ดิสนีย์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 05 Apr 2024 04:04:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CEO ของ ‘ดิสนีย์’ เผย “มาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ” https://positioningmag.com/1469175 Fri, 05 Apr 2024 02:09:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469175 CEO ของ ‘ดิสนีย์’ ได้เปิดเผยว่ามาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ และจะมีการใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายน ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นบริษัทมองว่าจะทำให้ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นเติบโตเพิ่มมากขึ้น หลังจากคู่แข่งอย่าง Netflix ได้เริ่มมาตรการดังกล่าวเป็นรายแรก

Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ ดิสนีย์ (Disney) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ CNBC โดยเขาเผยว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านของ Disney+ จะทดลองในบางประเทศก่อนในเดือนมิถุนายน และจะใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นช่วยทำให้บริษัทสามารถทำให้แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งสามารถกลับมามีกำไรได้

CEO ของ Disney ยังกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญของบริษัทที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่าในมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านที่จะใช้ในเดือนมิถุนายนนั้นจะมีการทดลองในประเทศใดบ้าง

ในช่วงที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวเริ่มใช้โดยแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Netflix ซึ่งชี้ว่าสมาชิกของบริษัทมากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ได้มีการแชร์รหัสผ่าน ส่งผลทำให้บริษัทสูญเสียความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ๆ จนทำให้บริษัทออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลทำให้มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นทันที

ผลที่เกิดขึ้นยังทำให้ Disney ได้ออกมาตรการดังกล่าวตามมาเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2023 เพื่อที่จะลดการขาดทุนของแพลตฟอร์ม โดยตัวเลขในผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัท ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นขาดทุนลดลงเหลือแค่ 387 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

สัมภาษณ์พิเศษดังกล่าวนั้น หัวเรือใหญ่ของ Disney ยังได้ชื่นชมการทำงานของ Netflix ว่าคู่แข่งรายนี้ได้สร้างมาตรฐานของวงการวิดีโอสตรีมมิ่ง และทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม และเขายังกล่าวเสริมว่า “ถ้าเราสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คงจะดีมาก”

ขณะเดียวกัน Bob ยังได้กล่าวว่า บริษัทเองก็เตรียมงัดมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการลดงบด้านการตลาด และพยายามที่จะทำความเข้าใจลูกค้า มีการส่งคอนเทนต์เพื่อเอาใจลูกค้านอกสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อที่จะเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ CEO ของ Disney เองยังคาดว่าธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งจะกลับมามีกำไรได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้

]]>
1469175
‘ดิสนีย์’ ประกาศจะ ‘ลดต้นทุน’ อีก 2 พันล้านเหรียญฯ มั่นใจธุรกิจ ‘สตรีมมิ่ง’ ทำกำไรภายในปีหน้า https://positioningmag.com/1451093 Thu, 09 Nov 2023 03:18:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451093 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่องรายได้ไม่เข้าเป้า แถมค่อนไปทางขาดทุน เลยทำให้ ดิสนีย์ (Disney) ต้องวางแผนลดต้นทุนอีกระลอกหรือเปล่า หลังจากที่เคยประกาศว่าต้องการลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดิสนีย์ ประกาศว่า จะลดค่าใช้จ่ายลงอีก 2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดต้นทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้บริษัทต้อง ลดจ้างงาน 7,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม แผนการลดต้นทุนในครั้งนี้ บริษัทยืนยันว่า ไม่มีแผนเลิกจ้างเพิ่มเติม

โดย Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า ที่บริษัทยังคงลดต้นทุน เนื่องจากบริษัทกำลัง การสร้างธุรกิจใหม่ ในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทยังคง ขาดทุน ในธุรกิจสตรีมมิ่ง Disney+ แม้ว่าบริษัทจะลดการขาดทุนได้อย่างมากแล้วก็ตาม โดยในไตรมาส 4 ตามปีงบประมาณ (ก.ค.-ต.ค.) บริษัทลดการขาดทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งเหลือ 420 ล้านดอลลาร์ จากเดิมขาดทุนถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ในกลุ่มสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น +12%

“ผลประกอบการของเราในไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สำคัญที่เราได้ทำในปีที่ผ่านมา แต่เรายังมีงานที่ต้องทำ ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้เราก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งการแก้ไขนี้ และเริ่มสร้างธุรกิจของเราอีกครั้ง” Bob Iger ซีอีโอกล่าว

สำหรับรายได้ของดิสนีย์ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.12 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้รายได้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย แต่หุ้นของดิสนีย์สูงขึ้นมากกว่า 3% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ โดยถือว่า ดีดตัวจากระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี

ทั้งนี้ รายได้ในช่วงไตรมาส 3 ของดิสนีย์ถือเป็นช่วงที่หยักหน่วงของบริษัท เพราะต้องดันธุรกิจสตรีมมิ่งที่ต้องใช้เงินสด, ความล้มเหลวของภายนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่อง รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างการที่นักแสดงประท้วงหยุดงาน แต่ธุรกิจ สวนสนุก กลายเป็นดาวเด่นของดิสนีย์ โดยเติบโตขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในส่วนของ Disney+ ที่ดิสนีย์ทุ่มเงินไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2562 จำนวนสมาชิกยังคงเติบโตขึ้น โดยฐานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพิ่มขึ้น +1% ส่วนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น +11% โดยเฉพาะแพ็กเกจโฆษณา สามารถเพิ่มการสมัครสมาชิกมากกว่า 2 ล้านครั้ง โดย Bob Iger มั่นใจว่า ธุรกิจสตรีมมิ่งจะ ทำกำไร ภายในสิ้นปี 2567

Source

]]>
1451093
Disney พิจารณาอาจขายธุรกิจบางส่วนในประเทศอินเดีย หลังผู้ชมคอนเทนต์ของบริษัทผ่านช่องทางต่างๆ ลดลง https://positioningmag.com/1444689 Mon, 18 Sep 2023 15:49:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444689 บริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่าง Walt Disney ล่าสุดกำลังพิจารณาที่จะขายธุรกิจบางส่วนในประเทศอินเดีย โดยสาเหตุสำคัญมาจากผู้ชม Content ผ่านช่องทีวีผ่านดาวเทียมที่บริษัทเป็นเจ้าของ หรือผ่านแพลตฟอร์ม Hotstar ลดลง และยังรวมถึงการแพ้ประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาคริกเก็ตในประเทศด้วย

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ว่า Walt Disney กำลังพิจารณาที่อาจขายธุรกิจผลิตช่องทีวีบอกรับสมาชิก รวมถึงธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Hotstar ซึ่งสื่อรายดังกล่าวคาดว่าจะมีผู้สนใจซื้อธุรกิจหลายราย

ความเคลื่อนไหวล่าสุดบริษัทกำลังพิจารณาขายธุรกิจบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตช่องทีวีบอกรับสมาชิก ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่ง รวมถึงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาประเภทต่างๆ ที่ถือไว้ หรือแม้แต่การขายธุรกิจทั้งหมดให้กับผู้สนใจ

คาดว่าผู้ที่น่าสนใจที่จะซื้อธุรกิจดังกล่าวคือ Viacom18 Media ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนระหว่าง Reliance กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ของประเทศอินเดียกับ Paramount Global บริษัทด้านบันเทิงจากสหรัฐอเมริกา

แหล่งข่าวของ Bloomberg กล่าวว่า Disney ได้ติดต่อสอบถามไปยัง Reliance ว่าสนใจที่จะซื้อหุ้นของธุรกิจดังกล่าวหรือไม่ด้วย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ด้านความบันเทิงพิจารณาขายธุรกิจดังกล่าว ก็คือเรื่องผู้ชมช่องทีวีผ่านดาวเทียมของบริษัทลดลง ไม่ว่าจะเป็นช่องกีฬา Star Sports ที่เสียลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาคริกเก็ตรายการสำคัญอย่าง Indian Premier League ซึ่งมีผู้ชมหลักหลายร้อยล้านคนผ่านหน้าจอโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก หรือแม้แต่ผ่านแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Hotstar

ตรงข้ามกับแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งของ Viacom18 Media อย่าง JioCinema หลังจากเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดคริกเก็ต Indian Premier League จนถึงปี 2027 ก็มีผู้ใช้งานจำนวนเพิ่มมากขึ้นทันที นอกจากนี้บริษัทยังได้เซ็นสัญญาในการนำคอนเทนต์ของ Warner Bros Discovery มาออกอากาศในอินเดียด้วย

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันบริษัทมีข่าวที่จะขายธุรกิจช่องโทรทัศน์อย่าง ABC ทรัพย์สินที่เป็นสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นที่แพร่ภาพออกอากาศช่อง ABC ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจผลิตช่องเคเบิลทีวีอย่าง FX และ National Geographic เป็นเม็ดเงินมากถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับ Nexstar

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวได้กล่าวว่า Disney เองอาจไม่ขายธุรกิจในประเทศอินเดีย หรืออาจใช้โมเดลการร่วมทุนกับผู้ที่สนใจ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงในช่วงเวลานี้

]]>
1444689
ตี้แตกอีกหนึ่ง! ‘Disney+’ เตรียมออกระบบป้องกันการแชร์รหัสผ่านตามรอย ‘Netflix’ https://positioningmag.com/1440492 Thu, 10 Aug 2023 02:35:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440492 หลังจากที่ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้นำในตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งของโลกได้ออกมาตรการห้าม แชร์รหัสผ่าน จนทำให้จำนวนผู้ใช้ช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้นถึง 5.9 ล้านราย ทำให้สตรีมมิ่งรายใหญ่อย่าง ดิสนีย์พลัส (Disney+) ก็ขอเดินตามรอยรุ่นพี่ เตรียมออกมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่านบ้าง

Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า บริษัทกำลังสำรวจการแชร์บัญชีของผู้ใช้และจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายที่จะ ควบคุมการแชร์รหัสผ่านของผู้ใช้ ในปลายปีนี้ ก่อนที่จะออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านภายในปี 2024 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อลดการใช้บัญชีร่วมกัน

“แน่นอนว่าเราเชื่อว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านจะส่งผลต่อการเติบโตของสมาชิกแน่นอน แต่เราไม่ได้คาดเดาได้ว่าจะเป็นในทางไหน”

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่เหมือนกับบริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ก็คือ เพิ่มกำไร เพราะนอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว บริการสตรีมมิ่งหลายรายพยายามลดค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ รวมถึงการออกแพ็กเกจราคาถูกลงโดยเพิ่มโฆษณาเข้ามา ซึ่งปัจจุบัน ดิสนีย์กำลังทำทั้งหมด

นอกจากนี้ ดิสนีย์ยัง ขึ้นราคา บริการสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมด โดยแพลตฟอร์ม Disney+ แบบไม่มีโฆษณาจะมีราคา 13.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 490 บาท) เพิ่มขึ้น 27% ส่วน Hulu เพิ่มขึ้นเป็น 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 630 บาท) เพิ่มขึ้น 20% ส่วนแพ็คเกจโฆษณาของทั้ง 2 บริการยังมีราคาเท่าเดิม ส่วนค่าบริการรายเดือนในไทยมีการปรับเป็น 289 บาท และรายปีปรับเป็น 2,290 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายที่ผ่านมา

ทั้งนี้ Netflix ถือเป็นผู้บุกเบิกในการออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่าน เนื่องจากพบว่ามากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกใช้บัญชีร่วมกัน และด้วยเหตุนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากที่ Netflix ออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ในช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านราย

Source

]]>
1440492
‘ดิสนีย์’ ประกาศปรับโครงสร้างเตรียมปลดพนักงาน 7,000 คน หวังลดต้นทุน-เพิ่มโอกาสทำกำไรให้สตรีมมิ่ง https://positioningmag.com/1418519 Thu, 09 Feb 2023 04:03:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418519 หลังจากที่ ‘บ็อบ ไอเกอร์’ (Bob Iger) อดีตซีอีโอของดิสนีย์ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา และได้มีการระบุว่า เขามีแผนจะปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ ล่าสุด ดิสนีย์ ก็เตรียมลดคนประมาณ 3% และจัดระเบียบใหม่เป็น 3 หน่วยงาน พร้อมตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ย้อนไปช่วงปลายปี 2022 ที่ บ็อบ ไอเกอร์ ได้กลับมารับตำแหน่ง ซีอีโอของดิสนีย์ อีกครั้ง สิ่งแรกที่บ็อบปรับเปลี่ยนในวันแรกก็คือ ไล่หัวหน้าฝ่ายสื่อและความบันเทิงของบริษัท ซึ่งถือเป็น มือขวา ของอดีตซีอีโอ บ็อบ ชาเพ็ก (Bob Chapek) ออก พร้อมระบุว่า ดิสนีย์เตรียมปรับโครงสร้างใหม่ โดยล่าสุด ดิสนีย์ก็ได้ประกาศแผนที่จะจัดระเบียบใหม่เป็น 3 ส่วนแผนก ได้แก่

  • Disney Entertainment : โดยจะเป็นการรวมหน่วยงานด้านสื่อรวมถึงแพลตฟอร์มสตรีม
  • แผนก ESPN : หน่วยงานดูแลเครือข่ายทีวีและบริการสตรีมมิ่ง ESPN+ ที่เป็นสตรีมมิ่งเกี่ยวกับกีฬา
  • สวนสนุก ประสบการณ์ และผลิตภัณฑ์

การปรับโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ดิสนีย์ประกาศว่าจะ เลิกจ้างงานพนักงาน 7,000 ตำแหน่ง หรือราว 3% ของพนักงานทั้งหมด 220,000 คน โดยแบ่งเป็นในสหรัฐฯ 166,000 คน และประมาณ 54,000 คนในต่างประเทศ โดยการปรับโครงสร้างใหม่นี้ ถือเป็นหนึ่งในแผนในการลดต้นทุนบริษัทให้ได้ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้ ธุรกิจสตรีมมิ่งมีกำไร จากที่ก่อนหน้านี้ดิสนีย์เคยโดนนักลงทุนบ่นว่า ใช้เงินลงทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งมากเกินไป

โดยในช่วง Q4/2022 ที่ผ่านมา สมาชิกของ Disney+ ลดลง 2.4 ล้านราย และนับเป็นการสูญเสียสมาชิกครั้งแรกของแพลตฟอร์ม นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2019 ซึ่งการลดลงดังกล่าวนี้ ดิสนีย์คาดว่าบริษัทสูญเสียรายได้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการลดต้นทุนมูลค่า 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะแบ่งเป็นการลดต้นทุนจากการผลิตคอนเทนต์ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมาจากการลดต้นทุนในส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตคอนเทนต์ โดยผู้บริหารของดิสนีย์ระบุว่า บริษัทได้ดำเนินการลดต้นทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเป้าหมายดังกล่าวตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่แล้ว

ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งนับวันยิ่งดุเดือด โดยผู้เล่นแต่ละรายลงเงินไปกับการผลิตคอนเทนต์จำนวนมาก ทำให้ต้องมีการลดพนักงานและตัดส่วนงานที่ไม่จำเป็นเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ แพลตฟอร์มดัง ๆ อย่าง Netflix และ Disney+ ต่างก็มีแผนที่จะออกแพ็กเกจโฆษณาราคาถูกเพื่อสร้างรายได้

Source

]]>
1418519
‘Disney+’ เตรียม ‘ขึ้นราคา’ พร้อมออกแพ็กเกจ ‘โฆษณา’ เนื่องจาก ‘ขาดทุน’ แม้ผู้ใช้เติบโต https://positioningmag.com/1395890 Thu, 11 Aug 2022 00:58:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395890 ดิสนีย์ (Disney) เคยออกมาประกาศเมื่อช่วงเดือนมีนาคมว่าบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ จะเพิ่มแพ็กเกจแบบมีโฆษณาแทรกในราคาประหยัด ล่าสุด ดิสนีย์ก็ประกาศว่าจะเริ่มเพิ่มแพ็กเกจดังกล่าวในช่วงเดือนธันวาคม เริ่มจากใน อเมริกา นอกจากนี้จะขึ้นราคาแพ็กเกจปกติ เพื่อเพิ่มกำไรให้บริษัท เพราะแม้ฐานผู้ใช้จะเติบโต แต่ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ที่สูง

ดิสนีย์ เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมขึ้นราคาบริการสตรีมมิ่ง Disney+ โดยเพิ่มจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 10.99 ดอลลาร์ แต่ก็จะเพิ่มแพ็กเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาแทรกในราคา 7.99 ดอลลาร์ โดยแพ็กเกจดังกล่าวจะเริ่มให้บริการในวันที่ 8 ธันวาคม เฉพาะในสหรัฐอเมริกาก่อน

ส่วนราคาบริการสตรีมมิ่งของ Hulu จะปรับจาก 12.99 ดอลลาร์ เป็น 14.99 ดอลลาร์ต่อเดือน มีผล 10 ตุลาคม ส่วนแพ็กเกจโฆษณาจะปรับจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 7.99 ดอลลาร์ ส่วน ESPN+ จะขึ้นราคา 43% เป็น 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

แม้ว่าจำนวนสมาชิกใหม่ของบริการสตรีมมิ่งจะมีถึง 15 ล้านราย ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ถึง 5 ล้านราย แต่ที่ดิสนีย์ต้องขึ้นราคาก็สะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการสตรีมมิ่งของดิสนีย์ Disney+, Hulu และ ESPN+ ซึ่งรวมแล้วบริษัท ขาดทุนถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 300 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อผู้ใช้สำหรับ Disney+ ลดลง 5% สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

โดยรวมแล้ว ไตรมาสที่ผ่านมามีรายได้ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากฝั่งสวนสนุก และสินค้าต่าง ๆ เติบโต 72% มีรายได้รวม 7.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนจำนวนสมาชิกของบริการสตรีมมิ่งทั้งหมดของดิสนีย์ (Disney+, ESPN+ และ Hulu) มีสมาชิกรวมถึง 221 ล้านคน แค่เฉพาะ Disney+ มีสมาชิกถึง 152.1 ล้านราย โดยดิสนีย์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 230-260 ล้านราย ภายในปี 2024

Source

]]>
1395890
หุ้น ‘ดิสนีย์’ พุ่ง 8% หลังผลประกอบการและผู้ใช้ ‘Disney+’ โตเกินคาด https://positioningmag.com/1373527 Thu, 10 Feb 2022 08:53:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373527 ดิสนีย์ (Disney) ยักษ์ใหญ่ด้านความบันเทิง ได้เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2565 โดยเฉพาะการเติบโตของสมาชิก ‘Disney+’ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่กำลังไล่จี้ Netflix

ดิสนีย์ ถือเป็นบริษัทที่มีอาณาจักรความบันเทิงขนาดมหึมาตั้งแต่การผลิตภาพยนตร์ไปจนถึงสวนสนุก รวมถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง โดยผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 64 สามารถทำรายได้ถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แพลตฟอร์ม Disney+ มีผู้ใช้บริการถึง 129.8 ล้านรายทั่วโลก ซึ่งเติบโตมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ประมาณ 5 ล้านคน ส่งผลให้หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 8%

นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจสวนสนุกของดิสนีย์ในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ทำรายได้เพียง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการสกัดโควิด ทำให้มีผู้เข้าใช้บริการสวนสนุก ยอดจองเรือสำราญและโรงแรมเพิ่มขึ้น

“การรวบรวมสินทรัพย์และแพลตฟอร์มที่ไม่มีใครเทียบได้ ความสามารถในการสร้างสรรค์ และสวนสนุกที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าเราจะยังคงเป็นผู้กำหนดนิยามความบันเทิงต่อไปอีก 100 ปีข้างหน้า” บ็อบ ชาเพ็ก ซีอีโอของ วอลท์ ดิสนีย์ กล่าว

นอกจากนี้ บ็อบ ชาเพ็ก ยังกล่าวอีกว่า Disney+ ยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมากในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ สวนทางกับ Netflix ที่ปิดท้ายปีด้วยสมาชิก 221.8 ล้านคน แม้จะยังเป็นจำนวนผู้ใช้ที่สูง แต่การเติบโตที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลงประมาณ 20% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าพลังของแบรนด์ดิสนีย์ช่วยให้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเติบโต

พอล เวอร์นา นักวิเคราะห์จาก Insider Intelligence กล่าวว่า “ผลลัพธ์เหล่านี้บ่งบอกปริมาณแบรนด์ที่มีเรื่องราวของดิสนีย์ และความสามารถในการก้าวขึ้นเหนือการแข่งขันในตลาดสื่อดิจิทัลที่มีผู้ใช้หนาแน่นมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม Netflix เริ่มแก้เกมใหม่โดยการเน้นลงทุนไปที่โลคอลคอนเทนต์ เพื่อตอบสนองคนสนใจของผู้บริโภคในแต่ละตลาด Squid Game จากเกาหลีใต้และ Lupin จากฝรั่งเศส ส่วนดิสนีย์เองเปิดเผยว่ามีการถ่ายทำภาพยนตร์อยู่ประมาณ 340 เรื่อง และคาดว่าจะพร้อมฉายในอีก 18-24 เดือนข้างหน้า

Source

]]>
1373527
ช่วงขาลง? ‘Disney+’ เพิ่มขึ้นเพียง 2 ล้านราย แถมรายได้ยังน้อยกว่าที่คาด CEO ชี้ เน้นระยะยาวมากกว่า https://positioningmag.com/1361463 Thu, 11 Nov 2021 02:04:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361463 ‘Disney+’ บริการสตรีมมิ่งของค่าย Disney ที่กำลังจะอายุครบ 2 ปี ขณะนี้มีสมาชิก 118.1 ล้านคน เติบโตขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ผลประกอบการกลับน้อยกว่าที่คาด ส่งผลให้หุ้นร่วงลงมากถึง 4.5% เนื่องจากความกังวล

โดยรวมแล้ว Disney (ดิสนีย์) มีรายได้ 18.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 26% จากปีที่แล้ว แต่แย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เล็กน้อยที่ 18.8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่จำนวนสมาชิกของ Disney+ เพิ่มขึ้นมาเพียง 2 ล้านราย อยู่ที่ 118.1 ล้านราย จากที่ไตรมาส 2 สามารถเติบโตได้ถึง 12 ล้านราย

ตัวเลขที่ซบเซาของ Disney+ ทำให้นักลงทุนกังวล ซึ่งน่าจะเกิดจากปัจจัยมากมาย ส่งผลให้หุ้นร่วงมาถึง 4.5% อย่างไรก็ตาม Bob Chapek ซีอีโอของ Disney เคยเตือนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า การเติบโตของ Disney+ ในไตรมาส 4 อาจชะลอตัวลง พร้อมเน้นย้ำว่า บริษัทกำลังมุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจสตรีมมิ่งสำหรับ “ระยะยาว” มากกว่าเพียงแค่ “ไตรมาสต่อไตรมาส”

“เรายังคงจัดการธุรกิจ DTC ของเราต่อไปในระยะยาว และมั่นใจว่าความบันเทิงคุณภาพสูงและการขยายสู่ตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก จะช่วยให้เราเติบโตแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของเราทั่วโลกต่อไป” เขากล่าว

เมื่อต้นปี Disney+ กลายเป็นเรือชูชีพชั่วคราวที่ช่วยให้บริษัทฝ่าฟันพายุไปได้ เนื่องจากบริษัทถูกโควิดเล่นงาน ทั้งในตัวของสวนสนุกและการฉายภาพยนตร์ในโรง โดย Disney+ ถือเป็นสตรีมมิ่งที่เติบโตเร็วสุดในตลาด โดยมีสมาชิกครบ 100 ล้านรายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Netflix ผู้นำในโลกสตรีมมิ่ง

แม้การเติบโตของ Disney+ จะแผ่วลง เพราะสถานการณ์โควิดได้คลี่คลายลง แต่อย่าลืมว่า Disney เป็นบริษัทขนาดใหญ่ และนอกเหนือจากธุรกิจดิจิทัลหลักแล้ว การดำเนินงานอีกหลายส่วนที่เริ่มฟื้น อาทิ หน่วย Parks, Experiences and Products ของบริษัท ซึ่งครอบคลุมสวนสนุกและสินค้าต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการระบาดใหญ่ โดยมีรายได้เพิ่มเป็น 5.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 99% จาก 2.7 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

Source

]]>
1361463
“สหรัฐฯ” เปิดประเทศ! สายการบินฟื้น 70% “สวนสนุกดิสนีย์-ลาสเวกัส” แม่เหล็กดึงต่างชาติ https://positioningmag.com/1361016 Tue, 09 Nov 2021 07:04:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361016 ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2021 สหรัฐฯ ประกาศเปิดประเทศ อ้าแขนรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วทั้งหมด ข่าวดีนี้ทำให้ยอดจองตั๋วสายการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศฟื้น 70% เทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 “นิวยอร์ก” ที่สุดของปลายทางยอดฮิต ขณะที่ “สวนสนุกดิสนีย์” ในออร์แลนโด และเมืองคาสิโน “ลาสเวกัส” คือแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

สิ้นสุดการปิดพรมแดนกว่า 20 เดือนของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2021 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และมีผลตรวจ COVID-19 เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมงก่อนมาถึง สามารถเข้าสู่สหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องกักตัว

ข้อมูลจาก Travelport บริษัทเทคโนโลยีด้านการจองการท่องเที่ยว ระบุว่า เที่ยวบินทั้งภายในประเทศสหรัฐฯ และระหว่างประเทศ ถูกจองขึ้นไปถึงระดับ 70% ของที่เคยทำได้ในช่วงก่อนเกิด COVID-19 เป็นสัญญาณแห่งความหวังว่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยวสหรัฐฯ จะฟื้นตัวเร็ว

โดยสมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐฯ ให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า มูลค่าตลาดท่องเที่ยวสหรัฐฯ มีเม็ดเงินถึง 2.33 แสนล้านเหรียญต่อปี และต้องสูญเสียรายได้ถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ ในช่วงที่ภาครัฐปิดประเทศไม่ให้ชาวแคนาดา ชาวยุโรป และชาวอังกฤษข้ามพรมแดน

นิวยอร์ก เมืองท่องเที่ยวสุดฮิตของสหรัฐฯ หลังเปิดประเทศ (Photo: Shutterstock)

การเปิดประเทศรอบล่าสุดนั้น มีจุดสำคัญคือการเปิดให้ชาวต่างชาติ 33 ประเทศเข้าได้โดยไม่ต้องกักตัว ได้แก่ 26 ประเทศเชงเก้น (ยุโรป), สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, จีน, อินเดีย, แอฟริกาใต้, อิหร่าน และบราซิล ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐฯ อนุญาตให้เข้า 150 ประเทศแต่ไม่รวมประเทศข้างต้น ทั้งที่กลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและอังกฤษนั้นสำคัญมากกับเศรษฐกิจท่องเที่ยว และมีอัตราการฉีดวัคซีน-ควบคุมโรคระบาดที่ดีกว่าพื้นที่อื่นๆ ของโลก

สำหรับ 5 จุดหมายปลายทางในสหรัฐฯ ที่มีการจองมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ (นับทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ) ตามข้อมูลของ Travelport ได้แก่

1)นิวยอร์ก
2)ไมอามี
3)ออร์แลนโด
4)ลอสแอนเจลิส
5)ซานฟรานซิสโก

อย่างไรก็ตาม ถ้าวัดจุดหมายปลายทางที่มีนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติมากที่สุด และมาจากต่างประเทศมากที่สุดคือ “ลาสเวกัส” ส่วนชาติที่นิยมบินไปสหรัฐฯ มากที่สุดคือ “ชาวอังกฤษ”

กลุ่ม Top 5 จุดหมายปลายทางมีแรงดึงดูดของตนเอง เช่น “นิวยอร์ก” เป็นเมืองยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวนิยมไปฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ “ไมอามี” เป็นเมืองพักผ่อนชายทะเล ขณะที่ “ออร์แลนโด” เป็นที่ตั้งของ “ดิสนีย์ เวิลด์” (46% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองตอนนี้คือชาวอังกฤษ!) “ลอสแอนเจลิส” กลิ่นอายแห่งฮอลลีวูดทำให้แฟนๆ ภาพยนตร์นิยมเดินทางมา “ซานฟรานซิสโก” เมืองแห่งเทคโนโลยี และมีเทศกาลที่จัดกลางแจ้งมากมายให้เข้าร่วม

Source

]]>
1361016
‘ดิสนีย์’ ยืนยัน! ภาพยนตร์ที่เหลือของปีจะฉายโรง 45 วัน ก่อนสตรีมลง ‘Disney+’ https://positioningmag.com/1351549 Mon, 13 Sep 2021 10:56:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351549 เพราะพิษ COVID-19 ทำให้โรงภาพยนตร์ต้องปิดลงชั่วคราว แม้ว่าในปี 2021 นี้ โรงภาพยนตร์จะเริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่ค่ายภาพยนตร์หลายค่ายก็ตัดสินใจที่จะฉายหนังไปพร้อมกับการสตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์มของตัวเอง อาทิ ‘Black Widow’ ของค่ายดิสนีย์ (Disney) แต่ล่าสุด ทางค่ายก็ตัดสินใจจะฉายภาพยนตร์ในโรงก่อนที่จะลงสตรีมมิ่ง 45 วัน

ย้อนไปเดือนกรกฎาคมดิสนีย์ตัดสินใจที่จะฉายภาพยนตร์ Black Widow พร้อมกับลงสตรีมมิ่ง ‘Disney+’ นับเป็นภาพยนตร์จากสตูดิโอ Marvel เรื่องแรกที่เข้าฉายพร้อมกัน แต่เป็นในรูปแบบ Premier Access (ผู้เป็นสมาชิกต้องจ่ายเงิน 30 ดอลลาร์ หรือราว 980 บาท เพื่อรับชม)

แม้ Black Widow จะเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวแรงสุดในยุคโควิด โดยสามารถเก็บเงินไปได้ถึง 140 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นโรงภาพยนตร์ 80 ล้านดอลลาร์ และ Disney+ 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากรวมจำนวนเงินที่ทำได้จากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประเทศอื่น ๆ อีก 78 ล้านดอลลาร์ ก็จะทำให้ตัวเลขเงินเปิดตัวในสัปดาห์แรกอยู่ที่ 218 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปเพียง 1 สัปดาห์ รายได้ของ Black Widow ในโรงหนังลดต่ำลงมาอยู่ที่ 26.3 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นอัตราที่ลดลงถึง 67% จนนำไปสู่การฟ้องร้องของ ‘สการ์เลตต์ โจแฮนสัน’ นักแสดงนำว่าดิสนีย์ละเมิดสัญญา เพราะนอกจากค่าตัวที่ค่ายหนังจ่ายให้แล้ว เธอจะได้ส่วนแบ่งจากรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศด้วย ซึ่งการนำหนังออกฉายในโรงพร้อมกับทางสตรีมมิ่งจึงเป็นการแบ่งรายได้ที่นักแสดงควรจะได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปนั่นเอง

ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ล่าสุดค่ายดิสนีย์ประกาศชัดว่า ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เหลือในปีนี้จะ ‘ฉายโรง’ ก่อนเป็นเวลา 45 วัน ถึงจะลงในสตรีมมิ่ง โดยให้ความเห็นว่าเริ่มเห็นทิศทางที่ดีของผู้ชมที่กลับมาชมในโรงภาพยนตร์ แม้ว่าการระบาดจะเริ่มกลับมาอีกครั้งจากสายพันธุ์เดลตา

“ขณะนี้ความมั่นใจในการรับชมภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราหวังว่าจะสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมในโรงภาพยนตร์ ในขณะเดียวกันก็รักษาความยืดหยุ่นในการมอบของขวัญให้กับสมาชิก Disney+ ของเราในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้” Kareem Daniel ประธาน Disney Media & Entertainment Distribution กล่าวในแถลงการณ์

สำหรับปีนี้ ภาพยนตร์ใหม่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เป็นเวลา 45 วัน ได้แก่ Eternals ของ Marvel จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 5 พฤศจิกายน และ West Side Story ฉบับรีเมกจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 10 ธันวาคม ภาพยนตร์อื่น ๆ ที่เข้าฉายในปีนี้ ได้แก่ The Last Duel, Ron’s Gone Wrong และ The King’s Man

ที่ผ่านมา Shang-Chi ของ Marvel ที่เปิดฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ได้ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศวันแรงงาน ภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องแรกที่นำแสดงโดยซูเปอร์ฮีโร่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย โดยทำรายได้ไปทั่วโลก 247.6 ล้านเหรียญนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โดยยังคงครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศในช่วงสัปดาห์ที่สองเช่นกัน หลายคนมองว่าการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จนี้เป็นสัญญาณที่ให้กำลังใจแก่โรงภาพยนตร์

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในพื้นที่สีแดง เช่น กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใหญ่ ทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่องถูกยกเลิกที่จะฉาย อาทิ Black Widow ที่จะไม่ลงฉายในโรงภาพยนตร์ไทย ส่วน Shang-Shi จะฉายในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ แต่อาจจะต้องรอลุ้นอีกทีว่าจะได้ฉายหรือไม่

Source

]]>
1351549