ชานมไต้หวัน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 10 Apr 2022 14:22:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเบื้องหลัง “วิตอะเดย์ ชานมไต้หวัน” กับโจทย์ใหญ่ ดื่มชานมได้ทุกวันแบบไม่รู้สึกผิด https://positioningmag.com/1380897 Sun, 10 Apr 2022 13:36:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380897 เป็นกระแสฮือฮาอยู่พักใหญ่ สำหรับ “วิตอะเดย์ กลิ่นชานมไต้หวัน” ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ในการเนรมิตน้ำดื่มวิตามิน ผสมกับชานมไข่มุก เป็นเทรนด์ฮิตสำหรับคนไทย แต่ทำอย่างไรให้คนดื่มได้แบบไม่รู้สึกผิด แถมยังได้ประโยชน์จากวิตามินอีกด้วย ตอนนี้พบว่าสินค้าขาดตลาด กลายเป็นแรร์ ไอเท็มไปแล้ว

น้ำดื่มวิตามิน ตลาดสุขภาพที่ใครๆ ก็อยากเล่น

เทรนด์ในการดูแลสุขภาพของคนไทยยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง และยังเห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ตลาดกลุ่มอาหาร และเครื่องดื่มมีความคึกคัก ต่างออกสินค้าใหม่ที่ช่วงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น

หนึ่งในเทรนด์ยอดนิยมก็คือ “น้ำดื่มวิตามิน” หรือวิตามิน วอเตอร์ กลายเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูง ที่มาพร้อมกับผู้เล่นในตลาดมากหน้าหลายตา มีทั้งผู้เล่นในตลาดเครื่องดื่มรายใหญ่ ไปจนถึงรายใหม่ๆ ที่ขอมาเปิดตลาดกับเขาบ้าง

น้ำดื่มวิตามินในตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำที่ผสมกับวิตามินต่างๆ ที่นิยมก็จะเป็นวิตามินบี และวิตามินซี พร้อมกับใส่รสชาติ หรือกลิ่นเพื่อให้ดื่มง่าย แรกเริ่มเดิมทีตลาดนี้มีผู้บุกเบิกก็คือ “ยันฮี วิตามินวอเตอร์” เรียกว่าเป็นรายแรกๆ ในตลาด เริ่มจากเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลยันฮี จากนั้นเริ่มออกสู่ตลาดแมสในการจำหน่ายในร้านค้าทั่วไป

ทำให้หลังจากนั้นเริ่มมีแบรนด์ใหม่ๆ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง วิตอะเดย์, อิชิตัน, เจเล่, บลู, เพอร์ร่า, Dr.Drink, แมนซั่ม รวมไปถึงวิตมอร์สจาก คิงเพาเวอร์ ก็ลงมาเล่นตลาดนี้ด้วย ในช่วงหลัง “ทรู” ก็ลงมาจับตลาดด้วยเช่นกัน

วิตอะเดย์ (VITADAY) เป็นแบรนด์แรกๆ ที่จับเทรนด์น้ำดื่มวิตามินต่อจากยันฮี ได้แจ้งเกิดในช่วง COVID-19 ระบาดในช่วงแรก ได้ออก วิตอะเดย์ วิตามินวอเตอร์ น้ำดื่มวิตามินบีรวม 100% 7 ชนิด ประกอบด้วย วิตามิน B1, B3, B5, B6, B7, B9, B12 จากนั้นเริ่มเพิ่มรสชาติ และขยายสู่น้ำดื่มผสมวิตามินซี

ต้องเกริ่นก่อนว่า ก่อนที่น้ำดื่มวิตามินจะเป็นที่นิยม ในตลาดน้ำดื่มได้มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ส่วนใหญ่เป็นเทรนด์ดูแลสุขภาพ มีน้ำดื่มที่น้ำตาลน้อยลง แคลอรีน้อยลง ไปจนถึงฟังก์ชันอลดริ้งก์ที่มีส่วนผสมต่างๆ ช่วยเรื่องผิว การขับถ่าย บำรุงสมอง และอื่นๆ มากมาย

แต่ที่น้ำดื่มวิตามินได้รับความนิยม เนื่องจากผู้บริโภคหันมาดื่มน้ำดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น งดพวกน้ำหวาน น้ำวิตามินเข้ามาตอบโจทย์คนที่ดื่มน้ำเปล่า แต่ทำให้มีรสชาติ แล้วชูจุดขายด้วยการผสมวิตามินต่างๆ

จับเทรนด์ฮิต ชานม x น้ำวิตามิน

จุดขายหลักของน้ำดื่มวิตามินก็คือ การมีรสชาติที่หลากหลาย แต่น้ำตาลน้อย แคลอรีต่ำ หรือบ้างเจ้าอาจจะไม่ใส่น้ำตาลเลยก็ได้ ส่วนใหญ่จะใส่กลิ่น หรือรสชาติผลไม้ และสมุนไพร เพื่อความสดชื่น และสื่อถึงการดูแลสุขภาพ

ปีที่ผ่านมาวิตอะเดย์มีน้ำดื่มวิตามินในพอร์ต 4 ตัว ได้แก่ น้ำดื่มผสมวิตามินบี 1 ตัว, น้ำดื่มผสมวิตามินซี 2 รสชาติ ได้แก่ พีช และเลมอน และน้ำดื่มผสมคอลลาเจน

ในปีนี้วิตอะเดย์ได้เปิดสินค้าใหม่พร้อมกัน 2 ตัว ได้แก่ วิตอะเดย์ เฮอร์เบิล วอเตอร์ น้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามินซีสูง 200% น้ำสมุนไพรสกัดจากธรรมชาติพร้อมวิตามินซี 200% และที่สร้างความฮือฮาก็คือ วิตอะเดย์ น้ำวิตามินบีรวม กลิ่นชานมไต้หวัน เริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

แต่หลังจากที่วางจำหน่ายก็เกิดกระแสตามล่า หรือตามเหมาหมดตู้ จนตอนนี้เกิดกระแสสินค้าขาดตลาด เพราะต้องบอกว่าคนไทยมีความเป็นทาสชานมไข่มุกอยู่แล้ว เมื่อมีสินค้าใหม่ก็เกิดการอยากลอง รวมไปถึงวิตอะเดย์ ชานมไต้หวัน มีความคล้ายคลึงกับ “น้ำชานมใส” จากค่าย Suntory เป็นสินค้าที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นกระแสในประเทศไทยอยู่พักหนึ่งเช่นกัน

Photo : japan-guides.blogspot.com

ตัวสินค้าเองก็ชูว่าไม่มีน้ำตาล, ไม่มีแคลอรี, ไม่มีโซเดียม พร้อมมีกลิ่นชานมไต้หวัน หลายคนได้ทานจะรู้สึกเหมือนได้ทานชานมจริงๆ แต่ไม่ทำลายสุขภาพ ซึ่งทางบริษัทได้พัฒนาจาก Pain Point ของผู้บริโภค ที่ชอบทานชานมไข่มุกแต่ก็มีความรู้สึกผิด กลัวอ้วน

ประกอบกับราคาขาย 17 บาท ถือว่าถูกกว่าราคาชานมไข่มุกในตลาดอีกด้วย

พงศกร พงษ์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด กล่าวว่า

“ในปี 2564 ที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามิน มีมูลค่าสูงถึง 2,412 ล้านบาท เติบโตทั้งในเชิงมูลค่าและเชิงปริมาณ จากกระแสการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงทำให้น้ำดื่มวิตามิน เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผู้บริโภคมองหาเพื่อตอบโจทย์เรื่องในการดูแลสุภาพ รวมถึงมีผู้เล่นในตลาดออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ ส่งผลให้ตลาดน้ำดื่มวิตามินมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

หลักในการพัฒนาสินค้าของวิตอะเดย์ จะมาจากอินไซต์ของผู้บริโภค พบว่าในตลาดน้ำวิตามินมีแต่รสชาติเดิมๆ ในแง่การตลาดอยากได้สินค้าใหม่ ที่ผ่านมาก็มีกระแสของชานมไข่มุกเยอะมาก แต่หลายคนที่ทานยังรู้สึกผิด กลัวอ้วน เลยมาคิดว่าถ้ามีสินค้าตอบโจทย์สุขภาพ เอามาแมทช์กับน้ำวิตามินได้ก็ดี วิตอะเดย์เลยออกเป็นซีรีส์วิตามินบี กลิ่นชานมไต้หวัน ยังตอบโจทย์สุขภาพได้ดีอยู่

หลายคนมองว่าจะคล้ายกับสินค้าที่ญี่ปุ่น แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะวิตอะเดย์พัฒนาด้วยฐานของความเป็นน้ำวิตามิน ในเวลาในการพัฒนาอยู่ประมาณหนึ่ง โจทย์หลักก็คือ อยากให้คนที่ดื่มชานมดูแลสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งการออกสินค้าตัวนี้ ยังได้ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มใหม่ๆ เป็นกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่มากขึ้น

เรียกว่าเป็นการจับฐานทั้งกลุ่มคนรักชานมไข่มุก กับคนที่ดื่มน้ำวิตามินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สามารถสร้างสีสันใหม่ๆ ให้ตลาดได้

ส่วนสินค้าอีกตัว วิตอะเดย์ เฮอร์เบิล วอเตอร์ น้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามินซีสูง 200% เป็นการต่อยอดจากเทรนด์การเติบโตของเครื่องดื่มสมุนไพร ปัจจุบันจะเห็นเป็นในรูปแบบช็อตขวดเล็กๆ เป็นส่วนใหญ่ จึงพัฒนาสูตรน้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามิน ให้ความรู้สึกคล้ายเครื่องดื่ม Welcome Drink ตามโรงแรมใหญ่ๆ

ปีนี้สนุก หลายเจ้ากลับมาบุกตลาด

แม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามินจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงก็จริง แต่ในปี 2564 ตลาดก็ยังมีการเติบโต แต่แบรนด์ต่างๆ ได้ชะลอการลงทุน ไม่ค่อยมีกิจกรรมการตลาดมากนัก เพราะมีมาตรการล็อกดาวน์ค่อนข้างนาน บวกกับกำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวอย่างรุนแรง

มีการประเมินว่าในปี 2565 ตลาดจะกลับมาคึกคัก ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาลงทุนมากขึ้น ทั้งในแง่ของการออกสินค้าใหม่ๆ ทำโปรโมชัน และทำการตลาด ในปีนี้วิตอะเดย์ก็กลับมาลงทุนมากขึ้นเช่นกัน ทั้งเปิดตัวสินค้าใหม่ และมีการทำภาพยนตร์โฆษณาอีกครั้ง หลังจากชะลอไปในปีที่แล้ว

“ภาพรวมตลาดน้ำดื่มวิตามินปีที่ผ่านมามีมูลค่า 2,400 ล้านบาท มีคู่แข่งเยอะมาก แต่ในปีที่แล้วมีการทำตลาดไม่หวือหวา เพราะมาตรการล็อกดาวน์ กำลังซื้อชะงัก พยายามทำตลาดเฉพาะกลุ่ม ในปีนี้จะเริ่มเห็นเจ้าใหญ่ทำตลาดมากขึ้น ตลาดจะเติบโตกว่าปีก่อน แต่อาจจะได้เห็นเจ้าเล็กๆ ล้มหายตายจาก เหลือแต่เจ้าใหญ่ๆ” 

ครองบัลลังก์เบอร์ 1 น้ำวิตามิน

จากตลาดน้ำวิตามินในปี 2564 มีมูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท วิตอะเดย์สามารถไต่ขึ้นมาครองเบอร์ 1 ได้แล้ว ด้วยส่วนแบ่งตลาด 35% รองลงมาคือ ยันฮี 32% และ บลู 9.0% (อ้างอิงข้อมูลจาก Nielsen IQ : Retail Index ก.พ. 2565)

ต้องบอกว่าถ้าเทียบในตลาดแล้ว วิตอะเดย์ถือว่าเป็นน้องใหม่ที่ทำตลาดได้ราวๆ 2 ปี เทียบกับแชมป์เก่าอย่างยันฮีที่ทำตลาดมาราว 7 ปี ถือว่าใช้เวลาไม่นานในการขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ถ้าดูภาพรวมในตลาดแล้วก็ถือว่าวิตอะเดย์ค่อนข้างที่จะแอคทีฟในการออกสินค้าใหม่ๆ มากที่สุดด้วยเช่นกัน พร้อมกับมีแพ็คไซส์ขนาดเล็ก 330 มล. เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ทำให้เป็นการกระตุ้นตลาดไปในตัว

ต้องจับตาดูตลาดน้ำดื่มวิตามินในปีนี้ น่าจะมีความสนุกไม่แพ้ตลาดอื่นๆ ที่กลับมาทุ่มทำการตลาด และโปรโมชั่นอย่างแน่นอน

อีกทั้งปัจจุบันผู้บริโภคได้มี Perception ต่อน้ำดื่มวิตามินที่ดีขึ้น หลายคนมองว่าเป็นน้ำที่ดื่มได้ตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่ฟังก์ชันนอลดริ้งก์ เพราะหลายคนอยากสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น ดูแลสุขภาพมากขึ้น เป็นเหมือนน้ำเปล่าที่มีรสชาติ และยังมีผลพลอยได้เรื่องวิตามินเพิ่มเติม

]]>
1380897
ชานม JUSTDRINK กู้ชีพ! “เถ้าแก่น้อย” พลิกฟื้นทำกำไร 55 ล้าน จากขาดทุน 20 ล้าน https://positioningmag.com/1331784 Wed, 12 May 2021 09:16:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331784 เถ้าแก่น้อยเปิดลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2564 สามารถทำกำไรสุทธิที่ 55.9 ล้านบาท ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขาดทุน 20 ล้าน จากการควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น เร่งกระจายความเสี่ยงกลุ่ม Non-Seaweed พร้อมได้ชานมไต้หวัน “จัสท์ ดริ้งค์” ช่วยเพิ่มยอดขาย

พลิกสถานการณ์ กลับมามีกำไร

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้ามีรายได้จากการขาย 919.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยจากตลาดในประเทศที่มีรายได้ 388.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7% จากไตรมาสก่อนหน้า

ในไตรมาสนี้มีกำไรสุทธิ 55.9 ล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีผลขาดทุนสุทธิ 20.9 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญมาจากการบริหารจัดการต้นทุนทั้งด้านการผลิต และการจัดจำหน่าย ส่งผลทำให้มีต้นทุนการจัดจำหน่ายในไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 97.9 ล้านบาท ลดลง 14.3% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า ยังคงปรับการใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายขาย และการตลาดให้สัมพันธ์กับยอดขาย และเป็นไปตามสถานการณ์

รวมถึงการมียอดขายที่เพิ่มขึ้น โปรดักต์ฮีโร่คงหนีไม่พ้น “ชานมไต้หวัน Chun Cui He (ฉุน ชุ่ย เฮอ)” ที่เถ้าแก่น้อยนำเข้ามาผลิตมในไทยภายใต้ชื่อ “JUSTDRINK (จัสท์ ดริ้งค์)” ได้เปิดตัวเมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563 สร้างปรากฏการณ์ขาดตลาดไปอยู่พักใหญ่ เพราะสาวกชานมคนไทยได้ตามล่าหาในเซเว่นฯ ทั่วไทย

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าวว่า

“ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 แม้ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แม้มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เข้ามากดดัน บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตจากการขยายตลาดของสินค้าใหม่ ได้แก่ นมพาสเจอร์ไรส์รสชานม “จัสท์ ดริ้งค์” ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และสามารถกระจายสินค้ามากขึ้นในช่องทางร้านสะดวกซื้อเป็น 12,000 สาขา ณ ปลายเดือนมีนาคม 2564 จากเดิมที่มี 6,000 สาขา ณ ปลายปี 2563 สามารถชดเชยยอดขายจากตลาดต่างประเทศบางส่วนที่ชะลอตัว สำหรับตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดต่างประเทศหลัก มียอดขายลดลง และได้รับผลกระทบปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ได้เตรียมปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อเจาะตลาดจีนให้ดียิ่งขึ้น”

กระจายความเสี่ยงสู่กลุ่ม Non-Seaweed

สำหรับแนวโน้มภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง เถ้าแก่น้อยเตรียมแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ (NPD) เพื่อเพิ่มยอดขายนอกจากกลุ่มสาหร่าย (Non-Seaweed) คาดว่าจะมีการออกผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์จัสท์ ดริ้งค์ รสชาติใหม่ในเร็วๆ นี้

พร้อมทั้งอยู่ระหว่างร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาผลิตภัณฑ์ Plant-Based และศึกษาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชง ส่วนตลาดต่างประเทศคาดว่าจะเห็นการสั่งสินค้าจากเอเย่นต์เพิ่มขึ้น และปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ลดลงในครึ่งปีหลัง

“เรามุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุน ราคาวัตถุดิบ (สาหร่าย) ต้นทุนการผลิตระยะยาว เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น พร้อมทั้งรักษากระแสเงินสดเพื่อปันผลให้ผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง และเพียงพอสำหรับแผนขยายการลงทุนในอนาคต”

]]>
1331784
เปิดเบื้องหลังบิ๊กดีล ‘ฉุน ชุ่ย เฮอ’ เมื่อ ‘เถ้าแก่น้อย’ ขอลุยชานมไต้หวัน JUSTDRINK https://positioningmag.com/1310218 Mon, 14 Dec 2020 13:39:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310218 หากพูดถึงชื่อของ ‘สาหร่ายเถ้าแก่น้อย’ เชื่อว่าในไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก แม้ปีนี้จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่ทำให้รายได้หายไปกว่า 10% แต่บริษัทก็ส่งไม้ตายช่วงปลายปีด้วยการคว้าเอาชานมไต้หวันเจ้าดังระดับ Top 3 อย่าง ‘Chun Cui He (ฉุน ชุ่ย เฮอ)’ มาขายในไทยภายใต้ชื่อ ‘JUSTDRINK (จัสท์ดริ้งค์)’ โดยกระแสตอบรับดีขนาดที่ลงเมื่อไหร่หมดเมื่อนั้น ซึ่ง Positioning ได้คุยกับ ‘ต๊อบ อิทธิพัทธ์  พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)’ ถึงเบื้องหลังดีลดังกล่าว และเป้าหมายจากนี้ของบริษัทที่มี JUSTDRINK เป็นพระเอกใหม่

ต๊อบ อิทธิพัทธ์  พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)

จาก ‘ขนมขบเคี้ยว’ สู่ ‘นมพร้อมดื่ม’

เข้าสู่ปีที่ 16 แล้วสำหรับสาหร่าย ‘เถ้าแก่น้อย’ ที่ปัจจุบันได้ขยายตลาดไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลก แต่เพราะพิษ COVID-19 ทำให้บริษัทต้องหา ‘เทรนด์ใหม่’ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ‘มิสเตอร์เหลียง เจีย หมิง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไต้หวัน บิฟิโด ฟู้ด (Taiwan Bifido Foods Inc) เจ้าของชานมสุดฮิตในไต้หวัน ‘ฉุน ชุ่ย เฮอ’ ต้องการขยายตลาดไปต่างประเทศ ซึ่งมิสเตอร์เหลียงเป็นแฟนสาหร่ายเถ้าแก่น้อย ทำให้ดีลระหว่างเถ้าแก่น้อยและชานมฉุน ชุ่ย เฮอถือกำเนิดขึ้นภายใต้แบรนด์ ‘จัสท์ดริ้งค์’ ซึ่งไทยถือเป็นแหล่งผลิตนอกไต้หวันประเทศแรก จากเดิมที่ส่งออกไปประเทศฮ่องกงและสิงคโปร์

“เรารู้จักแบรนด์เขามาประมาณ 2 – 3 ปี แต่ตอนนั้นเขายังไม่มีแผนจะขยายตลาดไปต่างประเทศ จนเมื่อเขาต้องการขยายไปประเทศอื่น ๆ เขาก็นึกถึงเราเพราะเขาเป็นแฟนสาหร่ายและพอเขารู้ว่าเราก็ชอบเขา เขาก็พร้อมเจอเรา ซึ่งดีลนี้ทำให้เราได้เข้ามาทำตลาดนมพร้อมดื่มเป็นครั้งแรก

เหลียง เจีย หมิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไต้หวัน บิฟิโด ฟู้ด (Taiwan Bifido Foods Inc) (ซ้าย) อิทธิพัทธ์  พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) (ขวา)

วางเป้ายอดขาย 1.5 แสนขวด/วัน

สำหรับความร่วมมือของเถ้าแก่น้อยและฉุน ชุ่ย เฮอนั้น ทางแบรนด์ชานม ฉุน ชุ่ย เฮอจะให้สิทธิประเทศไทยในการตั้งโรงงานผลิตโดยให้สูตรและแบรนด์ พร้อมกับร่วมลงทุน 50% โดยเถ้าแก่น้อยจะจ่ายค่ารอยัลตี้ฟรีแก่ฉุน ชุ่ย เฮอ และหากตลาดประเทศไทยประสบความสำเร็จ สเต็ปต่อไปเริ่มขยายไปในต่างประเทศ

ซึ่งตั้งแต่ทดลองขายเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนโดยผลิตสินค้าที่ 30,000 ขวด/วัน กระจายในเซเว่นฯ 6,000 สาขา หรือเฉลี่ยที่ 5 – 6 ขวด/สาขา ซึ่ง ของหมดไม่พอขายทุกวัน ดังนั้น ทางบริษัทกำลังขยายการผลิตให้ได้ 100,000 – 150,000 ขวด/วัน ภายในไตรมาส 2 ปีหน้า เพื่อจะกระจายสินค้าไปที่เซเว่นครบ 12,500 สาขา ดังนั้น คาดว่าในปีหน้าสินค้าจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนขวด/วัน และถ้ามียอดเกิน 2 แสนขวดเมื่อไหร่จะขยับไปสเต็ปถัดไป

“จุดที่ทำให้ฉุน ชุ่ย เฮอเป็นพันธมิตรกับเราคือ เรามีฐานลูกค้าในเอเชียที่แข็งแรง ดังนั้นเราจะเป็นเกตเวย์สำคัญในการกระจายสินค้าในอนาคต ซึ่งในช่วง 1 – 2 ปีแรกจะเป็นการทดลองตลาดว่าผลตอบรับดีแค่ไหน ถ้ายอดขายมีมากขึ้นจะขยับไปสเต็ปถัดไปคือ ขยายตลาดไปประเทศอื่น ๆ”

จัสท์ดริ้งค์น้องใหม่ที่มีสาขามากสุด

ตลาดชานมเป็นตลาดที่ใหญ่มาก โดยในเอเชียมีมูลค่าถึง 1 แสนล้านบาท และคาดว่าอีก 5 ปีจะโตเป็น 2 แสนล้านบาท ส่วนตลาดชานมในไทยมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาทเติบโตประมาณ 2 หลักต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ตลาด ‘นมพร้อมดื่ม’ มีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ‘นมพาสเจอร์ไรซ์’ ประมาณ 16,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดดังกล่าวจะเป็นตลาดที่จัสท์ดริ้งค์จะเข้าไปแข่งขัน เนื่องจากจัสท์ดริ้งค์จะเน้นขายผ่านร้านสะดวกซื้อไม่เหมือนกับแบรนด์ชานมอื่น ๆ ที่มีสาขาของตัวเอง ซึ่งบริษัทมองว่ายัง มีโอกาส เพราะตลาดนมพาสเจอร์ไรซ์ไม่ค่อยโตเนื่องจากไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ

“เรามองว่าเราอยู่คนละตลาดกับแบรนด์ชานมแบบชงสดที่ราคาตั้งแต่ 25 บาทจนถึงหลักร้อยบาท เพราะเราขายในเซเว่น ดังนั้นคู่แข่งเราคือ นมพาสเจอร์ไรซ์ อาทิ แบรนด์เมจิ ดัชมิลค์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรสชาติทั่วไปไม่ใช่ชานม ส่วนรสชานมจะเป็นตลาดนิช เช่น แบรนด์ของเซเว่นเอง ดังนั้น เราเห็นว่ามีโอกาสเติบโตอย่างมาก”

ชานมเยียวยาทุกสิ่ง

บริษัทวางงบการตลาดไว้ที่ 10% ของยอดขาย ซึ่งในปีแรกตั้งเป้ายอดขายราว 200 – 300 ล้านบาท หรือราว 2% ในตลาดนมพาสเจอร์ไรซ์ โดยบริษัทจะเน้นการสื่อสารทุกช่องทางเพราะต้องการสื่อสารกับคนไทยทั้งประเทศ โดยโพสิชั่นตัวเองให้เป็น ‘นมที่ดื่มได้ทุกวัน’ ด้วยจุดแข็งของรสชาติที่ ‘ไม่หนักหรือเบาเกินไป’ และจะใช้คีย์เวิร์ด ‘ชานมเยียวยาได้ทุกสิ่ง’ มาเป็นจุดแข็งทางการตลาดที่จะสื่อสาร คือไม่ว่าอารมณ์ไหนก็เยียวยาได้ทุกสิ่ง แถมช่วยแก้ความคิดถึงไต้หวันได้ด้วย

เพอร์เซ็ปชั่นของคนไทยยังมองว่านมเป็นอาหารเช้าหรือดื่มแทนมื้ออาหาร แต่เราต้องการเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มได้ทุกวันตลอดวัน เป็นชานมที่เยียวยาทุกสิ่งจริง ๆ ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค แต่เยียวยาทั้งผมและเถ้าแก่น้อย ผมเชื่อว่าตัวนี้จะเป็นตัวที่มาเยียวยาตลาดทัวร์ลิสต์ในปีหน้าของบริษัท มากอบกู้เอกราชของเถ้าแก่น้อยในไทย และปีหน้าเราจะมีสินค้าและนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกเยอะ และนี่จะเป็น Quick Win ของเรา”

ลุยกลยุทธ์ 3 Go ปั้นรายได้หมื่นล้าน

ตั้งแต่เจอ COVID-19 ทำให้บริษัทต้องสร้างตัวเองใหม่ผ่าน 3 กลยุทธ์ ‘3 Go’ ได้แก่

1. Go Firm การทำให้องค์กรเฟิร์ม และปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทได้เริ่มปรับจำนวนพนักงานให้สอดคล้องกับกำลังการผลิต รวมถึงตัดเถ้าแก่น้อยแลนด์จาก 19 สาขาเหลือ 5 สาขา ซึ่งทำให้บริษัทแม้รายได้จะลดลงประมาณ 10 – 15% ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา แต่ยังสามารถมีกำไรเท่ากับปีที่แล้วได้

2. Go Broad ขยายสินค้าให้กว้าง ไม่ได้มีแค่สาหร่ายอบกรอบเพียงอย่างเดียว โดยชานมจัสท์ดริ้งค์เป็นจุดเริ่มต้น โดยในปีหน้านอกจากจะมีรสชาติใหม่ ๆ แล้ว บริษัทยังมีแผนเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ ที่มาจากนวัตกรรมจากบริษัทเอง รวมถึงการหาพันธมิตรอื่น ๆ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าอื่น ๆ จาก 10% ให้เป็น 20 – 30% ภายใน 5 ปีจากนี้

3. Go Global คิดในระดับโลก มองโอกาสในตลาดโลก โดยปัจจุบันเถ้าแก่น้อยมีรายได้จากต่างประเทศถึง 60% เฉพาะตลาดสาหร่ายยังเติบโตได้อีกมาก เพราะประเทศไทยทานสาหร่ายเฉลี่ย 15 แผ่น/คน/ปี ส่วนจีนยังไม่ถึง 1 แผ่น ขณะที่ตลาดอเมริกาก็ได้รับการตอบรับอย่างดีมีอัตราการเติบโตถึง 100%

“จากนี้เราต้องมองว่ามันจะมีวิกฤตทุกปี แม้ไม่มี COVID-19 ก็อาจจะมีอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้เราไม่ได้มีแค่ตัวเองเหมือนตอนเริ่ม แต่มีพนักงาน มีซัพพลายเออร์ ถ้าเราเพลี่ยงพล้ำ แปลว่าคนอื่น ๆ ด้วย

ทั้งนี้ เถ้าแก่น้อยตั้งเป้าทำรายได้จาก 5,000 ล้านบาทเป็น 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี โดยไม่จำกัดตัวเองแค่ ‘สาหร่าย’ และใช้จุดแข็งด้าน ‘Food Innovation’ เพื่อทำให้สินค้าของบริษัทมี ‘Value Added’ ในราคาที่จับต้องได้ เมื่อก่อนเคยแมสแค่ไหน จากนี้ไปต้องแมสกว่าเดิม

]]>
1310218
รู้จัก “Machi Machi” เทพเเห่งชาชีสจากไต้หวัน ผู้สร้างเทรนด์ “ชานมขวด” ลุยเปิดสาขาในไทย https://positioningmag.com/1300379 Thu, 08 Oct 2020 13:00:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1300379

เรียกได้ว่าตอนนี้ “ชาชีส” ยังคงเป็นเครื่องดื่มมาเเรงที่ครองใจใครหลายคน เเม้กระเเสจะผ่านมาสักพักหนึ่งเเล้ว เเต่ความนิยมก็ยังพุ่งต่อเนื่อง

ช่วงที่ผ่านมา เเบรนด์ชานมชื่อดังต่างๆ พาเหรดเข้ามาตีตลาดบ้านเรากันมากขึ้น ครั้งนี้ไม่ธรรมดาเพราะถึงคิวของ “Machi Machi” เจ้าใหญ่แบรนด์แฟรนไชน์จากไต้หวัน ผู้ได้รับฉายาการันตีคุณภาพอย่าง “The Cheese Tea God” ออริจินัลชานมในขวดในตำนาน…ที่ต้องไปลองชิมกันให้จงได้

Machi Machi ประกาศ “บุกไทย” ด้วยการเปิดสาขาเเรก ใจกลางเมืองที่สยามสเเควร์ ซอย 8 เเหล่งวัยรุ่น-คนทำงาน พร้อมเสิร์ฟเมนูชานมที่เป็นมากกว่าไข่มุก บวกกับการตกเเต่งร้านที่โดดเด่นเเละมีสไตล์ให้ได้เช็ก-อินกันเก๋ๆ ด้วย

วันนี้เรามารู้จัก “Machi Machi” เเบรนด์ชาชีสสุดฮิตกันให้มากขึ้นกัน…

Machi Machi (มาชิ มาชิ) ชานมไต้หวัน…สู่ตลาดโลก

อย่างที่ทราบกันดีว่า “ธุรกิจชานม” ในไต้หวันทำรายได้สูงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนถึงขั้นว่าถ้าคนคิดถึงไต้หวัน ก็ต้องคิดถึงชานมไปเเล้ว

รัฐบาลไต้หวันจึงคว้าโอกาสนี้ ด้วยการผลักดันให้เเบรนด์ชานมไป “รุกตลาดต่างประเทศ” เพื่อหวังทำรายได้มากกว่าสินค้าส่งออกดั้งเดิม โดยในปี 2019 ธุรกิจชานมในไต้หวันสร้างมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

“Machi Machi” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์แฟรนไชน์จากไต้หวัน ที่ก่อตั้งในปี 2018 เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเน้นให้ความสำคัญกับการดื่มชาที่เป็นเสมือนวิถีชีวิตของผู้คน มากกว่าจะเป็นเเค่ความนิยมตามเเฟชั่น เจาะลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่เเละวัยทำงาน อายุระหว่าง 15-35 ปี พร้อมให้บริการที่เน้นความสะดวกเเละรวดเร็ว พกพาง่าย มีการพัฒนาเมนูอยู่ตลอดเวลา

ล่าสุด Machi Machi ประสบความสำเร็จในการขยายสาขาไปกว่า 11 ประเทศ 40 สาขาทั่วโลก กระจายอยู่ทุกภูมิภาค ทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือเเละโอเชียเนีย

ที่มาของโลโก้ “Machi Machi” มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยเป็นการออกเเบบจากปรัชญาที่เเบรนด์ยึดถือตั้งเเต่เริ่มก่อตั้งที่ว่าจะเป็น “เพื่อนที่ดีที่สุดของลูกค้า” โดยในระหว่างขั้นตอนการพัฒนาเเละหาเเรงบันดาลใจดีไซน์โลโก้นั้น สมาชิกในทีมคนหนึ่งได้นำสุนัขตัวโปรดของเขาเข้ามาเเละเริ่มเล่นกับมันอย่างสนุกสนาน นับเป็นภาพบรรยากาศที่บ่งบอกถึงการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งนำมาสู่การเลือกใช้โลโก้เป็น “น้องหมา” เพราะต้องการสื่อความหมายถึง “เพื่อนที่ซื่อสัตย์” นั่นเอง

ปรากฎการณ์ “ต่อเเถวยาว-ขายอัพราคาชานม”

ด้านความฮอตของ Machi Machi นั้นไม่ธรรมดา เพราะเคยสร้างปรากฏการณ์การต่อคิวที่ยาวเหยียดจนเป็นกระเเสข่าวมาเเล้ว ด้วยความต้องการในตลาดที่สูงมาก ทำให้มีการ “ซื้อไปขายบวกราคา” จากขวดละประมาณ 4 ดอลลาร์สหรัฐเป็น 40 ดอลลาร์สหรัฐ มีการต่อคิวเพื่อซื้อเฉลี่ย 3-4 ชั่วโมงในจีน และในต่างประเทศอย่างกรุงลอนดอน กรุงปารีสเเละเกาหลีใต้จะอยู่ที่เฉลี่ย 20-30 นาที

Machi Machi ได้รับฉายาว่าเป็น “The Cheese Tea God” ของเหล่าผู้ชื่นชอบของหวาน และเป็นเจ้าแรกที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ “ชานมขวด” จากนั้นได้กลายเป็นเเรงบันดาลใจให้ร้านชานมเจ้าอื่นทำตาม โดยเฉพาะเมื่อต้องเอาตัวรอดในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ตอนนั้นไม่สามารถเปิดให้บริการร้านได้ตามปกติ เเละ Machi Machi ยังเป็นเจ้าเเรกที่ทำชานมกับ “พานาคอตต้า” ซึ่งกลายมาเป็นเมนูยอดฮิตที่ “ต้องสั่ง”

นอกจากเมนูเครื่องดื่มที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเเล้ว การตกแต่งร้านจะมีการผสมทั้งความน่ารัก มินิมอลเเละศิลปะไว้ด้วยกัน ออกแบบมาเพื่อให้เป็นมุมถ่ายรูป เอาใจสายโซเชียลได้เป็นอย่างดี

เมนูหลายสไตล์…มาจากธรรมชาติ

Machi Machi สร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มต่างๆ ที่มีส่วนผสมของชาเป็นหลัก และได้เพิ่มความเฟรช ด้วยส่วนผสมอื่นๆ อย่างผลไม้สด พานาคอตต้า แครมบรูว์เล ช็อกโกแลต ฯลฯ เน้นความลงตัวของรสชาติเเละรู้สึก “ดื่มเเล้วผ่อนคลายไปพร้อมๆ กัน” 

โดยเมนูซิกเนเจอร์ของ Machi Machi ต้องบอกว่ามีหลากหลายจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว…สามารถเลือกระดับความหวานเเละปริมาณน้ำเเข็งได้ ตามความชอบของลูกค้า

Bottle Series : ชานมขวดในตำนาน ราคาอยู่ที่ 125-160 บาท มีเมนูเเนะนำให้สั่งเลยอย่าง

  • Strawberry milk with Panna Cotta
  • Plum green tea with Plum Jelly
  • Black milk tea with Panna Cotta

ตามมาด้วย The cheese foam series : ชานมชีสสุดฮิต จุดเด่นของ “เครมบรูเร่” ที่ทำให้  Machi Machi เเตกต่าง คือการนำขนมเครมบลูเร่มาดัดแปลงสูตรให้เหมาะแก่การเป็นท็อปปิ้ง มีรสสัมผัสที่นุ่มเเละหอม ราคาอยู่ที่ 110-120 บาท มีเมนูเเนะนำให้สั่งเลยอย่าง

  • Cream Cheese Foam Black Tea
  • Cream Cheese Foam Jasmine Green Tea
  • Cream Cheese Foam Oolong Tea
  • Cream Cheese Foam Black Milk Tea

ใครที่ต้องการเติมความสดชื่น ถึงใจต้องลองนี่เลย The fruit tea series : ชานมผลไม้ ราคาอยู่ที่ 130-135 บาท มีเมนูเเนะนำให้สั่งเลยอย่าง

  • Fresh Fruits Jasmine Green Tea
  • Fresh Orange Jasmine Tea
  • Strawberry Slush with Cream Cheese Foam
  • Blueberry & Strawberry Slush with Cream Cheese Foam

ส่วน “ท็อปปิ้ง” ก็มาเเบบราคาย่อมเยาว์ เพียง 10-25 บาท มีให้เลือก 2 อย่าง ได้เเก่มินิทาโร่บอล เเละ ไข่มุกดำไข่มุกสุดอร่อยนั่นเอง

โดยอีกหนึ่งความพิเศษของ Machi Machi คือการใช้ชาพรีเมียมเเละส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ สร้างสรรค์เป็นเมนูที่ผ่านการออกเเบบมาอย่างดี โดยเน้นให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีมากกว่าการเป็นเเค่ Grab & Go

ไม่ใช่เเค่อร่อย…เเต่ต้องรู้สึกดี 

ด้วยความที่ต้องการส่งต่อความรู้สึกดีๆ ต่อลูกค้านี้ นำมาสู่คอนเซ็ปต์การ “ตกเเต่งร้าน” ของ Machi Machi ที่เน้นสร้างความอบอุ่น รู้สึกสบายเเละเข้าถึงง่าย

ผสมผสานกับการออกเเบบร้านให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ของเหล่าศิลปิน นำเสนอจินตนาการผ่านศิลปะเเละสื่อสารกับผู้คนผ่านลวดลายกราฟฟิตี้ เป็น Interaction art ที่น่าสนใจ

โดยการดีไซน์ของร้าน Machi Machi สาขาในไทยนั้น มาด้วยสไตล์ “Minimal But Elegant” เรียบง่ายเเต่หรูหรา วางเฟอร์นิเจอร์เป็นโทนสีพาสเทลและไม้ให้ดูซอฟท์

ตัดกับผนังที่ดูทันสมัยเเละสบายตา มีคำเก๋ๆ อย่าง “ I Love You So Machi” ที่เล่นคำจากประโยค “I Love You So Much” เหมาะเป็นจุดถ่ายภาพสวยๆ เเชร์ลงโซเชียลมีเดีย อย่าง Instagram เเละ Tiktok

ถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ไปพร้อมๆกับการเชื่อมความสัมพันธ์เเละความใกล้ชิดกับเเบรนด์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ใครที่เเวะมาเยี่ยม Machi Machi สาขาสยามสเเควร์ ซอย 8 หลังได้ทานชานมอร่อยๆ กันเเล้วต้องห้ามพลาดเช็ก-อินกันล่ะ

สำหรับใครที่อยากติดตามความเคลื่อนไหวของ Machi Machi ว่ามีเมนูเด็ดๆ โปรโมชั่นโดนๆ อะไรบ้าง ก็ตามไปดูกันได้ที่ Facebook  :  @machimachithailand เเละ Instagram  : @machimachi_thailand  รับรองว่าได้เติมพลังความหวานกันอย่างเต็มที่เเน่ๆ

]]>
1300379