ตรวจสุขภาพ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 28 Aug 2023 07:31:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สมิติเวช ตอกย้ำ เราไม่อยากให้ใครป่วย ดูแลสุขภาพทั้งในวันนี้ และอนาคต ตรวจลึกระดับยีน วางโรดแมปสุขภาพ https://positioningmag.com/1442545 Mon, 28 Aug 2023 11:00:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442545

สมิติเวช ตอกย้ำ#เราไม่อยากให้ใครป่วย  ก้าวไปอีกขั้นด้วยการตรวจยีนร่วมกับการตรวจสุขภาพประจำปี  สกัดโรคร้าย วางโรดแมปสุขภาพ ที่ รพ.สมิติเวช นอกจากโปรแกรมตรวจสุขภาพ Check-up ประจำปี เพื่อค้นหาโรคที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแล้ว (Now)  ยังมีนวัตกรรมการตรวจยีนลึกถึงระดับพันธุกรรมเพื่อค้นหาโรคที่เกิดขึ้นในอนาคต (Next) แม้ว่าคุณยังไม่มีอาการเจ็บป่วย รู้ก่อน เลี่ยงก่อน รักษาก่อนเกิดอาการ เพื่อสกัดกั้น เป็นทางเลือกใหม่ทางการแพทย์ ที่มีความแม่นยำสูงถึง 99%

นพ.ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวช และ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า  โรงพยาบาลสมิติเวช พยายามเสาะแสวงโรคที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วยกระบวนการ Check-up ประจำปี  , Self Care คือ ดูแลตัวเอง ลดพึ่งพาแพทย์ , ตรวจด้วยกระบวนการ Early Care เพื่อประเมินความเสี่ยง , Risk Care รู้ทันก่อนเกิดโรค ด้วยแบบประเมินความเสี่ยงเฉพาะบุคคล และวันนี้ตรวจด้วยกระบวนการ Smart Genetic Care” การดูยีนในภายภาคหน้า (NEXT)  ซึ่งจะมีแพทย์ที่เป็น Health Coach จะมาช่วยสกัดให้ไม่เป็นโรคถึงแม้จะมียีนไม่ดีพร้อมทั้งแนะนำว่า ในการตรวจยีน ควรตรวจคู่กับการตรวจสุขภาพ Check-up ประจำปี ทำให้เป็นระบบ Now (ตรวจสุขภาพ Check-up) , New (Self Care , Early Care , Risk Care) และ Next (การตรวจยีน) เสียเงินไม่มาก ดีกว่ามาเจ็บป่วยที่หลัง แล้วเสียเงินมากกว่าหลายเท่า เรารักษาที่ต้นน้ำ ไม่ใช่รักษาที่ปลายน้ำ ต้องเท่าทันโรคในปัจจุบันและอนาคต

การตรวจยีน เป็นการตรวจในระดับ Medical Grade  แม่นยำ 99%  ด้วยเทคนิค Whole Genome Sequencing คือตรวจแผนที่ของยีนทั้งหมดของร่างกาย นอกจากรู้เรื่องโรคต่างๆในอนาคตแล้ว ยังทราบเรื่องผิวพรรณ น้ำหนัก เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ ขาดวิตามิน ฯลฯ เป็น 100 โรค จากนั้นจะประเมินความเสี่ยงทางพันธุกรรมเบื้องต้น ถ้ามีความเสี่ยงจะมีแพทย์เป็น Health Coach จะบอกว่าควรเลี่ยงอะไร ควรรู้อะไร และควรเริ่มอะไร เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ไลฟ์สไตล์ อาหาร

 

Genetic Care ของสมิติเวช เชื่อมโยงกับ แอปพลิเคชัน Well by Samitivej คุณสามารถเช็คได้ว่าเบื้องต้น คุณมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมหรือไม่ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Well by Samitivej คลิก👉 https://smtvj.com/Well

สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่

  • ศูนย์สุขภาพดีส่วนบุคคลสมิติเวช รพ. สมิติเวช สุขุมวิท โทร. 02-022-2750
  • แผนกอายุรกรรม รพ. สมิติเวช ศรีนครินทร์ โทร. 02-378-9084-5

#โรงพยาบาลสมิติเวช #HealthierGENEration #ยีนดีทุกวัย #เราไม่อยากให้ใครป่วย

]]>
1442545
รพ.ไฮเอนด์ เเก้เกม ผู้ป่วยต่างชาติหาย “บํารุงราษฎร์” พลิกจับ “คนไทย” ดัมพ์ราคา-จัด 1 เเถม 1 https://positioningmag.com/1297032 Tue, 15 Sep 2020 14:21:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297032 เเม้ว่าแนวโน้มของธุรกิจสถานพยาบาล จะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วแบบ V-Shape เมื่อคลายมาตรการล็อกดาวน์ สอดคล้องกับสัญญาณเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

เเต่ทว่าโรงพยาบาลเอกชนที่เคยพึ่งพารายได้จากผู้ป่วยต่างชาติหรือที่เรียกว่าพึ่งพา Medical Tourism จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย เมื่อรายได้หลักที่เคยมีหดหายไปอย่างมาก เเละยังไม่อาจเปิดประเทศเป็นปกติได้ในเร็ววัน

จากข้อมูลของ TMB Analytics ระบุถึงโครงสร้างรายได้ของโรงพยาบาลเอกชนในไทยว่า มีรายได้จาก Medical Tourism คิดเป็น 8% ของรายได้โรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด ดังนั้นรายได้จากผู้ป่วยต่างประเทศในปีนี้จะยังไม่ฟื้นตัวดีนักเพราะคาดว่าไทยจะยังคงดำเนินการมาตรการล็อคดาวน์ต่างประเทศ เเละคัดกรองผู้เดินทางจากต่างประเทศต่อไป

การปรับกลยุทธ์ใหม่ เเก้เกมในวิกฤต COVID-19 ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” (BH) ที่เคยมุ่งเจาะลูกค้าระดับไฮเอนด์เเละชาวต่างชาติ เเต่ตอนนี้ต้องหันมาจับตลาดคนไทย ทั้งการดัมพ์ราคาค่าห้อง ลดเเลกเเจกเเถมโปรเเกรมตรวจสุขภาพ ไปจนถึงเสนอเเพ็กเกจผ่าตัดราคาพิเศษ เพื่อทดเเทนรายได้ที่ขาดไปในปีนี้ เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อย

หันมาเจาะ “คนไทย” อัดโปรลดเเลกเเจกเเถม 

ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร รพ.บำรุงราษฎร์ ยอมรับว่า วิกฤตโรคระบาด ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง เพราะผู้ป่วยชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยในช่วงเดือนเมษายน ถือว่าหนักที่สุด

ที่ผ่านมา BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี โดยคิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50 % ขณะที่สัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษาเคสหนักเช่นการผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรงซึ่งจะที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร รพ.บำรุงราษฎร์

โดยฐานลูกค้าชาวต่างชาติของ BH หลักๆ มาจากกลุ่มประเทศอาเซียน CLMV รองลงมาเป็น แถบตะวันออกกลาง เเละประเทศในยุโรป ซึ่งไทยยังถือว่ามีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพของโรงพยาบาล ความชำนาญการของแพทย์ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่ประหยัดกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 40-75% หรือสิงคโปร์ ประมาณ 30%

อย่างไรก็ตาม จากปัญหาผู้ป่วยต่างชาติไม่สามารถเดินทางมารักษาในไทยได้ในสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังระบาดทั่วโลก รพ.บำรุงราษฎร์ จึงต้องหันมาปรับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อพยุงรายได้ที่หายไป ด้วยการหันมาจับตลาดคนไทยมากขึ้น เเละไม่ใช่เเค่เจาะลูกค้ารายได้สูงเท่านั้น เเต่ยังต้องขยายไปสู่คนที่มีรายได้ปานกลางมากขึ้น

โดยมีการจัดโปรโมชันพิเศษต่างๆ เช่น การลดราคาค่าห้องลงถึง 50% ในเดือนพ.. การจัดเเพ็กเกจตรวจสุขภาพเเบบซื้อ 1 เเถม 1” รวมถึงเสนอเเพ็กเกจผ่าตัดราคาพิเศษ เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวไทย

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดบริการ Homecare Services ที่มีชื่อว่า Bumrungrad @ Home Service Center เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพแก่ผู้ป่วยและครอบครัวถึงบ้าน และบริการ “60 Second Service” เพื่อให้บริการขั้นพื้นฐาน เช่น ฉีดวัคซีนและรับยา เเบบรวดเร็วเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในยุค New Normal

Photo : facebook /bumrungrad

จากเเคมเปญเเละโปรโมชันต่างๆ ที่เราได้ทำไป ตอนนี้รายได้เริ่มกลับมาทดเเทนส่วนที่หายไปจากชาวต่างชาติได้บ้างเเล้ว คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 จะดีขึ้น เเละจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ได้

BH รายงานรายได้ในไตรมาส 2/2020 มีกำไรสุทธิเพียง 44 ล้านบาท ลดลงถึง 93.9% จากไตรมาส 2/2019 ที่มีกำไรสุทธิ 725 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ รายได้จากกิจการโรงพยาบาลจำนวน 6,531 ล้านบาท ลดลง 27.1% หลักๆ เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ผู้ป่วยชาวไทย 7.8% และต่างชาติ 36.4% ขณะที่ในปี 2019 BH เคยมีรายได้ 1.87 หมื่นล้านบาท และทำกำไร 3.74 พันล้านบาท

ขยายโอกาสธุรกิจใหม่ ดัน Wellness Tourism

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจของบำรุงราษฎร์ในช่วงนี้ คือการหันมาผลักดันธุรกิจ Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จับมือกับพันธมิตรค่ายอสังหาฯ อย่างมั่นคงเคหะการกับยักษ์โรงเเรมอย่างไมเนอร์

เปิดตัวโครงการรักษ” (อ่านว่า รักษะ) ศูนย์เวลเนส รีทรีต 200 ไร่บนคุ้งบางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโซนที่ถูกเรียกว่าเป็นปอดเเห่งใหม่ของกรุงเทพฯประเดิมราคาแพ็กเกจเริ่มต้น 60,000 บาท จับกลุ่มลูกค้าที่สนใจด้านสุขภาพเวลเนสทั่วโลก

ลักษณะความร่วมมือครั้งนี้ มั่นคงฯ จะเป็นผู้ถือหุ้นและลงทุนโครงการ 100% แต่ทำสัญญากับ รพ.บำรุงราษฎร์ ให้ผู้บริหารด้านการแพทย์ แบ่งรายได้ระหว่างกันประมาณ 50 : 50 แต่ในกำไรส่วนที่ รพ.บำรุงราษฎร์ ได้จากบริการทางการแพทย์จะแบ่งคืนให้กับมั่นคงฯ 15% ส่วนสัญญากับ ไมเนอร์ เป็นการจ้างบริหารงานบริการโรงแรมและอาหาร

อ่านเพิ่มเติม : คิกออฟ! “รักษศูนย์เวลเนส จาก 3 บิ๊กเนมมั่นคงบำรุงราษฎร์ไมเนอร์มูลค่า 2,000 ล้านบาท

เดิมทีโครงการรักษตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติจากทั่วโลก แต่เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ลูกค้ายังบินเข้ามาไม่ได้ ทำให้ปีแรกที่จะเปิดบริการเต็มปีคือปี 2021 น่าจะมีอัตราเข้าพักเพียง 30% ต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ว่าปีแรกจะมีอัตราเข้าพัก 60%

วิลล่าที่พักในรักษ เวลเนส รีทรีต

อย่างไรก็ตาม มั่นคงเคหะการ เชื่อว่าระยะยาวเวลเนสจะยังได้รับความนิยม ในปี 2022 อัตราเข้าพักคาดว่าจะขึ้นมาเป็น 50% และเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ชื่อเสียงของประเทศไทยที่รับมือ COVID-19 ได้ดีในช่วงนี้ จะเป็นปัจจัยบวกกับโครงการในภายหลัง เพราะทำให้ต่างชาติเชื่อถือในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ผู้บริหาร รพ. บำรุงราษฎร์ มองว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น และรัฐบาลประกาศชัดเจนว่าจะส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง COVID-19 “นี่จะเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ของเราในอนาคต เพราะวิกฤตโรคระบาด ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลในไทยและต่างประเทศเปลี่ยนไป”

โดยประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรง จากการจัดอันดับของ Global Wellness Institute รายงานว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย ติดอันดับ 13 ของโลก ทำรายได้มากกว่า 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนตลาดโลกนั้น อุตสาหกรรมด้านเวลเนสเติบโต “ดับเบิลดิจิต” ต่อเนื่องมาแล้ว 5 ปี สะท้อนโอกาสที่มีสูงมาก

ทั้งนี้ จากการประชุมศูนย์กลางด้านการแพทย์ ปี 2561 ระบุว่า มีผู้ป่วยต่างชาติมาใช้บริการในด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ประมาณ 3.4 ล้านครั้ง สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 1.4 แสนล้านบาท และไทยยังมีสถานบริการสุขภาพผ่านมาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาลระดับสากล JCI ถึง 68 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน

ปรับรับผู้ป่วยต่างชาติ “เช่าเหมาลำ” จับตาเริ่มกลับมา ต.ค.นี้ 

บรรดาโรงพยาบาลเอกชน ต่างคาดหวังว่ารายได้จะกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่มาพำนักระยะยาวมากขึ้น

BH เริ่มรับผู้ป่วยต่างชาติในกรณีพิเศษเเล้วในช่วงไตรมาส 3 โดยมีผู้ป่วยราว 20-30 คนเดินทางโดยเครื่องบินเเบบเช่าเหมาลำจากเมียนมา เพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผ่านการคัดกรองโรคเเละกักตัว 14 วันภายในโรงพยาบาลตามข้อกำหนดของรัฐ โดยคาดว่าจะมีผู้ป่วยต่างชาติ ล็อตอื่นๆ ตามมาอีกต่อเนื่อง

เเละก็เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยล่าสุดวันที่ 15 .. คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทย ประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) โดยกำหนดเงื่อนไขว่านักท่องเที่ยวดังกล่าวจะต้องเป็นบุคคลต่างด้าวพำนักระยะยาว (Long Stay) ภายในประเทศไทย เเละต้องยอมรับการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ภายในประเทศไทย พร้อมตกลงยินยอมกักตัวในห้องพักจำนวน 14 วัน

โดยต้องมีหลักฐานสถานที่พักอาศัยระยะยาวภายในไทย เช่น หลักฐานการชำระเงินค่าโรงแรมที่พัก หรือโรงพยาบาลที่พัก หลักฐานสำเนาโฉนดหรือการชำระเงินดาวน์ห้องชุดประเภทคอนโดมิเนียม และค่าธรรมเนียมลงตราวีซ่า 2,000 บาท

ครั้งแรกจะอนุญาตให้พักได้ 90 วัน เเละขยายได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน รวม 270 วันหรือ 9 เดือน โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ทั้งนี้ จะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตั้งเเต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ครั้งละ 100 คน จำนวน 1,200 คนต่อเดือน โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถนำเงินเข้าประเทศได้กว่า 1,200 ล้านบาทต่อเดือน

นี่จึงเป็นอีกโอกาสสำคัญที่ “โรงพยาบาลเอกชน” ที่พึ่งพารายได้จากชาวต่างชาติ จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เเม้จะไม่รุ่งเท่าช่วงก่อนวิกฤต COVID-19 ก็ตาม 

 

]]>
1297032