เช่าบ้าน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 15 Mar 2023 01:27:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คนวางแผน “ซื้อ” บ้านลดลง ต้องการ “เช่า” มากขึ้น “เงินเฟ้อ” ต้นเหตุพับแผน-ชะลอการซื้อ https://positioningmag.com/1423105 Tue, 14 Mar 2023 09:55:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423105 “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้” สำรวจความเห็นผู้บริโภครอบครึ่งปีแรก 2566 พบว่า คนไทยที่มีแผน “ซื้อ” บ้านภายในระยะเวลา 1 ปีลดลงเหลือ 52% ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคที่ต้องการ “เช่า” บ้านมีมากขึ้นเป็น 9% โดย “เงินเฟ้อ” มีผลต่อผู้บริโภคมาก เป็นต้นเหตุการชะลอแผนหรือพับแผนซื้อที่อยู่อาศัย

ข้อมูลจาก “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้” เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสอสังหาริมทรัพย์ สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคประจำรอบครึ่งปีแรก 2566 (DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study) เกี่ยวกับความต้องการซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้

1.คนมีแผน “ซื้อ” บ้าน “ลดลง” น้อยกว่าปีก่อน — ผู้ตอบแบบสอบถามมี 52% ที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายในระยะเวลา 1 ปี ตัวเลขนี้แม้จะเกินครึ่ง แต่เทียบกับการสำรวจรอบครึ่งปีหลัง 2565 เคยมีสูงกว่านี้ที่ 57%

2.คนมีแผน “เช่า” บ้าน “เพิ่มขึ้น” จากปีก่อน — ผู้ตอบแบบสอบถามมี 9% ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อเช่า เทียบกับการสำรวจรอบก่อนมีเพียง 7%

 

“เงินเฟ้อ” ทำคนอยากมีบ้านถอยทัพ

สาเหตุหลักที่ทำให้คนที่ตั้งใจจะซื้อบ้านมีสัดส่วนลดลง เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่รุมเร้า โดยภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น เงินเก็บลดลง ทุกปัจจัยทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย

เมื่อสอบถามผลกระทบจากเงินเฟ้อที่มีต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ปรากฏว่า มีผู้บริโภคเพียง 1 ใน 5 ที่ไม่กระทบและจะเดินหน้าซื้อบ้านต่อไปตามแผน ส่วนอีก 3 ใน 5 เลือกชะลอการซื้อบ้านไปก่อนจนกว่าภาวะเงินเฟ้อจะลดลง ขณะที่อีก 1 ใน 5 ยกเลิกแผนการซื้อบ้าน เพราะเงินเฟ้อกระทบกับสภาพคล่องทางการเงินของตนเอง

สำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ มีเหตุผลหลักที่ผลักดันความต้องการ 3 ปัจจัย คือ ต้องการพื้นที่ส่วนตัว (40%), ซื้อเพื่อการลงทุน (33%) และ ต้องการพื้นที่ให้กับการขยายครอบครัว เช่น มีบุตรหลาน พ่อแม่ย้ายเข้ามาอยู่ร่วม (28%) ทั้งนี้ การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค อันดับแรกที่ใส่ใจที่สุดยังคงเป็น “ทำเล” ที่ตอบโจทย์

 

“เช่า” เพราะยังไม่พร้อมซื้อ

ในอีกมุมหนึ่ง การสำรวจรอบนี้พบว่ามีคนสนใจเช่าบ้านมากขึ้น เหตุที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มเช่าจากการสำรวจนี้มี 3 เหตุผลหลักคือ ยังไม่มีเงินเก็บพร้อมซื้อที่อยู่อาศัย (45%), ยังไม่ต้องการตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่เพียงที่เดียว ต้องการความยืดหยุ่นเผื่อย้ายทำเลในอนาคต (36%) ตามด้วยเหตุผลคือ มองว่าราคาที่อยู่อาศัยแพงเกินไป การเก็บออมเป็นเงินคุ้มค่ากว่า (31%)

การสำรวจของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ จัดสำรวจเป็นประจำทุก 6 เดือน โดยใช้วิธีทำแบบสอบถามออนไลน์ในกลุ่มตัวอย่างอายุ 22-69 ปี จำนวน 1,000 คน

 

อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1423105
รู้จัก “RentSpree” สตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่ไปบุกธุรกิจ “เช่าบ้าน” ในอเมริกา! https://positioningmag.com/1372866 Fri, 04 Feb 2022 09:46:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372866 RentSpree (เรนท์สพรี) มีผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่เป็นคนไทยและมีบุคลากรส่วนใหญ่ที่เมืองไทย แต่ไปให้บริการในสหรัฐฯ โดยเป็นแพลตฟอร์มเพื่อแก้ปัญหาการ “เช่าบ้าน” ช่วยให้ขั้นตอนการหาบ้านเช่าง่ายขึ้น ปัจจุบันระดมทุนไปถึงรอบ Series A สำเร็จ พร้อมเป้าหมายไปสู่ “ยูนิคอร์น” ภายในปี 2567

ชื่อของ RentSpree อาจไม่คุ้นหูคนไทยมากนัก เพราะบริการของแพลตฟอร์มไม่ได้เปิดตลาดในไทย แต่ไปเปิดที่สหรัฐอเมริกา แม้ว่าผู้ก่อตั้งเกือบทั้งหมดจะเป็นคนไทย และปัจจุบันมีบุคลากรส่วนใหญ่อยู่ในไทยนี่เอง

“เอกบุตร สิริศุภางค์” COO และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เรนท์สพรี จำกัด อธิบายถึงแพลตฟอร์มนี้ก่อนว่า เป็นแพลตฟอร์มเชื่อมต่อผู้ที่ต้องการเช่าบ้านกับผู้ให้เช่า/นายหน้า โดยกุญแจสำคัญของแพลตฟอร์มคือมาแก้จุดบอดของการ “เช่าบ้าน” ในสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องส่งเอกสารจำนวนมาก และมีขั้นตอนหนึ่งต่างจากในไทยนั่นคือการ “ตรวจสอบประวัติ” (screening) ผู้ขอเช่าบ้าน

“เอกบุตร สิริศุภางค์” COO และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เรนท์สพรี จำกัด

หากเป็นขั้นตอนเช่าดั้งเดิม ผู้เช่าบ้านต้องส่งเอกสารให้เจ้าของบ้านหรือนายหน้าแยกกันแต่ละหลัง ทำให้ต้องทำเอกสารซ้ำๆ และในขั้นตอนตรวจสอบประวัติ ผู้เช่าบ้านต้องออกค่าใช้จ่ายเองประมาณ 30 เหรียญสหรัฐ (เกือบ 1,000 บาท) เพื่อให้นายหน้าหรือเจ้าของบ้านนำไปเดินเรื่องตรวจสอบประวัติอาชญากรรม เครดิตสกอร์ด้านการเงิน และตรวจว่ามีประวัติถูกฟ้องขับไล่จากบ้านเช่าหรือไม่

การหาบ้านเช่าในสหรัฐฯ จึงเป็นเรื่องยุ่งยาก และมีโอกาสได้บ้านแค่ 33% แปลว่าผู้เช่าบ้านจะต้องทำเอกสารและเสียเงินซ้ำหลายครั้งกว่าจะได้เช่าบ้านสักหลัง ฝั่งนายหน้าเองก็ไม่ค่อยชื่นชอบลูกค้าหาบ้านเช่า เพราะค่าคอมมิชชั่นต่ำกว่าลูกค้าซื้อบ้าน แม้จะต้องทำเอกสารมากไม่ต่างกัน

จุดนี้เอง ทำให้ RentSpree ลุกขึ้นมาเป็นตัวกลางในการแก้ความยุ่งยากทั้งหมด โดยการเป็น ตัวกลางเก็บข้อมูลเอกสารลูกค้าที่หาเช่าบ้าน พร้อมกับตรวจสอบประวัติให้ด้วย นายหน้าไม่ต้องเป็นผู้ดูแลเอกสารและไม่ต้องวิ่งไปตรวจสอบประวัติ ส่วนลูกค้าก็ไม่ต้องส่งเอกสารซ้ำๆ และแพลตฟอร์มยังปกปิดเอกสารสำคัญบางส่วนไว้ให้ด้วย ทำให้ข้อมูลลูกค้าปลอดภัยมากกว่า

เอกบุตรกล่าวว่า หลังจากแพลตฟอร์มก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าแล้ว 750,000 ราย (แบ่งเป็นกลุ่มเจ้าของบ้าน/นายหน้า 130,000 ราย และผู้เช่าบ้าน 620,000 ราย) ให้บริการทั่วทุกรัฐในสหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐหลักที่มีลูกค้ามากที่สุดคือ แคลิฟอร์เนีย, ฟลอริดา และเท็กซัส

ปี 2564 บริษัททำรายได้ไป 300 ล้านบาท และระดมทุนรอบล่าสุดรอบ Series A ได้รับเงินลงทุนสะสมแล้ว 8.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 250 ล้านบาท) ซึ่งทำให้ทีมจะขยายออกไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

ตั้งโดยคนไทย ฝ่าฟันจนสำเร็จในสหรัฐฯ

ด้านเส้นทางการก่อตั้งบริษัท เกิดจากเอกบุตรไปเรียนต่อ MBA ในสหรัฐฯ และมีไอเดียก่อตั้งธุรกิจนี้ขึ้น จึงรวบรวมทีมผู้ร่วมก่อตั้ง (เป็นคนไทย 6 คน และต่างชาติ 1 คน) ตั้งสตาร์ทอัพขึ้นเมื่อปี 2016 เปลี่ยนห้องนั่งเล่นเป็นที่ทำงาน พร้อมระดมทุนขั้นแรกจากเพื่อนและครอบครัวได้มาทั้งหมด 150,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.95 ล้านบาท)

ในช่วง 3-4 ปีแรก เอกบุตรยอมรับว่าธุรกิจยังไม่สำเร็จ และไม่สามารถระดมทุนได้เลย เข้าร่วมแข่งขันสตาร์ทอัพก็ไม่ชนะในเวทีใดๆ ทำให้จนถึงปี 2562 บริษัทต้องกลับมาปรับโมเดลธุรกิจใหม่

เมื่อกลับมาทบทวนอีกครั้งทำให้เห็นว่า แผนการตลาดช่วงแรกที่เน้นโปรโมตแบบ B2C เน้นตรงไปที่ลูกค้าหาเช่าบ้านนั้นไม่ตรงจุด เพราะต้อง ‘burn’ เงินมหาศาลเพื่อจะดึงลูกค้าได้จำนวนมากๆ และไม่ยั่งยืน

สุดท้ายจึงปรับโมเดลใหม่ เข้าหาพาร์ทเนอร์บริษัทนายหน้าเพื่อแนะนำ RentSpree ในฐานะ “เครื่องมือ” ที่นายหน้าสามารถใช้ลดความยุ่งยากด้านเอกสารและการสอบประวัติ โดยการทำรายได้ของแพลตฟอร์มจะมาจาก “30 เหรียญสหรัฐ” ที่ลูกค้าเช่าบ้านต้องจ่ายอยู่แล้ว ไม่ตัดส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่นกับนายหน้า ทำให้นายหน้ายินดีที่จะแนะนำลูกค้าเช่าบ้านให้เข้ามาใช้งาน กลายเป็นโมเดล B2B2C ที่ประสบความสำเร็จ

ในปีต่อมาบริษัทจึงเริ่มระดมทุนรอบ Seed Stage สำเร็จ และตามมาด้วยรอบ Series A เมื่อปี 2564 ส่งให้บริษัทขยายจากรัฐแคลิฟอร์เนียไปให้บริการได้ทั่วประเทศ และมีส่วนแบ่งตลาด 6% จากจำนวนนายหน้าที่มีในสหรัฐฯ

เอกบุตรระบุว่า ปัจจุบันบริษัทแบ่งทีมเป็นทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดูแลระบบหลังบ้าน ไอที อยู่ในไทย 85 คน และมีทีมพัฒนาธุรกิจ ดูแลการตลาด อยู่ที่สหรัฐฯ 40 คน รวมทั้งหมด 125 คน พร้อมขยายทีมต่อเนื่องรองรับการเติบโตทั้งในไทยและสหรัฐฯ

 

เป้าหมายขยายให้ครบลูปการ “เช่าบ้าน”

เมื่อลงหลักปักฐานได้แล้ว เอกบุตรกล่าวว่าทีมมีเป้าหมายต่อไปจะขยายการบริการด้านการเช่าบ้านให้ครบลูป โดยเห็นจุดบอดอื่นๆ อีกในการเช่าบ้านที่บริษัทจะพัฒนาต่อบนแพลตฟอร์ม เช่น

  • การค้นหาบ้านเช่า RentSpree จะเป็นแหล่งรวมลิสติ้งบ้านเช่าจากทุกเว็บไซต์ไว้ในที่เดียว ลดความยุ่งยากที่จะต้องเปิดหาทุกเว็บไซต์
  • การชำระเงิน ปกติแล้วลูกค้าเช่าบ้านต้องโอนเงินค่าเช่าให้เจ้าของบ้านทุกเดือน ถ้าชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มนี้ สามารถตั้งหักบัตรเครดิตรายเดือนได้เลย ไม่มีลืมจ่าย ไม่ต้องทวงค่าเช่า
  • การติดต่อระหว่างผู้เช่าและเจ้าของบ้าน ต้องการแจ้งซ่อม ร้องเรียน หรือมีข้อสงสัยสอบถาม สามารถพูดคุยในแพลตฟอร์มนี้ได้โดยตรง

ในมูลค่าตลาดบ้านเช่า 63,000 ล้านเหรียญสหรัฐของอเมริกา (ประมาณ 2.08 ล้านล้านบาท) เอกบุตรกล่าวว่าผู้ให้เช่ามีทั้งรูปแบบบริษัทขนาดใหญ่ และผู้ให้เช่ารายย่อยที่อาจจะมีสินทรัพย์ในมือเพียง 2-3 รายการ กลุ่มรายย่อยนี้เองที่จะเป็นเป้าหมาย เนื่องจากเจ้าของบ้านแบบนี้ไม่ได้มีซอฟต์แวร์ของตนเอง และ RentSpree จะเข้าไปตอบโจทย์

เจนเนอเรชันใหม่ๆ เริ่มเลือกที่จะเช่าบ้านก่อนซื้อบ้าน อาจเช่าบ้านอยู่ 10-15 ปีกว่าจะตัดสินใจซื้อ เพราะคนรุ่นใหม่ย้ายงานบ่อยขึ้น ทำให้การเช่าบ้านตอบโจทย์กว่า และราคาบ้านก็แพงขึ้น ทำให้ต้องเก็บเงินดาวน์นานกว่าจะซื้อได้สักหลัง — “เอกบุตร สิริศุภางค์” COO บริษัท เรนท์สพรี จำกัด

นอกจากนี้ เมื่อแพลตฟอร์มสามารถทำกิจกรรมเกี่ยวกับการเช่าบ้านได้ครบลูปแล้ว จุดเด่นจะไม่ได้มีแค่การส่งเอกสารและตรวจสอบประวัติ ทำให้ขยายไปประเทศอื่นๆ ต่อได้ เช่น แคนาดา ยุโรป เอเชีย โดยประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในจุดหมายที่วางไว้ว่าจะเข้ามาทำตลาดราวปี 2568

 

หวังขึ้นแท่น “ยูนิคอร์น” ใน 2 ปี

เป้าหมายการเติบโตของ RentSpree ในปี 2565 ต้องการจะทำรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 600 ล้านบาท ขณะที่เป้าระยะยาว ต้องการจะระดมทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าปี 2567 ต้องการระดมทุนสะสมแตะ 85.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,800 ล้านบาท) ซึ่งจะทำให้บริษัทขึ้นแท่นเป็น “ยูนิคอร์น” ตัวใหม่ของเมืองไทย และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่สหรัฐอเมริกา

ด้านการขยายตัวของบริษัท มองว่าจะทยอยเข้าไปบริการในประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น แคนาดา สหภาพยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมาย คาดว่าจะเริ่มทำตลาดในปี 2568

“เทรนด์ตลาดเช่าบ้านในสหรัฐฯ เติบโตปีละ 3-5% และมีแนวโน้มว่าจะมากขึ้นอีก เนื่องจากเจนเนอเรชันใหม่ๆ เริ่มเลือกที่จะเช่าบ้านก่อนซื้อบ้าน อาจเช่าบ้านอยู่ 10-15 ปีกว่าจะตัดสินใจซื้อ” เอกบุตรกล่าวถึงเทรนด์ตลาดเช่าบ้าน “เพราะคนรุ่นใหม่ย้ายงานบ่อยขึ้น ทำให้การเช่าบ้านตอบโจทย์กว่า และราคาบ้านก็แพงขึ้น ทำให้ต้องเก็บเงินดาวน์นานกว่าจะซื้อได้สักหลัง เทรนด์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ที่สหรัฐฯ แต่ในไทยก็เริ่มเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน”

]]>
1372866