รัฐมนตรีอาวุโสของสิงคโปร์คนนี้เป็นประธานร่วมของคณะกรรมการ G-20 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระดับโลกได้รวมตัวเผยแพร่รายงานเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลักคิดของธาร์แมนคือการเสนอมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดและตอบสนองต่อการแพร่ระบาดในอนาคตอย่างรวดเร็ว
ธาร์แมนไม่ได้ย้ำว่ามาตรการนี้จะช่วยลดความเสียหาย หรือนำไปสู่การพลิกฟื้นที่ว่องไวกว่าวิกฤติโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ แต่ธาร์แมนโฟกัสเรื่อง “การระดมทุนที่ดีขึ้นและเชื่อมั่นได้มากขึ้น” เพื่อติดอาวุธให้องค์การอนามัยโลก รวมถึงสถาบันพหุภาคีทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ สามารถช่วยระดมทุนในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้ทันท่วงที
ธาร์แมน แชนมูการัตนัม คือหนึ่งในกลไกหลักผู้ปั้นนโยบายเศรษฐกิจและการศึกษาให้สิงคโปร์ จากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งแต่ปี 2007-2015 ธาร์แมนเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในปี 2003-2008 ด้วย มุมมองของรัฐมนตรีอาวุโสของสิงคโปร์คนนี้ที่ว่าการระบาดใหญ่ทั่วโลกครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จึงเป็นเสียงกระทุ้งชาวโลกที่มีน้ำหนักมากอย่างไม่ควรมองข้าม
ธาร์แมนเป็นบุคคลที่มีภาพความเป็นนักการเมืองน้ำดีและนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่งที่น่าเชื่อถือ ปัจจุบัน ธาร์แมนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอาวุโส รัฐมนตรีประสานงานด้านนโยบายทางสังคม ประธานธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore) และประธานสภา National Jobs Council แห่งชาติ
ตามประวัติ ธาร์แมนได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือนพฤศจิกายน 2001 และได้รับเลือกอีก 4 สมัยนับตั้งแต่นั้น ทั้งหมดเป็นผลจากความตั้งใจจริงของเด็กชายธาร์แมนที่เริ่มต้นเรียนที่สิงคโปร์บ้านเกิด ก่อนจะบินไปศึกษาที่สถาบันด้านเศรษฐศาสตร์ที่ลอนดอน แล้วไปต่อที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ต่อมาจึงคว้าปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์ที่เคนเนดีสคูลออฟกอฟเวิร์นเมนต์ในเครือมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พ่วงด้วยรางวัล Lucius N Littauer Fellow เพราะทำผลงานวิจัยสุดโดดเด่น
ในด้านชีวิตส่วนตัว ธาร์แมนแต่งงานกับ Jane Yumiko Ittogi ทนายความลูกครึ่งญี่ปุ่น–จีนซึ่งย้ายมาอยู่ที่สิงคโปร์ตั้งแต่ 6 ขวบ จนตอนนี้หันมานั่งเก้าอี้ประธานพิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ยาวนาน 10 ปีและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการริเริ่มการพัฒนาสังคมแดนเมอร์ไลออน ทั้งคู่มีลูกสาว 1 คนและลูกชาย 3 คน
สำหรับงานประชุม G-20 ที่อิตาลี ธาร์แมนย้ำกับผู้สื่อข่าว CNBC ว่าโลกต้องเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับภัยครั้งหน้าตั้งแต่ตอนนี้ แถมยังบอกว่าชาวโลก “ไม่มีเวลาหรูหราพอที่จะรอให้โควิดหมดไปก่อน” แล้วจึงจะค่อยเริ่มเตรียมการสำหรับโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อไป เพราะการระบาดใหญ่ครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้น สิ่งที่ชาวโลกควรทำคือการ “ใช้ความพยายามในปัจจุบัน” ที่ใช้แก้ไขปัญหาโควิดในขณะนี้ มาสร้างขีดความสามารถที่จำเป็นในการรับมือกับโรคระบาดครั้งต่อไป
ไอเดียนี้ไม่ได้โอเวอร์เกินไป เพราะพิษของโควิด-19 ส่งผลร้ายแรงต่อทุกภาคส่วนของโลก ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกประกาศให้การระบาดของโควิด-19 เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลกเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว โคโรนาไวรัสซึ่งตรวจพบครั้งแรกในประเทศจีนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 186 ล้านคน และทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนทั่วโลก (รวบรวมข้อมูลโดยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์)
หากเจาะลึกในมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดและตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ครั้งหน้าอย่างรวดเร็ว ของคณะผู้เชี่ยวชาญระดับโลกกลุ่ม G-20 ที่นำเสนอโดยมีธาร์แมนเป็นประธานร่วมของคณะกรรมการ ร่วมกับอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก จะพบว่าหนึ่งในเนื้อหาของมาตรการหลักคือ “การระดมทุนที่ดีขึ้นและเชื่อมั่นได้มากขึ้น”
ประเด็นนี้ ธาร์แมนเสริมว่าระบบระหว่างประเทศในปัจจุบัน ทั้งองค์การอนามัยโลก ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศล้วนยังไม่ตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ทั่วโลกได้ดีนัก เพราะยังมีความ “กระจัดกระจาย” และ “ขาดทุนสนับสนุน” เพื่ออุดช่องว่างนี้ คณะผู้พิจารณาเสนอให้จัดตั้งกองทุนระดับโลกขึ้นใหม่ด้วยเงินขั้นต่ำ 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีหรือ 328,700 ล้านบาท
รัฐมนตรีสิงคโปร์อธิบายว่า แม้ระบบโลกจะมีธรรมาภิบาลด้านสุขภาพภายใต้สมัชชาอนามัยโลกและองค์การอนามัยโลก แต่สิ่งที่ยังขาดหายไป คือโลกไม่มีระบบที่นำการเงินมารวมกับสุขภาพ และนี่เป็นสาเหตุที่ระบบไม่ได้รับทุนสนับสนุนที่ดีพอ
ธาร์แมนย้ำว่าปัญหาคือองค์กรโลกเหล่านี้ตอบสนองหรือลงมือแก้ปัญหาหลังจากเกิดเหตุการณ์หรือเกิดวิกฤตขึ้นแล้ว ทำให้ไม่สามารถจัดการกับวิกฤตในอนาคตแบบเชิงรุกได้ การจัดการกับวิกฤติระดับโลกจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
สิ่งที่ต้องจับตาดูนับจากนี้ คือใครจะเป็นเจ้าภาพเพื่อเตรียมพร้อมให้ “โลก” รับมือการระบาดใหญ่ครั้งหน้าตั้งแต่ตอนนี้ หากทำได้จริง ความเสียหายก็อาจจะไม่ขยายตัววงกว้าง และจะฟื้นฟูได้ง่ายกว่าแน่นอน.
ที่มา :
]]>ก่อนหน้านี้ สิงคโปร์สั่งห้ามการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว เเต่อนุญาตให้การเดินทางเพื่อธุรกิจและเดินทางอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่ได้ รวมถึงมีการเจรจาเพื่อทำกับบางประเทศ เพื่อจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับ ‘วัคซีน พาสปอร์ต’ เเละ ‘ระเบียงท่องเที่ยว’ (Travel Bubble)
ล่าสุด ออสเตรเลียกำลังประสานงานกับสิงคโปร์ เกี่ยวกับโครงการ Travel Bubble ระหว่างสองประเทศ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้เร็วที่สุดในเดือนก.ค.นี้ เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หลังต้องหยุดชะงักไปเนื่องจาก COVID-19 กลับมาระบาดหนักอีกครั้งในช่วงปลายปี 2020
นายกฯ สิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า หากหลายประเทศสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้มากขึ้นสิงคโปร์ก็จะมีความมั่นใจเเละความเชื่อมั่นที่จะเปิดพรมเเดนระหว่างประเทศให้เดินทางอย่างปลอดภัยอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้
สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาได้ในระดับดี ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพียงไม่กี่ราย ซึ่งตอนนี้กำลังเร่งกระจายวัคซีน COVID-19 ของ Pfizer เเละ Moderna ให้กับประชาชน
โดยจำนวน ณ วันที่ 8 มี.ค. ทางการสิงคโปร์ฉีดวัคซีนฟรีไปแล้วราว 611,000 โดส จากจำนวนประชากรทั้งหมด 5.7 ล้านคน ซึ่งถือว่าช้ากว่าประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐฯ เเต่สิงคโปร์ก็ยังตั้งเป้าว่าจะฉีดวัคซีนแก่ประชาชนส่วนใหญ่ให้ได้ภายในปลายปีนี้
ลี เซียนลุง กล่าวว่า ต้องใช้เวลาในการโน้มน้าวให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน เนื่องจากการพบผู้ติดเชื้อในประเทศน้อย ทำให้หลายคนยังลังเล ไม่ตื่นตัว มีความกังวลเกี่ยวกับมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสและผลข้างเคียงจากวัคซีนที่เร่งรีบในการพัฒนา
]]>
Heng Swee Keat รองนายกรัฐมนนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคนตั้งเเต่ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี จะไม่รับเงินเดือนเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะไม่รับค่าเบี้ยเลี้ยง 1 เดือนและเจ้าหน้าที่บริการสาธารณะอาวุโสบางคนก็จะลดค่าจ้างครึ่งเดือนด้วย เพื่อร่วมต่อสู้การเเพร่ระบาดของ Covid-19 ไปพร้อมๆ กับประชาชน
โดยเงินที่ได้ครั้งนี้จะนำไปมอบเป็นโบนัสเงินเดือนพิเศษ 1 เดือน ให้เเก่บุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคนในภาคส่วนที่ทำงานอยู่เเนวหน้าในการรับมือโรคระบาด
“เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้เเสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความทุ่มเทพวกเขา ที่ออกไปเสียสละทุกวันเพื่อต่อสู้สงครามกับสิ่งที่เขาไม่รู้จัก” รองนายกฯ กล่าว
จากข้อมูลสมุดปกขาวของรัฐบาลสิงคโปร์ปี 2012 ระบุว่าอัตราเงินเดือนของรัฐมนตรีสิงคโปร์อยู่ที่ 1.1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 25 ล้านบาท) ต่อปี ส่วนนายกรัฐมนตรีมีอัตราเงินเดือนสูงกว่าเท่าตัวที่ 2.2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 50 ล้านบาท) ต่อปี ขณะที่ ส.ส.สิงคโปร์มีเบี้ยเลี้ยงเฉลี่ย 16,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 364,000 บาท) ต่อเดือน
อ่านเพิ่มเติม : IMF หวั่น COVID-19 ฉุดเศรษฐกิจทั่วโลก “สิงคโปร์” ส่อแววถดถอย ส่วน “ญี่ปุ่น” GDP ทรุด
สิงคโปร์นับเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของ Covid-19 อย่างมากทั้งการท่องเที่ยว ห่วงโซ่อุปทานและตลาดเงินตลาดหุ้น โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผ่านงบประมาณเพื่อช่วยภาคส่วนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบเป็นเงิน 6,400 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 145,060 ล้านบาท) เเบ่งเป็นภาคสาธารณสุข 800 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ชดเชยภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเพื่อไม่ให้เกิดการเลิกจ้างงานอีก 4,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เเละดูเเลภาคครัวเรือนอีกราว 1,600 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
นอกจากนี้ยังมีการระดมทุนกับภาคเอกชนเพื่อช่วยเหลือคนขับรถเเท็กซี่เเละรถรับจ้างส่วนบุคคล ด้วยงบพิเศษกว่า 77 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1,726 พันล้านบาท) ซึ่งจะมีการให้เงินอุดหนุนพิเศษเพิ่มอีก 20 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อคันต่อวัน เป็นเวลานาน 3 เดือน โดยคาดว่าจะมีพนักงานขับรถได้รับความช่วยเหลือราว 40,000 ราย
อ่านเพิ่มเติม : สิงคโปร์ ทุ่มงบพิเศษ 1.7 พันล้านบาท ช่วย “คนขับรถแท็กซี่-รถรับจ้าง” จากไวรัสโคโรนา
สำหรับสถานการณ์การเเพร่ระบาดในสิงคโปร์ล่าสุด มียอดผู้ติดเชื้อทั้งหมด 96 ราย และมีผู้ที่รับการรักษาได้แล้ว 66 ราย โดยประกาศยกระดับเตือนภัยโรคระบาด (DORSCON) เป็นสีส้มเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา
ที่มา : scmp , straitstimes
]]>