สำหรับกองทุนดังกล่าวจะได้รับการจัดสรรโดย กระทรวงพลังงาน จากร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามเมื่อปีที่แล้ว โดยงบดังกล่าวจะใช้เพื่อแปรรูปแร่ธาตุเพื่อใช้ในแบตเตอรี่ความจุสูง และการรีไซเคิลแบตเตอรี่ เป็นต้น
กองทุนดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในแผนของไบเดน ที่ต้องการให้ภายในปี 2030 ยอดขายรถยนต์ 50% ในสหรัฐฯ เป็นรถยนต์ไฟฟ้า และมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสหภาพแรงงานในสหรัฐฯ รวมถึงขัดขวางการแข่งขันของจีนในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อช่วยลดสภาวะโลกร้อน
“ไบเดน” ตั้งเป้าปี 2030 รถใหม่ในสหรัฐฯ 50% ต้องเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า”
“ในขณะที่เราเผชิญกับการปรับขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย สิ่งสำคัญที่ต้องทราบด้วยว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่าการเดินทางระยะไกลสำหรับครอบครัวชาวอเมริกัน” Mitch Landrieu ผู้ประสานงานโครงสร้างพื้นฐานของทำเนียบขาว กล่าว
ด้าน Ford ได้ออกมายินดีกับประกาศ โดยระบุว่า “การลงทุนนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับซัพพลายเชนด้านแบตเตอรี่ในประเทศของเรา สร้างงาน และช่วยให้ผู้ผลิตในสหรัฐฯ แข่งขันกันในเวทีโลก เรามีโอกาสเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้ในสหรัฐฯ และการลงทุนอย่างที่ประกาศในวันนี้จะช่วยให้เราไปถึงที่นั่น” สตีเวน โครลีย์ ที่ปรึกษาทั่วไปของฟอร์ด กล่าว
อย่างไรก็ตาม เงินทุนดังกล่าวจะไม่ไปนำสู่การพัฒนาเหมืองในประเทศแห่งใหม่เพื่อผลิตลิเธียม นิกเกิล โคบอลต์ และแร่ธาตุที่มีความต้องการสูงอื่น ๆ ที่จำเป็นในการผลิตแบตเตอรี่เหล่านั้น เนื่องจากโครงการบางโครงการเผชิญกับการคัดค้านในท้องถิ่นและเชื่อมโยงกับการทบทวนด้านสิ่งแวดล้อมและกฎหมายของไบเดน
]]>ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวโทษ OPEC+ ที่ไม่เต็มใจที่จะผลิตน้ำมันมากขึ้น เนื่องจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ขณะที่ญี่ปุ่นและอินเดียก็ได้เข้าร่วมกับสหรัฐฯ ในการพยายามกดดันให้กลุ่มโอเปกเพิ่มขีดจำกัดการผลิตและช่วยลดราคาพลังงาน
“ความคิดที่ว่ารัสเซียและซาอุดีอาระเบียและผู้ผลิตรายใหญ่อื่น ๆ จะไม่สูบน้ำมันมากขึ้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง” ไบเดน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่การประชุม G-20 ที่กรุงโรม อิตาลี
ด้าน Edward Bell ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐศาสตร์การตลาดของ Emirates NBD ในดูไบ กล่าวว่า “สำหรับตอนนี้ เรายังคงคาดหวังว่าสมาชิก OPEC+ จะยังคงสนับสนุนให้ตลาดน้ำมันตึงตัว โดยใช้ประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้นเพื่อปรับปรุงบัญชีทางการคลัง”
อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน นโยบายของกลุ่ม OPEC+ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมคือจะคงการผลิตน้ำมันที่ 400,000 บาร์เรลต่อวันในแต่ละเดือน โดยประเทศคูเวต รวมถึงสมาชิกโอเปกอย่าง อิรัก ไนจีเรีย และแอลจีเรีย ได้ออกมาพูดในทำนองเดียวกันว่า องค์กรควรยึดมั่นในแผนปัจจุบัน เนื่องจากตลาดน้ำมันมี ‘ความสมดุล’
อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของผู้บริโภคไม่ได้รู้สึกว่ามัน สมดุลเพราะราคาน้ำมันดิบเบรนท์แตะระดับมากกว่า 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี และเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% ในปีนี้ แม้ว่าราคาร่วงลงในวันก่อนการประชุม OPEC มาอยู่ที่ 81.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก็ตาม
West Texas Intermediate เพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในปีนี้ และแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยล่าสุดแตะระดับ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้ว่าจะซื้อขายที่ 80.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินของอเมริกาก็อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีเช่นกัน
ด้าน เฮอร์มาน หวาง นักเขียนอาวุโสด้านน้ำมันของ S&P Platts มองว่า แม้จะมีแรงกดดันทั้งหมดจากสหรัฐฯ อินเดีย และญี่ปุ่นให้ปล่อยน้ำมันดิบเพิ่ม แต่ก็มีรัฐมนตรีหลายคนกล่าวถึงอัตรา COVID-19 และความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงตามฤดูกาล รวมถึงแนวทางการลดใช้พลังงาน
ดังนั้น ราคาที่พุ่งสูงขึ้นอาจเป็นเพียงชั่วคราว แต่จนกว่าตลาดจะเย็นลง OPEC+ ก็จะเจอการร้องเรียนจากลูกค้ารายสำคัญอีกมาก เนื่องจากผู้นำเข้าน้ำมันผิดหวังที่ไม่สามารถบังคับโอเปกได้มากนัก นอกจากนี้ยังมองว่า การที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้ประเทศในกลุ่มโอเปกสูบน้ำมันมากขึ้น ก็ขัดแย้งกับเป้าหมายที่ตั้งใจจะเป็นผู้นำในนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก
]]>ในขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่ที่มีอาการไม่รุนเเรงมากนัก จะฟื้นตัวได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่บางคนกลับมีอาการเรื้อรังในระยะยาว เเตกต่างกันไป ตั้งแต่ปวดข้อ เป็นไข้ เหนื่อยล้า มองเห็นภาพซ้อน ไปจนถึงผมร่วง
“ชาวอเมริกันจำนวนมาก ดูเหมือนจะหายจากไวรัสโควิดเเล้ว เเต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า เช่น ปัญหาการหายใจ ภาวะสมองล้า (Brain Fog) อาการปวดเรื้อรัง หรือความเหนื่อยล้าต่างๆ บางครั้งอาจเพิ่มระดับความรุนแรงจนเข้าข่ายความพิการได้” ไบเดนระบุ
ทำเนียบขาว กำลังประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อดูเเลชาวอเมริกันที่มีอาการ ‘Long COVID’ ที่เข้าข่ายทุพพลภาพ ให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย สามารถเข้าถึงสิทธิและทรัพยากรภายใต้กฎหมายคนพิการ เช่น การอำนวยความสะดวกและบริการในที่ทำงานและโรงเรียน ระบบบริการสุขภาพ ‘ให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี’
ทางกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงาน ได้ออกแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดในระยะยาวได้รับความช่วยเหลือต่างๆ จากรัฐบาลกลาง
เเต่แนวทางปฏิบัติดังกล่าว ระบุชัดเจนว่า ‘Long COVID ไม่ถือเป็นความพิการโดยอัตโนมัติ’ โดยจะต้องมีการประเมินเป็นรายบุคคลอย่างละเอียดว่า ผลกระทบหรืออาการใดๆ ก็ตามจากการป่วยโควิดในระยะยาวนั้น ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่ อย่างไร
โดยผู้ป่วย ‘Long COVID’ อาจได้รับสิทธิในการปรับสภาพแวดล้อมเพิ่มเติม ‘ตามสมควร’ ในที่ทำงานหรือที่โรงเรียน เเละสามารถเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนในด้านการรักษาพยาบาลและที่อยู่อาศัยได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการรักษาผู้ป่วย ‘long COVID’ ยังเป็นไปอย่างจำกัด ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา ทำความเข้าใจระยะการฟื้นตัวโรคโควิด-19 ให้ดีขึ้น
]]>
“เเม้จะฟังดูเป็นไปได้ยาก เพราะเป็นการเพิ่มขึ้นสองเท่าจากเป้าหมายเดิมของเรา เเต่ก็ยังไม่มีประเทศไหนทำได้เท่าที่เราอยู่ทำตอนนี้…ผมเชื่อว่าเราทำได้”
‘ไบเดน’ เคยให้คำมั่นไว้เมื่อก่อนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า จะเร่งกระจายวัคซีนเเก่ประชาชนทั่วประเทศให้ได้ 100 ล้านโดส ภายใน 100 วันแรกที่รับตำแหน่ง โดยหลังชนะเลือกตั้งเเละได้เข้ามาบริหารจริง รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ไปได้เเล้วตั้งแต่วันที่ 59
ข้อมูล ณ วันที่ 26 มีนาคม สหรัฐฯ ฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปเเล้วกว่า 133 ล้านโดส อัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านโดสต่อวัน โดยมีการประเมินว่า หากยังมีอัตราการฉีดวัคซีนต่อวัน ‘เท่าเดิม’ ไปเรื่อยๆ รัฐบาลจะบรรลุเป้าหมาย (200 โดส) ได้ในวันที่ 23 เมษายน 2564 เร็วกว่าเป้าหมาย 100 วันเเรกของไบเดนราว 1 สัปดาห์
เพื่อเพิ่มจำนวนวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้ทั่วถึง รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทำข้อตกลงกับ ‘Johnson & Johnson’ (J&J) สั่งซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 200 ล้านโดส โดยครึ่งเเรกของล็อตนี้ คาดว่าจะจัดส่งได้ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน
วัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาของ J&J ถือเป็นชนิดที่ 3 ที่ผ่านการรับรองให้ใช้ได้ในอเมริกา เป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ต่อจาก Pfizer-Biontech เเละ Moderna
สำนักงานอาหารและยาหรือเอฟดีเอ (FDA) ระบุว่า วัคซีนของ J&J ที่ฉีดเพียง’ เข็มเดียว’ ก็มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันผู้ป่วย COVID-19 และสามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้
โดยเมื่อรวมจำนวนวัคซีนของ J&J กับวัคซีนของ Pfizer-Biontech เเละ Moderna จะทำให้สหรัฐฯ มีวัคซีนเพียงพอต่อการฉีดให้กับประชาชนถึง 300 ล้านคน เกือบครอบคลุมประชากรทั้งหมดในประเทศที่มีอยู่ราว 328 ล้านคนในปี 2019
]]>
“เราไม่ได้อยู่ในจุดที่ทุกอย่างคงที่แล้วมาสักพัก แต่เรากำลังอยู่ระหว่างแก้ไข” ไบเดน แสดงความคิดเห็น ณ สถาบันสุขภาพแห่งชาติที่เมืองเบเทสดา รัฐแมรีแลนด์
ด้วยความต้องการวัคซีนล้นอุปทาน อเมริกันชนกำลังแย่งชิงตารางนัดหมายเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีน ส่งผลให้ไบเดนต้องเผชิญกับปัญหาจริงจังปัญหาหนึ่ง ไม่ถึงเดือนหลังจากเข้าสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากทรัมป์
ไบเดนกล่าวว่า ทรัมป์ไม่ได้สั่งซื้อวัคซีนอย่างเพียงพอ และไม่ดำเนินการอย่างพอเพียงสำหรับเตรียมพร้อมรับมือกับประชาชนที่จะต่อแถวเข้ารับวัคซีน โดยกลับใช้เวลาในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งทุ่มเทความพยายามไปที่การล้มผลเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 3 พฤศจิกายยน หลังตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เขาบอกว่าโครงการวัคซีนที่เขาสืบทอดมานั้น อยู่ในรูปทรงเลวร้ายกว่าที่คาดหมายไว้ จนทำให้คณะทำงานเปลี่ยนผ่านของเขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับอุปทานวัคซีน
“ในขณะที่พวกนักวิทยาศาสตร์เร่งมือทำงานค้นหาวัคซีนในระยะเวลาประวัติศาสตร์ แต่ผมขอพูดตรงๆ เลยนะ ผู้นำคนก่อนไม่ทำงานของเขาในการเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายใหญ่หลวงของการฉีดวัคซีนหลายร้อยล้าน” ไบเดนกล่าว
ไบเดนยอมรับว่า ยอดผูู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในสหรัฐฯ น่าจะแตะระดับ 500,000 คนในเดือนหน้า และเน้นย้ำเสียงเรียกร้องที่ขอให้ประชาชนชาวอเมริกันสวมหน้ากากป้องกันการแพร่ระบาด “ตอนนี้เราซื้อวัคซีนเพียงพอสำหรับฉีดให้ประชาชนครบทุกคน”
ประธานาธิบดีรายนี้ระบุว่า รัฐบาลหรัฐฯ ได้ลงนามในสัญญาสั่งซื้อวัคซีนของโมเดอร์นาอีก 100 ล้านโดส และไฟเซอร์อีก 100 ล้านโดส เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
“เราปลาบปลื้มที่รัฐบาลสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นต่อวัคซีน COVID-19 ของเรา” สเตฟาน บันเซล ซีอีโอของโมเดอร์นากล่าวในถ้อยแถลง ส่วนโฆษกของไฟเซอร์ระบุว่า ทางบริษัทฯ กับไบโอเอ็นเทค ก็บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ เช่นกัน
คำสั่งซื้อใหม่นี้ซึ่งเพิ่มเติมจากจำนวนเดิม 400 ล้านโดสในสัญญาเก่า จะช่วยให้สหรัฐฯ มีวัคซีน 2 ตัวที่ได้รับอนุญาตในครอบครองแล้ว 600 ล้านโดส และสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชน 300 ล้านคน ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม
นั่นหมายความว่าสหรัฐฯ มีวัคซีนเพียงพอสำหรับฉีดแก่คนส่วนใหญ่ที่ต้องการมัน จากประชากรทั้งหมด 300 คน เนื่องจากวัคซีนที่ใช้ในปริมาณ 2 โดส ไม่ได้รับอนุมัติให้ใช้กับเด็ก และมีคนจำนวนมากที่บอกว่าจะไม่ฉีดวัคซีน
นอกจากนี้แล้ว วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันก็มีความเป็นไปได้ว่าจะได้รับอนุมัติอีกตัวในช่วงปลายเดือนนี้ และทางบริษัทฯ คาดหมายว่าจะสามารถส่งมอบวัคซีนที่ใช้ในปริมาณโดสเดียวตัวนี้ จำนวน 100 ล้านโดสแก่สหรัฐฯ ในช่วงกลางปี
]]>