ตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โครงการนำร่อง “ดิจิทัล พาสปอร์ต” ในทวีปยุโรปเริ่มทดลองใช้กับกลุ่มประชากร “ฟินแลนด์” ก่อนเป็นกลุ่มแรก โดยมีการใช้งานในกลุ่มพาร์ทเนอร์ 3 ฝ่าย คือ สนามบินเฮลซิงกิ, สายการบิน Finnair และสนามบินอีก 3 แห่งในสหราชอาณาจักร
ประชากรฟินแลนด์ที่บินด้วย Finnair ผ่านเข้าออกระหว่างสนามบินเฮลซิงกิกับ 3 สนามบินในสหราชอาณาจักร สามารถเลือกใช้บริการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ด้วยระบบ “Digital Travel Credential” (DTC) ได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2024
สำหรับระบบ DTC จะทำให้ผู้เดินทางสามารถผ่าน ตม. ได้เร็วขึ้นและสะดวกขึ้นกว่าปกติ ไม่ต้องต่อคิวอีกต่อไป
โครงการนี้เกิดขึ้นจากการสนับสนุนเงินทุนของ EU ด้วยเม็ดเงิน 2.3 ล้านยูโร (ประมาณ 88 ล้านบาท) หลังจากผ่านช่วงทดลอง 6 เดือนแรกในฟินแลนด์ไปแล้ว EU จะเดินหน้าขยายการนำร่องต่อไปที่สนามบินซาเกร็บ ฟรานโจ ทุดจ์มัน ในประเทศโครเอเชีย และสนามบินสคิปโพล กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
โครงการนี้เป็นโครงการสืบเนื่องมาจากกฎหมาย eIDAS ที่ EU ผ่านกฎหมายออกมาเมื่อปี 2014 ระเบียบนี้สนับสนุนให้เกิดการสร้างระบบ ‘Digital ID’ ร่วมกันของทั้งสหภาพยุโรป เพื่อทำให้การทำธุรกิจและธุรกรรมระหว่างบุคคลสามารถทำได้ง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องกังวลว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในส่วนใดของ EU
ระบบ DTC ของยุโรปที่เริ่มใช้นี้ จะไม่เหมือนกับระบบ “หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์” หรือ “ไบโอเมตริกพาสปอร์ต” เพราะ DTC เป็นการเก็บข้อมูลตรวจสอบตัวตนบุคคลไว้ในมือถือ แต่หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นการฝังไมโครชิปไว้ในตัวเล่มหนังสือเดินทางเลย และในไมโครชิปจะมีการบรรจุข้อมูลทางชีวภาพที่ระบุตัวตนเจ้าของเล่มหนังสือเดินทาง
ประเทศส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบันนี้เปลี่ยนมาใช้ไบโอเมตริกพาสปอร์ตกันแล้ว เพราะเมื่อเปลี่ยนมาฝังไมโครชิปไว้ในเล่ม จะทำให้การปลอมแปลงหนังสือเดินทางทำได้ยากขึ้น เนื่องจากบริเวณหน้าที่ฝังไมโครชิปจะผลิตขึ้นในลักษณะคล้ายกับบัตรเครดิต ทำด้วยพลาสติกเป็นชั้นๆ ที่อัดติดกัน จนไม่สามารถแยกชิ้นส่วนออกมาได้โดยไม่สร้างความเสียหายต่อหน้าพาสปอร์ตนั้นทั้งแผ่น
]]>กระทรวงการคลังของอังกฤษ ระบุว่า หากข้อตกลง Brexit สำเร็จลุล่วงในช่วงปลายปีนี้ ทางสหราชอาณาจักรมีเเผนจะยกเลิกมาตรการ VAT-free shopping เนื่องจากผลประโยชน์ในหลายส่วนของสหราชอาณาจักรที่ไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงและเสี่ยงต่อการฉ้อโกง
ด้านบรรดายักษ์ใหญ่ค้าปลีกเเละเเบรนด์หรูต่างๆ อย่าง Marks & Spencer, Heathrow และ Selfridges ร่วมส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่า การยกเลิกดังกล่าว จะสร้างความเสี่ยงกับเเรงงานกว่า 7 หมื่นคน โดยขายสินค้าปลอดภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวนอกสหภาพยุโรปนั้น สามารถทำรายได้กว่า 3.5 พันล้านปอนด์ (ราว 1.4 เเสนล้านบาท) ในเเต่ละปี
สำหรับโครงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือ VAT Retail Export Scheme (VAT RES) เป็นสิทธิพิเศษให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ซื้อสินค้าในเเหล่งท่องเที่ยว อย่างในกรุงลอนดอนและเอดินเบอระ รวมถึงย่านช้อปปิ้งยอดนิยมอย่าง Bicester Village เเต่ไม่ได้นำมาใช้หรือบริโภคในสหราชอาณาจักรสามารถขอคืนภาษีได้โดยเป็นโครงการที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของชาวต่างชาติ
สมาคมการค้าปลีกระหว่างประเทศ (AIR) ที่ร่วมลงนามในจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีอังกฤษดังกล่าว มองว่า การยกเลิกมาตรการนี้ จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเเละธุรกิจค้าปลีกที่กำลังเจอมรสุม COVID-19 ยิ่งไปกว่านั้น สหราชอาณาจักรจะกลายเป็นประเทศเดียวในยุโรป ที่จะไม่มีการช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษี
“ตอนนี้มาดริด มิลานและปารีส กำลังยินดีกับสิ่งที่รัฐบาลอังกฤษทำ เพราะถ้านักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายเเพงกว่าในสินค้าประเภทเดียวกัน พวกเขาก็คงไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนใจไปประเทศอื่น”
ด้าน Thierry Andretta ผู้บริหารเเบรนด์หรูอย่าง Mulberry ที่ได้ร่วมลงนามในจดหมายร้องเรียนดังกล่าว บอกว่า การตัดสินใจของรัฐบาลอังกฤษ จะทำลายความสามารถการแข่งขันกับประเทศอื่นในยุโรป ทำให้เสียเปรียบทั้งด้านการจ้างงานและการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Visit Britain ระบุว่า ในปี 2018 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้เงินราว 6 พันล้านปอนด์ (ราว 2.4 แสนล้านบาท) เพื่อช้อปปิ้งในสหราชอาณาจักรโดยในส่วนนี้กว่า 3.5 พันล้านปอนด์ เป็นการขายแบบไม่ต้องเสียภาษี เเต่มีนักท่องเที่ยวขอคืนภาษีเพียง 2.5 พันล้านปอนด์เท่านั้น
ที่มา : BBC , the guardian
]]>การที่รัฐบาลอังกฤษบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ระหว่างช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย. ซึ่งถือว่า “ช้ากว่า” ประเทศอื่นๆ ในยุโรปที่ดำเนินการมาก่อนหน้า มีผลทำให้ในช่วงไตรมาส 2 อังกฤษกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหนักที่สุดในยุโรป รุนแรงกว่าเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี
การใช้จ่ายในภาคครัวเรือนลดลงต่อเนื่อง เพราะร้านค้าต่างๆ ต้องปิดทำการชั่วคราว ขณะที่ภาคการบริการ การก่อสร้าง และการผลิต ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอัตราสูง
วันนี้ (12 ส.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) หดตัว 20.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ โดยในเดือนเม.ย. จนถึงมิ.ย. เป็นช่วงที่มาตรการล็อกดาวน์ของสหราชอาณาจักรมีความเข้มงวดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของอังกฤษ เริ่มกลับมาฟื้นตัวบ้างแล้ว ในช่วงเดือนมิ.ย. จากการคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยพบว่าตัวเลขจีดีพี ประจำเดือนมิ.ย. โต 8.7% เมื่อเทียบกับเมื่อเดือนก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน จากตัวเลขจีดีพี ในไตรมาสแรกของปีนี้ที่หดตัว 2.2% ทำให้จีดีพีของสหราชอาณาจักรหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน นับว่าเป็นการเข้าสู่ภาวะ “ถดถอยทางเทคนิค” ซึ่งถือว่าเป็นการเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2009 ทั้งนี้ เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลกระทบตลาดแรงงาน ที่มีอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 เเละการชัตดาวน์ธุรกิจในเดือนมี.ค. ทำให้มีคนว่างงานในสหราชอาณาจักรไปแล้วกว่า 7.3 เเสนคน
Rishi Sunak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ชาวอังกฤษหลายเเสนคนต้องตกงาน เเละอาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีกหลายเดือนข้างหน้า ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของสหราชอาณาจักร เเต่จะผ่านพ้นไปได้ โดยจะมีการสนับสนุนการสร้างงานในพื้นที่ใหม่ ๆ
ด้านภาคธุรกิจ เรียกร้องให้รัฐบาล “ทำมากขึ้น” เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดย Alpesh Paleja นักเศรษฐศาสตร์จากสมาคมอุตสาหกรรมอังกฤษ กล่าวว่า บริษัทหลายแห่งกำลังดิ้นรนเพื่อชำระค่าใช้จ่ายให้ตรงเวลา ส่วนการฟื้นตัวก็ยังไม่เเน่นอนนัก เนื่องจากความกังวลเรื่องการเเพร่ระบาดระลอก 2 รวมไปถึงความคืบหน้าในการเจรจาเรื่อง Brexit ที่ล่าช้าก็มีความเกี่ยวข้องกันด้วย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอังกฤษได้เปิดตัวเเคมเปญ Eat Out to Help Out หวังกระตุ้นให้ผู้คนออกมาทานอาหารนอกบ้าน โดยมีเชนฟาสต์ฟู้ดหลายรายเข้าร่วมอย่าง Pizza Express, Costa Coffee เเละ McDonald’s
โดยรัฐบาลอังกฤษจะมอบส่วนลด 50% ให้กับเหล่านักชิมในทุกวันจันทร์ถึงพุธตลอดเดือนสิงหาคม สามารถใช้ได้ไม่จำกัดมื้อผ่านร้านอาหารกว่า 72,000 แห่ง โดยไม่มีขั้นต่ำ แต่มีข้อแม้ว่าส่วนลดจะจำกัดที่ไม่เกิน 10 ปอนด์ต่อคน หรือราว 410 บาท ไม่สามารถใช้ได้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่สามารถใช้สำหรับซื้อกลับบ้านได้ โดยนักชิมสามารถใช้ส่วนลดได้บ่อยเท่าที่ต้องการในวันที่มีสิทธิ์ และสามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้คูปองหรือโค้ดใด ๆ เพราะร้านจะหัก 50% จากบิลและเรียกเก็บส่วนลดจากรัฐบาลเอง
]]>
คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (Council of the EU) เปิดเผย 11 รายชื่อประเทศปลอดภัย (Safe List) ที่ได้รับยกเลิกข้อจำกัดที่กำหนดใช้ชั่วคราวในการเดินทางเข้ายุโรป โดยมีผลเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถือว่าประกาศฉบับนี้ มีจำนวนประเทศน้อยที่สุด นับตั้งแต่ EU ริเริ่มข้อเสนอดังกล่าวเมื่อช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
สำหรับรายชื่อประเทศปลอดภัยล่าสุด ประกอบด้วย 11 ประเทศ ดังนี้
คณะมนตรีฯ จะมีการปรับปรุงข้อมูลรายชื่อประเทศปลอดภัยในทุกๆ 2 สัปดาห์ เเต่การปรับข้อมูลครั้งก่อนเกิดขึ้นเพียงช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางระบาดวิทยาและมาตรการควบคุมโรคระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งหากประเทศใดในรายชื่อมีเเนวโน้มสถานการณ์ที่เเย่ลง ก็จะมีการพิจารณาใหม่อย่างรวดเร็ว
อย่างเช่น EU เพิ่งถอดชื่อ “โมร็อกโก” ออกจากรายการประเทศปลอดภัย (Safe List) ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ายุโรปไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังมีการตรวจพบตรวจพบผู้ป่วยโรค COVID-19 ในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันราย (ณ วันที่ 8 ส.ค.) ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 3 หมื่นราย
ทั้งนี้ การยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าวไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย และคำตัดสินใจของประเทศสมาชิก EU ถือเป็นที่สิ้นสุด
ที่มา : Council of the EU , Xinhua
]]>