R8 เป็นกล้อง Mirrorless Full Frame เน้นการใช้งานมืออาชีพ บันทึกวิดีโอคุณ 4K 60P ได้แบบไม่ครอป มีฟังก์ชัน Auto Focus detect only ช่วยให้ภาพวิดีโอดูเนียนตา โฟกัสไม่หลุดแม้เดินเข้า-ออกจากเฟรมภาพ โดยราคากล้องเปล่าอยู่ที่ 56,590 บาท และพร้อมเลนส์ RF24-50mm f/4.5-6.3 IS STM ที่ 64,790 บาท

ส่วน EOS R50 จะจับตลาดครีเอเตอร์กลุ่มเริ่มต้นที่อยากอัปเกรดจากการใช้สมาร์ทโฟนถ่ายคอนเทนต์มาเป็นกล้อง เหมาะสำหรับทำ Live Streaming Blogger และ Vlogger โดยสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อไลฟ์ได้โดยไม่ต้องลงแอปพลิเคชัน, ใช้ทัชสกรีนหาจุดโฟกัส เป็นต้น โดยราคาจะเริ่มต้นที่ 28,990 บาท มีสีขาวและดำ

“ราคาสินค้าที่ขายดีจะอยู่ประมาณ 30,000-90,000 บาท ดังนั้น ตัวเริ่มต้นราคาประมาณ 2 หมื่นไม่เกิน 3 หมื่น เรามองว่าเป็นราคาที่ลูกค้ามีกำลังจ่ายได้”

วางยอดขายโต 20%

สำหรับยอดขายทั้ง 2 รุ่นใหม่ แคนนอนวางไว้ที่ 6,000 เครื่อง พร้อมวางเป้ายอดขายทั้งปี เติบโต 20% ปัจจุบัน รายได้จากกล้องคิดเป็นประมาณ 25% ของรายได้รวม หรือราว 800 ล้านบาท

“เราจะไม่ทำสงครามราคา เพราะมองว่าไม่ยั่งยืน อย่างในตลาดตอนนี่้เทียบคู่แข่งเราไม่ได้ถูกกว่า แต่มั่นใจว่าคุ้มค่าการจ่าย โดยรุ่น EOS R50 เราต้องการจะไปแทนที่การใช้สมาร์ทโฟน เพราะเรามองว่ามันยังมีข้อจำกัด เราเลยทำฟีเจอร์ที่แทนที่ข้อจำกัดของการใช้กล้องสมาร์ทโฟน ส่วน EOS R8 จะมาเพื่อรักษาความแข็งแรงของกลุ่ม Full Frame” เนตรนรินทร์ ทิ้งท้าย

]]>
1425989
นิตยสาร “Playboy” คัมแบ็ก! พร้อมเปิดแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับ “ครีเอเตอร์” สายเซ็กซี่ https://positioningmag.com/1423830 Sat, 18 Mar 2023 06:19:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423830 หลังปิดตัวไป 3 ปี ในที่สุดนิตยสารวาบหวิวในตำนานอย่าง “Playboy” กลับคืนสังเวียนแล้วในรูปแบบดิจิทัล พร้อมเปิดแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับ “ครีเอเตอร์” สายเซ็กซี่ สามารถเก็บค่าสมาชิกรายเดือนได้คล้ายคลึงกับ OnlyFans แต่มีลิมิตไม่ให้ลงคอนเทนต์หนังโป๊อนาจาร

Playboy (เพลย์บอย) ยกเลิกการผลิตนิตยสารหลังฉบับสุดท้ายออกมาในเดือนมีนาคม 2020 ถือเป็นช่วงครบรอบ 70 ปีหลังเปิดตัวครั้งแรก แต่วันนี้นิตยสาร Playboy กลับมาอีกครั้งในรูปแบบดิจิทัล โดยมี “Amanda Cerny” นางแบบ นักแสดง และบันนี่ของ Playboy ขึ้นปกในธีม “บันนี่แพลตตินัม” แห่งโลกอนาคต และถ่ายโดยช่างภาพดัง Charlotte Rutherford

ทีเซอร์ปกใหม่ Playboy ออกมาเมื่อวันจันทร์ที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ส่วนฉบับเต็มจะออกมาทั้งหมดภายในปีนี้

Playboy
ปกใหม่ Playboy หลังกลับมาอีกครั้งในรอบ 3 ปี

การกลับมาของนิตยสารไม่ได้มาเปล่าๆ แต่มีลูกเล่นคือ ในนิตยสารจะมีภาพที่คัดมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ถ้าใครต้องการดูภาพเบื้องหลังการถ่ายทำหรือภาพที่เอ็กซ์คลูซีฟมากขึ้น จะต้องเข้าไปสมัครสมาชิกในช่องของครีเอเตอร์แต่ละรายใน Playboy.com แพลตฟอร์มใหม่สำหรับครีเอเตอร์สายเซ็กซี่

อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Playboy ระบุว่าแพลตฟอร์มนี้จะไม่เหมือน OnlyFans แพลตฟอร์มสายหวิวที่กำลังโด่งดังขณะนี้ เพราะครีเอเตอร์ส่วนใหญ่ที่ชักชวนมาทำคอนเทนต์จะไม่ทำคอนเทนต์ถึงระดับโป๊เปลือยสุดทาง “เราอนุญาตให้มีภาพเปลือยได้ แต่ไม่อนุญาตคอนเทนต์โป๊อนาจาร” โฆษกของบริษัทกล่าว “เราไม่ได้กำหนดตำแหน่งทางการตลาดของเราว่าเป็นแพลตฟอร์ม ‘สำหรับผู้ใหญ่’ แต่จะเป็นพื้นที่สำหรับทุกคน รวมถึงครีเอเตอร์กระแสหลักก็มาทำคอนเทนต์กับเราได้”

สำหรับแพลตฟอร์มสำหรับครีเอเตอร์ในสไตล์ Playboy เริ่มเปิดตัวมาตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2022

Playboy นิตยสาร
ครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์ม Playboy โดยต้องชำระค่าสมาชิกเพื่อชมคอนเทนต์

“ตั้งแต่เราเริ่มเปิดตัวแพลตฟอร์มระดับพรีเมียม Playboy เริ่มมีการลงเรื่องราวส่วนตัวที่เขียนโดยครีเอเตอร์เกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา และพูดถึงความภูมิใจที่ได้มาอยู่ใน Playboy”

ยกตัวอย่าง Cerny ที่ได้กลับมาขึ้นปกอีกครั้ง เธอเป็นบันนี่หรือ Playmate มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2011 และตั้งแต่มีแพลตฟอร์มใหม่ เธอสร้างรายได้กับบริษัทไปแล้ว 1 ล้านเหรียญสหรัฐ

“ครีเอเตอร์ของ Playboy คือคนที่สามารถโอบรับความคิดสร้างสรรค์ การแสดงออกทางเพศ และแสดงตัวตนของตัวเองได้อย่างอิสระและไม่เกรงคำวิจารณ์” Cerny กล่าว “ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันการเดินทางของฉันกับภาพเบื้องหลังการถ่ายทำสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับแฟนๆ ในช่องของ Playboy”

“เราจะมุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับครีเอเตอร์ที่ปลอดภัยที่สุดและสามารถสร้างรายได้อย่างงามที่สุดในโลกให้พวกเขา” Rachel Webber ประธานเจ้าหน้าที่ด้านแบรนด์ของ Playboy กล่าว

เธอเสริมด้วยว่า ครีเอเตอร์วัย Gen Z ที่เกิดมากับ TikTok มองว่าแบรนด์ Playboy คือสัญลักษณ์ของความหรูหราชั้นสูงในพื้นที่แพลตฟอร์มที่ต้องชำระเงินเข้าชม “พวกเขาต้องการแพลตฟอร์มที่ไม่ต้องถูกขับเคลื่อนด้วยการลงโฆษณา ไม่มีข้อจำกัดในการทำคอนเทนต์ และเป็นที่ที่ถูกนำเสนอด้วยแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจที่พวกเขาอยากจะทำงานด้วย”

เมื่อปี 2011 คุณปู่ “Hugh Hefnerผู้ก่อตั้งนิตยสาร Playboy นำบริษัท PLBY Group ออกจากตลาดหลักทรัพย์หลังอยู่ในตลาดมานานถึง 40 ปี โดยมีผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ในบริษัทคือไพรเวทอิควิตี้ Rizvi Traverse

หลังจากนั้นปู่ Hefner เสียชีวิตไปในปี 2017 และมีการนำ PLBY Group กลับเข้าตลาดอีกครั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021

Source

]]>
1423830
คุยกับ ‘ไลน์ สติกเกอร์’ กับโจทย์ใหญ่จะ ‘ขาย’ อย่างไรในวันที่คน “ไม่อยากมีสติกเกอร์เพิ่ม” https://positioningmag.com/1422669 Sat, 11 Mar 2023 06:10:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1422669 ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด ‘ไลน์ สติ๊กเกอร์’ (LINE STICKERS) ที่ถือเป็น 1 ใน 3 ธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับ ไลน์ (LINE) ซึ่งกำลังอยู่ในช่วง อิ่มตัว แต่พอทุกคนต้องอยู่บ้านเพราะการระบาด การเติบโตของสติ๊กเกอร์ก็พุ่งขึ้นอีกครั้ง และในช่วงที่การระบาดกลับสู่ภาวะปกติ โจทย์เรื่องอิ่มตัวของสติ๊กเกอร์ก็กลับมาอีกครั้งหรือไม่ บี อิสรี ดำรงพิทักษ์กุล หัวหน้าธุรกิจ LINE STICKERS, LINE ประเทศไทย จะมาให้คำตอบ

ผู้ใช้ไลน์มีสติ๊กเกอร์เฉลี่ย 120 ชุด/คน

ปัจจุบัน แพลตฟอร์ม ไลน์ ในประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้สูงถึง 53 ล้านราย และสิ่งที่ผู้ใช้งานไลน์ทุกคนต้องมีก็คือ สติ๊กเกอร์ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกซื้อกว่า 5.8 ล้านชุด โดยในอดีตนั้นผู้ใช้งานไลน์มีสติ๊กเกอร์ในมือเฉลี่ยเพียง 40 ชุด/คน แต่ปัจจุบันได้เติบโตขึ้นเป็น 120 ชุด/คน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสติ๊กเกอร์ที่ ซื้อเอง

อย่างไรก็ตาม ในปี 2018 ธุรกิจสติ๊กเกอร์ของไลน์ก็เริ่มถึงจุด อิ่มตัว แต่เมื่อทั่วโลกเจอการระบาดของ COVID-19 ผู้บริโภคต้องอาศัยอยู่แต่บ้านทำให้ยอดขายสติ๊กเกอร์เติบโตสูงขึ้นกว่า 20% โดยเฉพาะการสติ๊กเกอร์ที่ จิกกัดสถานการณ์ของโควิด เพราะผู้บริโภคใช้สติ๊กเกอร์เป็นตัวสื่อถึงความรู้สึก

“พอคนอยู่บ้านเยอะ ๆ ไม่มีอะไรทำ เขาก็จะส่งสติ๊กเกอร์บอกความรู้สึกเพราะไม่มีเรื่องจะคุยกัน ดังนั้น แอคชั่นที่ส่งกันเยอะ ๆ ช่วงโควิดจะไม่ใช่สติ๊กเกอร์ที่เป็นคำพูด แต่เป็นสติ๊กเกอร์ที่สื่อถึงความรู้สึก” อิสรี อธิบาย

อิสรี ดำรงพิทักษ์กุล หัวหน้าธุรกิจ LINE STICKERS, LINE ประเทศไทย

ภาวะอิ่มตัวกลับมาอีกครั้ง

แม้ว่าจุดอิ่มตัวกำลังมา แต่โควิดก็ทำให้สติ๊กเกอร์กลับมาเติบโตอีกครั้ง และเมื่อการระบาดของโควิดกลายเป็นเรื่องปกติ ผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ จุดอิ่มตัวของสติ๊กเกอร์ก็กลับมาอีกครั้ง และมาในจุดที่ ผู้บริโภคไม่อยากจะมีสติ๊กเกอร์เพิ่ม เพราะซื้อไปเยอะแล้ว ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดแค่กับประเทศไทย แต่เป็นทั้งในญี่ปุ่นและไต้หวัน

“ความยากของสติ๊กเกอร์ตอนนี้คือ ช่วงโควิดเขาซื้อไปเยอะมาก เหมือนตอนนั้นเขามีความสุขที่ได้กดซื้อ มันเลยกลายเป็นว่า เขารู้สึกว่าสติ๊กเกอร์เยอะแล้ว การจะซื้อเพิ่มมันเลยยากขึ้น”

นอกจากผู้บริโภคจะไม่อยากซื้อ แต่สติ๊กเกอร์ก็ยัง ไม่หลากหลาย แม้ครีเอเตอร์ในระบบจะเพิ่มขึ้นจาก 5 แสนราย กลายเป็น 1 ล้านราย ก็ตาม เนื่องจากคอนเทนต์ถูกจำกัดอยู่กับแค่ไม่กี่เรื่อง เพราะคนส่วนใหญ่อยู่แต่บ้านไม่ได้ใช้ชีวิตจริง ๆ ทำให้แนวทางของคอนเทนต์ออกมาคล้ายกันไปหมด แต่ตอนนี้ต้องพยายามทำคอนเทนต์ให้หลากหลายขึ้น

ดังนั้น โจทย์ของทีมไลน์ สติ๊กเกอร์คือ ต้องทำให้ สติ๊กเกอร์ใหม่รู้สึกว่าน่าใช้กว่าสติ๊กเกอร์เก่า ซึ่งก็คือการ โฟกัสที่ คุณภาพ หรือก็คือสติ๊กเกอร์ที่สามารถ ใช้ได้ง่าย สื่ออารมณ์ได้ชัดเจน ไม่ใช่แค่มีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่น ซึ่งสิ่งที่พยายามจะบอกครีเอเตอร์คือ สไตล์ไกด์ ที่ต้องระบุให้ชัดว่า คาแรกเตอร์ที่ออกแบบมีนิสัยแบบไหน ท่าทางการสื่ออารมณ์เป็นอย่างไร

“เราเห็นเลยว่าพฤติกรรมผู้บริโภคยุคแรกนั้นขอแค่สติ๊กเกอร์มี Wording ตรงใจเขาซื้อเลย แต่หลังจากโควิดตอนนี้เขาคิดเยอะขึ้น เขาดูจริง ๆ ว่าสติ๊กเกอร์ที่จะซื้อมันสื่อถึงสิ่งที่เขาต้องการสื่อหรือเปล่า เราเลยต้องการสติ๊กเกอร์ที่มีคุณภาพ”

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยครีเอเตอร์ เช่น Creator Connect Day หรืองานประกวด LINE Creators Market Sticker Contest เพื่อพาผู้ชนะไปค้นหาแรงบันดาลใจที่ประเทศญี่ปุ่น โดยในปี 2022 ไลน์ก็ได้เพิ่ม ยอดขาย มาเป็นเกณฑ์ตัดสินในปีนี้ด้วย

“ถ้าเทียบกับประเทศญี่ปุ่นครีเอเตอร์ 1 ล้านคนของไทยถือว่าน้อยและครีเอเตอร์ที่ขายได้เยอะ ๆ ของญี่ปุ่นก็มีมากกว่า แต่ไทยก็ถือว่าพัฒนาขึ้นจากครีเอเตอร์ระดับท็อปที่มาประมาณ 5-6 คน ปัจจุบันก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ดังนั้น เราเลยต้องเอายอดขายมาเป็นเกณฑ์ในปีนี้”

ครีเอเตอร์ทั้ง 12 คนที่ชนะงานประกวด LINE Creators Market Sticker Contest

พร้อมดันโกอินเตอร์

ปัจจุบันในจำนวนครีเอเตอร์กว่า 1 ล้านรายก็มีประมาณ 10-20% ที่ทำเป็นอาชีพจริง ๆ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ไลน์พยายามผลักดัน และอีกหมุดหมายที่ไลน์ต้องการคือ ดันครีเอเตอร์ไทยให้ไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยแต่ละประเทศก็จะมีทีมที่คอยหาสติ๊กเกอร์ที่น่าจะดังในประเทศตัวเอง หรือหากทีมในไทยเห็นคาแรกเตอร์ที่คิดว่าน่าจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายในประเทศนั้น ๆ ก็จะเสนอไป ปัจจุบัน มีประมาณ 30 คาแรกเตอร์ของคนไทยที่สามารถไปขายต่างประเทศ จากอดีตมีประมาณ 10 คาแรกเตอร์เท่านั้น

“แน่นอนว่าแต่ละประเทศจะมีความชอบไม่เหมือนกัน อย่าง ไต้หวันจะชอบคาแรกเตอร์ที่เป็นเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชาย มีแอ็คชั่น ส่วนญี่ปุ่นจะเป็นคาแรกเตอร์ที่เป็นสัตว์ ไม่ชอบให้มีข้อความ เน้นแสดงอารมณ์ ดังนั้น อาจมีบางคาแรกเตอร์ที่ไม่ได้โดนคนไทย แต่อาจเติบโตได้ในต่างประเทศ”

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ไลน์พยายามผลักดันคือ Licensing หรือ Merchandise เพราะญี่ปุ่นทำให้เห็นว่าคาแรกเตอร์สามารถต่อยอดเป็นสินค้าอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นของสะสม ของใช้ หรือแม้แต่เมนูอาหาร โดยปัจจุบันไลน์ก็เป็นตัวกลางในการจับคู่ครีเอเตอร์กับแบรนด์ ในการขายลิขสิทธิ์เพื่อไปคอลแลบหรือออกเป็นสินค้า โดยปัจจุบันไลน์มีคาแรกเตอร์ประมาณ 20 ตัวที่ช่วยจับคู่

เลิกพึ่งพาแต่ครีเอเตอร์ต้องใช้ฟีเจอร์เสริม

อิสรี ยอมรับว่า ที่ผ่านมา ไลน์พึ่งพาความสามารถของครีเอเตอร์ จนไม่ได้เน้นที่เรื่อง ฟีเจอร์ เท่าที่ควร ดังนั้น อีกกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตของสติ๊กเกอร์ก็คือ ฟีเจอร์ที่จะมาเสริมให้ผู้ใช้หาสติ๊กเกอร์เจอง่ายขึ้น แนวคิดการ นำสติ๊กเกอร์เก่ามาเป็นส่วนลดซื้อสติ๊กเกอร์เซตใหม่ หรือ ซื้อเป็นชิ้นที่อยากได้ไม่ต้องซื้อทั้งชุด

รวมไปถึง บิสซิเนสโมเดลใหม่ ๆ โดยเฉพาะโมเดล ซับสคริปชั่น ให้เลือกสติ๊กเกอร์ที่อยากได้แล้วจ่ายเป็นรายเดือนแทนที่จะซื้อขาด โดยโมเดลดังกล่าวได้เริ่มใช้ในไต้หวันและญี่ปุ่นแล้ว ซึ่งในช่วงแรกที่ออกโมเดลซับสคริปชั่นก็ส่งผลให้ยอดขายสติ๊กเกอร์ลดลง แต่สุดท้ายก็ดีดกลับมาเติบโต เพราะมีผู้บริโภคหลายคนที่ได้ลองใช้สติ๊กเกอร์พอชอบก็ซื้อขาด แต่ในส่วนของโปรโมชันคงจะมีน้อยลง เพราะที่ผ่านมาไลน์ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเสีย เพราะมีการลดราคาบ่อย ทำให้เขาเลิกซื้อสติ๊กเกอร์ราคาเต็ม

“โมเดลซับสคริปชั่น มันเหมือนกับฟีเจอร์ของโปรดักส์ที่กำลังจะตาย เพราะมันเป็นอะไรที่คุณไม่สามารถขายในราคาปกติได้แล้ว แต่สติ๊กเกอร์ยังไม่ได้อยู่ในช่วงนั้นแค่มันอาจไม่ได้โตหวือหวาเหมือนช่วงแรก และโมเดลนี้ตอนแรกเหมือนจะทำให้ยอดตก แต่สักระยะยอดขายก็กลับมา เพราะกลายเป็นว่าเหมือนเขาได้ลองใช้แล้วชอบ”

อย่างไรก็ตาม ในไทยยังไม่ได้กำหนดว่าจะลันช์ฟีเจอร์นี้เมื่อไหร่ เพราะตราบใดที่ขายได้เรื่อย ๆ ก็ยังไม่อยากจะเอาโมเดลซับสคริปชั่นมาใช้ นอกจากนี้ ทีมยังต้องดูความพร้อมของตลาดและความพร้อมของไลน์ โดยเฉพาะต้องทำใจให้ได้เพราะมันจะมีช่วงที่ยอดตกหากฟีเจอร์ถูกปล่อยไป ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลากลับมาเติบโตอีกครั้งตอนไหน เพราะในไต้หวันกับญี่ปุ่นก็ใช้เวลาไม่เท่ากัน

อิสรี ทิ้งท้ายว่า เป้าหมายของไลน์ใน 10 ปีจากนี้ยังคงต้องการรักษาสถานะของสติ๊กเกอร์ให้เป็น 1 ใน 3 ช่องทางสร้างรายได้ให้ไลน์ พร้อมกับ รักษาการเติบโตให้ได้ 2 หลักต่อไปในทุกมิติ ทั้งยอดขายและจำนวนครีเอเตอร์

]]>
1422669
อัปเดต 3 เทรนด์ ‘YouTube’ ในวันที่ ‘Gen Z’ กว่าครึ่งดูวิดีโอที่คนทั่วไปไม่ดู https://positioningmag.com/1403033 Tue, 04 Oct 2022 08:17:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403033 ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงแรกวิดีโอไวรัลบน YouTube เป็นตัวกำหนดเทรนด์ต่าง ๆ แต่บทบาทของ YouTube เปลี่ยนไปจากแมสเทรนด์ไปสู่คน แต่ตอนนี้เป็นการสร้างเทรนด์ ยิ่งในยุคนี้ที่ใคร ๆ ก็ครีเอทวิดีโอเองได้ โดยเฉพาะ Gen Z ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี อีกทั้ง ยังมีความเป็นตัวเองสูง ดังนั้น ไปอัปเดต 3 Types ที่เหล่าครีเอเตอร์ควรรู้ เพื่อที่จะสร้างวิดีโอให้ตรงใจคนดู

จากการสำรวจของ Ipsos พบว่า Gen Z ถึง 85% เคยโพสต์วิดีโอมาก่อน และเพราะคน Gen Z คุ้นเคยกับการผลิตและชมวิดีโอ ทำให้มีความเป็นตัวเองมากที่สุด 65% ของคน Gen Z ดูคอนเทนต์ที่ เกี่ยวของกับตัวเองมากกว่าคอนเทนต์ที่เป็นที่สนใจ และ 50% ดูคอนเทนต์ที่คนทั่วไปไม่ดู ดังนั้น ไปเจาะลึก 3 เทรนด์ ที่เหล่าครีเอเตอร์ควรรู้

Community Creativity

การสร้างคอนเทนต์สำหรับคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน โดย 61% ของคน Gen Z ระบุว่าพวกเขาเป็น BigFan ของใครสักคนหรืออะไรสักอย่าง ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากแค่ วิดีโอเครื่องบินขึ้น-ลง จะมียอดวิวหลักหมื่นล้าน หรือครีเอเตอร์บางคนก็ผันตัวจาก แฟนด้อม ไปสู่การสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจเหล่าแฟน จนสามารถขยายฐานผู้ติดตามไปจนกลายเป็นแมส

“เราเห็นชุมชนย่อย ๆ ที่มีความเฉพาะตัวสูงบน YouTube มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันอาจไม่แมสแต่มีคนดูเหนียวแน่น และ 92% รอตอนต่อไปของครีเอเตอร์ นอกจากนี้ ยังพบเห็นการสนับสนุนผ่าน Fan Funding จากแฟนคลับด้วยฟีเจอร์ Membership” มุกพิม อนันตชัย หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรธุรกิจ ยูทูบ ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าว

มุกพิม อนันตชัย หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรธุรกิจ ยูทูบ ประเทศไทย และเวียดนาม

Responsive Creativity

การสร้างคอนเทนต์เพื่อตอบสนองต่อความรู้สึกหรืออารมณ์ของคน โดย 83% ของ Gen Z หาคอนเทนต์ที่ทำให้ ผ่อนคลาย ทำให้คอนเทนต์ประเภท ASMR (Autonomous Sensory Meridian Response) มีการค้นหามากขึ้น โดยยอดวิวทั่วโลกของคอนเทนต์ประเภทนี้มีกว่า 65,000 ล้านวิวเลยทีเดียว นอกจากนี้ Gen Z 64% ยังต้องการหาคอนเทนต์ที่สามารถดูเรื่อย ๆ เพื่อเป็น เพื่อนแก้เหงา และ 80% ใช้วิดีโอรำลึกอดีต

Multi-format Creativity

เพราะฟอร์แมตวิดีโอบน YouTube เปลี่ยนไป มีทั้ง Shorts From, Long From และ Live-Stream ดังนั้น ครีเอเตอร์ควรสร้างสรรค์หลาย ๆ แบบ เพื่อหารูปแบบที่ตรงใจกับผู้ชม อย่าง Shorts อาจตั้งสั้น ๆ เป็น Meme เพื่อดึงดูดให้มาดูวิดีโอยาว เพราะ 59% ของ Gen Z ระบุว่า เขามักเจอวิดีโอใหม่ ๆ ในวิดีโอสั้น

]]>
1403033
‘Instagram’ กำลังทดสอบฟีเจอร์ ‘Gifts’ อีกช่องทาง ‘สร้างรายได้’ ให้ครีเอเตอร์ https://positioningmag.com/1400104 Wed, 14 Sep 2022 08:22:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1400104 TikTok ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ Instagram ได้เพิ่มฟีเจอร์ให้ ทิป กับเหล่าครีเอเตอร์เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ Twitter ได้เปิดตัวฟีเจอร์ Tip Jar ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2021 ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีวิธีในการให้ทิปครีเอเตอร์ได้อย่างรวดเร็วด้วยการแตะเพียงไม่กี่ครั้ง แม้แต่ Tumblr ก็มีฟีเจอร์ที่เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้

ไม่รู้ว่าช้าไปไหม เพราะ Instagram กำลังทดสอบฟีเจอร์สำหรับให้ ของขวัญ (Gifts) ที่จะเป็นการให้ทิปครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ชื่นชอบ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการหารายได้ให้เหล่าครีเอเตอร์ อย่างไรก็ตาม ทาง Meta ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด โดยระบุเพียงว่า ฟีเจอร์ดังกล่าวยังเป็นเพียงต้นแบบที่ทดสอบภายในและยังไม่ได้ทดสอบกับภายนอก

อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกโดย Alessandro Paluzzi ซึ่งเป็นนักวิจัยแอปเมื่อเดือนกรกฎาคม โดย Instagram กำลังพัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าวภายใต้ชื่อ Content Appreciation โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะช่วยให้แฟน ๆ ครีเอเตอร์สามารถส่ง ของขวัญ ให้กับพวกเขาได้

สำหรับฟีเจอร์ดังกล่าวหากเปิดตัว มันจะไม่ใช่ฟีเจอร์สำหรับให้ทิปครีเอเตอร์เพียง อย่างเดียว ของ Meta grikt ในปี 2020 Instagram ได้เปิดตัว Badges ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้แสดงการสนับสนุนครีเอเตอร์ระหว่างไลฟ์สดวิดีโอ ผ่านการส่งดาวโดยมีราคาเริ่มต้นที่ $0.99, $1.99 หรือ $4.99 ซึ่งช่วยให้ครีเอเตอร์มีช่องทางในการสร้างรายได้ผ่านทั้งสตรีมสดและฟีเจอร์ Reels

ก็คงต้องรอดูว่าฟีเจอร์ดังกล่าวจะเปิดตัวมาให้ใช้เมื่อไหร่ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเปิดตัว เพราะหากย้อนดูคู่แข่งซึ่งส่วนใหญ่จะมีฟีเจอร์สำหรับให้ทิปครีเอเตอร์กันหมดไปตั้งนานแล้ว

Source

]]>
1400104
ดาว ‘TikTok’ เตรียมเฮ! หลังแพลตฟอร์มเล็งเพิ่มโมเดล ‘Subscription’ เพิ่มรายได้ให้ครีเอเตอร์ https://positioningmag.com/1386540 Wed, 25 May 2022 09:31:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1386540 คงไม่ต้องพูดถึงความร้อนแรงของ TikTok กันอีกแล้ว เพราะขนาดเจ้าพ่อโซเชียลอย่าง Facebook หรือแพลตฟอร์มวิดีโออย่าง YouTube ยังต้องเพิ่มฟีเจอร์วิดีโอสั้นมาแข่งด้วย อย่างไรก็ตาม TikTok เองก็พยายามจะมัดใจเหล่า ครีเอเตอร์ ให้มีแรงในการผลิตคอนเทนต์ต่อไปด้วยโมเดลหารายได้ใหม่ ๆ ล่าสุดก็คือ โมเดล Subscription

ที่ผ่านมา TikTok ได้เริ่มเพิ่มโมเดลการทำรายได้ให้กับครีเอเตอร์ในแพลตฟอร์ม นอกเหนือจากที่ครีเอเตอร์รับโฆษณาจากแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Creator Next ที่จะเพิ่ม Virtual Gift หรือการ ให้ของขวัญ จากผู้ชมไลฟ์ ซึ่งคล้าย ๆ กับ การส่งดาวแบบใน Facebook

หรือจะเป็นโปรแกรม TikTok Pulse ที่แพลตฟอร์มจะแบ่งรายได้จากค่าโฆษณาให้ถึง 50% ของรายได้ที่เกิดขึ้นจริง แต่ครีเอเตอร์จะต้องมีผู้ติดตามอย่างน้อย 100,000 คนขึ้นไป โดย TikTok จะยิงโฆษณาไปที่ Top 4% แรกของวิดีโอทั้งหมด เพื่อให้เจ้าของแบรนด์มั่นใจว่าจะมีคนเห็นเยอะมากขึ้นแน่นอน

ล่าสุด TikTok ก็ได้เพิ่มโมเดล ‘Subscription’ สำหรับบัญชียอดนิยมบางบัญชี โดยจะสามารถเก็บค่าสมาชิกจากผู้ติดตาม เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟ รวมถึงจะมีโหมดแชทเฉพาะสำหรับสมาชิก เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างครีเอเตอร์และสมาชิก

“การสมัครสมาชิกสดเป็นส่วนเสริมของความพยายามของเราในการสร้างโอกาสในการสร้างรายได้จากครีเอเตอร์ที่หลากหลายซึ่งเหมาะกับความต้องการของครีเอเตอร์” TikTok กล่าว

‘TikTok’ ซุ่มปั้น ‘TikTok Shop’ ดึงแบรนด์เปิดร้านบนแพลตฟอร์มโกย ‘เงินโฆษณา’

อย่างไรก็ตาม TikTok ระบุว่า ฟีเจอร์การสมัครสมาชิกที่เปิดตัวในสัปดาห์นี้จะเปิดให้สำหรับครีเอเตอร์ที่ได้รับคำเชิญเท่านั้นในตอนนี้ แต่จะขยายไปทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ในการเข้าถึงคุณสมบัติการสมัครสมาชิก ผู้สร้างจะต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปี ในขณะที่ผู้ใช้จะต้องมีอายุอย่างน้อยเท่ากันในการสมัครสมาชิก

แม้ว่า TikTok จะได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนมีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคน แต่แพลตฟอร์มก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ได้ให้วิธีการสร้างรายได้ให้กับครีเอเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ โดยก่อนหน้านี้ทั้ง TikTok และแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอื่น ๆ ยังไม่มีฟีเจอร์หรือฟังก์ชันให้ผู้ใช้สามารถสร้างรายได้ได้โดยตรง ทำให้เหล่าครีเอเตอร์จะได้รายได้จากการรีวิวสินค้าหรือการทำคอนเทนต์ที่มีผู้ว่าจ้างให้ทำเท่านั้น

ดังนั้น หลายคนมองว่าที่ TikTok ต้องเพิ่มโมเดลหารายได้ใหม่ ๆ ให้ครีเอเตอร์เป็นเพราะต้องการใช้มัดใจให้ผลิตคอนเทนต์อยู่บนแพลตฟอร์ม และช่วยให้ครีเอเตอร์สร้างรายได้จากคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Source

]]>
1386540
พี่จะไม่ทน! Instagram เตรียม ‘ลดการมองเห็น’ ครีเอเตอร์ที่ดูดคลิป TikTok มาลง Reels https://positioningmag.com/1382312 Thu, 21 Apr 2022 11:27:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382312 Instagram ต้องการให้ครีเอเตอร์เน้นการทำคลิป “ต้นฉบับ” บน Reels มากกว่าการนำคลิปจากคนอื่นหรือที่อื่น เช่น TikTok มารีโพสต์ โดยแพลตฟอร์มนี้จะลดเกรดครีเอเตอร์ที่ยังดูดคลิปจากนอกแพลตฟอร์มมาลง

“อดัม มอสเซรี” หัวหน้าของแพลตฟอร์ม Instagram อัดคลิปอธิบายฟีเจอร์ใหม่ที่มีขึ้นแล้วในแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นการใส่ Product Tags แท็กเพื่อขายสินค้า ที่ทุกคนสามารถติดแท็กได้แล้ว จนถึงไฮไลต์สำคัญในการอัปเดตรอบใหม่นี้คือ “การจัดลำดับตามความเป็นต้นฉบับ” ของโพสต์ที่ลง โดยเขากล่าวว่า แพลตฟอร์มต้องการ “สร้างความมั่นใจว่าคนที่เหมาะสมเท่านั้นที่จะได้ ‘เครดิต’ ไป”

Instagram มีนโยบายใหม่ที่ต้องการจะสนับสนุน Original Content หรือคอนเทนต์ที่เป็นต้นฉบับอยู่ที่นี่ที่เดียว (หรืออย่างน้อยก็ลงเป็นที่แรก) ทำให้ฟีเจอร์นี้จะมีการจัดคะแนนใหม่สำหรับโพสต์ที่ถือว่ามีคุณค่าต่อคนดู

“ถ้าคุณสร้างสรรค์บางอย่างขึ้นมาตั้งแต่ต้น” มอสเซรีกล่าวในวิดีโอ “คุณก็ควรจะได้เครดิตมากกว่าคนที่รีโพสต์บางอย่างที่คุณไปเจอมาจากคนอื่น เรากำลังพยายามที่จะให้ค่าความสำคัญกับ Original Content มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคอนเทนต์ที่เป็นการรีโพสต์

แม้มอสเซรีจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำขอร้องให้ครีเอเตอร์หยุดนำคลิปที่ลงบน TikTok มาลงใน Reels เสียที!

 

Instagrammers + Facebookers คำที่ Meta อยากปั้นให้ติดปาก

Meta มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนมากว่าจากนี้ Facebook และ Instagram จะเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการสร้างครีเอเตอร์ มากกว่าเป็นพื้นที่เพื่อให้เพื่อนๆ คนรู้จักได้อัปเดตชีวิตกันและกันอย่างแต่ก่อน ดังนั้นทั้งสองแพลตฟอร์มจึงลงทุนไปมากกับการสร้างความสะดวกให้ครีเอเตอร์ และหวังว่าวันหนึ่งคำว่า Instagrammers กับ Facebookers จะติดปากคนเหมือนกับคำว่า YouTubers หรือ TikTokers (หรือ ‘ดาวติ๊กต่อก’ ในเวอร์ชันภาษาไทย)

Reels ถือเป็นศูนย์กลางความหวังในการปั้นสิ่งเหล่านี้ โดยมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta บอกว่า Reels เป็นรูปแบบการลงคอนเทนต์ที่โตเร็วที่สุดนับตั้งแต่เปิดบริษัทมา

Instagram ลดการมองเห็น TikTok
คลิปที่ดึงจาก TikTok และมาลง Reels มีให้เห็นทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการรีโพสต์เอง หรือดูดคลิปของบุคคลอื่นมาลง

แต่ถ้าใครดูคอนเทนต์ใน Reels ก็จะรู้สึกได้ว่าช่องทางนี้เหมือนกับเป็นการโคลนนิ่งจาก TikTok เพราะครีเอเตอร์หลายคนแค่ดึงคลิปที่ตัดต่อลง TikTok มาลงในนี้ โดยมีโลโก้ติดมาด้วยอย่างเด่นชัด ทำให้มอสเซรีกำลังจะดันคลิปเหล่านี้ออกไปผ่านการ ‘ลดการมองเห็น’

หากมองไปในโลกโซเชียล Facebook และ Instagram รวมกันภายใต้ร่มของ Meta ยังคงเป็นโซเชียลที่มีคนดูมากที่สุด แต่คอนเทนต์กลับเป็นการลอกเลียนแบบหรือดึงมาจากแหล่งอื่นเสียมาก กลับกันกับโซเชียลน้องใหม่แบบ TikTok หรือโซเชียลอีกแบบหนึ่งอย่าง Twitter ที่มักจะสร้างมีมใหม่หรือสร้างเทรนด์ใหม่ๆ ขึ้นมา

ถ้า Meta อยากจะเป็นแหล่งสร้างครีเอเตอร์จริงๆ ก็คงจะต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้ และการสร้างอัลกอริธึมมาลดการมองเห็นคอนเทนต์ของก๊อป ก็น่าจะเป็นไอเดียที่ช่วยได้มากขึ้น

Source

]]>
1382312