องค์กร – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 25 Oct 2021 13:26:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สิงคโปร์ คุมเข้มให้พนักงานบริษัททั่วประเทศ ต้องฉีดวัคซีนครบโดส ถึงจะเข้าออฟฟิศได้ https://positioningmag.com/1358231 Mon, 25 Oct 2021 11:45:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1358231 สิงคโปร์ ออกนโยบายคุมเข้ม กำหนดให้พนักงานในองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ ต้องฉีดวัคซีนโควิดครบโดส นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้า เป็นต้นไป ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนต้องมีผลตรวจเป็นลบเท่านั้น ถึงจะเข้าออฟฟิศได้ เเละต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง

กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 พนักงานขององค์กรทุกแห่งในประเทศ จะต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิดครบแล้วเท่านั้น หรือต้องประวัติป่วยเป็นโรคโควิด-19 เเล้วหายจากอาการป่วยภายในระยะเวลานานไม่เกิน 270 วัน จึงจะสามารถกลับเข้าไปทำงานในออฟฟิศได้

ส่วนพนักงานที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน จะต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด ’เป็นลบ’ เท่านั้น ถึงจะเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศตามปกติได้ เเต่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจเองทั้งหมด และจะต้องเข้ารับการตรวจจากสถานที่ ซึ่งได้รับการรับรองโดยกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น

ทั้งนี้ ผลการทดสอบด้วย Antigen Rapid Test อย่างเร่งด่วน จะมีผลใช้ได้ตลอดระยะเวลาที่พนักงานอยู่ในที่ทำงาน 24 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐมีข้อยกเว้นให้กับกลุ่มพนักงานที่เป็นสตรีมีครรภ์ที่ไม่ประสงค์รับวัคซีน และผู้ที่ไม่สามารถรับวัคซีนด้วยเหตุผลทางการแพทย์ ซึ่งมีคำเเนะนำถึงเหล่านายจ้างว่าจะต้องดูเเลการทำงานของกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เช่น กำหนดวิธีการทำงานรูปแบบใหม่เเละให้ทำงานที่บ้านไปก่อน

ล่าสุด ชาวสิงคโปรืกว่า 84% ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดครบโดสแล้ว และกว่า 85% ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส ท่ามกลางสถานการณ์ที่มียอดผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดลตา โดยมีการขยายมาตรการป้องกันการระบาดในปัจจุบันไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย. เพื่อลดแรงกดดันในระบบสาธารณสุข เเละจะมีการทบทวนมาตรการในทุก 2 สัปดาห์

 

ที่มา : CNA , Bloomberg

]]>
1358231
HR ไม่ใช่ผู้คุมกฎ…6 กลยุทธ์ผสานพนักงาน ‘ต่างวัย’ หลากหลาย-เท่าเทียม ฉบับ ‘ดิอาจิโอ’ https://positioningmag.com/1334079 Thu, 27 May 2021 13:16:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1334079 สังคมการทำงานยุคใหม่ เปลี่ยนไปมากมายในช่วงที่ผ่านมา องค์กรไม่สามารถนำกลยุทธ์เดิมๆ กฎระเบียบเดิมๆ มากำหนดวิถีการทำงานของพนักงานได้อีกต่อไป

ยิ่งเมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่ เทรนด์ทำงานได้ทุกที่ ‘Remote Working’ ทำให้ออฟฟิศไม่ใช่เรื่องจำเป็นสูงสุด

เหล่านี้เป็นโจทย์ท้าทายของฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ต้องปรับตัว เปลี่ยนเเปลงการสื่อสารกับพนักงาน มาคิดกันใหม่ว่า ทำอย่างไรจะให้พนักงานมีความสุขเเละมีประสิทธิภาพ หาจุดสมดุลของความหลากหลาย บริหารคนต่างวัยให้มีเป้าหมายร่วมกัน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้

Positioning มีโอกาสได้พูดคุยกับเจน รุ่งกานต์ รตนาภรณ์ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮสเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DMHT เจ้าของแบรนด์สุรานอกอย่าง Johnnie Walker, Smirnoff, Hennessy ฯลฯ

คำเเนะนำเเละกลยุทธ์การทรานส์ฟอร์มจากผู้คลุกคลีอยู่ในวงการ HR มานานกว่า 20 ปี ผ่านงานทั้งสายพลังงาน อุตสาหกรรมยา จนมาถึงธุรกิจเครื่องดื่ม อย่าง ‘รุ่งกานต์’ มีเทคนิคต่างๆ ที่น่านำไปปรับใช้ได้ดีทีเดียว

เป็นตัวเองได้ในที่ทำงาน 

เธอเล่าให้ฟังถึงการวางกลยุทธ์ดำเนินงานว่า ยึดหลักแนวคิด Connecting People to Purposes เชื่อมโยงบุคคลกับวัตถุประสงค์ของบริษัท โดยให้ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้ในการทำงาน ไม่จำกัดความคิด มอบอิสระในการออกแบบวิธีการทำงานและการแสดงออก พร้อมเสริมสร้างสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้ออำนวยต่อการไปถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ให้พนักงานรู้สึกสบายใจและภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนบริษัท มาทำงานอย่างมีความสุขและกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดี เติมเต็มความต้องการได้ ขณะเดียวกันก็ต้องต่อยอดไปสู่เป้าหมายทางอาชีพของพวกเขาด้วย” 

Reverse Mentoring : พื้นที่เเลกเปลี่ยนไอเดีย 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่รุ่งกานต์นำมาใช้ในการผสาน ‘พนักงานต่างวัย’ ให้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ในการทำงานกัน ก็คือ Reverse Mentoring

โดย DMHT มีการจับคู่พนักงานมาเข้าร่วมโปรเเกรมนี้ เริ่มต้นด้วยคู่ของคุณ ‘อัลแบร์โต อิเบอัส’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กับพนักงาน Gen Y คนหนึ่ง ให้มาพูดคุยเเลกเปลี่ยน ‘ไลฟ์สไตล์’ เรียนรู้การทำงาน มุมมองของธุรกิจต่างๆ

ผลเบื้องต้นพบว่า เกิดไอเดียหลายอย่างจากการสนทนากัน โดยอัลแบร์โตที่ทำงานมากว่า 22 ปี ก็ได้เห็นถึงการคิดนอกกรอบ เทรนด์เเละนวัตกรรมใหม่ๆ ส่วนพนักงานรุ่นใหม่ก็ได้รู้ถึงประสบการณ์การทำงาน บทเรียนชีวิตเเละวิธีเเก้ปัญหาต่างๆ  

“ถ้าโครงการทดลองนี้สำเร็จ เราจะขยายไปทำทั้งองค์กร เพื่อให้มีแพลตฟอร์มที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้”

พื้นฐานที่ทุกองค์กรต้องมี คือความเท่าเทียม

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากในองค์กร ก็คือ ‘ความเท่าเทียม’ โดยยกตัวอย่างเป้าหมาย 10 ปีของดิอาจิโออย่าง SOCIETY 2030: SPIRIT OF PROGRESS

โดยในแผนงานนี้ มีประเด็นการส่งเสริมความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมภายในองค์กรที่น่าสนใจ เช่น บริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 จะมี ผู้นำหญิง ในองค์กรให้ได้สัดส่วน 50% มีผู้นำที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ให้ได้ 45% และจัดอบรมพัฒนาทักษะให้กับคนจำนวน 1.7 ล้านคน เเละสนับสนุนความหลากหลายในทุกตำแหน่งงาน

ปัจจุบัน DMHT มีสัดส่วนของผู้บริหารหญิงอยู่ที่ 50% แล้ว เฟสต่อไปคือการเพิ่มสัดส่วนของผู้หญิงในตำแหน่งที่เตรียมก้าวขึ้นสู่ระดับบริหารให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสให้กับผู้หญิงในการก้าวสู่ตำแหน่งงานที่สังคมคุ้นเคยว่าผู้ชายมีบทบาทมากกว่า โดยริเริ่มออกแบบและดำเนินการโปรแกรม Female in Field Sales Incubation เพื่อปั้นผู้นำหญิงสู่การเป็นผู้จัดการเขต (District Manager) ภายในปี 2025

สำหรับในประเทศไทย DMHT มีนโยบายที่เปิดกว้างและสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ โดยบริษัทให้สิทธิ์พนักงานทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และ LGBTQIA+ ใช้สิทธิ์ลาคลอดได้ 26 สัปดาห์ พร้อมรับเงินเดือนเต็ม

สลัดภาพจำ…HR ยุคใหม่ต้องไม่ใช่ผู้คุมกฎ

หลังจากทำงานด้านบริหารทรัพยากรบุคคลมากว่า 2 ทศวรรษ รุ่งกานต์ยอมรับว่า ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย มีพนักงานจำนวนไม่น้อยรู้จักไม่ใกล้ชิดกับฝ่าย HR มากนัก หลายคนมีภาพจำว่าเเผนกนี้เป็น ‘ผู้คุมกฎ’ หรือ ‘ครูปกครอง’ เวลามีการเรียกคุยจะรู้สึกกังวลว่าตัวเองทำผิดอะไรหรือไม่ นี่คือความท้าทายที่ต้องเปลี่ยนเเปลงภาพลักษณ์เหล่านี้ให้ได้

“เราต้องทำให้พนักงานเข้าใจว่าบทบาทของ HR คือ ‘เพื่อนร่วมงาน’ ที่มีหน้าที่ช่วยส่งเสริมพนักงานทุกคนให้มีพลังทำงานในทุกๆ ด้าน เรื่องของกฎระเบียบก็ยังจำเป็นต้องมี เเต่ HR ต้องใช้การสื่อสารรูปเเบบใหม่ให้เข้าถึงคนเเต่ละยุคสมัย” 

เธอยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างการใช้หลัก Why’ คือ HR ต้องอธิบายให้ได้ว่า ‘ทำไม’ จึงต้องมีกฎนี้ ทำไมจึงต้องทำกิจกรรมนี้ ถ้าทำตามเเล้วจะมีผลอย่างไร ถ้าไม่ทำตามจะส่งผลอย่างไร เเม้บางครั้งจะเป็นกฎเดิมที่ใช้ต่อกันมาเป็น 10 ปี ก็ต้องปรับการสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจในบริบทสังคมใหม่ด้วย 

ความยืดหยุ่น’ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ 

สำหรับเเนวทางการบริหารงานบุคคลของดิอาจิโอนั้น มีการประยุกต์เทคโนโลยีกับปรัชญามาใช้งาน HR ที่มีชื่อว่า ‘DIAGEO Flex Philosophy’ ให้อิสระพนักงานในการบริหารจัดการเวลาทำงานของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน หรือเข้างานตาม Office Hours เพียงสามารถส่งมอบงานที่มีคุณภาพได้ตามเวลาที่กำหนด

ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ต้องให้พนักงาน Work from Home นั้น พบว่า พนักงานส่วนใหญ่ยังทำงานได้ตามปกติ แถม Productivity เพิ่มขึ้นอีก ใครเบื่อบรรยากาศทำงานที่บ้านจะมาทำงานที่ออฟฟิศก็ได้ บางคนชอบเริ่มงานตอนเช้า บางคนสายหน่อย หรือบางคนชอบทำงานตอนดึกๆ ก็สามารถจัดสรรเวลาเองได้

“หลักๆ คือเราให้ความสำคัญกับผลงานมากกว่าเวลาเข้างาน” 

โดยฝ่าย HR จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘สวัสดิการ’ ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและให้ตรงกับความต้องการของพนักงานมากที่สุด ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น เเต่ก่อนจะมีบริการคาเฟ่ในออฟฟิศ เเต่ช่วงโควิด-19 ต้องงดไปก่อน ก็จะมีการจัดข้อเสนออื่นๆ ให้เเทน

‘อัพสกิล’ ตามความชอบ 

ในด้านการพัฒนาทักษะ DMHT มุ่งเสริมสร้างทักษะแห่งอนาคตที่จำเป็นให้แก่พนักงานตามความสนใจด้านอาชีพของแต่ละคน โดยให้พนักงานสามารถเลือกสวัสดิการที่ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ สอดคล้องกับปรัชญาหลักของบริษัท นั่นก็คือ Celebrating Life, Every Day, Everywhere 

ยกตัวอย่างเช่น เป้าหมายการอบรมทักษะบุคลากรในอุตสาหกรรมการบริการ ให้ได้ 15,000 คนผ่านโครงการ Learning for Life ภายในปี 2030 ครอบคลุมนักศึกษา ผู้ประกอบอาชีพการท่องเที่ยวและการบริการ ขยายการฝึกอบรมมาสู่บุคลากรในสายอาชีพการบริการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการต้องออกจากงาน หรือหยุดงานชั่วคราว รวมถึงคนในชุมชน บุคคลที่มีความจำเป็นและกลุ่มผู้ขาดโอกาสทางสังคม

นอกจากนี้ ยังมีการจัดอบรมทักษะสำหรับบาร์เทนเดอร์ผ่าน Diageo Bar Academy เพื่อส่งเสริมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรับผิดชอบในสังคม และการรับมือสถานการณ์ที่ท้าทายขณะทำงานในสายอาชีพ 

เหล่านี้เป็นไปตาม Brand Purpose ของดิอาจิโอที่ว่า ทำอย่างไรให้คนอยากเฉลิมฉลอง แต่ไม่ใช่การสนับสนุนให้คนดื่มจนขาดสติ เเต่ต้องดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ (Positive Drinking)

สำหรับเป้าหมายของประเทศไทย DMHT มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายหลักใน 3 ด้าน จะดำเนินการผ่านโครงการที่มีอยู่แล้วเพื่อความต่อเนื่อง ได้แก่

  • รณรงค์การดื่มอย่างรับผิดชอบ ผ่านโครงการ DRINKiQ และแพลตฟอร์ม Don’t Drink Drive E-Learning
  • ส่งเสริมความเป็นเลิศด้านความหลากหลาย (Inclusion and Diversity)
  • สร้างความยั่งยืนในทุกขั้นตอนการผลิต (Grain to Glass Sustainability) ผ่านการนำเข้าสินค้าของดิอาจิโอที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์พลาสติกจากวัสดุรีไซเคิล ที่มีความปลอดภัยมาจำหน่ายในประเทศไทย และสานต่อโครงการรีไซเคิลขวดจอห์นนี่ วอล์กเกอร์หลังการบริโภค โดยการนำไปใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้

หลังจากประสบการณ์ HR มากว่า 20 ปี รุ่งกานต์มองว่า สิ่งที่คนรุ่นใหม่มองหาจากองค์กรมากที่สุด คือการเปิดกว้างทางความคิด ให้พวกเขาได้มีโอกาสเเสดงศักยภาพเเละรับฟังข้อเสนอเเนะโดยไม่ติดเรื่องอายุ พร้อมการอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น

รวมถึงการสนับสนุนให้ทุกคนมี ‘Career Path’ เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ เเละมีความสุขในการใช้ชีวิต

ส่วนสิ่งที่องค์กรอยากได้จากคนรุ่นใหม่’ ก็คือความคิดสร้างสรรค์ พลังในการทำงาน เเพชชั่นที่จะเห็นความก้าวหน้าเเละการเปลี่ยนเเปลง…

 

 

]]>
1334079
‘เอไอเอส’ เผยสถิติธุรกิจไทยปรับตัวเร็วขึ้น ’40 เท่า’ เพราะได้ ‘โควิด’ เป็นตัวเร่ง https://positioningmag.com/1333190 Thu, 20 May 2021 10:03:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333190 หากพูดถึงเรื่องการทรานส์ฟอร์มองค์กรไปสู่ดิจิทัล แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีการพูดกันมานานหลายปี อย่างไรก็ตาม บางองค์กรอาจจะยังชะล่าใจ หรือยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหนทำให้การปรับองค์กรไปสู่ดิจิทัลจึงยังไม่ได้เริ่ม จนกระทั่งการมาของ COVID-19 ที่เป็นการบังคับให้ต้องปรับตัว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ทำให้องค์กรไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะทรานส์ฟอร์มได้อีกต่อไป

มีแค่ 5% ที่ไม่คิดปรับตัว

ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร AIS Business กล่าวว่า COVID-19 ได้กลายเป็นตัวเร่งให้ทุกองค์กรปรับตัวเร็วขึ้น โดยพบว่าไม่ว่าองค์กรขนาดเล็กหรือใหญ่มีการปรับตัวมากถึง 18-40 เท่า จากการทำงานแบบเดิม ขณะที่บริษัทระดับ Top 10 ของไทยสามารถใช้ดิจิทัลสร้างการเจริญเติบโตของรายได้มากถึง 5 เท่า และทำกำไรได้กว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่มีแผนที่จะทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของประเทศไทยในการทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัลนั้นพบว่ามี Digital Leader เพียง 3% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 5% ส่วนDigital Adopters (ที่เริ่มเปิดรับดิจิทัล) มี 22% ขณะที่ทั่วโลกเฉลี่ย 23% แม้จะน้อยกว่าแต่หากดูภาพรวมแล้ว บริษัทในประเทศไทยที่ ไม่มีแผนการนำดิจิทัลมาทรานส์ฟอร์มองค์กร มีเพียง 5% เท่านั้น เมื่อเทียบกับทั่วโลกที่มีสัดส่วนถึง 9%

Go Online สิ่งแรกที่ SME ทำ

จากการสำรวจพบว่า องค์กรส่วนใหญ่ที่นำดิจิทัลเข้ามาใช้ 38.6% เป็นการสร้างช่องทางการขายออนไลน์ 79.3% เปิดรับชำระเงินทางออนไลน์ และในช่วงสถานการณ์ล็อกดาวน์เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 องค์กรต่าง ๆ ได้สร้าง Online Channel มากขึ้นเป็นอันดับ 1 ถึง 57.1% ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME มีการปรับตัวชัดเจนขึ้น 4 ด้าน คือ เพิ่มการส่งเสริมการขายในตลาดออนไลน์, เพิ่มนวัตกรรมในองค์กร, เพิ่มความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ เพื่อปรับโครงสร้างต้นทุน

COVID-19 ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกไปแล้ว ทำให้โลกออนไลน์และดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต องค์กรธุรกิจก็ต้องทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัล เพื่อให้การทำงานเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนมากขึ้น รวมถึงสร้าง New Business Model เพื่อตอบสนอง Lifestyle ใหม่เพื่อที่จะอยู่รอดท่ามกลางการระบาด

4 รู้ ก่อนนำเทคโนโลยีมาใช้

แนวทางที่ของแนะคือหลัก 4 รู้ ได้แก่ รู้ตนเอง, รู้ลูกค้า, รู้เทคโนโลยี, รู้ partner ต้องประกอบไปด้วย 4 อย่างนี้เข้าด้วยกัน จึงจะนำไปสู่กระบวนการในการหาทางออกด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ได้

รู้ตนเอง คือ รู้เป้าหมายที่จะไป หรือรู้ว่าปัญหาที่ประสบอยู่คืออะไร รวมถึงรู้ความสามารถขององค์กรและบุคลากรว่าจะนำเทคโนโลยีมาใช้ได้เพียงได้

รู้ลูกค้า คือ รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร หรือประสบปัญหาอะไร เราจะไป capture value เหล่านั้นในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้อย่างไร

รู้เทคโนโลยี คือ รู้ว่าเทคโนโลยีจะไปตอบโจทย์จากการรู้ตนเองและรู้ลูกค้าได้อย่างไร เลือกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น

รู้ partner คือ รู้ว่า partner รายใดที่น่าจะช่วยนำ technology กับ business expertise มาประกอบกันให้สามารถปฏิบัติได้จริง ซึ่ง partner นั้นต้องไว้ใจได้ เพราะมีประสบการณ์, มีความสามารถ, และมี partners อีกมากมายที่จะร่วมกันทำให้เกิดความสำเร็จ

นพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร  AIS Business

ทั้งนี้ 10 เทคโนโลยีที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญและพร้อมนำไปใช้ในทุกกระบวนการ ได้แก่ 5G, IoT, Cloud&EDGE Computing, Extended Reality, AI/Machine Learning, Robotics, Big Data & Analytics, Cyber Security, Robotic Process Automation และ Blockchain ซึ่ง AIS Business มีความพร้อมอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับทุกองค์กร เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าฝ่าวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ไปด้วยกันให้ได้ และก้าวสู่โลกของการทำ Digital Business ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

]]>
1333190
British Airways เล็งขายตึก ‘สำนักงานใหญ่’ ตามเทรนด์ลดขนาดออฟฟิศ ทำงานที่บ้านมากขึ้น https://positioningmag.com/1324275 Sat, 20 Mar 2021 09:27:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1324275 หนึ่งในสายการบินใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่าง British Airways กำลังพิจารณาจะขายตึกสำนักงานใหญ่เนื่องจากในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 มีปรับการทำงานให้เป็นเเบบ Work from Home หรือทำงานที่บ้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทไม่ต้องการใช้พื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่อีกต่อไป

Financial Times รายงานว่า การประกาศขายอาคารสำนักงานดังกล่าว อาจจะเข้ามาช่วยพยุงด้านการเงินของสายการบินที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคระบาด โดยสำนักงานใหญ่ของ British Airways มีมาตั้งเเต่ปี 1998 ใช้ค่าก่อสร้างราว 200 ล้านปอนด์ (ราว 8.6 พันล้านบาท) อยู่ใกล้สนามบินฮีทโธรว์ ในกรุงลอนดอน 

วิถีการทำงานที่เปลี่ยนไป ผู้คนต้องทำงานที่บ้านในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้บรรดาบริษัทใหญ่ในอังกฤษ เริ่มหันมาปรับเปลี่ยนรูปแบบสำนักงานของตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น Lloyds ธนาคารยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ มีเเผนจะปรับลดพื้นที่สำนักงานลง 20% ภายใน 3 ปีนี้ และสถาบันการเงินอย่าง HSBC เล็งจะปรับลดพื้นที่สำนักงานลง 40% เช่นกัน

British Airways ระบุในแถลงการณ์ว่า จากการสำรวจความเห็นพนักงาน พบว่า หลายคนชอบทำงานจากที่บ้าน ดังนั้นนโยบายของบริษัทในอนาคต จึงมีแนวโน้มที่ยืดหยุ่นขึ้นโดยจะผสมผสานระหว่างการทำงานที่บ้านและการทำงานที่ออฟฟิศ

เรากำลังปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤต และกำลังพิจารณาว่ายังจำเป็นต้องมีพื้นที่สำนักงานที่ใหญ่ขนาดนี้อยู่หรือไม่

(Photo by Ekaterina Bolovtsova from Pexels)

ในปีที่ผ่านมา British Airways รัดเข็มขัดประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ รวมไปถึงการปลดพนักงานกว่า 1 หมื่นตำเเหน่ง ทำให้ยอดปัจจุบันเหลืออยู่ที่ 3 หมื่นคน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานที่สำนักงานใหญ่ แต่เป็นนักบิน ลูกเรือ วิศวกรเเละเจ้าหน้าที่สนามบิน

อย่างไรก็ตาม เเม้การทำงานแบบเข้าออฟฟิศอาจจะค่อย ๆ ลดลง เเต่ทางฝั่งบริษัทเทคโนโลยีอย่าง ‘Google’ (กูเกิล) ซึ่งก็ให้พนักงาน Work from Home ได้ยาว ๆ กลับกำลังทุ่มเงินขยายพื้นที่สำนักงานให้มากขึ้น

Sundar Pichai CEO ของ Google บอกว่า ในอนาคตบริษัทมีแนวคิดที่จะทดสอบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอาจจะให้พนักงานทำงานอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ในออฟฟิศเพื่อการทำงานร่วมกันกับเพื่อนพนักงาน ส่วนวันที่เหลือให้ทำที่บ้าน

ดูเหมือนว่าการทำงานในองค์กรของ Google จะเน้นทำงานที่บ้าน แต่ล่าสุดกลับมีแผนที่จะลงทุน ‘7 พันล้านดอลลาร์’ ในการขยายพื้นที่สำนักงานและศูนย์ข้อมูลในสหรัฐอเมริกา และเตรียมจ้างงานพนักงานประจำเพิ่มอย่างน้อย 10,000 ตำแหน่งในปีนี้

โดย Google เตรียมจะลงทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ในรัฐแคลิฟอร์เนียบ้านเกิดบริษัทในปีนี้ และได้วางแผนที่จะขยายสำนักงานอื่น ๆ รวมถึงการเพิ่มตำแหน่งงานหลายพันตำแหน่งในแอตแลนตา, วอชิงตัน ดี.ซี., ชิคาโก และนิวยอร์ก

ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ว่า ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเติบโตขึ้นในช่วงที่มีการระบาดใหญ่และกำลังเพิ่มคนงานหลายพันคน แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจำต้องปลดพนักงานหรือแม้กระทั่งปิดตัวลง เเละเทขายอาคารสำนักงาน ทำให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถที่จะ ฉวยโอกาส ในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์โดยไม่คำนึงว่าพวกเขามีแผนระยะยาวสำหรับการเปลี่ยนไปทำงานระยะไกลมากขึ้นในอนาคตหรือไม่

อ่านต่อ : Google เล็งเพิ่มพื้นที่สำนักงานเป็น ‘สองเท่า’ แม้จะมีนโยบาย Work from Home ก็ตาม

 

ที่มา : Financial Times , Reuters 

]]>
1324275
เผยผลสำรวจองค์กรไทยมอง ‘ไฮบริดคลาวด์’ ตัวเลือกหลักทรานส์ฟอร์มยุค COVID-19 https://positioningmag.com/1317381 Mon, 01 Feb 2021 09:42:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1317381 แม้ว่าเทคโนโลยี ‘คลาวด์’ จะถูกพูดถึงมา 4-5 ปีแล้ว แต่เพราะปี 2020 ที่มีการระบาดของ COVID-19 จึงทำให้เกิดการตื่นตัวของ Digital Transformation เพราะองค์กรต่างต้องการความคล่องตัวมากขึ้นจึงหันมาใช้คลาวด์ แต่จะใช้ ‘แบบไหน’ ให้เข้ากับการใช้งานขององค์กรมากที่สุดน่าจะเป็นโจทย์ที่สำคัญในตอนนี้

‘นูทานิคซ์’ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์คลาวด์ ได้เปิดเผยผลสำรวจผู้ประกอบธุรกิจพบว่า 86% ทั่วโลกสนใจใช้งาน ‘ไฮบริดคลาวด์’ ที่เป็นการผสมระหว่างพับลิคคลาวด์และไพรเวทคลาวด์ โดยคาดว่าภายใน 4 ปีข้างหน้าการใช้งานไฮบริดคลาวด์จะเติบโตขึ้น 4 เท่า ขณะที่การใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์จะลดลงถึง 89%

โดยปัจจัยที่ทำให้องค์กรส่วนใหญ่เลือกจะมาใช้ไฮบริดคลาวด์ ก็คือ

  1. ความเร็วที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของธุรกิจ 79%
  2. ความสามารถในการควบคุมการใช้งานทรัพยากรไอทีได้มากขึ้น 67%
  3. ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการทางธุรกิจ 66%

“ที่น่าสนใจคือ การใช้เพื่อลดต้นทุนกลายเป็นสิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญน้อยลงกว่าในอดีต ซึ่งเหลืออยู่แค่ 46% จากเดิมจะต้องมีกว่า 50%” ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าว

ในส่วนของประเทศไทย ค่อนข้างมีทิศทางเดียวกับทั่วโลก โดย

  • 76% การใช้ไฮบริดคลาวด์ถือเป็นทางแนวทางที่เหมาะสมสำหรับองค์กรปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเพิ่มสูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
  • 67% มีแผนที่จะใช้ไฮบริดลาวด์ภายใน 5 ปี
  • 63% จากระดับการใช้ไฮบริดในปัจจุบัน
  • 3% เท่านั้นที่วางแผนจะใช้ดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมที่ไม่ใช่ระบบคลาวด์ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ การประหยัดค่าใช้จ่ายไม่ใช่เหตุผลหลักในการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานไอทีในไทยเช่นกัน แรงจูงใจสามอันดับแรกในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยของบริษัทในไทยที่ตอบแบบสำรวจ ได้แก่

  • 79% ต้องการเพิ่มความเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ
  • 67% ควบคุมการใช้ทรัพยากรไอทีให้มีประสิทธิภาพขึ้น
  • 67% ให้สามารถให้การสนับสนุนลูกค้าได้ดีขึ้น
  • 13% การประหยัดค่าใช้จ่าย

  •  82% ของผู้ตอบแบบสำรวจในไทยระบุว่า COVID -19 ทำให้องค์กรของตนมองเรื่องไอทีในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
  • 68% มีการเพิ่มการลงทุนในพับลิคคลาวด์ (เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 47%)
  • 56% มีการลงทุนในไพรเวทคลาวด์เพิ่มขึ้น (เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 37%)

“ที่ค่าเฉลี่ยเรามากกว่าประเทศอื่นในเอเชียแปซิฟิกและค่าเฉลี่ยโลก เพราะองค์กรไทยจำนวนมากยังดำเนินงานในรูปแบบที่ไม่พึ่งพาระบบไอทีมากเท่าไร องค์กรเหล่านี้จึงยังไม่ให้ความสำคัญกับไฮบริดคลาวด์ แต่ถ้าเป็นองค์กรใหญ่ก็จะยังลงทุนต่อเนื่องอยู่แล้ว”

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ผู้ตอบแบบสำรวจทุกคนจะระบุว่า COVID-19 มีผลทำให้ต้องลงทุนในระบบคลาวด์เพิ่มขึ้น แต่ 15% ขององค์กรระบุว่าจะยัง ‘ไม่ลงทุนคลาวด์ในช่วง COVID-19’ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า 8% ที่เป็นค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและ 10% ของค่าเฉลี่ยโลก

ปัจจุบัน กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานไฮบริดคลาวด์เพิ่มสูงมากขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและการเงินการธนาคาร และจากตัวเลขที่พบว่าองค์กรในไทย 45% ได้ลงทุนเพิ่มเรื่องไฮบริดคลาวด์ช่วง COVID-19 ก็ถือเป็นสัญญาณบวกต่อนูทานิคซ์ โดยถือเป็นแนวโน้มที่จะทำให้บริษัทจะเติบโตได้ดีมากกว่าปีที่ผ่านมา

]]>
1317381
อนาคตเเรงงาน อีก 5 ปี “หุ่นยนต์-ระบบอัตโนมัติ” จะทำงานเเทนมนุษย์กว่า 85 ล้านตำเเหน่ง https://positioningmag.com/1302589 Thu, 22 Oct 2020 03:54:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302589 การเเพร่ระบาดของ COVID-19  เร่งให้ตลาดแรงงาน เปลี่ยนจากการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ ไปพึ่งพาแรงงานหุ่นยนต์เร็วขึ้น

จากรายงาน World Economic Forum ฉบับล่าสุด เปิดเผยว่า การมาของ COVID-19 ที่ระบาดทั่วโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้มีการเปลี่ยนเเปลงทางเทคโนโลยีในสถานที่ทำงาน โดยตำเเหน่งงานของมนุษย์กว่า 85 ล้านตำแหน่งจะถูกทดเเทนด้วยระบบอัตโนมัติภายใน 5 ปีข้างหน้า

“กว่า 2 ใน 5 ของบริษัทขนาดใหญ่ที่ถูกสำรวจ มีแผนจะลดพนักงานลง เนื่องจากการผสมผสานเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน”

จากการสำรวจบริษัททั่วโลกเกือบ 300 แห่ง พบว่า 4 ใน 5 ของผู้บริหารระดับสูง กำลังวางเเผนที่จะปรับการทำงานให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น ให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน ประชุมงานผ่านวิดีโอคอล เเละจะมีการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง บริการอีคอมเมิร์ซ เเละการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์

World Economic Forum ระบุว่า ภายในปี 2025 งานที่ถูกทำโดยมนุษย์จะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติ มากถึง 85 ล้านตำแหน่ง ทั้งงานผู้ช่วยธุรการ พนักงานบัญชี ฝ่ายจัดการข้อมูล พนักงานบริการลูกค้า ฝ่ายบริการธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยังมีความต้องการใช้ทักษะความสามารถของมนุษย์ มาช่วยควบคุมเเละดูเเลในงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ระบบคลาวด์การพัฒนาผลิตภัณฑ์เเละธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเเละสิ่งเเวดล้อม

การเพิ่มขึ้นของระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ก็สามารถสร้างงานให้มนุษย์เพิ่มขึ้น 97 ล้านตำแหน่งทั่วโลก ภายใน 5 ปีข้างหน้าเช่นกัน

ต่อไปนี้บริษัททั่วโลกจะมีการฝึกอบรมอัพสกิลเเละรีสกิลพนักงานที่มีอยู่มากขึ้น ซึ่งตอนนี้ยังมีพนักงานกว่าครึ่งหนึ่งที่ยังต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อให้ทำงานกับระบบอัตโนมัติในเร็ววันนี้

โดยบริษัทชั้นนำมองว่า ทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ จะมีความสำคัญกับการทำงานในองค์กรในอนาคต เเละคาดว่าพนักงานจะมีทักษะความอดทน ยืดหยุ่น และการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ หลังผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาด COVID-19

 

ที่มา : CNN , weforum

]]>
1302589
อุ่นใจ! AIS แบ่งทีมพนักงานกลับทำงานออฟฟิศ 50% CEO แพ็กชุด Welcome Back ด้วยตัวเอง https://positioningmag.com/1279071 Mon, 18 May 2020 03:57:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1279071 AIS เตรียมพร้อมในการต้อนรับพนักงานกลับเข้าทำงานที่สำนักงานเหมือนเดิม แต่ใช้วิธีการแบ่งทีม A, B สลับกันทีมละ 2 สัปดาห์ เพื่อลดความหนาแน่น 50% ทางด้าน CEO สมชัย ลงทุนแพ็กชุด Welcome Back ให้พนักงานด้วยตัวเอง แบ่งทีม

สถานการณ์ดีขึ้น เริ่มกลับเข้าออฟฟิศ

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีการเริ่มคลายล็อกดาวน์ในระยะที่ 2 เพื่อให้เศรษฐกินเริ่มฟื้นตัว แล้วได้ทำธุรกิจกันอีกครั้ง

ทางด้านขององค์กรเอง บางแห่งก็เริ่มมีสัญญาณให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ หลังจากมีมาตรการ Work from Home กันเป็นเวลา 2 เดือนเต็มๆ แต่ยังคงรักษาระยะห่าง ลดความหนาแน่นของมวลชนอยู่

โดยที่ AIS ได้เริ่มให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศแล้ว แต่มีมาตรการความปลอดภัย ในหลักการสลับทีมเข้ามาทำงาน แบ่งเป็นทีม A, B สลับเข้าคนละ 2 สัปดาห์ ลดความหนาแน่นลง 50%

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า

“จากสถานการณ์ภาพรวมปัจจุบัน ที่การตรวจพบผู้ติดเชื้ออยู่ในอัตราที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนทุกภาคส่วนที่ร่วมกันเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และพร้อมเปลี่ยนแปลง ปรับวิถีชีวิต วิถีการทำงาน เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งนี้ให้ได้อย่างดีที่สุด จนนำมาซึ่งการประกาศผ่อนปรน คลายล็อคดาวน์บางส่วน จากภาครัฐ เพื่อร่วมกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจให้ยังคงเดินหน้าต่อได้”

“ในส่วนของเอไอเอสนั้น บริษัทฯ ได้มีการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ช่วงต้น และประกาศแผน BCP กระจายทีม และกระจายสำนักงาน พร้อมเทคโนโลยีให้พนักงาน WORK FROM HOME มาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน พนักงานสามารถทำงาน เพื่อดูแล ส่งมอบบริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม มีพนักงานจำนวนมากจะคิดถึงบรรยากาศการทำงานใน Office”

AIS ให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศแบบ 50% ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคมเป็นต้นไป ด้วยแนวคิด “FIT FUN FAIR ชนะภัยโควิด” ภายใต้มาตรการดูแลด้านสุขอนามัยและการคัดกรองป้องกันขั้นสูงสุด ทั้งในภาพรวมของอาคารสำนักงาน ไปจนถึงการปฏิบัติตัวของพนักงานเองที่ยังคงยึดหลัก Social Distancing เป็นสำคัญ โดยมีรูปแบบการทำงานช่วงคลายล็อก อาทิ

1. แบ่งพนักงานออกเป็นทีม A, B ที่จะสลับกันเข้าทำงานในสำนักงาน คนละ 2 สัปดาห์ โดยเมื่อครบกำหนด จะมีการทำความสะอาดแบบ Deep Cleansing ตามหลักสาธารณสุข ก่อนที่อีกทีมจะเข้าปฏิบัติงาน รวมถึงจัดเวลาเข้างานแบบยืดหยุ่น (Flexy Hour)

2. บริหารรูปแบบการใช้พื้นที่ใหม่ตามหลัก Social Distancing อาทิ จัด Work Station แบบเว้นระยะห่างระหว่างทีม, เน้นการประชุมและ Brainstorm ผ่านทาง Online เป็นหลัก, แบ่งช่วงเวลาการใช้ห้องอาหารและพื้นที่ส่วนกลางที่จำเป็น เพื่อลดความหนาแน่น

3. มีการคัดกรองและดูแลด้านสุขอนามัยขั้นสูงสุด อาทิ การวัดอุณหภูมิร่างกาย, การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา, การทำความสะอาด Work Station และพื้นที่อาคารสำนักงานทุก 30 นาที

4. ยังคงให้พนักงานงดการเดินทางทั้งใน และต่างประเทศ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

พนักงานอุ่นใจ CEO แพ็กชุด Welcome Back ด้วยตัวเอง

AIS ขึ้นชื่อว่าเป็นอีกองค์กรที่มีการดูแลพนักงานอย่างดี และอบอุ่น การต้อนรับพนักงานกลับเข้าทำงานของ AIS คงจะธรรมดาไม่ได้ โดยมีกิมมิกสำคัญอยู่ที่การมีชุด Welcome Back ที่เป็นเหมือนถุงยังชีพเพื่อต้อนรับพนักงาน

งานนี้ CEO สมชัย เลิสสุทธิวงค์ ได้ลงทุนแพ็กชุด Welcome Back เพื่อต้อนรับพนักงานด้วยตัวเอง ภายในประกอบด้วยวิตามินซี และ “กำลังใจ” ในการส่งต่อให้พนักงาน

สมชัยได้โพสต์ความในใจลงในเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาว่า

เกือบ 2 เดือนที่พวกเรา WFH เต็มรูปแบบ ถามว่าทำงานได้มั้ย ตอบเลยว่า ได้ ถามว่า บรรยากาศเหมือนเดิมมั้ย ตอบได้อีกเหมือนกันเลยว่า ก็ไม่เชิง เพราะยังไงการได้ทำงานรวมทีม เจอะหน้าตา (แม้จะใต้หน้ากาก) ก็ย่อมดีกว่าแน่ๆ

ปรากฏการณ์โควิด-19 บอกเราว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน และผลกระทบมหาศาลที่เกิดขึ้นไปทั่วโลกวันนี้กำลังส่งผลเป็น Domino Effect สิ่งที่เราจะทำได้คือ เตรียมพร้อมให้มากที่สุด ทั้งเรื่อง Re Structure และการ Re Skill เพื่อเตรียมตัวในโลกหลัง COVID-19 นี้

แต่ยังไงผมก็คิดว่า COVID-19 ก็มีประโยชน์กับพวกเรา ใน 2-3 เรื่อง

1. เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เราต้องกระโดดออกจาก Comfort Zone ทำในสิ่งที่เมื่อก่อนอาจจะละเลย ไม่ยอมลงมือซะที ให้เกิดขึ้นจริงได้ เกิด new business model แบบเหนือความคาดหมาย เพราะ Digilization มันจะมาเร็วกว่าที่เราคิด

2. เป็นกระดิ่งเตือน ให้เราต้องย้อนกลับมาดูเป้าหมายของชีวิตเราให้ชัดๆ โดยเฉพาะการดูแลตัวเอง และคนที่เรารัก

3. เป็นตัวยืนยันว่า คนไทยไม่เคยทิ้งกัน และจะช่วยเหลือกันเสมอ แม้จะยากลำบากกันอย่างไร

วันนี้ วันที่เอไอเอสเราเริ่มต้อนรับพนักงานกลับเข้ามาทำงาน 50% เพราะแม้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น แต่ต้องขอยืมคำคุณหมอทวีศิลป์มาบอกว่า “การ์ดต้องไม่ตก” มาใช้ เราเลยแบ่งทีมเป็น A,B ตามลักษณะงาน สลับกันเข้า Office คนละ 2 อาทิตย์ พร้อมจัดที่นั่งห่างๆ อย่างห่วงๆ และเน้นใช้ online first ในการทำงานทุกอย่าง

เมื่อวันศุกร์ ผมเลยขอมาช่วยทีม HR ที่เป็นแม่งานหลักในการดูแลพนักงานเป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา จัดชุด welcome back ส่งกำลังใจพร้อมวิตามินซี ต้อนรับน้องๆ กลับมาทำงาน เพื่อให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง พร้อมเดินต่อไปด้วยกัน

]]>
1279071
เล็กใหญ่ไม่สำคัญ! รวมรายชื่อบริษัท “บริจาค” เงิน-สิ่งของ-ความช่วยเหลือ สู้ไวรัส COVID-19 https://positioningmag.com/1272152 Wed, 08 Apr 2020 08:37:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1272152 นาทีนี้ คนที่ยังพอมีกำลังช่วยเหลือได้ต่างร่วมบริจาคเงินและสิ่งของให้กับหน่วยงานทางการแพทย์ เพื่อช่วยกันรับมือโรคระบาดไวรัส COVID-19 รวมถึงภาคเอกชนหลายบริษัทที่ร่วมกันบริจาคตามกำลัง ไม่ว่าการบริจาคจะมากน้อยหรือบริษัทจะเล็กใหญ่ Positioning ขอรวบรวมไว้ในบทความนี้เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชนรับทราบ บอกก่อนเลยว่าลิสต์คนใจดีของเรายาวมาก!

 

กลุ่มสินค้าอุปโภค

  • บริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จำกัด ผู้ผลิตถุงขยะตรา Hero บริจาคถุงขยะ 5 แสนใบให้กับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และเปิดให้โรงพยาบาลติดต่อขอรับถุงขยะรวม 1 ล้านใบ ช่วยจัดการขยะติดเชื้อ
  • กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย บริจาคสบู่ 1.2 แสนก้อน และเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 30,000 หลอด ให้กับยูนิเซฟเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบาง และบริจาคเจลล้างมือแอลกอฮอล์ สบู่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และอาหารแห้ง รวมมูลค่า 40 ล้านบาท ให้กับกระทรวงสาธารณสุขนำส่งโรงพยาบาลในสังกัด นอกจากนี้ แบรนด์ วาสลีน ในเครือเดียวกัน ยังมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 1 แสนชิ้น มูลค่ารวม 5.9 ล้านบาท ให้กับสถานพยาบาล เช่น สถาบันบำราศนราดูรและโรงพยาบาลราชวิถี
  • บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ นีเวีย และ ยูเซอริน บริจาคแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ 20,000 ลิตร ให้โรงพยาบาล 1,000 แห่งทั่วไทย รวมถึงสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาส ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก DHL เพื่อจัดส่งให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
  • บมจ.ซีพีแอล กรุ๊ป ผู้ผลิตหนังวัวฟอกสำเร็จ บริจาคอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย ประกอบด้วย ชุดป้องกันสารเคมีจำนวน 1,800 ชุด Face Shield 200 ชุด หน้ากากอนามัย 1,000 ชิ้น หน้ากาก N-95 จำนวน 200 ชิ้น และ Rain Sock สวมคลุมรองเท้า 500 คู่ รวมมูลค่า 8 แสนบาท ให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี
  • บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย จัดโครงการเย็บหน้ากากผ้าให้โรงพยาบาล โดยบริษัทจัดเตรียมอุปกรณ์จักรเย็บผ้า ผ้า ยางยืด และมีครูสอนการเย็บให้ประชาชนร่วมกันเย็บหน้ากาก โดยจัดส่งให้โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลตำรวจแล้ว 5,000 ชิ้น (โครงการต่อเนื่อง และเปิดรับคำขอรับบริจาคจากทุกโรงพยาบาล)
  • บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด มอบเงินบริจาครวม 3.6 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาล 7 แห่ง
  • Protex มอบสบู่ 1 ล้านก้อน มูลค่ารวม 3.46 ล้านบาท ให้กับหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร

กลุ่มเกษตร-อาหาร-เครื่องดื่ม

  • กลุ่มมิตรผล มอบแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อและเจลล้างมือแอลกอฮอล์ซึ่งผลิตจากเอทานอลที่ได้จากอ้อย
    มูลค่ารวม 7.2 ล้านบาท ให้กับสถานพยาบาล สถานศึกษา และหน่วยงานราชการใน 20 จังหวัด
  • บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด บริจาคเงิน 1 ล้านบาทให้กับมูลนิธิรามาธิบดี
  • ซีพีเอฟ ส่งอาหารให้กับบุคลากรการแพทย์ในโรงพยาบาล 88 แห่ง และผู้อยู่ระหว่างกักตัว 20,000 คน
  • หมูทอดเจ๊จง ผลิตข้าวกล่องส่งสถาบันบำราศนราดูรและโรงพยาบาลศิริราช วันละ 1,300 กล่อง โดยได้รับสนับสนุนเนื้อหมูจาก เบทาโกร และข้าวสารจาก ข้าวตราฉัตร
  • กลุ่มธุรกิจ TCP ส่งมอบหน้ากากผ้า 1.2 แสนชิ้น ให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และโรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศ รวมถึงแจกแก่ประชาชนทั่วไป
  • บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด บริจาคเงินรวม 50 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลรัฐ 25 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้จะสนับสนุนอาหารและน้ำดื่มสิงห์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เพิ่มเติม
  • บริษัท แลคตาซอย จำกัด มอบผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองแลคตาซอย โกลด์ซีรีย์ ให้กับโรงพยาบาลและสถาบันทางการแพทย์ 8 แห่ง รวม 55,056 กล่อง มอบนมถั่วเหลืองซังซัง 2 ล้านกล่อง รวมมูลค่า 10 ล้านบาท กระจายให้โรงพยาบาล 441 แห่งทั่วประเทศ
  • บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หนึ่งในเครือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ หอการค้าไทย และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บริจาคเงินและอาหาร-เครื่องดื่มของโออิชิ กรุ๊ป ให้กับโรงพยาบาล 7 แห่ง รวมมูลค่า 24 ล้านบาท
  • อันอันเหลา มอบอาหารปรุงสุกพร้อมเครื่องดื่มให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เช่น โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันบำราศนราดูร สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ (มหิดล บางพลี) จำนวนกว่า 3,000 ชุด
  • เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป บริจาคอาหารจากร้านเอ็มเคสุกี้และร้านยาโยอิ จำนวน 5,500 กล่องต่อวัน ให้กับโรงพยาบาล 25 แห่งใน 16 จังหวัด ต่อเนื่องถึง 30 เม.ย. 63 และมอบเงิน 10,000,000 บาทสนับสนุนการพัฒนาชุดคัดกรอง COVID-19 คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • บริษัท โฮปฟูล จำกัด มอบเครื่องช่วยหายใจมูลค่ากว่า 7 แสนบาท แก่โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่
  • เบทาโกร มอบเงินบริจาคจำนวน 5,000,000 บาท เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมมอบเจลแอลกอฮอล์ 5,000 ขวด ให้กับโรงพยาบาล 5 แห่ง, มอบวัตถุดิบอาหารสดแช่แข็ง กว่า 30,000 กิโลกรัม
  • โคคา-โคล่า ประกาศหยุดโฆษณาเป็นการชั่วคราว และจับมือมูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมสนับสนุน “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่างๆ)” มอบเงินสมทบกองทุนเบื้องต้น 25 ล้านบาท
  • บริษัท กรีนสปอต จำกัด ส่งนมถั่วเหลืองไวตามิ้ลค์ และวีซอย 500,000 กล่อง ให้โรงพยาบาล 46 แห่งทั่วประเทศ
  • ไทย โคโคนัท มอบเครื่องช่วยหายใจชนิดอัตราการไหลสูง และเครื่องวัดความดัน มูลค่า 600,000 บาท พร้อมน้ำมะพร้าวแท้ 100% พร้อมดื่ม “โคโค่บุรี”  1 แสนขวด ให้กับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์
  • กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด ภายใต้แบรนด์ นอติลุส, มงกุฎทะเล และ ซีคราวน์ ส่งมอบมื้ออาหารปรุงสดใหม่ให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของศูนย์ COVID19 โรงพยาบาลราชวิถี ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน
  • เจียไต๋ ส่งมอบผัก ผลไม้สด 6,000 กิโลกรัม ให้บุคลากรทางการแพทย์ พร้อมแจกเมล็ดพันธุ์ผักคุณภาพ 2,500 ซองผ่านทางเฟซบุ๊ก Chia Tai Home Garden ให้กับประชาชนที่สนใจระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 10 เมษายน 2563 ให้คนไทยปลูกผักอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
  • บริษัท เนเชอรัล เบฟ จำกัด มอบ P80 Natural Essence มูลค่ารวม 20 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ
  • บ้านดุสิตธานี มอบอาหารกล่องให้บุคลากรทางการแพทย์ รพ.จุฬาลงกรณ์
  • บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) มอบข้าวกล่องร้านแซ่บ คลาสสิกมูลค่า 100,000 บาท
  • กลุ่มบริษัททีเอพี บริจาคแอลกอฮอล์ 70% จำนวน 300 ลิตร หรือกว่า 80 แกลลอน ให้กับอบต.ไทรใหญ่ และอบต.ราษฎร์นิยม

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์-ก่อสร้าง

  • บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM มอบเงินบริจาค 2 แสนบาทให้กับโรงพยาบาลราชวิถี
    และผู้บริหาร-พนักงานองค์กรสมทบเงินบริจาคเพิ่มอีก 144,825 บาท
  • บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บริจาคเงินและหน้ากากอนามัย รวมมูลค่า 1 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลรัฐ 9 แห่ง
  • เครือ LPN : บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) เปิดพื้นที่คอนโดมิเนียม 16 แห่งในความดูแลเป็นจุดรับบริจาคโลหิตของสภากาชาดไทย ขณะที่ บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (LPC)  ผลิต Face Shield จำนวน 5,000 ชิ้น มอบให้กับโรงพยาบาลต่างจังหวัดตามภูมิลำเนาของพนักงานบริษัท LPC
  • บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล สนับสนุนการผลิตอุปกรณ์ครอบเพื่อป้องกันแพร่เชื้ออันเกิดจากการไอ จาม ของผู้ป่วย ส่งมอบให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
  • มูลนิธิร่วมทางฝัน ในเครือ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ บริจาคเงิน 5 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี
  • เครือ ช.การช่าง บริจาคเงินรวม 6 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และร่วมกับอีก 3 กลุ่มเอกชน คือ สโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด, มูลนิธิวิชัยศรีวัฒนประภา และ บริษัทพลังงานบริสุทธิ์จำกัด (มหาชน) หรือ EA ทำประกันภัยโควิด-19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 50,000 กรมธรรม์
  • บมจ.สิงห์ เอสเตท จัดทำ Face Shield 2,400 ชิ้น บริจาคให้กับโรงพยาบาลหัวหิน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
  • บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ให้อาคารโรงพยาบาลเมืองเพชร ซึ่งเป็นทรัพย์ NPA ใช้เป็นโรงพยาบาลสนามใน จ.เพชรบูรณ์ พร้อมมอบเงินบริจาค 5 แสนบาทให้กับ จ.เพชรบูรณ์
  • บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ผู้ผลิตเหล็กเอชบีม ไวด์แฟลงก์ มอบเงินสนับสนุนจำนวน 350,000 บาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์

กลุ่มโลจิสติกส์-ขนส่ง

  • ไปรษณีย์ไทย เปิดให้ประชาชนส่งสิ่งของเพื่อบริจาคให้กับโรงพยาบาลได้ฟรี (ไม่รวมค่ากล่อง) จนถึงวันที่ 30 เม.ย. 63
  • ลาลามูฟ เปิดให้หน่วยงานทางการแพทย์ทั้งรัฐและเอกชน ขอรับบริการขนส่งอุปกรณ์การแพทย์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
  • BEST Express มอบกล่องฟรี 10,000 กล่องให้ลูกค้าที่ต้องการบริจาคส่งสิ่งของให้โรงพยาบาล (เฉพาะลูกค้าพื้นที่ภาคใต้ยกเว้นภูเก็ต และลูกค้า จ.ลำปาง เพิ่มเติมค่าจัดส่งฟรีให้ด้วย) พร้อมกันนี้ ได้สนับสนุน “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ในการจัดส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังโรงพยาบาล 30 แห่ง โดยมอบกล่อง 50 ชิ้นและรับขนส่งให้
  • ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มอบเงิน 4 ล้านบาท และมูลนิธินายแพทย์สมยศ อนันตประยูร 1 ล้านบาท แก่ศิริราชมูลนิธิ กองทุนศิริราชกู้ภัยโควิด รวมเป็นเงิน จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์

กลุ่มธุรกิจการเงิน-ประกัน

  • ธนาคารยูโอบี (ไทย) มอบชุดป้องกันเชื้อโรค (PPE) 1,000 ชุดให้กับโรงพยาบาลราชวิถี
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ บริจาคเงินรวม 5 ล้านบาทให้โรงพยาบาล 5 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช
    โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันบำราศนราดูร และ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  • ธนาคารกรุงเทพ บริจาคเงินรวม 40 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาล 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มอบเงินบริจาค 1 แสนบาท ให้กับสภากาชาดไทย
  • ธนาคารกรุงไทย มอบเงินบริจาค 1.9 ล้านบาท ให้กับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • FWD ประกันชีวิต บริจาคเงิน 5 แสนบาทให้กับโรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี จ.ปทุมธานี
  • KTC มอบเงิน 2 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดีฯ สนับสนุนการจัดซื้อเครื่องไตเทียมแบบพิเศษ CRRT เพื่อผู้ป่วยโควิด-19 โดยเฉพาะ พร้อมเปิดรับคะแนนสะสมเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิบริจาคสมทบจากสมาชิกเคทีซี
  • TIC ไทยประกันภัยมอบทุนประกัน 8 ล้านบาท แก่ทีมแพทย์
  • บ้านปูฯ สนับสนุนเงิน 10.5 ล้านบาทให้แก่รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
  • อาคเนย์ มอบหน้ากากผ้า 2,000 ชิ้น แก่เจ้าหน้าที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรม

  • Airbnb ร่วมกับโฮสต์เจ้าของที่พัก เปิดห้องพักรอบโลกให้บุคลากรทางการแพทย์พักฟรี 1 แสนคน(รวมประเทศไทย)
  • โอโย ประเทศไทย เปิดที่พักให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าพักฟรี ในกทม. และชลบุรี

กลุ่มธุรกิจพลังงาน

  • บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ บริจาคเงินรวม 9 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาล 3 แห่ง ได้แก่ รพ.ราชวิถี สถาบันบำราศนราดูร และสถาบันโรคทรวงอก
  • กลุ่ม ปตท. : PTT บริจาคเงิน 1 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, จัดหาแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ประมาณ 150,000 ลิตร ให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์, ผู้บริหารและพนักงานของกลุ่ม ปตท.ร่วมกันบริจาคโลหิต จำนวน 115,300 ซีซี ตลอดเดือนมีนาคม, ส่งมอบหน้ากากอนามัยจากผ้า จำนวน 10,000 ชิ้นดูแลผู้สูงอายุ , PTTGC สนับสนุนเสื้อกาวน์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Disposable Gown) ให้บุคลากรทางการแพทย์จำนวน 91,000 ชุด แก่ 61 โรงพยาบาลใน 24 จังหวัดทั่วประเทศ, ปตท.สผ. มอบเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแรงดันลบ 100 เตียง และกล่องทำหัตถการแรงดันลบ 90 กล่อง ให้กับคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล, OR แจกเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ แก่ผู้ที่ใช้บริการ PTT Station จำนวน ล้านชิ้น ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ, แจกน้ำดื่มขนาด 35 มิลลิลิตร จำนวน ล้านขวด มอบให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับส่งอาหาร รวมถึงรถมอเตอร์ไซด์ทุกคันที่เข้ามาใช้บริการ, มอบกาแฟดริป Cafe Amazon จำนวนรวม 30,000 ซอง ให้แก่ สถาบันทางการแพทย์
  • บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนแอลกอฮอล์จำนวน 3,000 ลิตร แก่กระทรวงพลังงาน เพื่อนำไปใช้สนับสนุนงานด้านสาธารณสุขใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมระดมจิตอาสาทำ Face shield จำนวน 5,000 ชิ้น มอบสาธารณสุขจังหวัดเพื่อนำไปให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน และส่งมอบเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจน จำนวน 10 เครื่อง แก่ 5 โรงพยาบาลใน จ.ชลบุรี
  • บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) มอบผ้าแก่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เพื่อใช้สำหรับตัดชุด PPE จำนวน 10,000 ชุด และมอบแอลกอฮอล์ล้างมือ จำนวน 120 ลิตร แก่โรงพยาบาลระยองและสำนักงานที่ดิน
  • บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนการพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 ให้แก่ VISTEC ร่วมบริจาค Face Shield จำนวน 1,000 ชิ้น พร้อมชุด PPE จำนวน 500 ชุด และหน้ากาก N95 จำนวน 1,000 ชิ้น และหน้ากากผ้า 2,000 ชิ้น ให้หน่วยงานต่างๆ ใน จ.ระยอง พร้อมบริจาคผ้าเพื่อตัดเย็บชุด PPE จำนวน 900 ชุด ให้แก่โรงพยาบาลปัตตานี
  • บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) มอบเงินบริจาคจำนวน 6,500,000 บาท สนับสนุนการทำประกันชีวิตให้กับบุคลากรทุกท่านของโรงพยาบาลรามาธิบดี

กลุ่มธุรกิจรีเทล ขายตรง อีคอมเมิร์ซ

  • บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด บริจาคเงิน 1.32 ล้านบาทให้กับมูลนิธิรามาธิบดี
  • มูลนิธิวิชัยศรีวัฒนประภา (คิง เพาเวอร์) บริจาคเงิน 20 ล้านบาทให้กับสถาบันบำราศนราดูร และอีก 20 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี
  • มูลนิธิแจ็ค หม่า และมูลนิธิอาลีบาบา บริจาคหน้ากากอนามัยจำนวน 2 ล้านชิ้น ชุดตรวจโรค 150,000 ชุด ชุดป้องกันเชื้อโรค 20,000 ตัว และอุปกรณ์ป้องกันใบหน้า 20,000 ชิ้นไปยังอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย
  • มูลนิธิตลาดยิ่งเจริญ มอบเงิน 2 ล้านบาทจากค่าสมัครโครงการ “วิ่งติดปีก แชริตี้รัน” ให้กับกรมแพทย์ทหารอากาศ เพื่อโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช และโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน)
  • Sea (ประเทศไทย) เจ้าของบริการ Shopee, เกมออนไลน์ การีนา, บริการชำระเงิน Airpay บริจาคหน้ากาก N95 จำนวน 1,870 ชิ้น ไปยัง 2 โรงพยาบาลหลัก ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ โรงพยาบาลรามาธิบดี
  • กลุ่มเซ็นทรัล บริจาคเงิน อุปกรณ์การแพทย์จำเป็น และอาหาร มูลค่ารวม 30 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาล 20 แห่งทั่วประเทศ
  • บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด บริจาคเงิน 1 ล้านบาท ให้กับสถาบันบำราศนราดูร
  • Pomelo มอบกำไรจากการจำหน่ายหน้ากากผ้าให้กับหน่วยงานสาธารณสุข เช่น สภากาชาดไทย สภากาชาดสิงคโปร์ และบริจาคหน้ากากอนามัย 40,000 ชิ้นให้กับสภากาชาดไทย
  • เดอะมอลล์ กรุ๊ป ตั้งโครงการ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป – รพ. ราชวิถี รวมใจเพื่อคนไทย ปลอดโควิด-19” ร่วมกับพันธมิตรหลายฝ่าย บริจาคเงินตั้งต้น 1.68 ล้านบาท เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์จำเป็น
  • กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มอบแอลกอฮอล์ ภายใต้แบรนด์ BJC Hygienist จำนวน 1,000 ลิตร
  • อาร์เอส กรุ๊ป มอบเงิน 2 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องช่วยหายใจแก่โรงพยาบาลตำรวจ
  • กลุ่มบริษัทเอสบี เฟอร์นิเจอร์ มอบ หน้ากากอนามัย จำนวน 3,000 ชิ้น ให้แก่สำนักงานเหล่ากาชาด จังหวัดนนทบุรี
  • บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) มอบเงินจำนวน 200,000 บาท และน้ำดื่มสนับสนุนโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
  • เทสโก้ โลตัส มอบชุดของขวัญทั้งหมด 7,000 ชุดให้กับ 30 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

กลุ่มธุรกิจไอที

  • ทรู มอบแท็บเล็ต True Smart และเครื่อง True Smart 4G Adventure จำนวนรวม 600 เครื่อง ซิมทรูมูฟ เอช ไม่จำกัดปริมาณการใช้งานแก่โรงพยาบาล 50 แห่งทั่วประเทศ, พัฒนาแพลตฟอร์มระบบคัดกรองเบื้องต้น ประเมินความเสี่ยงติดเชื้อแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ติดตั้งระบบ VDO Conference เพื่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญใช้สื่อสารและให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยที่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน รวมทั้งใช้ในการเรียนการสอนทางไกลแก่นิสิตแพทย์จุฬาฯ, ติดตั้งโครงข่าย True 5G เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศ และนำ True 5G ควบคุมการเชื่อมต่อหุ่นยนต์ขนส่งอัจฉริยะ (Quarantine Delivery Robot) ผ่านระบบสื่อสารทางไกล เพื่ออำนวยความสะดวกและลดความเสี่ยงให้หมอและพยาบาล ซึ่งได้มีการใช้งานจริงแล้วในโรงพยาบาลหลายแห่ง, มอบซิม “ฮีโร่ไทย Fight โควิด” จากทรูมูฟ เอช แก่บุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 2,000 ซิม, มอบ “ซิมกักตัว ไม่กลัวเหงา” จำนวน 20,000 ซิมฟรี ดูแลคนไทยผู้เสี่ยง
  • เอไอเอส วางเครือข่าย 5G ในโรงพยาบาล 20 แห่ง และจะทยอยติดตั้งเพิ่มให้ครบ 158 แห่งภายในเดือนเมษายนนี้, ตั้งศูนย์ AIS Robotic Lab วิจัยพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์, ส่งมอบหุ่นยนต์การแพทย์ Robot For Care 21 ตัวให้กับโรงพยาบาล 20 แห่ง รวมมูลค่า 100 ล้านบาท

อื่นๆ

  • อเมริกันสแตนดาร์ด มอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือจำนวนมากกว่า 30,000 ขวด ให้หน่วยงานการแพทย์ หน่วยงานทหาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
  • SUITCUBE จัดทำ Face Shield 5,000 ชิ้น บริจาคให้กับบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาล
  • บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย บริจาคหน้ากากอนามัยจำนวน 5,000 ชิ้นให้แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานทางการแพทย์ 5 แห่งในประเทศไทย
  • ฮอนด้า ประเทศไทย กองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทย ภายใต้มูลนิธิฮอนด้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับกลุ่มบริษัทฮอนด้าในประเทศไทย ตั้งทีมเฉพาะกิจเปิดสายการผลิตในโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ผลิตเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อแบบแรงดันลบ (Negative Pressure Mobile Bed) จำนวน 100 เตียง และสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท
  • กสทช. อนุมัติเงินสนับสนุนสถานพยาบาลและ รพ.ของรัฐ 1,294.98 ล้านบาท
  • บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มอบแอลกอฮอล์ 90% จำนวน 5,000 ลิตร ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานสลาก มอบเงินสนันสนุนให้โรงพยาบาล 5 แห่ง 5,000,000 บาท กับมูลนิธิรามาธิบดี, ศิริราชมูลนิธิ, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถีและสถาบันบำราศนราดูร
  • สยามคูโบต้า มอบเงิน 1,000,000 บาท สนับสนุนกรมควบคุมโรค และรพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
  • บริษัท ไทยโตชิบาอุสาหกรรม จำกัด และบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด มอบเงิน พร้อมตู้เย็นแบบเคลื่อนที่ สำหรับใช้ในการแพทย์จำนวน 2 เครื่อง และหน้ากากอนามัย N95 จำนวน 100 ชิ้น มูลค่ารวม 2,121,000 บาท
]]>
1272152
เจาะอินไซต์การใช้ “คลาวด์” ในองค์กรทั่วโลกเเละไทย ปี 2019 “ไฮบริดคลาวด์” กำลังมา https://positioningmag.com/1263015 Tue, 04 Feb 2020 14:41:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1263015 ธุรกิจคลาวด์กำลังบูมในยุคเเห่งข้อมูล ส่วนผู้บริโภครุ่นใหม่ก็ต้องการความรวดเร็วทันใจ ทุกระบบต้องเชื่อมต่อกัน เหล่าธุรกิจจึงต้องปรับตัวให้ทัน องค์กรต่างๆ กำลังมองหาวิธีจัดการกับข้อมูลที่กระจายในหลายที่เเละมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

นูทานิคซ์ (Nutanix) บริษัทผู้ให้บริการด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง เผยผลสำรวจ การใช้งานคลาวด์องค์กร (Enterprise Cloud Index : ECI) ทั่วโลกเเละในประเทศไทย ครั้งที่ 2 พร้อมผลการวิจัยในการเลือกใช้ไพรเวทคลาวด์ ไฮบริดคลาวด์และพับลิคคลาวด์สำหรับองค์กร

ผลสำรวจนี้จัดทำโดย “แวนสัน บอร์น” ผู้ทำวิจัยในนามของนูทานิคซ์ ทำการวิจัยเพื่อจะได้ทราบถึงสถานะของการใช้คลาวด์ในองค์กรทั่วโลกและแผนการใช้งาน ซึ่งได้ทำการสอบถามผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีจำนวน 2,650 คนจาก 24 ประเทศทั่วโลก จากอุตสาหกรรมหลายประเภท หลายขนาดธุรกิจในภูมิภาคอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก

จากรายงาน พบว่าองค์กรมีการวางแผนที่จะโยกการลงทุนไปสู่สถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์อย่างจริงจัง รวมถึงแผนการปรับใช้ไฮบริดคลาวด์ อย่างมีนัยสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า จากการสำรวจปี 2019 แสดงให้เห็นว่า 85%
ของผู้ตอบเลือกไฮบริดคลาวด์เพื่อใช้ในการทำงานด้านไอทีที่สมบูรณ์แบบ

สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ตอบสำรวจกว่า 73% ระบุว่าได้ย้ายแอปพลิเคชันของตัวเองกลับจากพับลิกคลาวด์มายัง on-premise ด้วยเหตุผลสำคัญเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” ที่ควบคุมไม่ได้หรือมากเกินกว่าที่ประเมินไว้ และ 60% ระบุว่าความปลอดภัยคือปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการใช้งานคลาวด์

สรุปข้อมูลหลักจากการสำรวจ “การใช้งานคลาวด์องค์กรทั่วโลก ประจำปี 2562” โดยนูทานิกซ์ ดังนี้

  • แอปพลิเคชันต่าง ๆ กำลังถูกโยกย้ายจากพับลิคคลาวด์ กลับไปไว้ที่ดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร

เกือบสามในสี่ (73%) ของผู้ตอบแบบสอบถามรายงานว่า พวกเขากำลังย้ายแอปพลิเคชันบางตัวออกจากพับลิค คลาวด์ไปไว้ยังดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร โดย 22% ของผู้ใช้เหล่านั้นกำลังย้ายแอปพลิเคชันมากกว่าห้าตัวขึ้นไป
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ตอกย้ำว่าองค์กรจำเป็นต้องใช้คุณสมบัติที่ยืดหยุ่นของไฮบริดคลาวด์เพื่อทำให้องค์กรสามารถปรับใช้งานโครงสร้างพื้นฐานไอทีได้ตามเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

  • ความปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อกลยุทธ์การใช้คลาวด์ในอนาคตขององค์กร 

กว่าครึ่ง (60%) ของผู้ตอบแบบสอบถามปี 2019 กล่าวว่า สถานะด้านความปลอดภัยของคลาวด์จะมีผลกระทบอย่างมากที่สุดต่อแผนการเลือกใช้คลาวด์ในอนาคต ในทำนองเดียวกันความปลอดภัยของข้อมูลและการปฏิบัติตามข้อบังคับถือเป็นตัวแปรอันดับต้น ๆ (26%) ในการตัดสินใจเลือกใช้งานขององค์กร

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า ในบรรดารูปแบบการปฏิบัติการด้านไอทีทั้งหมด ไฮบริดคลาวด์เป็นระบบที่ปลอดภัยที่สุด

ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าหนึ่งในสี่ (28%) ระบุว่าไฮบริดเป็นรูปแบบที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งนับเป็นจำนวนที่มากกว่าผู้เลือกไพรเวทคลาวด์/ระบบปิดแบบเดิมเพียงอย่างเดียว (21%) และเป็นจำนวนมากกว่าถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่เลือกแบบดั้งเดิมที่เป็นการเก็บในดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร เพียงอย่างเดียว (13%) เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะองค์กรต่าง ๆ สามารถเลือกระบบคลาวด์ที่เหมาะสมกับความต้องการด้านความปลอดภัยของตน

  • ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบหนึ่งในสี่ (23.5%) ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในปัจจุบัน

บริษัทจำนวนมากยังตามไม่ทันกับการใช้คลาวด์ในองค์กร อย่างไรก็ตาม แผนงานต่าง ๆ ของผู้ตอบแบบสอบถามชี้ให้เห็นว่า ในระยะเวลาหนึ่งปี จำนวนองค์กรที่ไม่มีการใช้คลาวด์จะลดลงไปอยู่ที่ 6.5% และในระยะเวลาสองปี จะลดลงกว่าครึ่งไปอยู่ที่ 3%

ทั้งนี้รายงานพบว่าจำนวนองค์กรที่ไม่มีการใช้คลาวด์ในทวีปอเมริกาลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 21% เมื่อเทียบกับแถบยุโรป-ตะวันออกกลาง-แอฟริกา (EMEA) ซึ่งลดลง 25% และเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) ลดลง 24%

  • องค์กรต่าง ๆ กำลังพยายามให้คลาวด์คอมพิวติ้งเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ระบบดิจิทัล

ผู้ตอบแบบสอบถามปีนี้เกือบสามในสี่ (72%) กล่าวว่าการปรับเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลผลักดันให้เกิดการใช้งานระบบคลาวด์ในองค์กร ส่วนอีก 64% เห็นว่าการปรับเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในองค์กรของพวกเขา

ภาพรวมตลาดคลาวด์ทั่วโลก จากรายงานของ Gartner บริษัทวิจัยและที่ปรึกษา ระบุว่า สหรัฐอเมริกายังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนระบบจัดเก็บข้อมูลมาไว้บนคลาวด์มาตั้งแต่ปี 2015 วัดจากสัดส่วนงบสำหรับบริการคลาวด์จะสูงถึง 14% ของงบไอทีทั้งหมดในบริษัท

ขณะที่ประเทศอย่าง แคนาดา สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ บราซิล และออสเตรเลีย จะใช้งบคลาวด์สัดส่วน 10-11.5%

ประเด็นที่น่าสนใจคือ “ญี่ปุ่น” ที่เป็นประเทศพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย ลำดับต้นๆ ของโลก กลับ “ไม่นิยมใช้ระบบคลาวด์” โดยมีการใช้งบคลาวด์สัดส่วนเพียง 4.4% ของงบไอที และการเติบโตของงบที่ใช้กับคลาวด์ในญี่ปุ่นยังเติบโตน้อยกว่า 20% ในรอบ 5 ปี (2017-2022) สวนทางกับประเทศจีนซึ่งปัจจุบันใช้งบคลาวด์สัดส่วน 8% ของงบไอทีรวม แต่มีการเติบโตเร็วที่ 35% ในรอบ 5 ปี

ด้านองค์กรธุรกิจไทยยังไว้ใจการใช้งานศูนย์ข้อมูลดั้งเดิมอยู่ เเละมีลักษณะการใช้คลาวด์เเบบ “ใช้พับลิคคลาวด์” ก่อน จากนั้นจึงย้ายไปเป็นระบบไฮบริดคลาวด์ในภายหลัง

สรุปข้อมูลหลักจากการสำรวจ “การใช้งานคลาวด์องค์กรในไทย ประจำปี 2019” ดังนี้ 

  • องค์กรเเละภาคธุรกิจต่างๆ ในไทย ยังใช้งานเเอปพลิเคชั่นส่วนใหญ่บนพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์เเบบเดิม

ผู้ตอบเเบบสอบถามกว่า 59 % ระบุว่าในปัจจุบันศูนย์ข้อมูลของตนไม่ได้ใช้ระบบคลาวด์ ตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 52.79%

  • ประเทศไทยยังคงใช้งานระบบไพรเวทคลาวด์น้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ

ปัจจุบันมีเพียง 29% ของธุรกิจในไทยที่ใช้ระบบไพรเวทคลาวด์ เมื่อเทียบกับทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 52% เเละในภูมิภาคเอเชียเเปซิฟิกซึ่งอยู่ที่ 53.57% ทั้งนี้ใน 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจในประเทศไทย ยังวางเเผนจะลดการใช้ไพรเวทคลาวด์ให้เหลือเพียง 12%

  • บริษัทในไทยไม่มากนักที่เชื่อว่า ไฮบริดคลาวด์เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้เเอปพลิเคชั่นที่สุด

โดย 76% ผู้ตอบเเบบสำรวจ เห็นด้วยเเละเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ไฮบริดคลาวด์เป็นรูปเเบบไอทีที่เหมาะสมกับองค์กรของตน ซึ่งตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 85.1% เเละในเอเชียเเปซิฟิก 84.34 % องค์กรส่วนใหญ่ในทุกภูมิภาคยังกล่าวว่า พวกเขาไม่พบโซลูชั่นที่เหมาะสมในการสร้างเเละจัดการสภาพเเวดล้อมระบบ ไฮบริดคลาวด์ จากผู้จัดจำหน่ายไอทีของตนในปัจจุบัน

  • ความกังวล 3 อันดับเเรกขององค์กรไทย คือ ความปลอดภัย การขาดเเคลนบุคลากรไอที เเละเเนวปฏิบัติด้านกฏระเบียบ

เป็นไปเเนวทางเดียวกันกับเเนวโน้มทั่วโลก โดยปัจจัยเเรกที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้ระบบคลาวด์ในองค์กรคือ การรักษาความปลอดภัย ส่วน 61% ของบริษัทส่วนใหญ่ เห็นด้วยว่าบริษัทของตนยังขาดผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ เเละ 60% เชื่อว่ากฎรเบียบของท้องถิ่น เช่น ข้อกำหนดในการเก็บข้อมูล จะส่งผลกระทบสำคัญต่อเเผนการใช้ระบบคลาวด์

ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการนูทานิคซ์ (Nutanix) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ในประเทศไทยธุรกิจยังคงใช้แอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่บนโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมกว่า 59% ที่ยังไม่ใช้ระบบคลาวด์ นั่นคือ “โอกาส” การพัฒนาของระบบคลาวด์ในไทย

เขาอธิบายต่อว่า ความยืดหยุ่นเป็นหัวใจสำคัญในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมีเเนวโน้มที่องค์กรจะไปเน้นที่มัลติคลาวด์และไฮบริดคลาวด์แทน ซึ่งมีส่วนช่วยรองรับความต้องการที่มีความเฉพาะเจาะจงของตลาด เช่น ช่วงเทศกาลช็อปปิงออนไลน์ 11.11 ที่มีความต้องการการประมูลผลระดับสูง นอกจากนี้ยังมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง

“ตอนนี้ลูกค้าของนูทานิคซ์ในไทย ตอนนี้มีราว 300 ราย เป็นกลุ่มลูกค้าที่เเตกต่างจากเมื่อ 6 ปีก่อนมาก ซึ่งเดิมจะจำกัดอยู่ในเเวดวงบริษัทที่ต้องใช้เทคโนโลยีเท่านั้น เเละตอนนั้นมีหลายบริษัทยังไม่เข้าใจการใช้คลาวด์ เเต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ กลุ่มธุรกิจหันมาใช้บริการ เพราะต้องการอำนวยความสะดวก ความเร็วเเละปลอดภัยให้ลูกค้า อย่างธุรกิจการเงิน ธุรกิจค้าปลีก รวมไปถึงโรงพยาบาล”

เขายกตัวอย่างถึง “โรงพยาบาลสงขลานครินทร์” ที่ใช้ระบบ Private Cloud มาช่วยให้เเพทย์เข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้จากอุปกรณ์ของตนเองจากทุกที่เเละทุกเวลา ด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อนเเพทย์จำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลทางการเเพทบ์ได้เเม่ไม่ได้หรือในโรงพยาบาล หรือเเม้กระทั่งกรณีอยู่ต่างประเทศ เป็นระบบที่เริ่มลงทุนได้ที่ละน้อยตามงบประมาณ ถ่ายโอนข้อมูลเป็นรายปีได้

สำหรับกลยุทธ์ของ นูทานิคซ์ใน ปี 2020 นี้ต้องการจะเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดกลางเเละขนาดเล็กมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้า เเบ่งเป็นธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรชราว 60% เเละธุรกิจขนาดกลาง 40% โดยมองว่า Digital Transformation เเละพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจคลาวด์เติบโตต่อไป

 

FYI

  • ไพรเวทคลาวด์ คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีระบบคลาวด์ที่บริษัทเอกชนสร้างขึ้นมาใช้ภายในบริษัททำงานในศูนย์ข้อมูลขององค์กรหรือโฮสต์ โดยผู้ให้บริการบุคคลที่ 3 เป็นการเฉพาะสำหรับองค์กรนั้นๆ
  • พับลิคคลาวด์ คือ โครงสร้างพื้นฐาน as-a-service (IaaS) และแพลตฟอร์ม as-a-service (PaaS)โดยผู้ให้บริการระบบคลาวด์สาธารณะ เช่น Microsoft Azure , Amazon Web services เเละ Google Clould
  • ฮบริดคลาวด์ คือการใช้งานระบบไพรเวทเเละพับลิคคลาวด์ร่วมกัน โดยมีการกำหนดขอบเขตการทำงาน
    ร่วมกันอย่างชัดเจน
  • มัลติคลาวด์ คือ สภาพเเวดล้อมด้านไอทีที่ใช้บริการระบบพับลิคคลาวด์หลายเเห่งเเละมีการกำหนดขอบเขตการทำงานร่วมกันอย่างชัดเจน
  • ศูนย์ข้อมูลเเบบดั้งเดิม คือ ระบบประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล เเละอุปกรณ์เครือข่ายติดตั้งอยู่ในสถานที่หรือองค์กรเพื่อจุดประสงค์การใช้งานเเอปพลิเคชั่น การรวบรวมเเละจัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์

 

 

 

]]>
1263015