นักท่องเที่ยวอินเดีย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 21 Nov 2023 07:57:01 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘กรุงเทพฯ’ ครองอันดับ 2 เมืองที่ ‘นักท่องเที่ยวอินเดีย’ นิยมมากที่สุดในปี 2022 https://positioningmag.com/1452640 Tue, 21 Nov 2023 04:29:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452640 ในอดีตที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่ในช่วงที่จีนยังปิดประเทศนั้น นักท่องเที่ยวอินเดีย ก็ขึ้นแท่นเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลัก และแม้ว่าเราจะเห็นนักท่องเที่ยวในอินเดียเข้าไทยจำนวนมหาศาล แต่ในความเป็นจริงแล้วคนอินเดียที่ท่องเที่ยวต่างประเทศมีเพียง 1% เท่านั้น

นักท่องเที่ยวอินเดียสร้างเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท

อ้างอิงข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพบว่า ในปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางเข้าประเทศไทยราว 5-6 แสนคน สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า 2 หมื่นล้านบาท และในปีนี้ มีการประเมินว่านักท่องเที่ยวอินเดียจะเข้าไทยกว่า 3 ล้านคน และมีการใช้จ่ายประมาณ 41,000 บาท/การมาท่องเที่ยว 1 ครั้ง ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเปิด ฟรีวีซ่า อินเดียเที่ยวไทย 30 วันนาน 6 เดือน ตั้งแต่ 10 พ.ย. – 10 พ.ค. 2567 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว

กรุงเทพฯ อันดับ 2 เมืองที่นักท่องเที่ยวอินเดียมามากที่สุด

จากข้อมูลจาก Booking.com และ McKinsey ระบุว่า นักเดินทางชาวอินเดียเดินทางเพื่อพักผ่อน 1.7 พันล้านครั้งในปี 2022 แต่นักเดินทางส่วนใหญ่ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศเลย แต่การเดินทางไป ต่างประเทศ มีเพียง 1% เท่านั้น โดยสถานที่ 10 แรกที่นักท่องเที่ยวอินเดียนิยมมากที่สุด ได้แก่

  • ดูไบ
  • กรุงเทพฯ
  • สิงคโปร์
  • ลอนดอน
  • ปารีส
  • นครโฮจิมินห์
  • อูบุด
  • ฮานอย
  • ภูเก็ต
  • กาฐมาณฑุ

ภายในปี 2030 มีกว่า 5 พันล้านทริป

นอกจากนี้ มีการประเมินว่าภายในปี 2030 นักเดินทางชาวอินเดียจะมีทริปพักผ่อนสูงถึง 5 พันล้านทริป แต่ 99% ของทริปเหล่านั้นจะอยู่ในประเทศเหมือนกับปี 2022 อย่างไรก็ตาม แม้ทริปเที่ยวต่างประเทศจะมีเพียง 1% แต่เท่ากับว่ามีปริมาณถึง 50 ล้านทริป เลยทีเดียว

อย่างที่รู้กันว่า อินเดียได้ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มี จำนวนประชากรมากที่สุดในโลก แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ภายในปี 2030 อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีการ ใช้จ่ายด้านการเดินทางมากเป็นอันดับ 4 ของโลก เนื่องจากจำนวนประชากรที่มีรายได้ปานกลางที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรายได้ของครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น 35,000 ดอลลาร์ต่อปี (ราว 1.2 ล้านบาท) ในเวลานั้น

นอกจากนี้ ประชากรยังอายุน้อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 27.6 ปี ซึ่งอายุน้อยกว่าประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ส่วนใหญ่มากกว่า 10 ปี ยิ่งกว่านั้น การบริโภคสินค้าและบริการ รวมถึงการพักผ่อนและสันทนาการ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสองเท่าภายในปี 2030 เช่นกัน ซึ่งรายงานระบุว่าการใช้จ่ายด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวจะสูงถึง 4.10 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 170% จาก 1.50 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2019

Source

]]>
1452640
“ไทยเวียตเจ็ท” บุกหนักต่างประเทศ เตรียมบิน “อินเดีย” ตั้งเป้าผู้โดยสารปี’66 แตะ 8 ล้านคน https://positioningmag.com/1410764 Thu, 01 Dec 2022 10:12:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1410764
  • “ไทยเวียตเจ็ท” สรุปการดำเนินงานปี 2565 ปีแห่งการขยายเส้นทางบิน คาดมีผู้โดยสารรวม 6.3 ล้านคน
  • ปี 2566 บุกหนักบินข้ามพรมแดน พลิกสัดส่วนไฟลท์ระหว่างประเทศเป็น 67% มากกว่าบินในประเทศ วางแผนเปิดรูท “อินเดีย” เบาะรองรับหากจีนไม่เปิดประเทศ
  • ตั้งเป้าผู้โดยสารปี 2566 ขึ้นไปแตะ 8 ล้านคน เพิ่มฟลีทเครื่องบินอีก 3 ลำ ลดปัญหาดีเลย์
  • 2565 นับเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของธุรกิจ “สายการบิน” โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่การระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มซาลง ทำให้การท่องเที่ยวคึกคัก รวมถึงสายการบิน “ไทยเวียตเจ็ท” ก็เช่นกัน

    “วรเนติ หล้าพระบาง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยเวียตเจ็ท สรุปผลการดำเนินงานช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ มีผู้โดยสารกับไทยเวียตเจ็ทไปแล้ว 5 ล้านคน และคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีครบ 6.3 ล้านคน

    ในแง่ของการขยายเที่ยวบิน ปัจจุบันไทยเวียตเจ็ทมีการบินในประเทศ 12 เส้นทาง ทำการบินเกือบ 100 เที่ยวบินต่อวัน อัตราผู้โดยสารต่อเที่ยว (load factor) อยู่ที่ 85%

    ไทยเวียตเจ็ท
    8 เส้นทางบินต่างประเทศของไทยเวียตเจ็ทในปี 2565

    ส่วนระหว่างประเทศมีการบิน 8 เส้นทาง ได้แก่ โฮจิมินห์ซิตี้, ดานัง, ฟูโกว๊ก, ดาลัด, สิงคโปร์, ฟุกุโอกะ, ไทเป และพนมเปญ รวมทำการบินระหว่างประเทศ 92 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ อัตราผู้โดยสารต่อเที่ยว (load factor) อยู่ที่ 75-80%

    เป็นปีที่ไทยเวียตเจ็ทกลับมาขยายตลาดอย่างรวดเร็ว เฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีการเพิ่มเส้นทางและความถี่ขึ้นถึง 7 เท่าในระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา และเที่ยวบินในประเทศนั้นเพิ่มเที่ยวบินจนเป็นสายการบินที่ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 2 ของตลาด ด้วยสัดส่วน 20%

     

    เส้นทางบิน “ต่างประเทศ” หัวใจการทำกำไร

    วรเนติกล่าวต่อว่า การเน้นหนักเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศนั้นเป็นกลยุทธ์ที่ไทยเวียตเจ็ทจะทำต่อเนื่อง จากขณะนี้มีสัดส่วน 40% ในการทำการบินทั้งหมด จนถึงสิ้นปี 2566 เที่ยวบินระหว่างประเทศจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 67% พลิกสัดส่วนมากกว่าการบินในประเทศ และทำให้จำนวนผู้โดยสารบินระหว่างประเทศเติบโตมากกว่า 3 เท่า

    ไทยเวียตเจ็ท
    สัดส่วนไฟลท์บินระหว่างประเทศเทียบกับในประเทศ ปี 2565-66

    “ปิ่นยศ พิบูลสงคราม” ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทยเวียตเจ็ท อธิบายเพิ่มว่าทำไมไทยเวียตเจ็ทต้องปั้นพอร์ตเที่ยวบินระหว่างประเทศให้มากขึ้น

    การบินต่างประเทศคือการทำให้เครื่องบิน 1 ลำได้ใช้งานอย่างคุ้มค่า เพราะน้ำมันเครื่องบินจะใช้เยอะที่สุดคือช่วงเทกออฟและแลนดิ้ง รวมถึงค่าเสื่อมอะไหล่ของการบิน 1 ชม. กับ 5 ชม. ไม่ต่างกัน การได้บินนานๆ ต่อ 1 ไฟลท์จึงคุ้มค่ากว่า นอกจากนี้ การบินระยะไกลยังทำให้เครื่องบินมีโอกาสได้ใช้บินช่วงกลางคืนด้วย ต่างจากการบินสั้นในประเทศ ไม่มีผู้โดยสารต้องการมาขึ้นเครื่องดึกๆ แน่นอน ดังนั้น เราต้องทำไฟลท์ระหว่างประเทศให้ได้เยอะกว่านี้ เพื่อเพิ่มอัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบินต่อวัน” ปิ่นยศกล่าว

    เหตุผลรองอีกส่วนหนึ่งคือการแข่งขันในประเทศค่อนข้างสูง ปิ่นยศกล่าวว่าช่วงหลังเปิดประเทศ แม้แต่สายการบินฟูลเซอร์วิสก็ลดระดับราคาลงมาแข่งขันกับโลว์คอสต์ แต่ถ้าเป็นรูทต่างประเทศ การลดราคาแข่งจะยากกว่า และบางเส้นทางที่ไทยเวียตเจ็ทเลือก มีดีมานด์สูง และเป็นเส้นทางบินของนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อ ทำราคาได้ เช่น กรุงเทพฯ-สิงคโปร์, กรุงเทพฯ-พนมเปญ จึงมีโอกาสทำกำไรมากกว่า

     

    ปี’66 เชียงใหม่-โอซาก้ามาแน่ เตรียมเพิ่ม “อินเดีย” เข้าแผนที่

    นอกจากจะเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางเดิม เช่น กรุงเทพฯ-ไทเป, กรุงเทพฯ-พนมเปญ ยังจะมีเส้นทางใหม่ๆ เพิ่มมาในแผนของไทยเวียตเจ็ทด้วย ที่แน่นอนแล้วคือ กรุงเทพฯ-ดาลัด จะกลับมาบินวันพรุ่งนี้ (2 ธันวาคม 2565) เป็นวันแรกนับตั้งแต่เผชิญโควิด-19

    อีกเส้นทางที่จะเริ่ม 1 กุมภาพันธ์ 2566 คือ เชียงใหม่-โอซาก้า เป็นเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยบินมาก่อน วางราคาไม่เกิน 8,000 บาทต่อคนต่อเที่ยว (ไม่รวมน้ำหนักกระเป๋า)

    “เชื่อว่าเส้นทางนี้จะได้ทราฟฟิกคนโอซาก้าหรือคนญี่ปุ่นมาเที่ยวเชียงใหม่เป็นหลักราว 80% อีก 20% จะเป็นคนไทยภาคเหนือออกไปเที่ยวญี่ปุ่น” วรเนติกล่าว

    Photo : Shutterstock

    สำหรับเส้นทางบินอื่นๆ ที่เป็นเป้าหมายของไทยเวียตเจ็ท ได้แก่ ประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน อินเดีย และเกาหลีใต้

    ปิ่นยศกล่าวว่า ที่คาดว่าน่าจะได้บินเร็วๆ นี้แน่นอนคือ “อินเดีย” อยู่ระหว่างรอรับใบอนุญาตสิทธิการบินจากทางอินเดีย โดยเตรียมรูทบินไว้ 3-4 เส้นทาง บินสู่เมืองมุมไม, อาห์เมดาบัด, ชัยปุระ และลัคเนา

    เส้นทางบินอินเดียนี้ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะอาจได้เป็นตลาดทดแทน “จีน” ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะเปิดประเทศได้เมื่อไหร่ แม้จะคาดการณ์กันว่าน่าจะเปิดประเทศได้ภายในไตรมาส 2 ปีหน้าก็ตาม

    ไทยเวียตเจ็ท
    ผู้บริหารไทยเวียตเจ็ท: (ซ้าย) “วรเนติ หล้าพระบาง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ (ขวา) “ปิ่นยศ พิบูลสงคราม” ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์

     

    ปีหน้าขอแตะ 8 ล้านคน สั่งเครื่องเพิ่ม 3 ลำ

    วรเนติสรุปเป้าหมายปี 2566 จะดันจำนวนผู้โดยสารเพิ่มเป็น 8 ล้านคน และจากการเพิ่มเที่ยวบิน ทำให้สายการบินมีการเพิ่มจำนวนเครื่องบินอีก 3 ลำ รวมเป็น 20 ลำในฟลีท

    ช่วงที่ผ่านมา 2-3 สัปดาห์ วรเนติยอมรับว่าไทยเวียตเจ็ทมีปัญหาการดีเลย์กลับมาอีกครั้งเพราะจำนวนเครื่องบินไม่เพียงพอ หลังจากมี 1 ลำต้องพักซ่อมแซมเครื่อง และอีก 1 ลำที่คาดว่าจะเติมฟลีทได้กลับได้รับอนุญาตบินล่าช้ากว่ากำหนด แต่เมื่อได้เครื่องบินกลับมาเต็มพอร์ต น่าจะทำให้ปัญหาดีเลย์หมดไป

    ถ้าหากทำได้ตามแผน ทั้งการขยายเส้นทางและดึงผู้โดยสารได้ตามเป้า วรเนติเชื่อว่าสายการบินจะพลิกมาทำกำไรได้ในปีหน้า!

    ]]>
    1410764
    อินไซต์ “นักท่องเที่ยว” 11 เขตปกครองในเอเชียแปซิฟิก ใครพร้อมบินมากที่สุด? https://positioningmag.com/1396109 Mon, 15 Aug 2022 05:59:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1396109 Booking.com จัดสำรวจความเห็นคนกว่า 11,000 คนใน 11 เขตปกครองกลุ่มเอเชียแปซิฟิก ส่องอินไซต์ “นักท่องเที่ยว” ประเทศไหนพร้อมออกเที่ยวมากที่สุด และแต่ละพื้นที่มีความกังวลอย่างไรกับการท่องเที่ยว ในทางกลับกัน เมื่อประเทศตนเองเริ่มเปิดพรมแดน คนในประเทศพร้อมรับนักท่องเที่ยวขาเข้ามากแค่ไหน

    การสำรวจในหัวข้อ “ดัชนีความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว” ครั้งนี้ของ Booking.com แบ่งประเด็นหลักด้านความพร้อมในการออกท่องเที่ยวเป็น 2 เรื่อง คือ ความต้องการส่วนตัวในการออกท่องเที่ยว และ อัตราการยอมรับได้ต่อ ‘ดิสรัปต์ชัน’ ที่เกิดขึ้นในธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งทำให้เกิดปัญหาระหว่างทาง เช่น ปัญหาไฟลท์บินดีเลย์ กระเป๋าสัมภาระหาย

    การสอบถามเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 19 เมษายน – 17 พฤษภาคม 2022 และให้กรอบสอบถามเรื่องความต้องการออกเที่ยวในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ผลที่ได้มีการชั่งน้ำหนักเฉลี่ยและจัดอันดับเขตปกครองที่มีความเชื่อมั่นกับการท่องเที่ยวมากที่สุด ดังนี้

    อันดับ 1 อินเดีย ต้องการออกท่องเที่ยว 86% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 70%

    อันดับ 2 เวียดนาม ต้องการออกท่องเที่ยว 85% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 49%

    อันดับ 3 จีน ต้องการออกท่องเที่ยว 89% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 48%

    อันดับ 4 นิวซีแลนด์ ต้องการออกท่องเที่ยว 79% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 41%

    อันดับ 5 ออสเตรเลีย ต้องการออกท่องเที่ยว 72% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 36%

    อันดับ 6 สิงคโปร์ ต้องการออกท่องเที่ยว 75% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 35%

    อันดับ 7 ฮ่องกง ต้องการออกท่องเที่ยว 71% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 50%

    อันดับ 8 ไทย ต้องการออกท่องเที่ยว 70% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 66%

    อันดับ 9 เกาหลีใต้ ต้องการออกท่องเที่ยว 80% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 31%

    อันดับ 10 ไต้หวัน ต้องการออกท่องเที่ยว 70% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 68%

    อันดับ 11 ญี่ปุ่น ต้องการออกท่องเที่ยว 62% และยอมรับได้ที่จะเจอปัญหาในการเดินทาง 24%

    ค่าเฉลี่ยในแง่ของความต้องการออกท่องเที่ยวในกลุ่มเอเชียแปซิฟิกนั้นอยู่ที่ 76% จะเห็นว่า มี 4 ประเทศที่มีความต้องการสูงเกินค่าเฉลี่ยคือ อินเดีย เวียดนาม จีน และนิวซีแลนด์ โดยที่ “อินเดีย” ถือว่ามีศักยภาพความเชื่อมั่นสูงที่สุด เพราะสามารถยอมรับกับการดิสรัปต์ชันได้ ไม่หวั่นเกรงแม้อาจจะเกิดปัญหาระหว่างการเดินทางขึ้น

    สำหรับ “อุปสรรค” หรือความกังวลที่ทำให้นักท่องเที่ยวแต่ละประเทศอาจจะยังไม่กล้าเดินทางมากที่สุด เช่น

    • เวียดนาม 53% กังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น
    • จีน 46% กังวลกับการทำเอกสารการเดินทางที่ยุ่งยาก (หากรัฐบาลเปิดให้เดินทางเข้าออกได้โดยไม่ต้องกักตัวแล้ว)
    • ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นกลุ่มคนที่ไม่ค่อยยินดีที่จะให้ข้อมูลส่วนตัว แม้ว่าจะเป็นไปเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
    • สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เป็นสามประเทศที่กังวลกับเรื่องปัญหาระหว่างเดินทางมากที่สุด มีอัตรายอมรับการดิสรัปต์ชันได้ต่ำที่สุดในเอเชียแปซิฟิก เป็นไปได้ว่าเกิดจากการเป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการภายในประเทศ ทำให้ยอมรับไม่ได้กับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
    • ไต้หวัน ความกังวลสูงสุด 60% คือเกรงว่าตนจะป่วยหรือติดเชื้อไวรัสระหว่างเดินทาง
    คนเวียดนามพร้อมเที่ยว แต่มีความกังวลข้อใหญ่สุดคือเรื่องค่าใช้จ่าย (Photo : Shutterstock)

     

    คนในเอเชียแปซิฟิกมีความกังวลต่อการ “เปิดพรมแดน” ไม่เท่ากัน

    ในแง่ของการเป็นเจ้าบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยว Booking.com พบว่าค่าเฉลี่ยความพร้อมที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาของเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่ 51% และจะเห็นได้ชัดว่าบางประเทศมีความเชื่อมั่นในการเปิดพรมแดนสูงมาก ขณะที่บางประเทศก็ต่ำมาก

    ยกตัวอย่างเช่น อินเดีย นอกจากจะเชื่อมั่นกับการไปเที่ยวสูงสุดแล้ว ประเทศนี้ยังเชื่อมั่นกับการเปิดประเทศมากที่สุดด้วยเช่นกัน โดยมีคนอินเดียสูงถึง 85% ที่มั่นใจว่าประเทศปลอดภัยพร้อมรับนักท่องเที่ยว รองลงมาคือเวียดนาม 82% มั่นใจกับการเปิดประเทศ

    คนอินเดียมั่นใจกับการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก (ภาพจาก หลุมฝังพระบรมศพจักรพรรดิหุมายูง กรุงนิวเดลี / Shantanu Goyal / Pexels)

    ส่วนประเทศที่ถือว่าเกาะอยู่ในค่าเฉลี่ย เช่น 55% ของคนออสเตรเลียรู้สึกสะดวกใจที่จะเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้ง

    ด้านประเทศที่คนรู้สึกไม่เชื่อมั่นที่จะเปิดประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย มีคนเพียง 39% ที่สะดวกใจกับการเปิดประเทศ แต่ผู้ทำโพลมองว่าอาจจะเป็นเพราะไทยคือประเทศที่จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุดในภูมิภาค ทำให้คนในประเทศมีความกังวลสูงเกี่ยวกับโรคระบาด

    รวมถึง ญี่ปุ่น ที่นอกจากจะเชื่อมั่นกับการเดินทางออกน้อยที่สุดแล้ว ก็เชื่อมั่นกับการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดเช่นกัน มีคนญี่ปุ่นเพียง 26% ที่รู้สึกสะดวกใจกับการเปิดพรมแดน

    โดยสรุปแล้ว ขณะนี้ “อินเดีย” จึงเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวมีศักยภาพความพร้อมออกเดินทางมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก รองลงมาคือ “เวียดนาม” แต่ต้องจัดการกับความกังวลด้านค่าใช้จ่าย ส่วน “จีน” นั้นมีดีมานด์สูงมากๆ แต่ยังต้องรอเวลาให้รัฐบาลพร้อมเปิดการเดินทางก่อน เมื่อนั้นคนจีนจะกลับมาเป็นตลาดใหญ่ของภูมิภาคอีกครั้งอย่างแน่นอน

    Source

    ]]>
    1396109
    ไม่ให้อินเดียแซงนาน! ผลสำรวจชี้คน ‘จีน’ 62% พร้อมเที่ยวต่างประเทศ ขอแค่ยกเลิก Zero Covid https://positioningmag.com/1390398 Tue, 28 Jun 2022 09:18:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1390398 ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เปิดเผยถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยจากข้อมูลพบว่า นักท่องเที่ยว อินเดีย ขึ้นแท่นเที่ยวไทยมากที่สุด ด้วยจำนวนถึง 161,131 คน ตามด้วย มาเลเซีย (137,969 คน) ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ สหราชอาณาจักร ตามด้วย สิงคโปร์ และ เยอรมนี แน่นอนว่าที่ไร้ชื่อแชมป์เก่าอย่าง จีน ไม่ใช่เพราะไม่อยากมา แต่จากมาตรการ Zero Covid ที่ทำให้การเดินทางข้ามประเทศยังไม่สะดวกนัก

    72% ของคนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกพร้อมท่องเที่ยว

    Booking.com ได้เผยผลรายงานจาก ดัชนีความเชื่อมั่นการเดินทาง (Booking.com Travel Confidence Index) ซึ่งเป็นการรวมผลสำรวจข้อมูลความคิดเห็นของผู้เดินทางจำนวน 11,000 คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครอบคลุม 11 ประเทศสำคัญ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี นิวซีแลนด์ ไต้หวัน และเวียดนาม

    จากผลสำรวจพบว่า พวกเขาอยากจะกลับมาเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง โดย 76% ตั้งใจที่จะ ออกเดินทางในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดย 46% ให้เหตุผลว่าที่อยากเดินทางท่องเที่ยวเป็นเพราะ ต้องการหลีกหนีจากความเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่าย (38%) และ ความปลอดภัย (37%) ถือเป็น 2 ปัจจัยสำคัญที่เลือกพิจารณาเมื่อต้องวางแผนการเดินทางครั้งใหม่ โดยเฉพาะ ความกลัวที่จะต้องกักตัว และ กลัวว่าจะต้องติดอยู่ประเทศปลายทาง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของมาตรการเดินทางเข้าประเทศ

    อินเดียพร้อมเที่ยวสุดใน 11 ประเทศ

    อินเดียถือเป็นประเทศที่มีความเชื่อมั่นในการเดินทางมากที่สุด (86%) ดังนั้น อาจไม่น่าแปลกใจที่คนอินเดียจะขึ้นแท่นอันดับ 1 นักท่องเที่ยวของไทยในตอนนี้ (161,131 คน) โดยคนอินเดียส่วนใหญ่ต้องการท่องเที่ยวพร้อมกับ ครอบครัว (58%) ตามด้วย คู่รัก (46%) และ เพื่อน (39%)

    ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้คนอินเดียอยากออกเดินทางท่องเที่ยว ได้แก่

    • มีความมั่นใจในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย (25%)
    • พักเหนื่อยจากการทำงาน (23%)
    • หาประสบการณ์ใหม่ ๆ (22%)
    • มีส่วนลดที่น่าสนใจ (20%)
    • ต้องการนำเรื่องราวการท่องเที่ยวไปแชร์ในโซเชียลมีเดีย (9%)

    นักท่องเที่ยวจีน 62% พร้อมเที่ยวต่างประเทศ

    โดยจากข้อมูลพบว่า 89% ของผู้เดินทางชาวจีนเผยว่า แม้ตั้งใจวางแผนที่จะออกเดินทางอีกครั้ง แต่แผนการเดินทางดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นในปีถัดไป (2023) และด้วยนโยบาย Zero Covid ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีน เกือบ 3 ใน 10 คน วางแผนที่จะเดินทางภายในประเทศก่อน และมีถึง 68% ตั้งใจที่จะท่องเที่ยวประมาณ 3 ทริปภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีน ตั้งใจจะเดินทาง ท่องเที่ยวต่างประเทศทันที ถ้าประเทศจีน ยกเลิกนโยบาย Zero Covid ทั้งนี้ ประเทศที่นักท่องเที่ยวจีนตั้งใจจะไปเที่ยวสูงสุด ได้แก่

    • ญี่ปุ่น/เกาหลีใต้ (43%)
    • ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (28%)
    • ประเทศในแถบโอเชียเนีย (19%)

    ไทยเน้นเที่ยวในประเทศก่อน

    สำหรับประเทศไทย 70% ของผู้เดินทางชาวไทย พร้อมจะออกเดินทางในปีต่อไป โดยสาเหตุสำคัญในการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทย (76%) คือ “การไปพักผ่อนเพื่อชาร์จแบตและเติมพลังใจ” โดย การใช้เวลาพักผ่อนใกล้ชิดกับธรรมชาติ คือ สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังมองหา และ 66% ของผู้เดินทางชาวไทยพร้อมที่จะยอมรับข้อจำกัดหรืออุปสรรคที่อาจทำให้การเดินทางต้องหยุดชะงักได้

    และแม้ว่าตอนนี้ทั่วโลกจะสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้แล้ว แต่เกือบ 3 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวไทย ยังคงให้ความสำคัญกับ การเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดย 74% เลือกการ ขับรถด้วยตัวเอง รองลงมาคือเครื่องบิน (18%) และระบบขนส่งสาธารณะ (8%) ประเภทของทริปท่องเที่ยวในประเทศที่คนไทยสนใจมากที่สุด ได้แก่ เที่ยวทะเล (65%) ตามด้วยการ สัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่น (62%) และ การขับรถเที่ยว หรือ โรดทริป (45%)

    ท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เทรนด์มาแรง

    ในแง่ความยั่งยืน ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4 จาก 11 ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่ง 63% ของคนไทยมีความตั้งใจที่จะท่องเที่ยวแบบยั่งยืนมากขึ้นเมื่อเทียบกับแนวโน้มโดยรวมของตลาด (52%) โดยพวกเขากล่าวว่ายินดีที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน นอกจากนี้ 57% ของคนไทยเข้าใจและยอมรับได้หากจะมีตัวเลือกที่พักให้เลือกน้อยลง ตราบใดที่ตัวเลือกที่พักเหล่านั้นมีนโยบายที่สนับสนุนความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง

    อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวชาวไทยก็ยังมีข้อกังวลหลายประการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่สูงในการเข้าถึงการเดินทางแบบยั่งยืน (66%) ข้อจำกัดในการเข้าถึงตัวเลือกการเดินทางแบบยั่งยืนในขณะออกเดินทาง (60%) และตัวเลือกด้านการเดินทางแบบยั่งยืนยังขาดความชัดเจน (59%)

    ]]>
    1390398
    AirAsia หันจับ “อินเดีย” เป็นตลาดสำคัญ ทดแทนนักท่องเที่ยว “จีน” ที่ยังปิดพรมแดน https://positioningmag.com/1388792 Wed, 15 Jun 2022 07:54:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1388792 สายการบินสัญชาติมาเลเซีย AirAsia กำลังเร่งดึงนักท่องเที่ยว “อินเดีย” มาใช้บริการ โดยมีจุดหมายปลายทางหลักในมาเลย์และอินโดนีเซีย การปรับตัวของสายการบินเกิดขึ้นช่วงหลังโรคระบาด COVID-19 คลี่คลาย และ “จีน” ยังไม่มีท่าทีจะเปิดประเทศในเร็ววัน

    AirAsia สายการบินภายใต้บริษัท Capital A Bhd จำเป็นต้องปรับแผนธุรกิจทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังเดินทางเข้าออกประเทศลำบาก และทำให้ผู้โดยสารอินเดียทวีความสำคัญขึ้น

    “อินเดียเป็นตลาดที่สำคัญมาก สำคัญอย่างแน่นอน” Raid Asmat ซีอีโอ AirAsia Malaysia กล่าวในงาน Aviation Festival Asia ที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2022 “เราไม่ได้หมายความว่าตลาดจีนไม่สำคัญ แต่ ณ ขณะนี้ เราต้องทำงานกับสิ่งที่เรามีอยู่” เขากล่าว

    ดีมานด์จากผู้โดยสารอินเดียสู่ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีสูงมาก โดยเฉพาะการเดินทางมายังมาเลเซียและอินโดนีเซีย ตัวอย่างเช่น เส้นทางอินเดียสู่บาหลี ล่าสุดมีผู้โดยสารอินเดียจองถึง 90% ของเที่ยวบิน

    “ตั้งแต่มีการเปิดพรมแดน (อินเดีย) ผมไม่เคยเห็นตัวเลขอัตราผู้โดยสารต่อเที่ยวบินต่ำกว่า 90% เลยสักครั้งทั้งขาเข้าและขาออก” Asmat กล่าว โดยอินเดียเริ่มเปิดประเทศตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

    ก่อนหน้า COVID-19 สายการบิน AirAsia เคยมีเที่ยวบินวันละ 90 ไฟลท์ แต่ปัจจุบันสายการบินยังมีปัญหาจำนวนเครื่องบินมีไม่เพียงพอ โดยสายการบินกำลังเร่งจัดเครื่องบินเพื่อเพิ่มไฟลท์ให้ได้มากที่สุด

    กระแสการท่องเที่ยวจากอินเดียนั้นเกิดขึ้นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยด้วย ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม “ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม” นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต ระบุว่านักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันละ 1,000 คน ถือเป็นตลาดใหญ่มาก

    อินเดียเป็นตลาดศักยภาพ ร่วมกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศ CLMV ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มองเป็นตลาดหลักที่จะดึงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติขึ้นไปแตะ 10 ล้านคนได้ตามเป้าหมายปี 2565 เฉพาะตลาดอินเดีย ททท. มีเป้าจะดึงเข้ามาปีนี้ 6 แสนคน หรือถ้าหากการโปรโมตได้รับความนิยมก็อาจจะขึ้นไปถึง 1 ล้านคนเลยทีเดียว

    ในไทยนั้น นอกจากการเข้ามาท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง กินดื่มแล้ว ยังเป็นจุดหมายหลักในการจัดงานแต่งงานนอกประเทศของชาวอินเดียด้วย โดยส่วนใหญ่จะนิยมจัดในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลต่างๆ เช่น ภูเก็ต กระบี่ เกาะสมุย เขาหลัก พัทยา เป็นต้น

    Source

    ]]>
    1388792