ความเท่าเทียมทางเพศ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 01 Jun 2023 15:50:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กรณีศึกษา: “บาร์บีก้อน” แหวกกระแส ไม่เปลี่ยนโปรไฟล์เป็น “สีรุ้ง” ในเดือน Pride Month https://positioningmag.com/1432743 Thu, 01 Jun 2023 13:58:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1432743 การตลาดในเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ “Pride Month” ปี 2566 ขอยกกรณีศึกษาจาก “บาร์บีก้อน” หรือร้านบาร์บีคิวพลาซ่า ที่รีบออกตัวก่อนใครว่าปีนี้จะไม่เปลี่ยนโปรไฟล์เป็น “สีรุ้ง” เพราะต้องการเคารพความหลากหลายให้เป็นเรื่องปกติทุกวัน ถือเป็นแคมเปญแหวกกระแสที่เสี่ยงต่อการได้รับทั้งดอกไม้และก้อนอิฐจาก LGBTQ+

ช่วงเย็นของวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ก่อนเข้าสู่ Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจร่วมเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ 1 วัน โซเชียลมีเดียของร้านบาร์บีคิวพลาซ่าได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความไว้ดังนี้

“ขออภัย หากพรุ่งนี้ Bar B Q Plaza ไม่ได้เปลี่ยนรูป Profile เป็นสีรุ้ง เพราะการเคารพในความหลากหลาย ‘ควรเป็นเรื่องปกติ’ ที่ควรเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่ว่าเดือนไหน มาสนับสนุน Pride Month อย่างเข้าใจ และทำเรื่องนี้ให้เป็น ‘เรื่องปกติ’ กันนะคร้าบบ” พร้อมใบหน้าของ “บาร์บีก้อน” มาสคอตร้าน กับข้อความว่า “รักเธอเสมอทุกเวลา <3”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารวมถึงปีนี้ด้วย มีแบรนด์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่หันมาแสดงข้อความสนับสนุน LGBTQ+ ในเดือนมิถุนายน พร้อมเปลี่ยนโปรไฟล์เป็นสีรุ้งหรือประดับธงรุ้งเข้ากับโลโก้บริษัท บางแบรนด์อาจจะมาพร้อมกับ “สินค้าสีรุ้ง” ไว้จำหน่ายในเดือนนี้โดยเฉพาะ หรือหยิบยกสินค้าที่มีสีรุ้ง (หรือใกล้เคียง) ของร้านออกมาโปรโมตในช่วงเวลานี้

ทำให้ในรอบ 1-2 ปีมานี้ แวดวงผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศในไทยเริ่มมีกระแสตีกลับแบรนด์ที่ออกตัวสนับสนุน LGBTQ+ ในเดือนมิถุนายน ด้วยคำถามว่า ‘แบรนด์มีความจริงใจหรือไม่ที่จะสนับสนุน LGBTQ+ ตลอดทั้งปี หรือเป็นเพียงกิมมิกทางการตลาดเพื่อเกาะกระแสและขายสินค้าเท่านั้น?’

นี่น่าจะเป็นจุดตั้งต้นให้บาร์บีคิวพลาซ่าวางแคมเปญที่แตกต่างสำหรับ Pride Month ปี 2566 เลือกจะออกแถลงการณ์ดังกล่าวข้างต้นว่าร้านจะไม่ประดับธงรุ้งในโปรไฟล์

สำหรับ feedback ของชาวเน็ตส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างจะเป็นไปในเชิงบวก เต็มไปด้วยคำชมว่าเป็นทัศนคติที่ ‘ยอดเยี่ยม’ และเป็นเรื่องถูกต้องที่แบรนด์ไม่เกาะกระแสเพื่อขายของ

แต่แน่นอนว่า เมื่อได้รับดอกไม้แล้วย่อมต้องมีก้อนอิฐบ้างเช่นกัน เนื่องจากความเห็นบางส่วนก็ตั้งคำถามกลับว่า แล้วบาร์บีคิวพลาซ่ามีนโยบายใดที่เป็นรูปธรรมในบริษัทบ้างที่สื่อให้เห็นว่าแบรนด์เคารพในความหลากหลายจริงๆ

ทางบาร์บีคิวพลาซ่าจึงมีภาพโปรโมตเพิ่มเติมถึงนโยบายของบริษัทแม่ บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ว่าบริษัทมีนโยบายเพื่อความเท่าเทียม เช่น พนักงานสามารถเลือกใส่แบบยูนิฟอร์มได้ตามความชอบ, มีโควตาวันลาสำหรับผ่าตัดแปลงเพศ, การแต่งงานเพศเดียวกันสามารถใช้สิทธิวันลาแต่งงานได้เช่นกัน

ในขณะที่บางความเห็นส่งคำถามถึงบาร์บีก้อนว่า รู้หรือไม่ว่าการฉลอง Pride Month เกิดขึ้นเพื่ออะไร รวมถึงเสนอมุมมองว่าแบรนด์อื่นๆ ที่เปลี่ยนโปรไฟล์เป็นสีรุ้งนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะทุกวันนี้สังคมยังไม่ได้ให้การยอมรับเพศหลากหลายเท่าเทียมกับชายหญิงตรงเพศกำเนิดอย่างแท้จริง ทำให้การรณรงค์เพื่อความเท่าเทียมยังต้องมีต่อไปทุกปี และแบรนด์ที่ช่วยกันติดธงสีรุ้งเพื่อสร้างการรับรู้ สร้างบทสนทนาให้สังคมหันมาพูดถึงสิทธิของ LGBTQ+ นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ควรถูกละเลยความตั้งใจ

ทางบาร์บีคิวพลาซ่าก็ตอบรับทุกความเห็นว่า “Gon น้อมรับคำชี้แนะครับ ขอบคุณมากครับ”

ขณะนี้แคมเปญของ “บาร์บีก้อน” ยังไม่มีดราม่าใหญ่โตอะไรจากการเลือกวางตัวไม่เปลี่ยนโปรไฟล์เป็น “สีรุ้ง” นับเป็นกรณีศึกษาทางการตลาดที่ “กล้า” แข็งขืนวางจุดยืนของตัวเอง แม้รู้ว่าจะได้รับ feedback ทั้งบวกและลบเข้ามาก็ตาม

  • ข่าวร้ายรับ Pride Month! ห้าง “Target” และร้าน “Swatch” มีเหตุให้งดขายสินค้า LGBTQ+

 

*Pride Month คืออะไร? ย้อนไปในช่วงยุคทศวรรษ 1960s การแสดงออกถึงความรักต่อเพศเดียวกันยังถือว่าผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ทำให้ผับบาร์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็น LGBTQ+ มักจะถูกตำรวจตรวจค้นและจับกุมผู้มาใช้บริการเสมอๆ จนกระทั่งวันที่ 28 มิถุนายน 1969 ตำรวจบุกเข้าตรวจค้นผับ “สโตนวอลล์ อินน์” ในเมืองนิวยอร์ก เหมือนเช่นเคย แต่ที่ไม่เหมือนเคยคือรอบนี้กลุ่มคนในผับพยายามต่อสู้กลับจนกลายเป็นการจลาจล

การจลาจลครั้งนั้นไม่ได้จบลงภายในคืนเดียว แต่มีการลุกฮือเดินขบวนเรียกร้องสิทธิการแสดงออกความเป็น LGBTQ+ ในที่สาธารณะต่อเนื่องอีกเป็นสัปดาห์ในบริเวณกรีนิช วิลเลจ ที่ตั้งของผับสโตนวอลล์ อินน์ และกลายเป็นข่าวครึกโครมทั่วประเทศ

ในปีต่อมาคือปี 1970 จึงเกิดการเดินขบวนเรียกร้องสิทธิเกย์ใน 4 เมืองหลักของสหรัฐฯ คือ นิวยอร์ก ชิคาโก ซานฟรานซิสโก และลอสแอนเจลิส โดยยึดเอาวันที่ 28 มิถุนายนเป็นวันเดินขบวน จนต่อมาเดือนมิถุนายนกลายเป็น ‘Pride Month’ ที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกใช้เป็นเดือนแห่งการเรียกร้องสิทธิของตน รวมถึงในประเทศไทยด้วย โดยปี 2566 จะมีการจัดงาน Bangkok Pride 2023 ในวันที่ 4 มิถุนายนนี้ เวลา 14:00-20:00 น. เดินขบวนตั้งแต่แยกปทุมวันจนถึงศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

]]>
1432743
สนับสนุน “ความเท่าเทียม” อย่างไรไม่ให้เป็นแค่การตลาด ศึกษาจาก แสนสิริ-ยูนิลีเวอร์-ดีแทค องค์กรต้นแบบ UNDP https://positioningmag.com/1387741 Mon, 06 Jun 2022 04:06:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387741 ถ้าองค์กรเอกชนสักแห่งลุกขึ้นมาออกนโยบายด้าน “ความเท่าเทียม” ทั้งทางเพศ ชาติ ศาสนา ฐานะ ผลกระทบจะเกิดขึ้นเป็นวงกว้างในสังคม เพราะเอกชนเกี่ยวพันกับทั้งพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าตลอดซัพพลายเชน เอกชนจะเป็นตัวเร่งความเปลี่ยนแปลงที่ดี ทำให้ UNDP เลือกจัดพันธกิจส่งเสริมการสร้างนโยบายความเท่าเทียมผ่านองค์กรเอกชน และคัดเลือก 3 องค์กรต้นแบบในไทย ได้แก่ แสนสิริ, ยูนิลีเวอร์ และ ดีแทค เพื่อร่วมมือกันส่งแรงบันดาลใจและแนวทางปฏิบัติให้องค์กรอื่นๆ

“ประเทศไทยนั้นมีความอดทนอดกลั้นต่อ LGBTQ+ แต่ไม่ใช่การโอบรับความหลากหลายนั้นเข้ามา” เรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (United Nations Development Programme: UNDP) กล่าวโดยสรุป

ความหมายของเขาคือประเทศไทยมีความอดทนต่อ LGBTQ+ เพศที่สามไม่ต้องหวั่นกลัวอันตรายต่อชีวิตหากเปิดเผยตัวตน แต่ที่ทางในสังคมยังมีส่วนที่ปิดกั้นไม่ให้เข้าถึง บางอาชีพยังไม่ต้อนรับ LGBTQ+ แม้กระทั่งเพศหญิงเอง ประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้บริหารหญิงในองค์กรเอกชนที่มากกว่าหลายประเทศในโลก แต่ในวงการการเมืองการปกครองระดับสูงนั้นมีผู้หญิงอยู่น้อยมาก นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นที่เป็นปัญหาในประเทศ

“ไทยทำได้ดีกว่าหลายประเทศ เราเปิดกว้างกว่าคนอื่น แต่ยังมีจุดที่พัฒนาได้อีก” เมแยร์กล่าว

 

3 องค์กรต้นแบบทำอะไรเพื่อ “ความเท่าเทียม” ?

เพื่อให้เกิดการพัฒนาดังกล่าว UNDP มองเห็นความสำคัญของการผลักดันผ่านองค์กรเอกชน โดยมีการจัด Roundtable Discussion รวมองค์กรเอกชนและภาครัฐมาพูดคุยเพื่อศึกษาแนวนโยบายและการปฏิบัติด้านความเท่าเทียม เพื่อให้ UNDP ได้รวบรวมองค์ความรู้ เป็นแกนกลางเครือข่ายในการให้คำปรึกษาองค์กรที่ต้องการจะสร้างความเท่าเทียมในอนาคต

UNDP ความเท่าเทียม แสนสิริ ยูนิลีเวอร์ ดีแทค
(จากซ้าย) ชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค, ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย, เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และเรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP)

โอกาสนี้ UNDP คัดเลือก 3 องค์กรต้นแบบความเท่าเทียมขึ้นมาเพื่อจะเป็น ‘พี่ใหญ่’ ที่ให้คำแนะนำองค์กรอื่นได้ ได้แก่ แสนสิริ, ยูนิลีเวอร์ และ ดีแทค ด้วยนโยบายองค์กรที่ปฏิบัติจริงและได้ผลจริง ไม่ใช่การ ‘Pinkwashing’ หรือสนับสนุน LGBTQ+ เพื่อประโยชน์ทางการตลาดเท่านั้น

“แสนสิริ”

เป็นองค์กรสัญชาติไทยแห่งแรกที่ร่วมลงนามในสัญญา UN Global Standards of Conduct for Business ของ UNDP สัญญานี้คือสัญญาว่าองค์กรจะปฏิบัติต่อพนักงาน LGBTQ+ อย่างเท่าเทียม ให้สวัสดิการที่เท่าเทียมกัน เช่น ลาเพื่อจัดสมรสกับคู่ชีวิต, ลาฌาปนกิจคู่ชีวิต, ลาเพื่อดูแลคู่ชีวิตและบุตรบุญธรรม และยังสามารถลาเพื่อผ่าตัดแปลงเพศได้ 30 วันต่อปี รวมถึงสิทธิที่บริษัทให้แก่คู่สมรส คู่ชีวิต LGBTQ+ จะได้รับด้วย เช่น วัคซีนทางเลือก ประกันสุขภาพ

ในแง่ของสินค้า แสนสิริเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซึ่งลูกค้ามักจะมีการกู้สินเชื่อบ้าน บริษัทจึงพบปัญหาอย่างหนึ่งว่า คู่ชีวิต LGBTQ+ จะไม่สามารถกู้ร่วมกันได้เพราะไม่มีทะเบียนสมรสและไม่ถูกยอมรับว่าเป็นคู่ชีวิตทางพฤตินัย แสนสิริจึงเข้าพบกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเพื่อเจรจาขอให้ลูกค้า LGBTQ+ ที่เป็นคู่ชีวิตกัน พิสูจน์ได้ สามารถกู้ร่วมได้เป็นกรณีพิเศษ การเจรจาเหล่านั้นสำเร็จจนถึงทุกวันนี้

แสนสิริช่วยเจรจาสินเชื่อบ้านให้ลูกค้าคู่ชีวิต LGBTQ+ สามารถกู้ร่วมกันได้
“ยูนิลีเวอร์”

บริษัทผลิตสินค้าของใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อบริษัทใหญ่ขยับ จะมีผลกับลูกค้าจำนวนมาก ทำให้ยูนิลีเวอร์มีนโยบายการให้ความเท่าเทียมในหลายด้าน เช่น การสร้างความหลากหลายในโฆษณา ใช้คนธรรมดาหรือคนที่มีความแตกต่างให้มากขึ้น, สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในที่ทำงาน เพื่อให้ LGBTQ+ สามารถแสดงตัวตนได้โดยไม่รู้สึกหวาดกลัวและไม่มีผลกระทบต่อการทำงานหรือการเลื่อนขั้น, ตั้งเป้าเพิ่มการจ้างงานผู้พิการให้มีสัดส่วน 5% ภายในปี 2568 เป็นต้น

ยูนิลีเวอร์ ความเท่าเทียม
โฆษณาของ Sunsilk ที่พูดถึง LGBTQ+ มาตั้งแต่ปี 2562
“ดีแทค”

บริษัทในเครือเทเลนอร์ กรุ๊ป เนื่องจากเป็นบริษัทโทรคมนาคม ทำให้ดีแทคจะให้ความสำคัญกับการกระจายการเข้าถึงโทรคมนาคมอย่างเท่าเทียมในทุกกลุ่ม ทำให้จะดูแลกลุ่มที่ต้องการการดูแล เช่น โครงการ ‘ดีทั่วดีถึง ดีไปด้วยกันทุกคน’ ช่วยให้ผู้พิการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โครงการ Safe Internet ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันออนไลน์ ป้องกันไซเบอร์บูลลี่ให้กับกลุ่มเยาวชน ให้ความรู้การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยแก่ผู้สูงวัย

ส่วนการจัดการภายในองค์กรของดีแทคก็มีนโยบาย ‘Zero-Tolerance’ ต่อการกีดกันด้วยเพศ ชาติ ศาสนา และมีสวัสดิการสำหรับ LGBTQ+ สามารถลาผ่าตัดแปลงเพศได้ และผู้หญิงสามารถลาคลอดบุตรได้ 6 เดือนต่อปี เพื่อให้ผู้หญิงไม่ต้องเลือกระหว่างชีวิตการงานหรือครอบครัวเมื่อวางแผนมีบุตร

ดีแทค ความเท่าเทียมนั่นคือรากฐานที่แต่ละบริษัททำมาตลอดหลายปี แต่ล่าสุดหลังจากร่วม Roundtable กับ UNDP ทำให้แต่ละบริษัทสามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ และมีการประกาศจุดยืนร่วมกัน สร้างโครงการขยายผลเพื่อทำร่วมกันในประเด็นความเท่าเทียมต่อไป เช่น แนวคิดการสนับสนุนซัพพลายเออร์ในซัพพลายเชนที่เป็นบริษัทของ LGBTQ+ แต่ปัญหาคือยังไม่เคยมีใครจัดทำลิสต์บริษัทที่บริหารโดย LGBTQ+ มาก่อน ซึ่งทำให้ทุกบริษัทจะร่วมมือกันเพื่อรวบรวมฐานข้อมูลดังกล่าว

 

รู้ว่าเป้าคือ “ความเท่าเทียม” แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

แสนสิริมีพนักงานกว่า 4,000 คน ยูนิลีเวอร์มีกว่า 5,000 คน และดีแทคอีก 6,000 คน ผลกระทบที่เกิดจากสามบริษัทนี้สูงมาก แต่จะเปลี่ยนสังคมได้มากกว่านี้เมื่อบริษัทอื่นๆ มีนโยบายความเท่าเทียม ลงไปถึงบริษัทในระดับ SMEs

“จากที่ได้พูดคุยมา บริษัท SMEs จะบอกว่าอุปสรรคหลักของเขาคือ ‘เงินทุน’ ทำให้เขาไม่พร้อมจะให้สวัสดิการคนทุกกลุ่มเสมอภาคกันหมด แต่จริงๆ แล้วบางอย่างสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เงิน เป็นเรื่องที่เริ่มจากทัศนคติของผู้บริหาร สร้างการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมในชีวิตประจำวัน เพราะเรื่องแบบนี้เป็น top-down ผู้บริหารต้องแสดงให้เห็นก่อนว่าสนับสนุนการแสดงตัวตน ไม่มีการแบ่งแยกรังเกียจ หรือการโปรโมตเลื่อนขั้นก็โปร่งใสว่าไม่ใช้เรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง” ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าว

“สังคมภายนอกอาจจะยังตัดสินตัวตนของเขา แต่ที่ยูนิลีเวอร์เราไม่ตัดสิน อย่างล่าสุดเรามีผู้บริหาร LGBTQ+ ของไทยที่ได้รับการเลื่อนขั้นไปในระดับโกลบอลแล้ว เห็นได้ว่าเพศไม่มีผลต่อความก้าวหน้า”

Photo : Shutterstock

เรอโน เมแยร์ จาก UNDP กล่าวว่า ทุกวันนี้องค์กรในไทยตระหนักรู้ถึงเรื่อง “ความเท่าเทียม” แล้ว แต่สังคมยังสงสัยว่าการตั้งเป้าต่างๆ จะเป็นแค่การพูด “บลา-บลา-บลา” แต่ไม่มีการลงมือทำหรือเปล่า ซึ่ง UNDP เชื่อว่าส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่ดี เพียงแต่ไม่มีประสบการณ์ว่าต้องทำอย่างไรมากกว่า ทำให้ดูเหมือนเป็นการ Pinkwashing อยู่บ่อยครั้ง

“ถ้าทำเรื่องความเท่าเทียมแล้วรายได้เพิ่มในลักษณะเป็นผลพลอยได้ แบบนี้โอเค แต่ถ้าทำเพื่อหาผลประโยชน์เป็นแค่การตลาดเท่านั้น อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง” เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม

“ถ้าทำเรื่องความเท่าเทียมแล้วรายได้เพิ่มในลักษณะเป็นผลพลอยได้ แบบนี้โอเค แต่ถ้าทำเพื่อหาผลประโยชน์เป็นแค่การตลาดเท่านั้น อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”

— เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

เมแยร์อธิบายว่า เมื่อปัญหาขององค์กรที่กำลังพยายามสร้างนโยบายความเท่าเทียมคือการไม่มีคู่มือ ไม่มีประสบการณ์ UNDP จึงเข้ามาเป็นสะพานเชื่อมให้องค์กรเหล่านี้ได้คุยกับองค์กรต้นแบบ เพื่อจะให้เห็นว่าการจัดการภายในเริ่มต้นได้จากตรงไหน เช่น การรับสมัครงานที่ไม่กีดกันทางเพศ, วิธีคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อความเท่าเทียม ต้องคิดให้ถึงต้นตอที่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง ไม่ใช่การตลาด หรือการคิดให้ครบทั้งซัพพลายเชนเพื่อพาซัพพลายเออร์มาเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน

  • “ศรีจันทร์” เพิ่มสวัสดิการแก่ชาว LGBT พ่วง “วันลาพักใจ” สำหรับพนักงานที่สูญเสียครอบครัว
  • United Airlines อนุญาตให้ลูกเรือ “ทุกเพศ” ไว้ผมยาว-แต่งหน้า-ทาเล็บ-มีรอยสักได้แล้ว

บนเวทีการพูดคุยครั้งนี้ยังมองเห็นประเด็นความเท่าเทียมที่ยังต้องพัฒนาในมิติอื่นอีก เช่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ช่องว่างรายได้ของประชาชน เป็นอีกประเด็นใหญ่ที่ต้องคิดหาวิธีปฏิบัติ และการระดมสมองจากหลายๆ องค์กรจะทำให้ไปด้วยกันได้เร็วกว่าเดิม

]]>
1387741
“เลโก้” ประกาศ “ลดอคติทางเพศ” หลังวิจัยพบ “เด็กผู้หญิง” ถูกกีดกันจากของเล่นบางอย่าง https://positioningmag.com/1356879 Fri, 15 Oct 2021 11:35:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1356879 ทำไมผู้หญิงต้องเล่นแต่ตุ๊กตา? “เลโก้” ประกาศแผนลบล้าง “อคติทางเพศ” ออกจากสินค้าของเล่นของบริษัท หลังผลวิจัยพบว่า “เด็กผู้หญิง” ถูกกีดกันจากของเล่นบางอย่าง เพราะทัศนคติที่ไม่เท่าเทียมกันและการตีกรอบจนเสียความคิดสร้างสรรค์ไป

บริษัทสัญชาติเดนมาร์ก “เลโก้” ประกาศว่า จากนี้บริษัทจะสร้างความมั่นใจว่าของเล่นและการตลาดของแบรนด์จะ “ปราศจากอคติทางเพศและการวางภาพจำที่เป็นอันตราย” แม้ว่าจะไม่ได้ให้แนวทางอย่างชัดเจนว่าจะทำอย่างไร

การปฏิญาณตนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากแบรนด์สนับสนุนการวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของเด็กและผู้ปกครองเกือบ 7,000 คนใน 7 ประเทศ โดยสอบถามมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับอาชีพ กิจกรรมนอกเวลาเรียน และของเล่น

งานวิจัยนี้พบว่า 76% ของผู้ปกครองจะสนับสนุนให้ “ลูกชาย” เล่นตัวต่อเลโก้ แต่มีเพียง 24% ที่จะสนับสนุนให้ “ลูกสาว” เล่นเลโก้เหมือนกัน

เลโก้ เด็กผู้หญิง
(Photo : Lego)

รายงานฉบับนี้ยังกล่าวด้วยว่า ผู้ปกครองมีแนวโน้มสนับสนุนให้เด็กผู้หญิงเล่นแต่งตัวตุ๊กตามากกว่าเด็กผู้ชายเกือบ 5 เท่า และเด็กผู้หญิงได้รับการสนับสนุนมากกว่าเด็กผู้ชายเกือบ 4 เท่าถ้าเป็นกิจกรรมประเภทการเต้น การทำอาหาร และการอบขนม

ในทางกลับกัน ผู้ปกครองมีโอกาสสูงกว่ามากที่จะสนับสนุนให้เด็กผู้ชายเล่นเกมฝึกการโค้ดดิ้ง หรือเล่นกีฬา

เลโก้ประกาศในข่าวประชาสัมพันธ์ว่า “สังคมนี้มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องสร้างมุมมองใหม่ สร้างคำพูดและการกระทำใหม่ เพื่อสนับสนุนการมีความคิดสร้างสรรค์ของเด็กทุกคน”

เด็กผู้หญิงก็เล่นหุ่นยนต์ได้ หรือเด็กผู้ชายอาจจะชอบทำขนมก็ได้

“การละเล่นที่เสริมความคิดสร้างสรรค์มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น สร้างความมั่นใจ สร้างความคิดนอกกรอบ สร้างทักษะการเข้าสังคม โดยสิ่งเหล่านี้เด็กๆ ทุกคนสัมผัสได้ แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังคงสัมผัสกับประสบการณ์ “สเตอริโอไทป์” ที่มีมานาน ซึ่งคอยแปะป้ายว่ากิจกรรมไหนเหมาะกับเพศใดเท่านั้น” จูเลีย โกลด์มิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด Lego Group กล่าวในแถลงการณ์

  • สภาเศรษฐกิจโลกทำนาย ‘ความเท่าเทียมทางเพศ’ จะเกิดจริงในอีก 136 ปี!

นอกจากเรื่องการเล่นและกิจกรรม นักวิจัยพบว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะจินตนาการถึง “เพศชาย” เมื่อขอให้ลองนึกถึงคนที่ประกอบอาชีพบางอย่าง ไม่ว่าพวกเขาจะมีลูกสาวหรือไม่มีก็ตาม

อคติทางเพศเหล่านี้เด่นชัดมากเมื่อพูดถึงอาชีพอย่าง “วิศวกร” ซึ่งผู้ปกครองถึง 89% จะนึกถึงอาชีพนี้ว่าเป็นของเพศชายในทันที รวมไปถึงอาชีพอย่าง “นักกีฬา” และ “นักวิทยาศาสตร์” ก็เช่นกัน มีแนวโน้มสูงกว่าถึง 5 เท่าที่คนจะนึกถึงอาชีพเหล่านี้ว่าเป็นของผู้ชาย

มาฮิรุ ซูสุกิ เด็กหญิงวัย 11 ปีชาวญี่ปุ่น อีกหนึ่งคนที่จะอยู่ในหนังสั้นของเลโก้ โดยเธอเป็นเด็กนักเรียนผู้ก่อตั้งวงมาร์ชชิ่งแบนด์ขึ้นมาด้วยตนเอง

ในแง่การตลาด เลโก้ต้องการเปิดแคมเปญเพื่อ “เปิดกว้างต่อทุกเพศ” ในชื่อแคมเปญ “Ready for Girls” เน้นการเฉลิมฉลองให้กับความคิดสร้างสรรค์ของเพศหญิง โดยเป็นหนังสั้นหลายตอนเกี่ยวกับความสำเร็จของเด็กผู้หญิงและวัยรุ่นหญิง เช่น ฟาติมา อัลคาอาบี ซึ่งเป็น “นวัตกรที่อายุน้อยที่สุด” ของ UAE หรือ เชลซี แฟร์ เด็กผู้หญิงวัย 11 ปีผู้ก่อตั้งโครงการการกุศลระดมทุนส่งอุปกรณ์ศิลปะให้กับเยาวชนด้อยโอกาสในสหรัฐอเมริกา

“เรารู้ดีว่าเรามีบทบาทที่ต้องทำในการสร้างความถูกต้อง แคมเปญนี้จะเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของเราเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงประเด็นนี้ และเราจะสร้างความมั่นใจว่าการเล่นตัวต่อเลโก้จะต้องโอบรับทุกเพศให้มากที่สุด” โกลด์มินกล่าว

  • ‘เลโก้’ เตรียมวางขายตัวต่อที่ผลิตจาก ‘ขวดพลาสติก’ ในอีก 2 ปี

เลโก้เคยเป็นแบรนด์ที่ถูกโจมตีหนักมากว่าเป็นของเล่นที่ตอกย้ำเรื่องอคติทางเพศ เมื่อปี 2011 ตัวต่อชุด “เลโก้ เฟรนด์ส” ถูกวิจารณ์เพราะสร้างตัวต่อเป็นโต๊ะเครื่องแป้งและชุดทำขนมคัพเค้กสีชมพูเพื่อเจาะกลุ่มเด็กผู้หญิง แต่ในหลายปีมานี้ เลโก้พลิกแบรนด์ได้สำเร็จ ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมแบรนด์เพิ่งจะออกตัวต่อชุด “Everyone is Awesome” ซึ่งเป็นเซตตัวต่อสีรุ้งสำหรับ LGBTQ+

Source

]]>
1356879
United Airlines อนุญาตให้ลูกเรือ “ทุกเพศ” ไว้ผมยาว-แต่งหน้า-ทาเล็บ-มีรอยสักได้แล้ว https://positioningmag.com/1346777 Sat, 14 Aug 2021 11:27:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1346777 ข่าวดีของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เมื่อสายการบิน United Airlines ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบให้ยืดหยุ่นมากขึ้น อนุญาตให้ลูกเรือ “ทุกเพศ” สามารถไว้ผมยาว แต่งหน้า ทาเล็บ และมีรอยสักได้แล้ว สร้างบรรทัดฐานใหม่ด้านเสรีภาพทางเพศในวงการ

หลังธุรกิจการบินในสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัว ล่าสุดสายการบิน United Airlines สร้างความแตกต่าง ด้วยการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการแต่งกายของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน อนุญาตให้ลูกเรือ “ทุกเพศ” สามารถไว้ผมยาว แต่งหน้า ทาเล็บ และมีรอยสักได้แล้ว

แน่นอนว่าระเบียบใหม่จะยังมีขอบเขตอยู่บ้าง เช่น การแต่งหน้ายังต้องมีลักษณะที่ “ดูเป็นธรรมชาติ” ปล่อยผมได้หากยาวไม่เกินไหล่และต้องรักษาสภาพให้สะอาดเรียบร้อยเสมอ รอยสักนอกร่มผ้าต้องไม่ใหญ่ไปกว่าขนาดตราประจำตัวของลูกเรือ ไม่เป็นภาพหรือคำที่หยาบคาย/น่ารังเกียจ รวมถึงห้ามมีรอยสักบนใบหน้า ศีรษะ และมือ อนุญาตให้มีรอยสักได้ไม่เกิน 1 จุดต่อแขน 1 ข้าง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม กฎใหม่นี้นับเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างเสรีภาพการแสดงออกทางเพศของลูกเรือมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ลูกเรือที่มีเพศกำเนิดเป็นชายจะไม่สามารถแต่งหน้า ทาเล็บ หรือไว้ผมยาวเกินปกคอเสื้อได้ รวมถึงก่อนหน้านี้ลูกเรือทุกเพศห้ามมีรอยสักนอกร่มผ้าเด็ดขาด

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของ United Airlines ภายใต้ระเบียบใหม่ เพศชายทาเล็บได้ ไว้ผมยาวได้

แถลงการณ์ของ United Airlines ระบุว่า การปรับเปลี่ยนระเบียบครั้งนี้เป็นไปเพื่อ “ส่งเสริมให้พนักงานนำเสนอตนเองในทางที่พวกเขารู้สึกมั่นใจมากที่สุด”

“ระเบียบการแต่งหน้าแต่งกายที่ปรับให้ทันสมัยของเรา จะสนับสนุน ส่งเสริม และสร้างสภาวะแวดล้อมเชิงบวกให้กับพนักงานและลูกค้าของเราเช่นเดียวกัน” United Airlines แถลง

  • ‘แฟชั่นไร้เพศ’ เทรนด์ที่แบรนด์ต้องรีบจับหากอยากได้ใจ ‘Gen Z’

ไรอัน บริกส์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินรายหนึ่งของ United Airlines กล่าวว่า เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้แสดงออกถึงตัวตนของตนเองแบบเดียวกับที่เขาเป็นนอกเวลางาน บริกส์ซึ่งระบุตนเองเป็นเพศนอนไบนารี (ไม่ระบุว่าตนเป็นหญิงหรือชาย) เปิดเผยว่าเขามักจะทาเล็บและแต่งหน้าเป็นประจำนอกเวลางาน

นโยบายการสวมใส่ยูนิฟอร์มและการแต่งหน้าของกลุ่มอาชีพที่ยังต้องสวมชุดเครื่องแบบนั้นค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปในห้วงเวลาที่ผ่านมา แต่มักจะปรับในฝั่งของพนักงานที่ระบุเพศของตนเป็นเพศหญิงมากกว่า เช่น หลายสายการบินอนุญาตให้เพศหญิงสวมกางเกงแทนกระโปรงได้ อนุญาตให้เพศหญิงไม่ต้องแต่งหน้าได้ แต่ฝั่งเพศชายมักจะยังใช้กฎระเบียบแบบเดิมๆ การปรับระเบียบของ United Airlines จึงเป็นก้าวที่สำคัญมาก เพราะสื่อถึงการยอมรับการแสดงออกของทุกเพศแบบเท่าเทียมกัน

  • ‘ออสเตรเลีย’ เร่งฟื้นท่องเที่ยว อุ้มสายการบิน ออกค่าตั๋วให้ ‘คนละครึ่ง’ ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

United Airlines จะเริ่มใช้ระเบียบใหม่ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนนี้ เริ่มจากกลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและกลุ่มกราวนด์สตาฟ ก่อนที่จะขยายไปถึงกลุ่มอาชีพอื่นๆ เช่น นักบิน ภายในสิ้นปีนี้

Source

]]>
1346777
“Gen Love Wins” มากกว่าโลโก้สีรุ้ง “เจนเนอราลี่” ประกันเจ้าแรกๆ ที่สนับสนุนความเท่าเทียม LGBTQI+ https://positioningmag.com/1337949 Wed, 23 Jun 2021 03:00:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337949

เดือนมิถุนายนของทุกปีคือ “Pride Month” เดือนแห่งการเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจของชาว LGBTQI+ ตลอดเส้นทางการต่อสู้อันยาวนานของเท่าเทียมทางเพศ หนึ่งในบริษัทที่เข้าร่วมสนับสนุนอย่างเต็มตัวคือ “เจนเนอราลี่” บริษัทประกันที่อนุมัติให้ใช้ชื่อ “คู่ชีวิต” เพศเดียวกันเป็นผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์มาตั้งแต่ปี 2017 และสนับสนุนความหลากหลายทุกมิติภายในบริษัท

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน หนึ่งในประเด็นที่ชาว LGBTQI+ เรียกร้องเพื่อสิทธิแห่งความเท่าเทียม คือการระบุให้ “คู่ชีวิต” เป็นผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิตได้ ซึ่งในอดีตจะเป็นสิทธิเฉพาะญาติสายเลือดเดียวกันหรือคู่สมรสต่างเพศ ทำให้คู่ชีวิต LGBTQI+ มีข้อจำกัด แม้ว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้วและต้องการดูแลกันตลอดชีวิตก็ตาม

“เจนเนอราลี่” ถือเป็นประกันเจ้าแรกๆ ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญ ก้าวเข้ามาผลักดันความเท่าเทียมทางเพศของ LGBTQI+ ตั้งแต่ปี 2017 ผ่านการออกนโยบาย Gen Love Wins: Insurance For All วางคอนเซ็ปต์ “เพราะความรักชนะทุกสิ่ง” และทุกความรักต้องการการปกป้องเสมอ ปลดล็อคปกป้องทุกความรักและทุกเฉดสีที่เป็นคุณ พร้อมเคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต

ในขณะที่คู่รักเพศเดียวกันในไทยอาจยังไม่ได้รับการรับรองให้จดทะเบียนสมรสได้ เจนเนอราลี่ได้เปิดกว้างให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถระบุชื่อกันและกันในฐานะ “คู่ชีวิต” เป็นผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิตได้ เพียงแสดงหลักฐานการใช้ชีวิตร่วมกัน เช่น ภาพถ่ายบนโซเชียลมีเดีย ภาพถ่ายการสมรส หลักฐานการซื้อหรืออยู่บ้านเดียวกัน หลักฐานการทำธุรกิจร่วมกัน ทะเบียนสมรส (กรณีจดทะเบียนในต่างประเทศ)

นอกจากนี้ เจนเนอราลี่ยังมีการพัฒนากรมธรรม์รวมถึงความคุ้มครองให้ตอบโจทย์กลุ่ม LGBTQI+ มาตลอด 4 ปี ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ประกันที่จะช่วยดูแลให้คู่รักเพศเดียวกันใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

“เจนเนอราลี่ สนับสนุนสิทธิความเท่าเทียมและไม่ปิดกั้นขอบเขตความแตกต่างทางเพศ เราเปิดกว้างเพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบของความรัก เปิดโอกาสให้คู่ชีวิตเพศเดียวกันสามารถระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ว่า “คู่ชีวิต” ผ่านแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองและส่งเสริมการวางแผนชีวิตคู่ ซึ่งเรามีครอบคลุมทั้งแบบประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันสะสมทรัพย์ เพื่อให้คู่รัก LGBTQI+ สามารถวางแผนสร้างหลักประกันความคุ้มครองที่มั่นคงกันไปตลอดทั้งชีวิต” บัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าว

ทั้งนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เปิดกว้างต่อความหลากหลายของเจนเนอราลี่นั้น มาจากจุดตั้งต้นภายในบริษัท ที่เจนเนอราลี่มีนโยบายยอมรับความแตกต่างหลากหลายภายในองค์กร (D&I : Diversity and Inclusion) ไม่ว่าจะเป็นด้านเพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ไปจนถึงความบกพร่องทางร่างกาย บริษัทฯได้รับการขับเคลื่อนด้วยพลังจากพนักงานที่หลากหลาย ไร้ข้อจำกัดด้านเพศสภาพ และไม่มีนโยบายกีดกันการรับพนักงานกลุ่ม LGBTQI+  เข้าทำงานแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับต้องการสนับสนุนการสร้างสรรค์งานร่วมกันบนความหลากหลายในพื้นฐาน “It’s our differences that make the difference!”

คุณบัณฑิตอธิบายว่า การยอมรับความแตกต่างหลากหลายหรือ D&I นี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพองค์กร เพราะมุมมอง ไลฟ์สไตล์ และประสบการณ์ที่หลากหลายของพนักงานที่แตกต่างกัน จะทำให้บริษัทสร้างสรรค์ได้มากกว่า มีโอกาสรับมือกับโจทย์ที่เข้ามาได้มากกว่า เพราะความแตกต่างคือสิ่งที่สร้างให้เจนเนอราลี่แตกต่างจากรายอื่นๆ

จุดหมายปลายทางของการรวมความหลากหลายเหล่านี้ เป็นไปก็เพื่อการพัฒนาศักยภาพองค์กร ให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเจนเนอราลี่ให้ได้ดียื่งขึ้น เป็น ‘Lifetime Partner’ เคียงข้างทุกช่วงชีวิตของลูกค้าได้อย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับการลุกขึ้นยืนหยัดเคียงข้างลูกค้า LGBTQI+ ในแคมเปญ Gen Love Wins: Insurance For All นี้มาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว 

“เราสนับสนุน “Pride Month” มากกว่าแค่เปลี่ยนโลโก้เป็นสีรุ้งในช่วงเวลาแค่เดือนเดียว ด้วยการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับสังคม เพื่อชาว LGBTQI+ ได้ใช้ชีวิตได้อย่างภาคภูมิใจและมีความเท่าเทียม เราพร้อมเคียงข้างและประกันทุกความรักของคุณ” คุณบัณฑิตกล่าวปิดท้าย

]]>
1337949
สภาเศรษฐกิจโลกทำนาย ‘ความเท่าเทียมทางเพศ’ จะเกิดจริงในอีก 136 ปี! https://positioningmag.com/1325947 Thu, 01 Apr 2021 03:53:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1325947 รายงานฉบับใหม่จาก ‘World Economic Forum’ (WEF) หรือ ‘สภาเศรษฐกิจโลก’ คาดการณ์ว่าการบรรลุความเท่าเทียมทางเพศทั่วโลกจะใช้เวลาเกือบ 136 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่วางไว้คือ 100 ปี

WEF มีมาตรการชี้วัดความเท่าเทียม 4 วิธี ได้แก่ 1.การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ 2.โอกาสทางการศึกษา 3.โอกาสและการเข้าถึงทางด้านสุขภาพ และ 4.การเสริมสร้างอำนาจทางการเมือง เมื่อพิจารณาจากข้อมูลดังกล่าวแล้วองค์กรพบว่า ช่องว่างในการเพิ่มขีดความสามารถทางการเมืองได้กว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่รายงานปี 2020 ในขณะที่การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจดีขึ้นเพียงเล็กน้อย

“เราหวังว่ารายงานฉบับนี้จะใช้เป็นคำเรียกร้องให้การปลูกฝังถึงความเท่าเทียมทางเพศ เป็นเป้าหมายหลักของนโยบายและแนวปฏิบัติในการจัดการการฟื้นตัวหลังการระบาดของ COVID-19 เพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจและสังคมของเรา” Saadia Zahidi กรรมการผู้จัดการ WEF เขียนในรายงาน

ในขณะที่สัดส่วนของผู้หญิงในกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญ มีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ก็มีความ ไม่เสมอภาคของรายได้ และจำนวนผู้หญิงที่อยู่ใน ตำแหน่งบริหาร ยังคงเป็นปัญหาอยู่ ขณะที่ช่วงการระบาดใหญ่จำนวน ผู้หญิงตกงาน มีอัตราที่สูงกว่าผู้ชาย และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวพวกเขาก็ได้รับการว่าจ้างใหม่ในอัตราที่ช้ากว่าผู้ชาย

“ความก้าวหน้าต่อความเท่าเทียมทางเพศกำลังเกิดขึ้นในเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้หญิงต้องทำงานในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการถูกล็อกดาวน์ รวมทั้งยังมีแรงกดดันเพิ่มในการต้องดูแลที่บ้าน”

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวสะท้อนถึงข้อกังวลที่เกิดขึ้นในงานวิจัยก่อนหน้านี้ โดยองค์การสหประชาชาติคาดการณ์เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดอาจผลักให้ผู้หญิงอีก 47 ล้านคนตกอยู่ในความยากจน

“นั่นเหมือนกับประเทศสเปนทั้งประเทศตกอยู่ในความยากจน เป็นเพราะเราเห็นผู้หญิงถูกเลิกจ้างแรงงาน” Melinda Gates ประธานร่วมของมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ กล่าว

ทั้งนี้ ประเทศที่มีช่องว่างระหว่างเพศน้อยที่สุดคือ กลุ่มนอร์ดิก ที่ประกอบด้วย ไอซ์แลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 30 ในด้านความเท่าเทียมกันทางเพศ

Source

]]>
1325947
เตรียมจิ้มกันได้เลย! อีโมจิใหม่ปี 2020 จะมีรูป “ชาไข่มุก” อยู่ในเซ็ต!! https://positioningmag.com/1262537 Thu, 30 Jan 2020 11:13:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1262537 อีโมจิประจำปี 2020 จะออกใหม่ 117 ตัว โดยภาพอีโมจิส่วนใหญ่สะท้อนแนวคิดเปิดกว้างด้านสีผิว เชื้อชาติ และเพศสภาพ เช่น อีโมจิรูปคนให้นมลูกที่มีทั้งเพศชายและเพศหญิง ส่วนสายกินเตรียมจิ้มอีโมจิรูป “ชาไข่มุก” กันได้เลย

Emoji 13.0 เซ็ตใหม่ของรูปอีโมจิบนสมาร์ทโฟนประจำปี 2020 จะมีออกมาทั้งหมด 117 ตัวครอบคลุมทุกหมวดภาพ โดยปีนี้ดูเหมือนว่าธีมหลักของการสร้างสรรค์คือความเท่าเทียมทางเพศและเชื้อชาติ เช่น รูปอีโมจิคนให้นมลูกด้วยขวดนมที่มีทั้งเพศชายและเพศหญิง อีโมจิคนใส่ผ้าคลุมผมแต่งงาน อีโมจิคนใส่สูททักซิโด อีโมจิรูปธงของกลุ่มบุคคลข้ามเพศ หรืออีโมจินินจาที่มีให้เลือกสีผิวถึง 5 เฉดสี จนถึงอีโมจิ “มืออิตาเลียน” เป็นรูปมือจีบแบบที่คนอิตาเลียนชอบทำเวลาคุยกัน

เจนนิเฟอร์ แดเนียล ผู้อำนวยการด้านการออกแบบโปรแกรม Android Emoji ของ Google กล่าวว่า ผลงานเหล่านี้เป็นการสะท้อนถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่ม

“เราให้การสนับสนุนเพศสภาพและเพศวิถีที่หลากหลาย” แดเนียลกล่าว “ก่อนหน้านี้ อีโมจิที่เกี่ยวกับการดูแลลูกมีอยู่แค่ตัวเดียวคืออีโมจิรูปแม่ให้นมลูก” แต่เมื่อทุกวันนี้ การไม่มีเต้านมไม่ได้แปลว่าคุณจะให้นมลูกหรือดูแลลูกไม่ได้ ดังนั้น Google จึงสร้างอีโมจิที่ทำให้ทุกคนสามารถใช้ได้

นอกจากเรื่องความเท่าเทียมทางเพศและสีผิวแล้ว อีโมจิเซ็ตใหม่ยังมีธีมเรื่อง “ความเห็นอกเห็นใจ” ด้วย โดยสะท้อนผ่านอีโมจิรูป “คนกอดกัน” และรูป “ใบหน้ายิ้มที่มีน้ำตาซึมเล็กน้อย” ที่ต้องการสื่อถึงอารมณ์ของความซาบซึ้งและโล่งใจในเวลาเดียวกัน สามารถนำไปใช้ได้หลายสถานการณ์ เช่น เมื่อคุณนึกถึงเรื่องราวในอดีตอันซาบซึ้งใจ หรือเมื่อคุณคาดหวังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและรอคอยอย่างมีความหวัง

Emoji 2020

ถัดมาในหมวดอาหาร สัตว์ อวัยวะ และสิ่งของ กลุ่มอาหารมีอีโมจิที่น่าสนใจเติมเข้ามา เช่น “ชาไข่มุก” อีโมจิที่แฟนชานมรอบโลกรอคอย ส่วนกลุ่มสัตว์ มีสัตว์น่ารักๆ เติมเข้ามา เช่น “แมวน้ำ” “หมีขั้วโลก” รวมถึงสัตว์ที่บางคนอาจไม่กล้าจิ้มมาใช้งานอย่าง “แมลงสาบ” ด้วย

สำหรับกลุ่มอวัยวะ มีอีโมจิรูป “ปอด” และ “หัวใจ” ที่เป็นหัวใจจริงๆ ไม่ใช่รูปวาด ส่วนกลุ่มสิ่งของ มีที่น่าสนใจเช่น “รองเท้าแตะ” “รองเท้าสเก๊ตช์” “แปรงสีฟัน” “กระจก” และ “ป้ายหลุมศพ”

ทั้งนี้ อีโมจิที่จะลงในแต่ละแพลตฟอร์มอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยเบื้องต้นคาดการณ์ว่า Android จะเป็นแพลตฟอร์มแรกที่ปล่อยอีโมจิใหม่ออกมาก่อนช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ตามด้วย iOS จะออกช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน

Source

Source

]]>
1262537
เปิดโพลความเท่าเทียมทางเพศ “ญี่ปุ่น” รั้งอันดับ 121 ค่านิยมผู้หญิงยังเป็นรองผู้ชาย https://positioningmag.com/1258852 Sat, 28 Dec 2019 17:34:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258852 ผลการสำรวจพบว่า ความเท่าเทียมทางเพศของญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 121 จาก 153 ประเทศทั่วโลก และมีอันดับลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนสถานะของผู้หญิงในญี่ปุ่นยังคงเป็นรองผู้ชายอย่างมาก

World Economic Forum ได้เปิดเผยผลการสำรวจ “ความเท่าเทียมทางเพศ” ประจำปีนี้ โดยสำรวจ 153 ประเทศทั่วโลก และญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 121 เกือบรั้งท้าย และยังได้อันดับลดลงจากปีที่แล้ว ที่ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 110 จาก 149 ประเทศ

การสำรวจนี้จัดอันดับโดยใช้ 14 ตัวชี้วัดใน 4 หมวด คือ โอกาสและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ, บทบาททางการเมือง, การได้รับการศึกษา และ สุขภาพและการใช้ชีวิต

ญี่ปุ่นได้อันดับที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะในเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมือง สัดส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงมีเพียง 10.1% และในคณะรัฐมนตรี 19 คนก่อนการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกันยายน มีรัฐมนตรีหญิงเพียงแค่คนเดียว

นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ถูกวิจารณ์ว่า “ดีแต่พูด ” เพราะเขาเป็นผู้เสนอนโยบายเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิง แต่ทั้งในคณะรัฐมนตรี และในพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ LDP ที่เขาเป็นผู้นำพรรค กลับมีส่วนร่วมของผู้หญิงน้อยมาก

พรรค LDP มี สส. ในสภาผู้แทนราษฎรมากถึง 60% แต่มี สส. หญิงเพียงแค่ 7% ส่วนการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พรรค LDP ก็ส่งผู้สมัครหญิงเพียงแค่ 15%

Photo : Shutterstock

การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่กฎหมายใหม่ ได้กำหนดให้พรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งชายและหญิงในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน โดยให้ทยอยดำเนินการ แต่พรรค LDP ก็ไม่ได้ประกาศแผนที่จะเพิ่มจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งหญิงให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดได้อย่างไร

เมื่อเทียบกับพรรคฝ่ายค้าน สัดส่วนของผู้สมัครรับเลือกตั้งหญิงในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกครั้งล่าสุดแตกต่างอย่างชัดเจน พรรคประชาธิปไตยแห่งรัฐธรรมนูญมีผู้สมัครหญิง 45% พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชนอยู่ที่ 36% และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งญี่ปุ่นมีผู้สมัครรับเลือกตั้งหญิงถึง 55%

ในเรื่องการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ ผู้หญิงญี่ปุ่นก็แทบไม่มีที่ทางเช่นกัน ทั้งในเรื่องสัดส่วนผู้บริหารที่เป็นผู้หญิงที่น้อย รายได้ของผู้หญิงน้อยกว่า และอัตราค่าจ้างของผู้หญิงในญี่ปุ่นก็น้อยกว่าผู้ชายในงานประเภทเดียวกัน

มีเพียงเรื่องของการศึกษาและสุขภาพและชีวิต ที่ความเท่าเทียมทางเพศของผู้หญิงญี่ปุ่นถือว่าดี

ความเท่าเทียมทางเพศของผู้หญิงญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 121 ถือว่าด้อยกว่าประเทศไทยที่อยู่ในอันดับที่ 75 จีนอันดับที่ 106 เกาหลีใต้อันดับที่ 108

เกาหลีใต้มีพัฒนาการขึ้นอย่างโดดเด่น จากผลงานของประธานาธิดีมุนแจอิน ที่แต่งตั้งรัฐมนตรีหญิงถึง 5 ตำแหน่ง และยังให้คำมั่นว่า จะแต่งตั้งรัฐมนตรีหญิงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีของเขา ส่วนในรัฐสภาของเกาหลีใต้ มีสส.หญิงถึงร้อยละ 16.7 ขณะที่ในสภาญี่ปุ่นมี สส.หญิงเพียงร้อยละ 10.1

ทั้งนี้ ประเทศที่มีอันดับความเท่าเทียมทางเพศด้อยกว่าญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นประเทศโลกมุสลิม ซึ่งผู้หญิงถูกจำกัดบทบาทและกีดกันอย่างมากด้วยเหตุทางศาสนา

Source

]]>
1258852