“ไบเดน” ตั้งเป้าปี 2030 รถใหม่ในสหรัฐฯ 50% ต้องเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า”

(Photo : Shutterstock)
มุ่งสู่พลังงานสะอาด! “โจ ไบเดน” ประกาศเป้าหมายปี 2030 ผลักดันให้รถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ 50% เป็นยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงจะออกนโยบายกำกับมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์และรถบรรทุก เพื่อแก้ไขต้นเหตุปัญหาโลกร้อนที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา

ทำเนียบขาวเปิดการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2021 ถึงแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยมลพิษของยานพาหนะ โดยประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” เตรียมเซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดให้รถยนต์และรถบรรทุกที่ออกขายใหม่อย่างน้อย 50% ต้องเป็นยานยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030

ณ ทำเนียบขาวพร้อมด้วยสักขีพยานคือกลุ่มผู้ประกอบการผลิตรถยนต์และกลุ่มสหภาพแรงงาน ไบเดนได้ประกาศอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ว่าจะต้องเป็น “ยานยนต์ไฟฟ้าและไม่มีทางหวนกลับ”

“คำถามก็คือ เราจะเป็นผู้นำหรือผู้ตามในการแข่งขันสู่อนาคต” ประธานาธิบดีไบเดนกล่าว “เราเคยเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านนี้และเราสามารถกลับเป็นผู้นำได้อีกครั้ง แต่เราจะต้องเดินหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนอื่นของโลกได้เดินหน้าไปก่อนเราแล้ว เราจะต้องตามให้ทัน”

โจ ไบเดน ระหว่างแถงนโยบายรถยนต์ไฟฟ้า 2030

นอกจากเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) และ กระทรวงคมนาคมแห่งสหรัฐฯ ยังกำหนดมาตรฐานใหม่ด้านการเผาไหม้เชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ทั้งหมดด้วย เป็นการขันน็อตมาตรฐานการปล่อยมลพิษให้แน่นขึ้นหลังจากหละหลวมไปในยุคของ “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยตั้งแต่ปี 2023 รถยนต์ใหม่จะต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง 10% เทียบกับปีก่อนหน้า และจะต้องปล่อยลดลงอีก 5% ต่อปีไปจนถึงปี 2026

นโยบายนี้เกิดขึ้นจากการพูดคุยระหว่างรัฐบาลไบเดนกับกลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์นานหลายเดือน โดยทำเนียบขาวหวังว่าจะเข้าคู่ลงล็อกพอดีกับกฎหมายใหม่ที่จะออกมาเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า งบประมาณใหม่นี้จะนำมาใช้ยกระดับจุดชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าทั่วสหรัฐฯ

สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า บนไฮเวย์ระหว่างเมืองลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส (Photo : Shutterstock)

รัฐบาลไบเดนระบุว่านโยบายเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2 พันล้านตัน และประหยัดการใช้น้ำมันไป 2 แสนล้านตัน รวมถึงประหยัดค่าเชื้อเพลิงของคนขับทุกคนได้อีกหลายร้อยดอลลาร์

ปัจจุบันรถอีวีมีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในสหรัฐฯ ปี 2020 เพราะคนอเมริกันส่วนใหญ่ยังนิยมรถ SUV ขนาดใหญ่ที่กินน้ำมันสูง

อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ากำลังทำยอดขายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และบรรดาผู้ผลิตต่างแข่งขันกันออกรถอีวีรุ่นใหม่กันอย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้าลุยตลาดอีวี เช่น Ford เพิ่งออกรถอีวีรุ่นใหม่ F-150 ซึ่งต่อมากลายเป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดของอเมริกานับตั้งแต่ทศวรรษ 1980s

Ford F-150 Lightning

Ford, GM และ Stellantis ยังมีแถลงการณ์ร่วมกันด้วยว่า ภายในปี 2030 บริษัทตั้งเป้าทำให้ 40-50% ของยอดขายรวมของบริษัทมาจากรถยนต์ไฟฟ้า แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุอีกว่า เป้าหมายนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลกลางมีแรงจูงใจให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จไฟฟ้า และสนับสนุนงบการวิจัยและพัฒนา

ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมบางส่วนมองว่านโยบายของไบเดนยังคงช้าเกินไป “เราเสียเวลาดำเนินการด้านภาวะโลกร้อนไป 4 ปีแล้วในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ และเราไม่สามารถจะเสียเวลามากไปกว่านี้ได้อีก” เบคคา เอลลิสัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านนโยบายที่ Evergreen Action กล่าว “เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการต่อต้านภาวะโลกร้อนของเรา และการสร้างอนาคตที่มีมลพิษร้ายน้อยลง รวมถึงสร้างงานดีๆ มากขึ้น ประธานาธิบดีไบเดนควรจะออกนโยบายที่เร่งหนทางไปสู่การใช้รถอีวีที่เร็วกว่านี้”

ไบเดนเคยวางเป้าหมายให้อเมริกา “ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์” ภายในปี 2050 เป็นเป้าหมายที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเมริกาหยุดขายรถยนต์ใช้น้ำมันภายในปี 2035 การตั้งเป้า “50%” ของไบเดนจึงถูกวิจารณ์จากกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมว่าเป็นเป้าที่ต่ำเกินไป

Source