ดิสนีย์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 29 Jul 2025 09:36:13 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จับตาจังหวะ MINISO ในไทย ที่ครั้งนี้ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ขอลุยเอง https://positioningmag.com/1531480 Tue, 29 Jul 2025 07:54:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531480 จับตาการรุกตลาดในไทยระลอกใหม่ของ MINISO ที่ครั้งนี้ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ขอลุยเอง กับเป้าหมายก้าวสู่ ‘เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์ ในไทย’ และวางให้บ้านเราเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับสร้างการเติบโตของแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ก่อนหน้านี้เราได้เห็นข่าวคราวการทยอยปิดสาขาเดิมของ MINISO ในไทย แล้วเปลี่ยนโฉมมาเป็นร้าน Lemony ทำให้มีการตั้งคำถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับ MINISO?’ ซึ่งตอนนี้ได้คำตอบว่า นั่นเพราะ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ได้เข้ามาถือสิทธิ์และดูแล MINISO ในไทยเอง โดยดำเนินการภายใต้ ‘บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด’

 

ส่วนเหตุผลที่บริษัทแม่ขอมาลุยธุรกิจเองในไทย ทาง ‘จุน หวัง’ ซีอีโอ บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ Positioning ว่า เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของทางบริษัทแม่ที่ต้องการยกระดับแบรนด์ในระดับโกลบอล ด้วยการใช้ศักยภาพของบริษัทแม่ที่มีอยู่นำมาสร้างความแข็งแกร่งให้ MINISO ในไทยมากขึ้น แบบที่เรียกว่า ยก MINISO ในระดับโลกมาไว้ในไทยเลยทีเดียว

 

เพราะไทยถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญมากในเชิงยุทธศาสตร์สำหรับผลักดันการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ MINISO ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีการเติบโตน่าสนใจมาก ๆ

 

โดยการเริ่มต้นธุรกิจด้วยการนับหนึ่งใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์ของบริษัทแม่ได้เห็นตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กับการเปิดแฟลกชิปสโตร์ครั้งแรกของ MINISO ในประเทศไทย ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์ ภายใต้รูปแบบร้านที่เรียกว่า MINISO LAND ซึ่งเป็นรูปแบบร้านระดับ Top level ของ MINISO

 

“MINISO เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2559 มีบริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด เป็นผู้ดูแล พอถึงจุดหนึ่งเราเห็นว่า ต้องมีการยกระดับแบรนด์ทั้งภาพลักษณ์ การตกแต่ง และมาตรฐานการบริหารจัดการ เนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจรีเทลในไทยดุเดือดมากทั้งปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต การที่บริษัทแม่เข้ามาเองจะมีความพร้อมและศักยภาพมากกว่า จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงนี้”

 

ปักหมุดก้าวสู่เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์ในไทย

 

การที่บริษัทแม่ของ MINISO เข้ามาดำเนินการเองในตลาดประเทศไทย เป้าหมายก็คือ ต้องการขึ้นเป็น ‘เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์’ ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนใน 3 ปีต่อจากนี้ โดยการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จะใช้ศักยภาพของบริษัทแม่อย่าง MINISO Group Holding Limited เข้ามาช่วยผลักดัน

 

ไม่ว่าจะเป็น การเป็นแบรนด์ระดับ International ที่มีสาขารวมกว่า 7,400 แห่งในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงการที่บริษัทแม่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ทำให้มีศักยภาพในเรื่องของ ‘เงินทุน’ สำหรับนำมายกระดับแบรนด์ สร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ นำเสนอต่อผู้บริโภค

 

ถัดมา คือ ความแข็งแรงของระบบ ‘ซัพพลายเชน’ โดย MINISO มีโรงงานที่เป็นพาร์ทเนอร์ในการผลิตสินค้าให้มากกว่า 2,500 แห่งทั่วโลก ซึ่งเป็นกำลังหลักในการป้อนสินค้าดี ๆ มีคุณภาพ มาในราคาเข้าถึงง่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี

 

วางแผนพัฒนาสินค้า IP ของตัวเองเหมือน Pop mart 

 

ขณะที่นโยบายด้านสินค้า กลยุทธ์หลักจะให้ความสำคัญกับสินค้า IP เพื่อสร้างความโดดเด่นและความแตกต่างกับ ผู้เล่นรายอื่น ซึ่งตอนนี้ MINISO มีสินค้า IP รวมแล้ว 150 ลิขสิทธิ์ จากความร่วมมือกับค่ายลิขสิทธิ์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง ดิสนีย์, ซานริโอ, วอร์เนอร์ ฯลฯ เช่น สินค้าจากดิสนีย์นำโดย Stitch, Harry Potter, One Piece เป็นต้น และในอนาคตเตรียมหาพาร์ทเนอร์มาเสริมทัพเรื่องสินค้า IP อย่างต่อเนื่อง

 

ไม่เพียงเท่านี้ MINISO อยู่ระหว่างการพัฒนา IP ของตัวเอง หลังจากเห็นความสำเร็จของ Pop mart ที่สร้าง Labubu ให้โด่งดังไปทั่วโลก โดยสินค้า IP ที่ MINISO กำลังปั้นอยู่ เช่น  Wakuku เป็นการพัฒนาร่วมกับ Letsvan และ DunDun คาแรกเตอร์ไก่สุดน่ารัก เป็นต้น

 

นอกจากสินค้า IP แล้ว เพื่อเติมพอร์ตสินค้าให้มีความหลากหลาย MINISO ยังได้เพิ่มไลน์สินค้าในกลุ่ม Art Toy ทั้งกล่องสุ่มและกล่องจุ่ม รวมถึงในอนาคตมีแผนขยับพอร์ตสินค้าในกลุ่มบิวตี้ เครื่องสำอาง และอาหาร ซึ่งจะทำให้ภายในร้าน MINISO ของไทยมีสินค้ามากถึง 12,000-15,000 SKU จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6,000-10,000 SKU ต่อสาขา  

ขณะที่จำนวนสาขา ปัจจุบัน MINISO ในไทยมีด้วยกัน 7 สาขา กับอีก 1 ป๊อปอัพสโตร์ โดยที่เป็นสาขานั้น ได้แก่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์, เอ็มบีเค เซ็นเตอร์, เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์บางกะปิ, เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์ งามวงศ์วาน ฯลฯ และเมื่อถึงสิ้นปี 2568 จะมีการขยายสาขาให้ครบ 20 สาขา ก่อนจะเพิ่มเป็นอย่างน้อย 100 สาขาทั่วประเทศภายใน 3 ปี

 

“จำนวนสาขาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เราตอบตัวเอง ตอบผู้บริโภค ตอบแลนด์ลอร์ดได้ว่า เราจะเป็นเบอร์ 1 ได้หรือไม่ ซึ่งต้องดูสถานการณ์ความเป็นจริงด้วยว่า เรามีความพร้อมและขีดความสามารถในการแข่งขันกับรายอื่นได้แค่ไหน โดยจากความมุ่งมั่นและความได้เปรียบต่างๆ ที่บอกไป เรามีความมั่นใจ”

 

สำหรับ MINISO ก่อตั้งเมื่อปี 2556 โดย ‘จุนยะ มิยาเกะ’ ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น และ ‘เย่ กั๋ว ฟู่’ นักธุรกิจชาวจีน เพื่อทำธุรกิจร้านขายสินค้าทั่วไป ภายใต้จุดขาย 1. การสร้างแบรนด์และมาตรฐานตามแบบฉบับ ‘ญี่ปุ่น’ 2. มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวัน อย่าง กระเป๋า แก้วน้ำ เครื่องสำอาง โคมไฟ ไปจนถึงอุปกรณ์ไอที และ 3. ราคาถูกเข้าถึงง่าย ซึ่งด้วยจุดแข็งเหล่านี้ทำให้ MINISO แจ้งเกิดและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

 

โดยจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2025 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2025 ของ MINISO Group Holding Limited พบว่า ปัจจุบัน MINISO มีสาขารวม 7,488 แห่ง แบ่งเป็นในจีนแผ่นดินใหญ่จีน 4,275 แห่ง และตลาดต่างประเทศ 3,213 แห่ง

 

ส่วนผลประกอบการพบว่า แบรนด์ MINISO ทำรายได้ไป 4,085.8 ล้านหยวน หรือราว 563 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.5% มาจากการเติบโตในจีนแผ่นดินใหญ่ 9.1% และตลาดต่างประเทศ 30.3% โดยรายได้ต่างประเทศมีสัดส่วน 39.0% ของรายได้แบรนด์ MINISO เพิ่มขึ้นจาก 34.8% ในปีก่อน

 

ขณะที่ MINISO เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2559 มี ‘บริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด’ เป็นผู้ดูแล ก่อนที่เมื่อเดือนมกราคม 2568 ทางบริษัทแม่จากจีนได้เข้ามาดำเนินการเองโดยตรง ตามแผนที่ต้องการสร้างการเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นอีกพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ทาง MINISO Group Holding Limited ให้ความสำคัญ

]]>
1531480
CEO ของ ‘ดิสนีย์’ เผย “มาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ” https://positioningmag.com/1469175 Fri, 05 Apr 2024 02:09:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469175 CEO ของ ‘ดิสนีย์’ ได้เปิดเผยว่ามาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ และจะมีการใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายน ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นบริษัทมองว่าจะทำให้ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นเติบโตเพิ่มมากขึ้น หลังจากคู่แข่งอย่าง Netflix ได้เริ่มมาตรการดังกล่าวเป็นรายแรก

Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ ดิสนีย์ (Disney) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ CNBC โดยเขาเผยว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านของ Disney+ จะทดลองในบางประเทศก่อนในเดือนมิถุนายน และจะใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นช่วยทำให้บริษัทสามารถทำให้แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งสามารถกลับมามีกำไรได้

CEO ของ Disney ยังกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญของบริษัทที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่าในมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านที่จะใช้ในเดือนมิถุนายนนั้นจะมีการทดลองในประเทศใดบ้าง

ในช่วงที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวเริ่มใช้โดยแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Netflix ซึ่งชี้ว่าสมาชิกของบริษัทมากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ได้มีการแชร์รหัสผ่าน ส่งผลทำให้บริษัทสูญเสียความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ๆ จนทำให้บริษัทออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลทำให้มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นทันที

ผลที่เกิดขึ้นยังทำให้ Disney ได้ออกมาตรการดังกล่าวตามมาเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2023 เพื่อที่จะลดการขาดทุนของแพลตฟอร์ม โดยตัวเลขในผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัท ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นขาดทุนลดลงเหลือแค่ 387 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

สัมภาษณ์พิเศษดังกล่าวนั้น หัวเรือใหญ่ของ Disney ยังได้ชื่นชมการทำงานของ Netflix ว่าคู่แข่งรายนี้ได้สร้างมาตรฐานของวงการวิดีโอสตรีมมิ่ง และทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม และเขายังกล่าวเสริมว่า “ถ้าเราสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คงจะดีมาก”

ขณะเดียวกัน Bob ยังได้กล่าวว่า บริษัทเองก็เตรียมงัดมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการลดงบด้านการตลาด และพยายามที่จะทำความเข้าใจลูกค้า มีการส่งคอนเทนต์เพื่อเอาใจลูกค้านอกสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อที่จะเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ CEO ของ Disney เองยังคาดว่าธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งจะกลับมามีกำไรได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้

]]>
1469175
‘ดิสนีย์’ ประกาศจะ ‘ลดต้นทุน’ อีก 2 พันล้านเหรียญฯ มั่นใจธุรกิจ ‘สตรีมมิ่ง’ ทำกำไรภายในปีหน้า https://positioningmag.com/1451093 Thu, 09 Nov 2023 03:18:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451093 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่องรายได้ไม่เข้าเป้า แถมค่อนไปทางขาดทุน เลยทำให้ ดิสนีย์ (Disney) ต้องวางแผนลดต้นทุนอีกระลอกหรือเปล่า หลังจากที่เคยประกาศว่าต้องการลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดิสนีย์ ประกาศว่า จะลดค่าใช้จ่ายลงอีก 2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดต้นทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้บริษัทต้อง ลดจ้างงาน 7,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม แผนการลดต้นทุนในครั้งนี้ บริษัทยืนยันว่า ไม่มีแผนเลิกจ้างเพิ่มเติม

โดย Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า ที่บริษัทยังคงลดต้นทุน เนื่องจากบริษัทกำลัง การสร้างธุรกิจใหม่ ในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทยังคง ขาดทุน ในธุรกิจสตรีมมิ่ง Disney+ แม้ว่าบริษัทจะลดการขาดทุนได้อย่างมากแล้วก็ตาม โดยในไตรมาส 4 ตามปีงบประมาณ (ก.ค.-ต.ค.) บริษัทลดการขาดทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งเหลือ 420 ล้านดอลลาร์ จากเดิมขาดทุนถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ในกลุ่มสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น +12%

“ผลประกอบการของเราในไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สำคัญที่เราได้ทำในปีที่ผ่านมา แต่เรายังมีงานที่ต้องทำ ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้เราก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งการแก้ไขนี้ และเริ่มสร้างธุรกิจของเราอีกครั้ง” Bob Iger ซีอีโอกล่าว

สำหรับรายได้ของดิสนีย์ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.12 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้รายได้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย แต่หุ้นของดิสนีย์สูงขึ้นมากกว่า 3% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ โดยถือว่า ดีดตัวจากระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี

ทั้งนี้ รายได้ในช่วงไตรมาส 3 ของดิสนีย์ถือเป็นช่วงที่หยักหน่วงของบริษัท เพราะต้องดันธุรกิจสตรีมมิ่งที่ต้องใช้เงินสด, ความล้มเหลวของภายนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่อง รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างการที่นักแสดงประท้วงหยุดงาน แต่ธุรกิจ สวนสนุก กลายเป็นดาวเด่นของดิสนีย์ โดยเติบโตขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในส่วนของ Disney+ ที่ดิสนีย์ทุ่มเงินไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2562 จำนวนสมาชิกยังคงเติบโตขึ้น โดยฐานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพิ่มขึ้น +1% ส่วนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น +11% โดยเฉพาะแพ็กเกจโฆษณา สามารถเพิ่มการสมัครสมาชิกมากกว่า 2 ล้านครั้ง โดย Bob Iger มั่นใจว่า ธุรกิจสตรีมมิ่งจะ ทำกำไร ภายในสิ้นปี 2567

Source

]]>
1451093
Disney พิจารณาอาจขายธุรกิจบางส่วนในประเทศอินเดีย หลังผู้ชมคอนเทนต์ของบริษัทผ่านช่องทางต่างๆ ลดลง https://positioningmag.com/1444689 Mon, 18 Sep 2023 15:49:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444689 บริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่าง Walt Disney ล่าสุดกำลังพิจารณาที่จะขายธุรกิจบางส่วนในประเทศอินเดีย โดยสาเหตุสำคัญมาจากผู้ชม Content ผ่านช่องทีวีผ่านดาวเทียมที่บริษัทเป็นเจ้าของ หรือผ่านแพลตฟอร์ม Hotstar ลดลง และยังรวมถึงการแพ้ประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาคริกเก็ตในประเทศด้วย

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ว่า Walt Disney กำลังพิจารณาที่อาจขายธุรกิจผลิตช่องทีวีบอกรับสมาชิก รวมถึงธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Hotstar ซึ่งสื่อรายดังกล่าวคาดว่าจะมีผู้สนใจซื้อธุรกิจหลายราย

ความเคลื่อนไหวล่าสุดบริษัทกำลังพิจารณาขายธุรกิจบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตช่องทีวีบอกรับสมาชิก ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่ง รวมถึงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาประเภทต่างๆ ที่ถือไว้ หรือแม้แต่การขายธุรกิจทั้งหมดให้กับผู้สนใจ

คาดว่าผู้ที่น่าสนใจที่จะซื้อธุรกิจดังกล่าวคือ Viacom18 Media ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนระหว่าง Reliance กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ของประเทศอินเดียกับ Paramount Global บริษัทด้านบันเทิงจากสหรัฐอเมริกา

แหล่งข่าวของ Bloomberg กล่าวว่า Disney ได้ติดต่อสอบถามไปยัง Reliance ว่าสนใจที่จะซื้อหุ้นของธุรกิจดังกล่าวหรือไม่ด้วย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ด้านความบันเทิงพิจารณาขายธุรกิจดังกล่าว ก็คือเรื่องผู้ชมช่องทีวีผ่านดาวเทียมของบริษัทลดลง ไม่ว่าจะเป็นช่องกีฬา Star Sports ที่เสียลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาคริกเก็ตรายการสำคัญอย่าง Indian Premier League ซึ่งมีผู้ชมหลักหลายร้อยล้านคนผ่านหน้าจอโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก หรือแม้แต่ผ่านแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Hotstar

ตรงข้ามกับแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งของ Viacom18 Media อย่าง JioCinema หลังจากเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดคริกเก็ต Indian Premier League จนถึงปี 2027 ก็มีผู้ใช้งานจำนวนเพิ่มมากขึ้นทันที นอกจากนี้บริษัทยังได้เซ็นสัญญาในการนำคอนเทนต์ของ Warner Bros Discovery มาออกอากาศในอินเดียด้วย

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันบริษัทมีข่าวที่จะขายธุรกิจช่องโทรทัศน์อย่าง ABC ทรัพย์สินที่เป็นสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นที่แพร่ภาพออกอากาศช่อง ABC ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจผลิตช่องเคเบิลทีวีอย่าง FX และ National Geographic เป็นเม็ดเงินมากถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับ Nexstar

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวได้กล่าวว่า Disney เองอาจไม่ขายธุรกิจในประเทศอินเดีย หรืออาจใช้โมเดลการร่วมทุนกับผู้ที่สนใจ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงในช่วงเวลานี้

]]>
1444689
ตี้แตกอีกหนึ่ง! ‘Disney+’ เตรียมออกระบบป้องกันการแชร์รหัสผ่านตามรอย ‘Netflix’ https://positioningmag.com/1440492 Thu, 10 Aug 2023 02:35:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440492 หลังจากที่ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้นำในตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งของโลกได้ออกมาตรการห้าม แชร์รหัสผ่าน จนทำให้จำนวนผู้ใช้ช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้นถึง 5.9 ล้านราย ทำให้สตรีมมิ่งรายใหญ่อย่าง ดิสนีย์พลัส (Disney+) ก็ขอเดินตามรอยรุ่นพี่ เตรียมออกมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่านบ้าง

Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า บริษัทกำลังสำรวจการแชร์บัญชีของผู้ใช้และจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายที่จะ ควบคุมการแชร์รหัสผ่านของผู้ใช้ ในปลายปีนี้ ก่อนที่จะออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านภายในปี 2024 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อลดการใช้บัญชีร่วมกัน

“แน่นอนว่าเราเชื่อว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านจะส่งผลต่อการเติบโตของสมาชิกแน่นอน แต่เราไม่ได้คาดเดาได้ว่าจะเป็นในทางไหน”

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่เหมือนกับบริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ก็คือ เพิ่มกำไร เพราะนอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว บริการสตรีมมิ่งหลายรายพยายามลดค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ รวมถึงการออกแพ็กเกจราคาถูกลงโดยเพิ่มโฆษณาเข้ามา ซึ่งปัจจุบัน ดิสนีย์กำลังทำทั้งหมด

นอกจากนี้ ดิสนีย์ยัง ขึ้นราคา บริการสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมด โดยแพลตฟอร์ม Disney+ แบบไม่มีโฆษณาจะมีราคา 13.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 490 บาท) เพิ่มขึ้น 27% ส่วน Hulu เพิ่มขึ้นเป็น 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 630 บาท) เพิ่มขึ้น 20% ส่วนแพ็คเกจโฆษณาของทั้ง 2 บริการยังมีราคาเท่าเดิม ส่วนค่าบริการรายเดือนในไทยมีการปรับเป็น 289 บาท และรายปีปรับเป็น 2,290 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายที่ผ่านมา

ทั้งนี้ Netflix ถือเป็นผู้บุกเบิกในการออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่าน เนื่องจากพบว่ามากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกใช้บัญชีร่วมกัน และด้วยเหตุนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากที่ Netflix ออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ในช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านราย

Source

]]>
1440492
‘ดิสนีย์’ ประกาศปรับโครงสร้างเตรียมปลดพนักงาน 7,000 คน หวังลดต้นทุน-เพิ่มโอกาสทำกำไรให้สตรีมมิ่ง https://positioningmag.com/1418519 Thu, 09 Feb 2023 04:03:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418519 หลังจากที่ ‘บ็อบ ไอเกอร์’ (Bob Iger) อดีตซีอีโอของดิสนีย์ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา และได้มีการระบุว่า เขามีแผนจะปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ ล่าสุด ดิสนีย์ ก็เตรียมลดคนประมาณ 3% และจัดระเบียบใหม่เป็น 3 หน่วยงาน พร้อมตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ย้อนไปช่วงปลายปี 2022 ที่ บ็อบ ไอเกอร์ ได้กลับมารับตำแหน่ง ซีอีโอของดิสนีย์ อีกครั้ง สิ่งแรกที่บ็อบปรับเปลี่ยนในวันแรกก็คือ ไล่หัวหน้าฝ่ายสื่อและความบันเทิงของบริษัท ซึ่งถือเป็น มือขวา ของอดีตซีอีโอ บ็อบ ชาเพ็ก (Bob Chapek) ออก พร้อมระบุว่า ดิสนีย์เตรียมปรับโครงสร้างใหม่ โดยล่าสุด ดิสนีย์ก็ได้ประกาศแผนที่จะจัดระเบียบใหม่เป็น 3 ส่วนแผนก ได้แก่

  • Disney Entertainment : โดยจะเป็นการรวมหน่วยงานด้านสื่อรวมถึงแพลตฟอร์มสตรีม
  • แผนก ESPN : หน่วยงานดูแลเครือข่ายทีวีและบริการสตรีมมิ่ง ESPN+ ที่เป็นสตรีมมิ่งเกี่ยวกับกีฬา
  • สวนสนุก ประสบการณ์ และผลิตภัณฑ์

การปรับโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ดิสนีย์ประกาศว่าจะ เลิกจ้างงานพนักงาน 7,000 ตำแหน่ง หรือราว 3% ของพนักงานทั้งหมด 220,000 คน โดยแบ่งเป็นในสหรัฐฯ 166,000 คน และประมาณ 54,000 คนในต่างประเทศ โดยการปรับโครงสร้างใหม่นี้ ถือเป็นหนึ่งในแผนในการลดต้นทุนบริษัทให้ได้ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้ ธุรกิจสตรีมมิ่งมีกำไร จากที่ก่อนหน้านี้ดิสนีย์เคยโดนนักลงทุนบ่นว่า ใช้เงินลงทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งมากเกินไป

โดยในช่วง Q4/2022 ที่ผ่านมา สมาชิกของ Disney+ ลดลง 2.4 ล้านราย และนับเป็นการสูญเสียสมาชิกครั้งแรกของแพลตฟอร์ม นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2019 ซึ่งการลดลงดังกล่าวนี้ ดิสนีย์คาดว่าบริษัทสูญเสียรายได้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการลดต้นทุนมูลค่า 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะแบ่งเป็นการลดต้นทุนจากการผลิตคอนเทนต์ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมาจากการลดต้นทุนในส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตคอนเทนต์ โดยผู้บริหารของดิสนีย์ระบุว่า บริษัทได้ดำเนินการลดต้นทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเป้าหมายดังกล่าวตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่แล้ว

ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งนับวันยิ่งดุเดือด โดยผู้เล่นแต่ละรายลงเงินไปกับการผลิตคอนเทนต์จำนวนมาก ทำให้ต้องมีการลดพนักงานและตัดส่วนงานที่ไม่จำเป็นเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ แพลตฟอร์มดัง ๆ อย่าง Netflix และ Disney+ ต่างก็มีแผนที่จะออกแพ็กเกจโฆษณาราคาถูกเพื่อสร้างรายได้

Source

]]>
1418519
‘Disney+’ เตรียม ‘ขึ้นราคา’ พร้อมออกแพ็กเกจ ‘โฆษณา’ เนื่องจาก ‘ขาดทุน’ แม้ผู้ใช้เติบโต https://positioningmag.com/1395890 Thu, 11 Aug 2022 00:58:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395890 ดิสนีย์ (Disney) เคยออกมาประกาศเมื่อช่วงเดือนมีนาคมว่าบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ จะเพิ่มแพ็กเกจแบบมีโฆษณาแทรกในราคาประหยัด ล่าสุด ดิสนีย์ก็ประกาศว่าจะเริ่มเพิ่มแพ็กเกจดังกล่าวในช่วงเดือนธันวาคม เริ่มจากใน อเมริกา นอกจากนี้จะขึ้นราคาแพ็กเกจปกติ เพื่อเพิ่มกำไรให้บริษัท เพราะแม้ฐานผู้ใช้จะเติบโต แต่ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ที่สูง

ดิสนีย์ เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมขึ้นราคาบริการสตรีมมิ่ง Disney+ โดยเพิ่มจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 10.99 ดอลลาร์ แต่ก็จะเพิ่มแพ็กเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาแทรกในราคา 7.99 ดอลลาร์ โดยแพ็กเกจดังกล่าวจะเริ่มให้บริการในวันที่ 8 ธันวาคม เฉพาะในสหรัฐอเมริกาก่อน

ส่วนราคาบริการสตรีมมิ่งของ Hulu จะปรับจาก 12.99 ดอลลาร์ เป็น 14.99 ดอลลาร์ต่อเดือน มีผล 10 ตุลาคม ส่วนแพ็กเกจโฆษณาจะปรับจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 7.99 ดอลลาร์ ส่วน ESPN+ จะขึ้นราคา 43% เป็น 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

แม้ว่าจำนวนสมาชิกใหม่ของบริการสตรีมมิ่งจะมีถึง 15 ล้านราย ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ถึง 5 ล้านราย แต่ที่ดิสนีย์ต้องขึ้นราคาก็สะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการสตรีมมิ่งของดิสนีย์ Disney+, Hulu และ ESPN+ ซึ่งรวมแล้วบริษัท ขาดทุนถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 300 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อผู้ใช้สำหรับ Disney+ ลดลง 5% สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

โดยรวมแล้ว ไตรมาสที่ผ่านมามีรายได้ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากฝั่งสวนสนุก และสินค้าต่าง ๆ เติบโต 72% มีรายได้รวม 7.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนจำนวนสมาชิกของบริการสตรีมมิ่งทั้งหมดของดิสนีย์ (Disney+, ESPN+ และ Hulu) มีสมาชิกรวมถึง 221 ล้านคน แค่เฉพาะ Disney+ มีสมาชิกถึง 152.1 ล้านราย โดยดิสนีย์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 230-260 ล้านราย ภายในปี 2024

Source

]]>
1395890
หุ้น ‘ดิสนีย์’ พุ่ง 8% หลังผลประกอบการและผู้ใช้ ‘Disney+’ โตเกินคาด https://positioningmag.com/1373527 Thu, 10 Feb 2022 08:53:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373527 ดิสนีย์ (Disney) ยักษ์ใหญ่ด้านความบันเทิง ได้เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2565 โดยเฉพาะการเติบโตของสมาชิก ‘Disney+’ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่กำลังไล่จี้ Netflix

ดิสนีย์ ถือเป็นบริษัทที่มีอาณาจักรความบันเทิงขนาดมหึมาตั้งแต่การผลิตภาพยนตร์ไปจนถึงสวนสนุก รวมถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง โดยผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 64 สามารถทำรายได้ถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แพลตฟอร์ม Disney+ มีผู้ใช้บริการถึง 129.8 ล้านรายทั่วโลก ซึ่งเติบโตมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ประมาณ 5 ล้านคน ส่งผลให้หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 8%

นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจสวนสนุกของดิสนีย์ในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ทำรายได้เพียง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการสกัดโควิด ทำให้มีผู้เข้าใช้บริการสวนสนุก ยอดจองเรือสำราญและโรงแรมเพิ่มขึ้น

“การรวบรวมสินทรัพย์และแพลตฟอร์มที่ไม่มีใครเทียบได้ ความสามารถในการสร้างสรรค์ และสวนสนุกที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าเราจะยังคงเป็นผู้กำหนดนิยามความบันเทิงต่อไปอีก 100 ปีข้างหน้า” บ็อบ ชาเพ็ก ซีอีโอของ วอลท์ ดิสนีย์ กล่าว

นอกจากนี้ บ็อบ ชาเพ็ก ยังกล่าวอีกว่า Disney+ ยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมากในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ สวนทางกับ Netflix ที่ปิดท้ายปีด้วยสมาชิก 221.8 ล้านคน แม้จะยังเป็นจำนวนผู้ใช้ที่สูง แต่การเติบโตที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลงประมาณ 20% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าพลังของแบรนด์ดิสนีย์ช่วยให้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเติบโต

พอล เวอร์นา นักวิเคราะห์จาก Insider Intelligence กล่าวว่า “ผลลัพธ์เหล่านี้บ่งบอกปริมาณแบรนด์ที่มีเรื่องราวของดิสนีย์ และความสามารถในการก้าวขึ้นเหนือการแข่งขันในตลาดสื่อดิจิทัลที่มีผู้ใช้หนาแน่นมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม Netflix เริ่มแก้เกมใหม่โดยการเน้นลงทุนไปที่โลคอลคอนเทนต์ เพื่อตอบสนองคนสนใจของผู้บริโภคในแต่ละตลาด Squid Game จากเกาหลีใต้และ Lupin จากฝรั่งเศส ส่วนดิสนีย์เองเปิดเผยว่ามีการถ่ายทำภาพยนตร์อยู่ประมาณ 340 เรื่อง และคาดว่าจะพร้อมฉายในอีก 18-24 เดือนข้างหน้า

Source

]]>
1373527
ช่วงขาลง? ‘Disney+’ เพิ่มขึ้นเพียง 2 ล้านราย แถมรายได้ยังน้อยกว่าที่คาด CEO ชี้ เน้นระยะยาวมากกว่า https://positioningmag.com/1361463 Thu, 11 Nov 2021 02:04:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361463 ‘Disney+’ บริการสตรีมมิ่งของค่าย Disney ที่กำลังจะอายุครบ 2 ปี ขณะนี้มีสมาชิก 118.1 ล้านคน เติบโตขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ผลประกอบการกลับน้อยกว่าที่คาด ส่งผลให้หุ้นร่วงลงมากถึง 4.5% เนื่องจากความกังวล

โดยรวมแล้ว Disney (ดิสนีย์) มีรายได้ 18.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 26% จากปีที่แล้ว แต่แย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เล็กน้อยที่ 18.8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่จำนวนสมาชิกของ Disney+ เพิ่มขึ้นมาเพียง 2 ล้านราย อยู่ที่ 118.1 ล้านราย จากที่ไตรมาส 2 สามารถเติบโตได้ถึง 12 ล้านราย

ตัวเลขที่ซบเซาของ Disney+ ทำให้นักลงทุนกังวล ซึ่งน่าจะเกิดจากปัจจัยมากมาย ส่งผลให้หุ้นร่วงมาถึง 4.5% อย่างไรก็ตาม Bob Chapek ซีอีโอของ Disney เคยเตือนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า การเติบโตของ Disney+ ในไตรมาส 4 อาจชะลอตัวลง พร้อมเน้นย้ำว่า บริษัทกำลังมุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจสตรีมมิ่งสำหรับ “ระยะยาว” มากกว่าเพียงแค่ “ไตรมาสต่อไตรมาส”

“เรายังคงจัดการธุรกิจ DTC ของเราต่อไปในระยะยาว และมั่นใจว่าความบันเทิงคุณภาพสูงและการขยายสู่ตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก จะช่วยให้เราเติบโตแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของเราทั่วโลกต่อไป” เขากล่าว

เมื่อต้นปี Disney+ กลายเป็นเรือชูชีพชั่วคราวที่ช่วยให้บริษัทฝ่าฟันพายุไปได้ เนื่องจากบริษัทถูกโควิดเล่นงาน ทั้งในตัวของสวนสนุกและการฉายภาพยนตร์ในโรง โดย Disney+ ถือเป็นสตรีมมิ่งที่เติบโตเร็วสุดในตลาด โดยมีสมาชิกครบ 100 ล้านรายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Netflix ผู้นำในโลกสตรีมมิ่ง

แม้การเติบโตของ Disney+ จะแผ่วลง เพราะสถานการณ์โควิดได้คลี่คลายลง แต่อย่าลืมว่า Disney เป็นบริษัทขนาดใหญ่ และนอกเหนือจากธุรกิจดิจิทัลหลักแล้ว การดำเนินงานอีกหลายส่วนที่เริ่มฟื้น อาทิ หน่วย Parks, Experiences and Products ของบริษัท ซึ่งครอบคลุมสวนสนุกและสินค้าต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการระบาดใหญ่ โดยมีรายได้เพิ่มเป็น 5.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 99% จาก 2.7 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

Source

]]>
1361463
“สหรัฐฯ” เปิดประเทศ! สายการบินฟื้น 70% “สวนสนุกดิสนีย์-ลาสเวกัส” แม่เหล็กดึงต่างชาติ https://positioningmag.com/1361016 Tue, 09 Nov 2021 07:04:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361016 ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2021 สหรัฐฯ ประกาศเปิดประเทศ อ้าแขนรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วทั้งหมด ข่าวดีนี้ทำให้ยอดจองตั๋วสายการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศฟื้น 70% เทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 “นิวยอร์ก” ที่สุดของปลายทางยอดฮิต ขณะที่ “สวนสนุกดิสนีย์” ในออร์แลนโด และเมืองคาสิโน “ลาสเวกัส” คือแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

สิ้นสุดการปิดพรมแดนกว่า 20 เดือนของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2021 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และมีผลตรวจ COVID-19 เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมงก่อนมาถึง สามารถเข้าสู่สหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องกักตัว

ข้อมูลจาก Travelport บริษัทเทคโนโลยีด้านการจองการท่องเที่ยว ระบุว่า เที่ยวบินทั้งภายในประเทศสหรัฐฯ และระหว่างประเทศ ถูกจองขึ้นไปถึงระดับ 70% ของที่เคยทำได้ในช่วงก่อนเกิด COVID-19 เป็นสัญญาณแห่งความหวังว่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยวสหรัฐฯ จะฟื้นตัวเร็ว

โดยสมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐฯ ให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า มูลค่าตลาดท่องเที่ยวสหรัฐฯ มีเม็ดเงินถึง 2.33 แสนล้านเหรียญต่อปี และต้องสูญเสียรายได้ถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ ในช่วงที่ภาครัฐปิดประเทศไม่ให้ชาวแคนาดา ชาวยุโรป และชาวอังกฤษข้ามพรมแดน

นิวยอร์ก เมืองท่องเที่ยวสุดฮิตของสหรัฐฯ หลังเปิดประเทศ (Photo: Shutterstock)

การเปิดประเทศรอบล่าสุดนั้น มีจุดสำคัญคือการเปิดให้ชาวต่างชาติ 33 ประเทศเข้าได้โดยไม่ต้องกักตัว ได้แก่ 26 ประเทศเชงเก้น (ยุโรป), สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, จีน, อินเดีย, แอฟริกาใต้, อิหร่าน และบราซิล ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐฯ อนุญาตให้เข้า 150 ประเทศแต่ไม่รวมประเทศข้างต้น ทั้งที่กลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและอังกฤษนั้นสำคัญมากกับเศรษฐกิจท่องเที่ยว และมีอัตราการฉีดวัคซีน-ควบคุมโรคระบาดที่ดีกว่าพื้นที่อื่นๆ ของโลก

สำหรับ 5 จุดหมายปลายทางในสหรัฐฯ ที่มีการจองมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ (นับทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ) ตามข้อมูลของ Travelport ได้แก่

1)นิวยอร์ก
2)ไมอามี
3)ออร์แลนโด
4)ลอสแอนเจลิส
5)ซานฟรานซิสโก

อย่างไรก็ตาม ถ้าวัดจุดหมายปลายทางที่มีนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติมากที่สุด และมาจากต่างประเทศมากที่สุดคือ “ลาสเวกัส” ส่วนชาติที่นิยมบินไปสหรัฐฯ มากที่สุดคือ “ชาวอังกฤษ”

กลุ่ม Top 5 จุดหมายปลายทางมีแรงดึงดูดของตนเอง เช่น “นิวยอร์ก” เป็นเมืองยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวนิยมไปฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ “ไมอามี” เป็นเมืองพักผ่อนชายทะเล ขณะที่ “ออร์แลนโด” เป็นที่ตั้งของ “ดิสนีย์ เวิลด์” (46% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองตอนนี้คือชาวอังกฤษ!) “ลอสแอนเจลิส” กลิ่นอายแห่งฮอลลีวูดทำให้แฟนๆ ภาพยนตร์นิยมเดินทางมา “ซานฟรานซิสโก” เมืองแห่งเทคโนโลยี และมีเทศกาลที่จัดกลางแจ้งมากมายให้เข้าร่วม

Source

]]>
1361016