ตลาดเครื่องดื่ม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 23 Apr 2024 09:52:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์” รีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 18 ปี สู่ “เซ็ปเป้ บิวติ” ผู้นำเทรนด์การสื่อสาร Beauty Standard ใหม่ ที่มองว่า “ความหลากหลาย” คือ “ความสวย” https://positioningmag.com/1470674 Tue, 23 Apr 2024 09:00:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470674

ตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทยมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากขึ้นทุกปี เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหม่ๆ ในตลาด อีกทั้งยังแข่งขันเรื่องโปรโมชั่นกันอย่างรุนแรง ผู้เล่นในตลาดจึงต้องแข่งขันกันด้วยเรื่องของแบรนด์ดิ้ง รวมไปถึงชูเรื่องฟังก์ชันนอลของสินค้า เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น

แต่ถ้าพูดถึงตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล ดริ้งค์ จะไม่พูดถึง “เซ็ปเป้” หรือบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) เลยคงไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด และเป็นผู้สร้างกระแสเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล ดริ้งค์ในประเทศไทย ซึ่งแบรนด์ได้ทำตลาดมา 18 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2558 และครองใจผู้บริโภคมาแล้วหลายเจนเนอเรชั่น

ในปีนี้เซ็ปเป้ถือโอกาสฉลองครบรอบ 18 ปี ด้วยการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ จาก “เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์” (Sappe Beauti Drink) สู่ “เซ็ปเป้ บิวติ” (Sappe Beauti) นับเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ในการเปลี่ยนทั้งชื่อแบรนด์, Brand Mission และแพ็คเกจจิ้ง เพื่อต้องการสร้างอาณาจักรบิวติที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เครื่องดื่มอีกต่อไป

อีกทั้งเซ็ปเป้ บิวติ ยังต้องการเป็น Trend Setter ในการสื่อสารเรื่อง Beauty Standard แบบใหม่ ว่าความหลากหลายคือ ความสวยที่แท้จริง ซึ่งไม่จำเป็นต้องสวยตาม Beauty Standard ของสังคมที่จะต้องขาว ผอม หุ่นดี แต่ทุกคนสวยได้ในแบบของตัวเอง โดยได้อินไซต์จากผู้บริโภคในยุคนี้ที่รักตัวเองในแบบที่เป็นตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องสวยตามแบบมาตรฐานของคนทั่วไป โดยที่เซ็ปเป้จะเป็นผู้สนับสนุนความสวยนั้นเอง

นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE กล่าวว่า

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เซ็ปเป้เดินหน้าคิดค้นและพัฒนาสูตรเครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแตกต่างด้วยการใส่นวัตกรรมรูปแบบใหม่ๆ ในเครื่องดื่ม เพิ่มคุณประโยชน์ที่หลากหลาย ในรสชาติที่อร่อย ผสานความสดชื่นอย่างลงตัว เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และยังครองความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความสวยมายาวนานต่อเนื่อง 18 ปี

ในปีนี้เซ็ปเป้ก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่เข้าใจผู้บริโภค Gen Z ด้วยการปรับโฉมรีแบรนด์ครั้งสำคัญจาก เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สู่การเป็น “เซ็ปเป้ บิวติ” อย่างเป็นทางการ พร้อมต่อยอดสู่การเป็นแบรนด์เพื่อสุขภาพและความสวยที่จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้นในหลากมิติ โดยออกสตาร์ทด้วยแคมเปญ สวยเรา ไม่ต้องสวยใคร”

แคมเปญ “สวยเรา ไม่ต้องสวยใคร” เป็นแคมเปญทางการตลาดที่สื่อสารเพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Z โดยหยิบยกประเด็นร้อนในสังคมอย่างเรื่องมาตรฐานความสวย (Beauty Standard) มาบอกเล่าในมุมมองใหม่ ผ่านโปรเจค The Rejected Casts ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงของกลุ่ม Gen Z หลากหลายเพศ จำนวน 7 แคสต์ ผ่านการให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์ตรงและเหตุผลที่ไม่ผ่านแคสต์ติ้งงานโฆษณา

ซึ่งล้วนเป็นเพราะรูปร่าง สีผิว ใบหน้า ดวงตา และรอยยิ้มที่ไม่ตรงตามพิมพ์นิยม ก่อนจะเฉลยว่าทุกคนผ่านการแคสต์งานในครั้งนี้ และได้ร่วมเป็นตัวแทนความสวยในแบบฉบับของตัวเองที่ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับใครของแบรนด์เซ็ปเป้ บิวติ เพื่อสื่อถึงการให้คุณค่ากับทุกความสวย พร้อมฉีกค่านิยมความสวยในกรอบเดิมๆ ของสังคม ด้วยการให้โอกาสนักแสดงที่เคยถูกปฏิเสธงานมามากมาย เพียงเพราะพวกเขาสวยไม่ตรงตามมาตรฐานความสวยที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ

นางสาวปิยจิต เสริมอีกว่า “แต่เดิมเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์วางจุดยืนเป็นเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล ดริ้งค์ที่ขายฟังก์ชันนอลเป็นหลัก เช่น สูตรที่ดื่มแล้วขาวอมชมพู สูตรที่ดื่มแล้วสวย สูตรที่ดื่มแล้วหุ่นดี แต่ตอนนี้เราเข้าใจผู้บริโภค และ Beauty Standard ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย”

และเพื่อให้โดนใจกลุ่ม Gen Z มากยิ่งขึ้น เซ็ปเป้ บิวติ ยังเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ดีไซน์ใหม่ล่าสุด ซึ่งได้นักออกแบบชื่อดังที่กวาดรางวัลด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์มาแล้วทั่วโลก มารับหน้าที่ดีไซน์ฉลากบรรจุภัณฑ์ใหม่ทั้ง 4 รสชาติ ในคอนเซ็ปต์ “โอบกอดตัวเอง (Embrace Yourself)” ที่นำดอกไม้ที่มีความหมายสื่อถึงความรักที่ให้กับตัวเอง มาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบ ได้แก่

  • สูตรคอลลาสกิน (Collaskin) ขวดสีชมพู ใช้ดอกคาเนชั่นแทนสัญลักษณ์ของความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ
  • สูตรเอส-ลิม (S-lim) ขวดสีเขียวอ่อน ใช้ดอกลิลลี่แทนสัญลักษณ์ของความรักอย่างอ่อนหวาน อ่อนโยน
  • สูตรบิวติท็อกซ์ (Beautitox) ขวดสีเขียวเข้ม ใช้ดอกทานตะวันแทนสัญลักษณ์แห่งความรักที่ให้กำลังใจ
  • สูตรบิวติ อายส์ (Beauti Eyes) ขวดสีแดง ใช้ดอกเบญจมาศแทนสัญลักษณ์ของความรักที่มีชีวิตชีวา สดใส

ซึ่งช่วยสะท้อนตัวตน และความชื่นชอบของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในแต่ละลายจะมีการสอดแทรกรูปการ์ตูนของคนที่มีความหลากหลายทั้งรูปร่าง เพศ และสีผิวเอาไว้บนฉลาก เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมของแคมเปญอีกด้วย

“เพราะความสวยคือความหลากหลาย เซ็ปเป้ บิวติ จึงอยากจุดประกายมุมมองเรื่องความสวยในรูปแบบใหม่ พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีความมั่นใจในตัวเอง มีความรักตัวเอง (Self-Love) ตลอดจนกล้าที่จะเป็นตัวเองให้เต็มที่ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนสามารถเปล่งประกายความสวยในแบบของตัวเองได้อย่างเท่าเทียมกัน” นางสาวปิยจิต กล่าวเพิ่มเติม

สัมผัสกับเครื่องดื่ม เซ็ปเป้ บิวติ โฉมใหม่ ทั้ง 4 รสชาติ ได้แล้ววันนี้ที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ทุกสาขา และร้านค้าทั่วไปทั่วประเทศ ในราคา 20 บาท หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ Line: @sappeonline และShopee: Sappe Official Store หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Sappe Beauti Drink และ Tiktok: Sappeonline

]]>
1470674
Coca-Cola และ PepsiCo ส่งสัญญาณเงินเฟ้อ หากต้นทุนพุ่งสูง อาจปรับขึ้นราคา https://positioningmag.com/1373780 Sat, 12 Feb 2022 06:28:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373780 สองผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลกอย่าง Coca-Cola และ PepsiCo ส่งสัญญาณเตือนถึงแรงกดดันต่อผลกำไรในปีนี้ หลังตุ้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจมีการปรับขึ้นราคา 

ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่กระป๋องอะลูมิเนียมไปจนถึงค่าแรงและค่าขนส่ง ท่ามกลางการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกในวิกฤตโรคระบาด ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารบรรจุหีบห่อ (packaged food) ต้องรับมือกับการขึ้นราคา

ด้วยต้นทุนที่ยังคงเพิ่มขึ้นบวกกับปัญหาคอขวดของอุปทาน ที่มีสัญญาณผ่อนคลายลงเพียงเล็กน้อยนั้น นักวิเคราะห์เตือนว่า การขึ้นราคาอาจจะไม่เพียงพอที่จะรองรับกับอัตรากำไรของอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่

Hugh Johnston บอกกับสำนักข่าว Reuters ว่าบริษัทอาจปรับขึ้นราคาได้อีกในปลายปีนี้ หากต้นทุนสูงขึ้นเกินคาด และไม่ได้ตัดขาดสินค้าบางรายการออกอย่างไรก็ตาม จะมีการควบคุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการจัดจำหน่าย เพื่อประคับประคองสถานการณ์

ด้านคู่เเข่งรายสำคัญอย่าง Coca-Cola ก็เริ่มส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกันว่า กำลังพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วในไตรมาสที่ 4 ของ Coca-Cola ลดลงเหลือ 22.1% จาก 27.3% ในปีก่อนหน้า ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วของ PepsiCo ลดลง 183 basis points 

PepsiCo รายงานรายรับสุทธิในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 12.4% เป็น 2.525 หมื่นล้านดอลลาร์ เเละคาดการณ์กำไรหลักของปีงบประมาณ 2022 ที่ 6.67 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 6.73 ดอลลาร์ ตามข้อมูลของ IBES จาก Refinitiv

Coca-Cola คาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วทั้งปีจะเพิ่มขึ้น 5% เป็น 6% จาก 2.32 ดอลลาร์ในปี 2021 เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 6%

ก่อนหน้านี้ เชนร้านกาเเฟรายใหญ่ของโลกอย่าง Starbucks ก็วางเเผนจะปรับขึ้นราคาในปีนี้ เพื่อชดเชยเงินเฟ้อ ต้นทุนที่สูงขึ้น เเถมเจอปัญหาซัพพลายเชนเเละการขาดแคลนแรงงาน

หลังจากที่เคยปรับขึ้นราคาเมนูมาเเล้วเมื่อเดือนต..ปีที่เเล้ว และเดือนม..ปีนี้ ทาง Starbucks ก็เตรียมปรับขึ้นราคาเมนูอีกครั้งในช่วงปี 2022 พร้อมลดใช้จ่ายบางส่วน อย่างด้านการตลาดและการส่งเสริมการขาย เพื่อชดเชยต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ะบาดของโควิด-19

โดยปัจจัยต่างๆ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ การระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เเละปัญหาขาดแคลนแรงงาน ได้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1373780
ยังมาแรง! “ฟังก์ชันนัลดริงก์” เติบโต 20% แม้คนออกจากบ้านน้อยลง “ผู้ใหญ่” นิยมดื่ม https://positioningmag.com/1357425 Wed, 20 Oct 2021 03:06:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1357425 ข้อมูลวิจัยจาก Kantar พบว่า “ฟังก์ชันนัลดริงก์” ยังเป็นตลาดที่โตแรง 20.5% แม้คนออกจากบ้านน้อยลงระหว่างล็อกดาวน์ โดยกลุ่มผู้ซื้อหลักคือผู้ใหญ่วัย 30-49 ปี และคนส่วนใหญ่ยังซื้อเครื่องดื่มกลุ่มนี้เพียง 1-3 ครั้งต่อ 6 เดือน ทำให้โอกาสเติบโตมีอีกมาก

Kantar Worldpanel วิจัยตลาดเครื่องดื่ม “ฟังก์ชันนัลดริงก์” ในประเทศไทย เก็บข้อมูลช่วงเดือนมิถุนายน 2564 โดยนิยามตลาดเครื่องดื่มกลุ่มนี้หมายถึง เครื่องดื่มวิตามิน, เครื่องดื่มเพื่อความงาม, สารสกัดจากผลไม้, สารสกัดจากพืช, เครื่องดื่มจากเห็ด, น้ำแต่งรส ฯลฯ โดยพบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้

1.ตลาดโต 20.5% แม้เผชิญการล็อกดาวน์

มูลค่าตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์เติบโตขึ้น 20.5% แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคถึง 78% จะซื้อเครื่องดื่มกลุ่มนี้เมื่อออกนอกบ้าน (out-of-home consumption) และช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญการล็อกดาวน์หลายครั้งก็ตาม

นอกจากนี้ การเข้าถึงผู้บริโภคของสินค้ากลุ่มนี้ยังทำได้ดีขึ้นกว่าปีก่อน โดย 76.7% ของประชากรไทยวัย 15-49 ปีที่อาศัยในเขตเมืองเคยซื้อเครื่องดื่มกลุ่มนี้บริโภคอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี

2.ตัวท็อปของกลุ่มคือ “เครื่องดื่มวิตามิน”

ในประเภทที่แยกย่อยลงไป “เครื่องดื่มวิตามิน” มีสัดส่วน 36% ในยอดขายรวมของตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ โดยมีแบรนด์ดังคือ C-Vitt และ Woody C Lock

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มีตลาดใหญ่ไม่แพ้กันคือ “น้ำแต่งรส” มีแบรนด์ดังในกลุ่มนี้คือ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ และ วิตอะเดย์ ซึ่งโตถึง 140% เทียบปีต่อปี

3.ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่คือ “ผู้ใหญ่” วัย 30-49 ปี

เป็นเรื่องน่าสนใจที่ สินค้าประเภทนี้เข้าถึงลูกค้ามากที่สุดในกลุ่มวัย 20-24 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยและกลุ่มเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ผู้ซื้อตัวจริงที่สร้างยอดขายให้สูงที่สุดคิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของยอดขายคือ “ผู้ใหญ่” วัย 30-49 ปี เป็นไปได้ว่า เนื่องจากคนวัย 30 ปีขึ้นไปมักจะคำนึงถึงสุขภาพมากขึ้น

4.ผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังซื้อไม่บ่อยนัก

ในตลาดที่มาแรง ยังมีที่ทางให้เติบโตหรือไม่? ผลจากการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยการซื้อฟังก์ชันนัลดริงก์อยู่ที่ 15 ครั้งต่อปี แต่คนกลุ่มใหญ่เกือบ 40% จะซื้อเพียง 1-3 ครั้งต่อรอบ 6 เดือนเท่านั้น เมื่อเทียบกับตลาดเครื่องดื่มชนิดอื่นที่อิ่มตัวแล้วอย่างน้ำอัดลม มีผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่ซื้อน้ำอัดลม 5-9 ครั้งต่อรอบ 6 เดือน นั่นหมายความว่า ยังมีพื้นที่ให้สินค้าชนิดนี้ผลักดันตลาดได้อีก

Kantar สรุปว่าตลาดนี้ยังมีศักยภาพในการเติบโต ผู้บริโภคยังถือว่าอยู่ในช่วงทดลองสินค้า ซึ่งแปลว่าแบรนด์ใหม่และสินค้าชนิดใหม่ยังบุกเข้าตลาดได้อยู่ ผู้ชนะในตลาดจะต้องสร้างสรรค์สินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และทำให้เกิดการซื้อประจำให้ได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

]]>
1357425
ทำไม “เนสท์เล่” ต้องลงทุนใหญ่ 4,500 ล้าน ขยาย 3 โรงงานในไทย เร่งเสริมพอร์ต “อาหารสัตว์เลี้ยง” https://positioningmag.com/1307826 Thu, 26 Nov 2020 17:18:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307826 เเม้วิกฤต COVID-19 จะทำให้ผู้คนซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคมากขึ้น เเต่ภาพรวมของธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย

วันนี้เนสท์เล่” (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารเเละเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ฉายภาพธุรกิจในไทย เทรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยังเติบโต กลยุทธ์รุกตลาดอีคอมเมิร์ซ พร้อมประกาศเเผนลงทุนปีนี้และปีหน้า ด้วยการขยาย 3 โรงงานในไทย เป็นเม็ดเงินถึง 4,500 ล้านบาท เสริมพอร์ตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อะไรเป็นเหตุผลที่เนสท์เล่ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายปีกับสินค้าเหล่านี้เราจะมาหาคำตอบกัน

เนสท์เล่เข้ามาทำตลาดไทยได้ 126 ปีเเล้ว ปัจจุบันมีโรงงานในไทยทั้งสิ้น 7 เเห่ง มีพนักงานราว 3,300 คน (จากทั่วโลก 3 เเสนคน) โดยเเผนขยายโรงงาน 3 เเห่งดังกล่าวจะเป็นการสร้างใหม่ 2 เเห่ง เเละขยายจากโรงงานเดิม 1 เเห่ง

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ให้สัมภาษณ์ว่า เนสท์เล่ ก็เป็นเหมือนหลายบริษัททั่วโลกที่ต้องปรับตัวเพราะสถานการณ์ COVID-19 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือ สินค้ากลุ่มบริโภคนอกบ้าน อย่างเช่น น้ำดื่ม ไอศกรีมเเละขนม

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี เเละช่วยพยุงรายได้ของบริษัทไว้ได้ คือกลุ่มสินค้าในครัวเรือน เช่น กาแฟ นม ซอสปรุงรส เพราะผู้คนต้องใช้เวลาอยู่บ้านเเละทำอาหารกินเองมากขึ้นนั่นเอง

ผลประกอบการยังเป็นไปตามเป้า ภาพรวมยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะเหมือนเป็นการปรับพอร์ตสินค้าในการเติบโต โดยคาดว่ารายได้ของเนสท์เล่ในไทยปีนี้ จะเติบโตราว 1 digit”

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า

แม้ว่าการทำธุรกิจในช่วงนี้ จะเจอกับความท้าทายหลายด้าน แต่ผู้บริหารเนสท์เล่บอกว่ายังเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย เเละมองว่างบลงทุนกว่า 4.5 พันล้านบาทครั้งนี้ จะเป็นการสร้างการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีไปยังธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมาด้วย

ประกอบกับเนสท์เล่มีการทำสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงใน 5 ด้าน ได้แก่

  • เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น เพื่อเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน
  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้าจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เเน่นอน
  • ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรีไซเคิลได้ มีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นพิษต่อโลก
  • นิยมใช้บริการอีคอมเมิร์ซ สั่งอาหารเเละซื้อสินค้าเเบบเดลิเวอรี่ เพิ่มขึ้นมากหลังวิกฤต COVID-19

อินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้บริษัทต้องออกสินค้าใหม่ เเละขยายกำลังผลิตในสินค้าที่จะเติบโตได้ดี โดยเนสท์เล่เลือกที่จะขยายการลงทุนใน 3 โรงงาน กับ 3 กลุ่มสินค้าด้วยกันคือ อาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อาหารสัตว์เลี้ยงคนซื้อราคาพรีเมียม เเม้ต้องประหยัด

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากหันมาดูเเลสัตว์เลี้ยงเพื่อคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยเติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา

“เเม้ในช่วง COVID-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เเต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่มีตก” 

สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเเบบ “พรีเมียม” ขยายตัวสูงเช่นกัน เเละมีประชากรสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเเมวเเละสุนัข โดยคนไทยนิยมดูเเลสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่เเต่งงานช้า มีลูกน้อยลงเเละใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้เติบโต

“ผู้คนยอมตัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เเต่ไม่ยอมตัดค่าใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง เเถมยังยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่ออาหารพรีเมียมให้สัตว์เลี้ยง

จากเเนวโน้มการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง เนสท์เล่ จึงตัดสินใจทุ่มลงทุนกว่า 2,550 ล้านบาท “สร้างโรงงานแห่งใหม่” ในนิคมอมตะนคร มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ ซึ่งมีเเบรนด์ที่ติดตลาดอยู่ในมือเเล้ว อย่างเพียวริน่า, ฟริสกี้ส์, อัลโป เเละซุปเปอร์โค้ท เป็นต้น

ภาพจำลองโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเเห่งใหม่ของเนสท์เล่ จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021

ปั้นรสชาติใหม่ๆ ตีตลาดไอศกรีมไทย 

ไอศกรีมยังเป็นสินค้าที่ขายดี “เมื่อคนเครียด” อยากหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาที่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น

เเม้ไอศกรีมของเนสท์เล่จะโดนผลกระทบจาก COVID-19 แต่เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาปกติ ยอดขายก็จะกลับมาเหมือนเดิม การทุ่มลงทุน 440 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังผลิตไอศกรีม ณ โรงงานบางชันครั้งนี้ จึงเป็นการลงทุนเพื่อตลาดระยะยาว เพื่อออกไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด

ปัจจุบันสินค้าประเภทไอศกรีมคิดเป็นส่วนแบ่งราว 10% ของเนสท์เล่ มียอดขายเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มีการเจาะตลาดคนไทยด้วยการนำ “ไอศกรีมโมจิ” ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทย รวมถึง “ไอศกรีมคิทแคทและโอริโอ” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังไม่ได้มองหาเเค่ไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ แต่ยังมองหาสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้เนสท์เล่ต้องขยับมาทำบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมที่ทำจากกระดาษ ไม่มีส่วนผสมของพลาสติก และสามารถรีไซเคิลได้ 100%

ยูเอชที : ต้องดีต่อสุขภาพ พกพาสะดวก

จากผลวิจัยของ Nielson พบว่า เครื่องดื่มยูเอชทีประเภทนมวัวและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอสที จะมีการเติบโต 3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ชี้ให้เห็นว่าคนไทยกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีกับสุขภาพเเละพกพาสะดวก

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เนสท์เล่หันมาจับเทรนด์รักสุขภาพและต้องพกพาสะดวก โดยการออกผลิตใหม่อย่าง นมตราหมีในรูปแบบกล่อง (จากเดิมเป็นกระป๋อง) เเละออกไมโลรสชาติใหม่ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ตามเเนวโน้มผู้บริโภคคนไทยที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์น้ำตาล 0% มากขึ้นในอนาคต

โดยโรงงานแห่งสุดท้ายจะใช้งบลงทุนราว 1,530 ล้านบาท ซึ่งจะตั้งอยู่ที่นวนคร 7 เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในเครื่องดื่มยูเอชที อย่างไมโลและนมตราหมี

“การลงทุนในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และจะช่วยสร้างการเติบโตในประเทศไทย”

ภาพโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีของเนสท์เล่ ที่นวนคร 7

ด้านการพัฒนา “อีคอมเมิร์ซ” ของเนสท์เล่นั้น ก่อนหน้าที่จะเกิด COVID-19 ไทยมีอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ตอนนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า นำมาสู่การทุ่มงบอีก 50 ล้านบาทในปีนี้

“เราเริ่มตั้งทีมอีบิสซิเนส มาตั้งเเต่ปี 2018 ตอนนี้มีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า มีการลงทุนด้านระบบเเละบุคลากรต่อเนื่อง สร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของเราเอง เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า”

กำลังศึกษา “น้ำผสมวิตามิน” 

อีกหนึ่งเทรนด์เครื่องดื่มที่กำลังมาเเรงในเมืองไทย ตอนนี้บริษัทใหญ่-เล็ก กระโจนลงมาเล่นตลาด “น้ำผสมวิตามิน” กันไม่หยุด จากปีที่เเล้วตีตลาดเจ้าเดียว มาปีนี้เจอผู้ท้าชิงอีก 7-8 เจ้า ปล่อยทีเด็ดส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก ตามเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ทำให้เกิดคำถามว่า ยักษ์ใหญ่ FMCG อย่าง เนสท์เล่ จะลงมาเล่นสนามนี้หรือไม่ 

วิคเตอร์ เซียห์ ตอบว่า เนสท์เล่ยังอยู่ “ระหว่างการศึกษา” ตลาดของน้ำวิตามิน เพราะตลาดนี้ยังมีขนาดเล็กอยู่ไม่ถึง 5% ของตลาดเครื่องดื่ม “ยังไม่รู้ว่าจะเป็นกระแสที่คงอยู่ในระยะยาว หรือจะอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วหายไป” เเต่มีเเผนจะเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพเเนวๆ นี้ อยู่ในช่วงปีหน้า เเต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่เเน่ชัดได้

ต้องจับตาดูว่า หลังทุ่มงบสร้างโรงงานในไทยเเล้ว “เนสท์เล่” จะมีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ อะไรออกมาเขย่าตลาดอีก 

 

 

]]>
1307826
COVID-19 ทำตลาดเครื่องดื่มติดลบ “มิรินด้า” เปิดเกมใหม่เอาใจ Gen Z ขอขึ้นเบอร์ 2 ตลาดน้ำสี https://positioningmag.com/1286321 Thu, 02 Jul 2020 12:04:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286321 COVID-19 กระทบตลาดเครื่องดื่มรวมในไทยที่มีมูลค่าถึง 1.55 เเสนล้านบาท ทำครึ่งปีเเรก 2563 ถึงขั้นติดลบ 7% หลังร้านอาหารต้องหยุดให้บริการชั่วคราว มองหลังคลายล็อกดาวน์ ห้างร้านกลับมาเปิดปกติ กระตุ้นไตรมาส 3-4 ฟื้นตัวเร็ว เเต่คาดทั้งปียังติดลบ

ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มรวมในช่วงครึ่งปีแรก ติดลบ 7% หนักที่สุดในช่วงไตรมาส 2 (ตั้งเเต่เดือนมี..) เนื่องจากช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญอย่าง ร้านอาหาร ภัตราคาร ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด มีสัดส่วนเป็น 18-20% ของช่องทางจำหน่ายทั้งหมดต้องหยุดให้บริการในช่วงล็อกดาวน์ขณะเดียวกันผู้คนก็ออกจากบ้านน้อยลงเเละหลีกเลี่ยงการสังสรรค์

ในปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มรวม” (Liquid Refreshing Beverage : LRB) ของประเทศไทย ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 1.55 เเสนล้านบาท เเบ่งสัดส่วนตลาดเป็น

  • กลุ่มน้ำอัดลม 36%
  • กลุ่มน้ำดื่มบรรจุขวด 25%
  • กลุ่มกาเเฟพร้อมดื่ม 8%
  • กลุ่มชาพร้อมดื่ม 8%
  • กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง 14%
  • กลุ่มมิกเซอร์ 5 %
  • กลุ่มสปอร์ตดริงก์  3%
  • กลุ่มอื่นๆ ราว 1 %

สมชัย เกตุชัยโกศล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายของตลาดเครื่องดื่ม เมื่อเทียบกับในสถานการณ์ปกติที่ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 9% โดยคาดว่าเครื่องดื่มทุกประเภทจะติดลบเหมือนกันหมดในปีนี้

โดยสถานการณ์ COVID-19 ทำให้การเติบโตในช่วงครึ่งปีเเรก 2563 ของตลาดเครื่องดื่มโดยรวมติดลบ 7% ตลาดน้ำอัดลม ติดลบ 2.5% ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด ติดลบ 12% ตลาดกาแฟพร้อมดื่ม ติดลบ 7% ตลาดชาพร้อมดื่ม ติดลบ 13% ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ติดลบ 6% เเละสปอร์ตดริ้งก์ ติดลบ 13%

เมื่อเจาะลึกไปยังกลุ่มน้ำอัดลมพบว่ามีมูลค่าตลาดในปี 2019 อยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาท (ปี 2018 อยู่ที่ราว 50.9 หมื่นล้านบาท) มีการเเข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะ 3 เจ้าใหญ่อย่างโค้ก เป๊ปซี่ เเละเอส

ขณะที่ส่วนแบ่งของตลาดน้ำอัดลมไทยแยกตามประเภท ได้แก่ น้ำอัดลมสีดำ 71% น้ำอัดลมสี 23% และน้ำอัดลมไม่มีสี 6% 

มิรินด้า ทุ่ม 200 ล้าน สู้ศึก “ตลาดน้ำสี”  

เป็นที่น่าสนใจว่าตลาดน้ำอัดลมสี เติบโตขึ้น 10% ในช่วงที่ผ่านมา หลังเป๊ปซี่ปรับโฉมมิรินด้าตีตลาดคนรุ่นใหม่ ด้วยการออกมิรินด้ากลิ่นกรีนครีมออกมาในช่วงต้นปีนี้ มียอดขายเติบโตกว่า 15%

นี่จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เป๊ปซี่หันมารุกตลาดน้ำสีอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ตอบรับเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น

ที่ผ่านมาเราทุ่มให้กับตลาดน้ำดำมาโดยตลอด ถึงตอนนี้เเบรนด์เเข็งแกร่งเเล้ว จึงถึงเวลาที่จะมาบุกตลาดน้ำสีอย่างเต็มที่ผู้บริหารซันโทรี่ เป๊ปซี่โคกล่าว

ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของมิรินด้า ประเดิมครึ่งปีหลัง ด้วยกลิ่นมิกซ์เบอร์รี่และแตงโม ชูจุดเด่นเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ผสาน 2 กลิ่นผลไม้ในขวดเดียว โดยรสชาติใหม่จะมีช่วงระยะห่างกันประมาณ 6-8 เดือนจนกว่าจะมีรสชาติที่ใหม่กว่าออกมาจำหน่าย

โดยการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ของมิรินด้าในปีนี้ วางงบการตลาดไว้ที่ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว จากเมื่อปีที่ผ่านมาใช้ราว 100 ล้านบาท เพื่อชิงขึ้นเป็นเบอร์ 2” ในตลาดน้ำสี เเทนที่เอส ซึ่งขณะนี้มีส่วนแบ่งในตลาดห่างกันเเค่ 2.5%

ในงบการตลาด 200 ล้านบาทนี้ จะใช้ในสื่อดิจิทัลถึง 60% เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ Gen Z อย่างทั่วถึง

อย่างไรก็ตาม การที่มิรินด้าเปิดตัวในไทยมานานตั้งเเต่ปี 2520 หรือกว่า 43 ปีที่เเล้ว เเละเริ่มมีการปรับโฉมในปี 2560 การที่จะเปลี่ยนเเบบทันทีทันใดไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

เราต้องทำเเบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นเรื่องของงบประมาณด้วย เพราะถ้าเปลี่ยนครั้งเดียวต้องใช้เงินเยอะ เเต่ถ้าค่อยๆ เปลี่ยนใช้งบน้อยกว่า เเละคนจดจำได้มากกว่า

เปิดเกมเเย่งลูกค้า Gen Z

การที่จะครองใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่มีอายุตั้งเเต่ 15-24 ปี เเละชื่นชอบการดื่มน้ำอัดลมมากกว่าวัยอื่นๆมิรินด้าก็ต้องปรับตัวให้เด็กลงไปด้วย โดยจะชูมีลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ที่สนุก สดใสมากยิ่งขึ้น

เพื่อให้เข้ากับจุดเด่นของ Gen Z ที่ชอบความหลากหลาย เปิดรับความแปลกใหม่ท้าทาย ไม่จำเจและสนุกกับการใช้ชีวิต รวมถึงการเเสดงตัวตนในโลกดิจิทัล

จากข้อมูลของ GroupM ระบุว่า ในปี 2019 วัยรุ่นไทยใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเเชทถึง 87.7% ตามมาด้วยการอัพโหลดเเละเเชร์รูปภาพ 80.7% ดูทีวีเเละวิดีโอ 69.3% เสิร์ชหาข้อมูล 65.4% เเละเล่นเกม 64.8%

มีการใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อวัน เเละใช้เวลาดูวิดีโอราว 2 ชั่วโมงต่อวัน

ดังนั้นแคมเปญการตลาดของมิรินด้าในปีนี้ จึงมาด้วยคอนเซ็ปต์ “Mirinda Mix Up Your World มิรินด้าสนุกทุกสี ซ่าไม่มีซ้ำ” ที่เจาะลึกถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ TikTok ที่มิรินด้าจับมือเป็นพันธมิตร

 3 กลยุทธ์มิรินด้า”

  • เข้าใจและครองใจ Gen Z:  วัยรุ่นคือผู้บริโภคกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในเครื่องดื่มน้ำอัดลมสี เป็นผลมาจากพฤติกรรมที่ชอบความหลากหลาย เปิดรับและพร้อมทดลองสิ่งใหม่และไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์ความสนุกจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ซึ่งตรงกับแนวความคิดของมิรินด้า ที่จะนำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงใจกลุ่ม Gen Z โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในแบรนด์หลักในใจวัยรุ่น ผ่านกิจกรรมการตลาดหลากหลายรูปแบบที่เน้นการสร้าง Brand For Me ให้เกิดในใจชาว Gen Z
  • สร้างพอร์ตฟอลิโอที่แข็งแกร่ง เน้นชูจุดแข็งของ 3 รสชาติหลักที่มีสัดส่วนกว่า 80% ได้แก่ น้ำส้ม น้ำแดง และน้ำเขียว ล่าสุดได้มีการปรับปรุงรูปแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้มีความสดใส ชวนดื่มมากยิ่งขึ้น พร้อมตั้งเป้าการออกผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่สู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี เพื่อกระตุ้นการบริโภคและดึงดูดผู้บริโภคหน้าใหม่ให้เปิดใจทดลอง เพื่อสร้างสีสันและการเติบโตให้กับตลาดน้ำสี
  • นำหน้าบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม : กิจกรรมทางการตลาดของมิรินด้าจะเน้นหนักบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม ด้วยงบลงทุนที่เพิ่มสัดส่วนสูงขึ้นทุกปี ล่าสุดจับมือพันธมิตร เช่น TikTok ในการสร้างสรรค์ความสนุกผ่านฟีเจอร์ใหม่เอาใจสายแดนซ์ โดยออกแบบทั้งฟิลเตอร์ใหม่ เพลงใหม่ติดหู และการใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ได้ทีมครีเอทีฟของ TikTok มาทำงานร่วมกัน

เมื่อจะจับตลาดวัยรุ่น ก็ต้องใช้พรีเซ็นเตอร์วัยรุ่น โดยเมื่อปี 2017 มิรินด้าเปิดตัวไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปวง BNK48 เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ครั้งแรกของ “มิรินด้า มิกซ์-อิท” ส่วนในปีนี้จะมีการใช้พรีเซ็นเตอร์อีกหรือไม่นั้น ผู้บริหารซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ตอบว่า “ปีนี้สถานการณ์เพราะยังไม่เเน่นอน เเต่ถ้าในอนาคตมิรินด้าจะมีพรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง ก็จะยังคงมองหาในวงการเพลง” 

ขณะที่การเป็นสปอนเซอร์ให้กับคอนเสิร์ตเเละเทศกาลดนตรีต่างๆ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ทางเป๊ปซี่บอกว่า “ต้องระงับไว้ก่อน” เเละจะกลับมาอีกครั้งเมื่อทำได้

การกลับมารุกหนักใน “ตลาดน้ำสี” ของมิรินด้าครั้งนี้ น่าจะกระตุ้นการเเข่งขันในตลาดเครื่องดื่มได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง “ครึ่งปีหลัง” ที่หลายเเบรนด์เริ่มกลับมาทุ่มงบการตลาดอีกครั้ง ขณะเดียวกันการที่จะครองใจชาว Gen Z ดูเหมือนจะเข้าถึงง่าย เเต่ก็ “ไม่ง่าย” นัก เมื่อการทดลองสิ่งใหม่อยู่เสมอคือจุดเด่นของคนวัยนี้ เเละคู่เเข่งอย่าง “เอส” คงไม่ยอมปล่อยตำเเหน่งเบอร์ 2 ง่ายๆ ต้องรอดูว่าจะมีกลยุทธ์อะไรมางัดข้อกันบ้าง 

 

 

]]>
1286321
Coca-Cola คาดไวรัสโคโรนาระบาด กระทบกำไร-รายได้ ในไตรมาสแรก https://positioningmag.com/1265675 Mon, 24 Feb 2020 13:41:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265675 ผูัผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ของโลก Coca-Cola คาดการณ์ว่าการระบาดของ COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสเเรกปีนี้ถึง 2 เซนต์ต่อหุ้น เเละกระทบปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มราว 2-3%

บริษัทคาดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 จะส่งผลต่อตัวเลขกำไรในไตรมาสเเรก ราว 1-2 เซนต์ต่อหุ้น และกระทบรายได้ ราว 1-2% ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มจะกระทบราว 2-3%

อย่างไรก็ตาม เเม้จะได้รับผลกระทบในไตรมาสเเรก เเต่ทาง Coca-Cola ยืนยันว่าบริษัทจะมีผลประกอบการประจำปีนี้ตามเป้าหมายเดิม ซึ่งตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 5% และกำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วจะเพิ่มขึ้น 7% เป็น 2.25 ดอลลาร์สหรัฐ

ในปี 2019 Coca-Cola มียอดขายสุทธิอยู่ที่ 3.73 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้น 2.07 ดอลลาร์ ส่วนหุ้นของบริษัทลดลงน้อยกว่า 1% ในการซื้อขายล่วงหน้า โดยมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.56 เเสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ มูลค่าธุรกิจในจีนของ Coca-Cola คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของทั้งโลก โดยบริษัทคาดว่าจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของโรคระบาดที่เกิดขึ้นกับธุรกิจได้ภายในช่วงก่อนเดือน เม.ย.นี้

 

ที่มา : CNBC

]]>
1265675
“เป๊ปซี่” เปิดศึก “หวยน้ำดำ” อัดยาเเรง “ชิงโชค” ใหญ่ คืนชีพเซเว่นอัพ https://positioningmag.com/1265289 Fri, 21 Feb 2020 03:56:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265289 หน้าร้อนเป็นช่วงเเห่งการเเข่งขันอันดุเดือดของ “ตลาดน้ำอัดลม” ที่จะอัดเเคปเปญกระตุ้นยอดขาย เปิดตัวสินค้าใหม่เเละโปรโมทสร้างการรับรู้ต่างๆ

“ยิ่งร้อนก็ยิ่งขายดี” คนหาอะไรดื่มเพื่อความสดชื่นมากขึ้น เป็นผลให้ผู้ผลิตน้ำอัดลมที่ทำตลาดในไทยเติบโตกันถ้วนหน้าทั้ง 3 เจ้าใหญ่อย่างเป๊ปซี่ โค้กเเละเอส ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 56,000 ล้านบาท ในปี 2019 เพิ่มขึ้น 12% จากที่ปีก่อนหน้าอยู่ที่ราว 50,900 ล้านบาท ส่วนแบ่งของตลาดน้ำอัดลมไทยแยกตามประเภท ได้แก่ น้ำอัดลมสีดำ 71% น้ำอัดลมสี 23% และน้ำอัดลมไม่มีสี 6%

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Nielson ระบุว่า ส่วนเเบ่งการตลาดน้ำอัดลมทั้งหมดในไทยของปี 2019 “โค้ก” ยังคงอยู่อันดับ 1 ที่ 35% ตามมาด้วย เป๊ปซี่อยู่ที่ 25.4 % เเละเเฟนต้าที่ 15.6% ส่วนเฉพาะประเภทไม่คืนขวด (PET, กระป๋อง) นั้นเป๊ปซี่ครองตลาดที่ 45%

ปีนี้ฝั่ง “เป๊ปซี่” ประกาศจะทุุ่มงบการตลาดกว่า 400 ล้าน (เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2019 ที่ใช้ไปราว 250 ล้าน) จัดเเคมเปญชิงโชคครั้งใหญ่ที่สุดตั้งเเต่เคยทำมา เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าที่กำลังจะวางขาย หลังปรับโฉมใหม่อย่าง “มิรินด้า” เเละฟื้นคืนชีพ “เซเว่น อัพ” เพื่อเอา “น้ำสีเเละน้ำใส” มาช่วยเสริมความเเกร่งของ “น้ำดำ” ที่เป็นตัวหลักอย่างเป๊ปซี่

อัดยาเเรง “ชิงโชคใต้ฝา” ครั้งใหญ่ที่สุด 

ในปีที่ผ่านๆ มา ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคมีการจัดเเคมเปญชิงโชคอยู่บ้าง เเต่ปีนี้นับว่ามีมูลค่ารางวัลรวมสูงที่สุดกว่า 40ล้าน กับ “เป๊ปซี่ ซัมเมอร์ซ่า”  ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.- 24 เม.ย. 2020 โดยการส่งรหัสใต้ฝาหรือรหัสที่หูกระป๋องของเป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่น-อัพ ขนาดใดก็ได้เข้าร่วมชิงรางวัล พร้อมนำ “เดอะทอยส์” นักร้องขวัญใจวัยทีนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์

โดยจะเเจกทองคำมูลค่า 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล, รถยนต์ BMW X1 มูลค่า 1.99 ล้านบาท จำนวน 8 รางวัล, โทรศัพท์มือถือ Samsung S series รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 31,900 บาท 270 รางวัล และบัตรกำนัล KFC มูลค่า 500 บาท จำนวน 20,000 รางวัล

การทุ่มงบหนักของ เป๊ปซี่โคครั้งนี้ ก็เป็นการรุกตลาดเพื่อสร้างสีสัน กระตุ้นตลาดเครื่องดื่มในช่วงหน้าร้อนให้กลับมาคึกคัก รวมถึงปั้นยอดขายสินค้าที่จะออกมาใหม่อย่าง “มิรินด้า-เซเว่นอัพ” นั่นเอง

“เเคมเปญใหญ่นี้ คิดล่วงหน้ามาเป็นปี ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่เศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวหรือผลกระทบจากไวรัสโคโรนา” จรณชัย ศัลยพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบรรษัทสัมพันธ์ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค กล่าว

ด้าน ศิเรมอร ศุภจรรยา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SPBT ผู้ผลิตเครื่องดื่มเเบรนด์ เป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่น-อัพ ชาลิปตัน เกเตอเรด น้ำดื่มอควาฟิน่า และกู๊ดมู้ด เปิดเผยว่า “ในปี 2019 เป๊ปซี่โคเติบโตได้กว่า 15.5% นับว่าโตมากที่สุดในตลาดน้ำอัดลม โดยในส่วนเป๊ปซี่ เติบโตราว 16 % ตามมาด้วยมิรินด้า เติบโต 8% เเละเซเว่น-อัพ เติบโต 5 %” 

เจาะใจคนรุ่นใหม่ Gen Z และคนรักสุขภาพ

ผู้บริหารเป๊ปซี่โค บอกว่า การฟื้นแบรนด์ “มิรินด้า” เเละ “เซเว่น-อัพ” กลับมาทำตลาดอีกครั้งนั้น มีที่มาที่ไปจากเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในการบริโภคเครื่องดื่ม โดยเฉพาะน้ำอัดลม

สำหรับ 2 เทรนด์หลักที่บริษัทจะมุ่งจับตลาดให้ได้คือ กลุ่มคน Gen Z อายุระหว่าง 10-21 ปีเเละกลุ่มคนรักสุขภาพ ที่ต้องการเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล ไม่มีคาเฟอีน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มเรื่อยๆ ในผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย

โดย Gen Z เป็นกลุ่มคนที่พร้อมเปิดใจยอมรับความแปลกใหม่ โตมากับเทคโนโลยี กล้าแสดงออก มีความมั่นใจ ในประเทศไทยมีคน Gen Z จำนวนกว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 19% ของประชากร

อีกกลุ่มคือคนที่รักสุขภาพ แต่ก็ยังอยากบริโภคน้ำอัดลมอยู่ จึงต้องหาสิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ เช่น เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล ปราศจากไขมัน รวมถึงมีการเติมวิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จากการสำรวจตลาดพบว่า ลูกค้ายอมจ่ายเเพงขึ้น หากมีการ “ตัดผลเสีย” เเละ “เติมคุณค่า”

ปรับโฉมใหม่ “มิรินด้า” ทั่วโลก

ช่วงกลางปีนี้เราจะได้เห็นมิรินด้าในภาพลักษณ์ใหม่ตามตลาดโลกที่ดูเด็กลงมาก มีความเป็นวัยรุ่นที่ดูสดใสมากขึ้นเพื่อเอาใจชาว Gen Z เเละจะขยายฐานลูกค้าด้วยสินค้าใหม่ “มิรินด้า กลิ่นกรีนครีม” เพราะเห็นว่าตลาดน้ำสี โดยเฉพาะ “น้ำเขียว” มีโอกาสเติบโตได้สูง

พร้อมมุ่งเน้นการสื่อสารการตลาดไปที่ช่องทางออนไลน์ โดยจะโปรโมทผ่านสื่อโซเชียลที่คนรุ่นใหม่คุ้นเคยเเละใช้กันเยอะอย่าง TikTok , Twitter , Fackbook เเละ Instagram อย่างไรก็ตามยังคงมีการโปรโมทตามสื่อในร้านค้าเเละสื่อนอกบ้านด้วย

คืนชีพ “เซเว่น-อัพ”  

ที่ผ่านมาเซเว่น-อัพ เเม้จะมีวางขายอยู่ตลอด เเต่ก็ค่อนข้างเงียบเหงาไร้กิจกรรมทางการตลาด เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างสไปร์ท ปีนี้ถึงเวลาเป๊บซี่โค จะฟื้นคืนชีพให้เซเว่น-อัพ

โดยก่อนหน้านี้มีการทำวิจัยผู้บริโภค พบว่าพวกเขาชื่นชอบน้ำอัดลมน้ำใสเพราะรู้สึกมีความเป็นธรรมชาติและดูมีสุขภาพ จึงทำให้บริษัทอยากที่จะยกระดับ เซเว่น-อัพให้กลายเป็นเครื่องดื่มเพื่อคนรักสุขภาพ จึงต่อยอดออกสินค้าใหม่ “เซเว่น-อัพ ฟรี” ไม่มีน้ำตาล ไม่เจือสี ไม่คาเฟอีน

ซึ่งจะเป็นการ “ลองตลาด” ทั่วโลก โดยได้นำ “ไฟโด ดิโด” (Fido Dido) ตัวการ์ตูนที่เคยเป็นมาสคอตของเเบรนด์ เซเว่น-อัพ ในยุค 80-90 มาสร้างสีสันบนแพ็คเกจจิ้งใหม่ให้เเฟนๆ ได้เก็บสะสมกันซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดี

 

จัดเทศกาลดนตรี เน้นเพิ่มฐานภาคอีสาน 

ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ยังเดินหน้าเป็นผู้สนับสนุนหลักในเทศกาลดนตรีเพื่อโปรโมทเเบรนด์ในวงกว้าง ซึ่งในช่วงสงกรานต์ปีนี้ มีการร่วมใน 4 งานซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ ได้เเก่

  • Pepsi Presents S2O Songkran Music Festival กรุงเทพ ที่มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 60,000 คน สนับสนุนเป็นปีที่ 6 แล้ว
  • UD Town Songkran Festival จ.อุดรธานี หนึ่งในเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.2 แสนคน สนับสนุนเป็นปีที่ 4 แล้ว
  • Pepsi Music Presents Songkran Korat มันส์ สุด มาก ณ เซ็นทรัลพลาซา จ.นครราชสีมา สนับสนุนเป็นปีที่ 6
  • Volo Festival เทศกาลดนตรี Hip Hop กลางสวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคเข้าสนับสนุน

“เรายังเน้นไปที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหญ่ที่สุดของเป๊ปซี่ เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ”  

ขณะที่ความกังวลจากการเเพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่นักท่องเที่ยวจะลดลงมากเเละความเสี่ยงจากการชุมนุมนั้นมีผลต่อการจัดเทศกาลดนตรีในปีนี้หรือไม่ จรณชัยตอบว่า ทางเป๊ปซี่โคติดตามสถานการณ์วันต่อวัน เพื่อเตรียมรับมือในด้านต่างๆ เเต่ยืนยันว่าจะเป็นสปอนเซอร์หลักในการจัดงานต่อไป อย่างไรก็ตามการดำเนินงานนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดงาน

]]>
1265289