แม้ว่า มาเก๊า จะถูกเรียกว่า เมืองแห่งกาสิโนของโลก แต่ปัจจุบันนี้หลายประเทศก็เริ่มมีแนวคิดที่จะเปิดกาสิโนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว อย่างในอาเซียนเองก็มีที่เห็นชัด ๆ ก็มี กัมพูชา ทำให้มาเก๊าเองนอกจากจะต้องพัฒนาจุดแข็งเดิมให้ดียิ่งขึ้น ก็ต้องชูอะไรใหม่ ๆ นอกจากแค่เรื่องกาสิโนมาดึงดูดนักท่องเที่ยว
“การที่หลายประเทศหันมาทำกาสิโนไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างในญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ก็มี รวมถึงในตลาดอาเซียน ซึ่งเรามองว่าตอนนี้ยังไม่มีผลกระทบ แต่เราก็ต้องทำการประชาสัมพันธ์ร่วมกับเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพลกซ์ และต้องพัฒนาเพื่อให้แข่งขันกับตลาดอื่นได้” มาเรีย เฮเลน่า เดอ เซนน่า เฟอร์นานเดซ ผู้ว่าการท่องเที่ยวมาเก๊า กล่าว
มาเก๊ามี แผน 5 ปี เพื่อจะทำให้การท่องเที่ยวมาเก๊ามีความหลากหลาย โดยเรียกว่า Tourism 1+4 โดยในส่วนของกาสิโนยังคงเน้น แต่จะเพิ่มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กีฬา การช้อปปิ้ง และสุขภาพ รวมถึงเน้นไปที่กลุ่ม B2B หรืองาน MICE เช่น งานแฟร์, งานคอนเสิร์ต และงานประชุมสัมมนาต่าง ๆ เป็นต้น
“มาเก๊ามีหลายกิจกรรมหรือจุดขายไม่ใช่แค่ทาร์ตไข่หรือกาสิโน แต่เราอยากเปลี่ยนภาพจำใหม่ว่ามาเก๊ามีกิจกรรมให้ทำเยอะ เช่น ธีมแลป บันจี้จัมพ์ อุโมงค์ลม และวัด รวมถึงการดึงคอนเสิร์ตให้มาจัดที่มาเก๊า รับรองว่ามาแต่ละครั้งได้เที่ยวไม่ซ้ำแน่นอน”
ที่ผ่านมา มาเก๊าเองพยายามประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวมาเก๊าอย่างต่อเนื่อง เช่น งานเมกาโรดโชว์ Experience Macao ในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไทย โดยในไทยเพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 14-16 มิถุนายน ที่ผ่านมา หรือการครบรอบ 25 ปีที่มาเก๊ากลับมาเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ ก็มีของขวัญให้นักท่องเที่ยว 250,000 ชิ้น
ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวหลักของมาเก๊า 70% เป็นคนจีน 20% เป็นคนฮ่องกง และ 2% เป็นคนไต้หวัน ส่วนที่เหลืออีก 7% เป็นชาวต่างชาติ โดยอันดับ 1 คือ เกาหลีใต้ ตามด้วย ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และ ไทยครองที่ 5
ปัจจุบัน มีเที่ยวบินที่เดินทางจากไทยสู่มาเก๊าสัปดาห์ละ 45 เที่ยวบิน ก่อนสถานการณ์โควิด ปี 2562 คนไทยเดินทางเที่ยวมาเก๊า 151,521 คน และใช้เวลาในมาเก๊าเฉลี่ย 1.4 คืนต่อคนต่อครั้ง ส่วนในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวไทย 102,163 คน ใช้เวลาอยู่นานขึ้นเป็น 2.3 คืนต่อคนต่อครั้ง ยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 300 ดอลลาร์ต่อคน หรือราว 10,800 บาท และในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 มีนักท่องเที่ยวไทย 65,000 คน คิดเป็น 93% เมื่อเทียบกับระดับก่อนโควิด
“นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้าเป็นปกติอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวไทยก็เช่นกัน แต่ที่ต่างกันคือ นักท่องเที่ยวไทยเป็นสายมูชอบเข้าวัดขอพร นอกจากนี้ก็หาของกิน และช้อปปิ้ง โดยเฉพาะเข้าร้าน POP MART”
หลังจากการระบาด หลายประเทศให้ความสำคัญกับรายได้จากนักท่องเที่ยว ดังนั้น มาเก๊าไม่ได้แข่งแค่กับประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะทุกประเทศก็มีแคมเปญการท่องเที่ยว และโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ดังนั้น มาเก๊าเองก็ต้องตอบสนองความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่มาให้ได้ เพราะการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“นอกจากจะกระตุ้นนักท่องเที่ยวเเล้ว ต้องกระตุ้นคนในมาเก๊าให้มีจิตใจที่พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย เพราะประชาชนก็เป็นเหมือนทูตด้านการท่องเที่ยวเหมือนกัน เพื่อสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยว” มาเรีย ทิ้งท้าย
]]>Agoda (อโกด้า) แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยถึงผลการสำรวจในหัวข้อ เทรนด์การท่องเที่ยวเมื่อการเดินทางกลับมาอีกครั้ง ปี 2021
โดยทำการสำรวจใน 4 ประเทศคือ กลุ่มคนไทย 2,072 คน ระหว่าง 26-30 สิงหาคม 2564 คน ประเทศฟิลิปปินส์ 1,102 คน ระหว่าง 10-14 มิถุนายน 2564 คนมาเลเซีย 1,107 คน ระหว่าง 20-24 พฤษภาคม 2564 และเวียดนาม 1,103 คน ระหว่าง 15-19 กรกฎาคม 2564 ในรูปแบบออนไลน์
“คนไทยเพศชาย (50%) มีแนวโน้มที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศภายใน 6 เดือนข้างหน้า มากกว่าคนไทยเพศหญิง (45%) เล็กน้อย”
โดยผู้ตอบแบบสำรวจเพศชาย (22%) มีความคิดอยากออกเดินทางทันทีเมื่อข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยวถูกยกเลิก มากกว่าผู้ตอบแบบสำรวจเพศหญิง (19%)
ภายในกรอบระยะเวลาเดียวกัน พบว่า คนไทย Gen X (1965-1980) มีความอยากท่องเที่ยวมากที่สุด 51% ตามมาด้วย millennial หรือ Gen Y (1981-1996) มีสัดส่วน 49%, baby boomer (1946-1964) สัดส่วน 47% และ Gen Z (1997-2009) สัดส่วน 41%
คนไทยส่วนใหญ่ มองว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะเป็นไปในแง่ดี โดย 3 ใน 5 คาดหวังว่าจะสามารถท่องเที่ยวได้อีกครั้ง ซึ่ง 38% ของคนกลุ่มนี้คาดหวังว่าจะท่องเที่ยวแบบไม่มีข้อจำกัดได้
ส่วนอีก 23% คาดหวังว่าจะท่องเที่ยวได้ แต่คงยังมีข้อจำกัด หรือต้องท่องเที่ยวผ่านแทรเวลบับเบิล (travel bubble) หรือแทรเวลคอริดอร์ (travel corridor) เท่านั้น
ด้านพฤติกรรมนั้นพบว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 คนไทยไปท่องเที่ยวสถานที่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ บอกว่า การไปเที่ยวสถานที่ใหม่ ๆ รองลงมาคือ การไปเที่ยวสถานที่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักแทนสถานที่ท่องเที่ยวหลัก และการไปเที่ยวสถานที่ที่เคยไปแล้ว โดยมองในมุมใหม่
นอกจากประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ แล้ว ยังมองเรื่องการสนับสนุนโรงแรมอิสระ รวมถึงธุรกิจในท้องถิ่น และการจองแพ็กเกจท่องเที่ยวพิเศษ ที่มีอาหารและเครื่องดื่ม โปรโมชันสปา หรือการอัพเกรดห้องพักรวมอยู่ด้วย
ผลการสำรวจดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงด้านประเภทของสถานที่ท่องเที่ยวด้วย โดยอาการเบื่อบ้าน รวมถึงการต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้คนไทยหันไปสนใจการไปท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ป่าไม้/ภูเขาและชนบท มากกว่าการไปท่องเที่ยวในเมือง/ชานเมือง
]]>
สำนักข่าว Bloomberg รายงานบทวิเคราะห์ของ ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Standard Chartered ระบุว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย ที่มีสัดส่วนถึง 15% ของ GDP จะเป็นไปอย่างช้าๆ ส่งผลทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน จะยังคงอ่อนแอในช่วง 2 ปีข้างหน้า
“เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวลำบาก หากภาคการท่องเที่ยวไม่ดีขึ้น เเละอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอ่อนแอลงในช่วงปี 2022-2023”
รัฐบาลไทย วางเเผนจะยกเลิก ‘มาตรการกักตัว’ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์อยู่ร่วมกับโควิด-19 เเทน
เเต่ Standard Chartered มองว่า “แผนการเปิดประเทศอาจสะดุดหากสถานการณ์โรคระบาดในไทย มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยลดลงเหลือ 73,932 คน จากจำนวนเกือบ 40 ล้านคนในปี 2019 ที่เคยสร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“ไทยยังต้องการนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 6 ล้านคน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปใน 8 เดือนแรก จนถึงเดือน ส.ค.ของปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ”
ในปีหน้า มีการประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 4 ล้านคนเข้ามา ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เทียบเท่ากับ 1% ของ GDP โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะจับจ่ายใช้สอยราว 1,500 เหรียญสหรัฐ หรือ 50,775 บาทต่อคน ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในไทย
ทิม กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือ นักท่องเที่ยวจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทยในปี 2019 “ไม่น่าจะกลับมาเป็นจำนวนมากในเร็วๆ นี้” เนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่เข้มงวด
ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดีย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย. จากช่วงเทศกาลดิวาลี ก็ยังจะไม่เท่ากับจำนวนของนักท่องเที่ยวจากจีน
ทั้งนี้ เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทย เพียงเหลือ 150,000 คนในปีนี้ และ 6 ล้านคนในปี 2022
ที่มา : Bloomberg
]]>
จากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19 สะเทือนทุกภาคส่วน ธุรกิจการท่องเที่ยวไทยกระทบหนัก ขายรายได้ เสี่ยงปิดกิจการ จึงต้องพยายามปรับตัวจาก “ออฟไลน์” สู่ “ออนไลน์”
นำมาสู่ความร่วมมือของไทยพาณิชย์ (SCB) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ผุดแนวคิดสร้างช่องทางการขายออนไลน์เพื่อหารายได้ในยามวิกฤต
โดยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมดีลส่วนลดพิเศษจากลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อยของธนาคาร ในระยะแรกจะเปิดโอกาสให้กับ SMEs ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มีจุดเด่น ดังนี้
ดร. อารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด และ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ บอกว่า “เเพลตฟอร์ม SCBShopDeal สร้างเสร็จได้ภายใน 3 สัปดาห์เท่านั้น ด้วยความตั้งใจของทีมงานที่ต้องการช่วยเหลือสังคม ด้วยการนำความสามารถด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้เพื่อ “ช่วยชาติ” และ “ช่วยลูกค้า” โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เป็นกลุ่มแรกๆ”
สำหรับการต่อยอด SCBShopDeal เมื่อหลังพ้นวิกฤตครั้งนี้ จะยังคงเป็นเเพลตฟอร์มของคนไทยเพื่อคนไทย เป็นอีกช่องทางการขายออนไลน์ในระยะยาวให้กับผู้ประกอบการ ถือเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้เครื่องมือดิจิทัล รวมถึงจะทำให้เรารู้จักลูกค้า เข้าใจผู้บริโภค ซึ่งในอนาคตจะมีฟีเจอร์อื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าต่อไป
ด้าน อภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลกระทบจาก COVID-19 ขยายวงกว้างลุกลามไปส่วนของสังคมไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเปราะบาง ส่วนธุรกิจธนาคารก็ได้ผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน โดย 3 เเนวทางที่ SCB นำมาช่วยเหลือลูกค้าหลักๆ ได้เเก่
“เป้าหมายของธนาคารก็ขึ้นอยู่กับความอยู่รอดของลูกค้า หากสถานการณืดีขึ้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงหรือมีวัคซีนรักษาได้ในต้นปีหน้า ธุรกิจก็จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ดังนั้นต้องช่วยกันประคับประคองให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้”
รุจิรัศมิ์ ฉัตรเฉลิมกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองไทยว่า ได้รับผลกระทบหนัก โดยเมื่อช่วงเดือน ม.ค. ยังสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ตามปกติ มียอดราว 4 ล้านคน เเต่เริ่มลดลงหนัก ตั้งเเต่ช่วงเดือน ก.พ. ที่ยอดนักท่องเที่ยวหายไปกว่าครึ่งเหลือ 2 ล้านคน เเละเดือน มี.ค.เหลือเเค่ 8 เเสนคน ล่าสุดในเดือน เม.ย.ที่เคยเป็นไฮซีซั่นช่วงสงกรานต์ มีนักท่องเที่ยวในไทยอยู่หลักพันคนเท่านั้น
โดยภารกิจหลักที่ ททท. จะสนับสนุนหลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์คือส่งเสริม “ไทยเที่ยวไทย” ให้คนไทยที่เคยวางเเผนจะไปเที่ยวต่างประเทศซึ่งมีกว่าปีละ 10 ล้านคน หันมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น
“สิ่งที่ธุรกิจท่องเที่ยวต้องเตรียมความพร้อม คือด้านสุขอนามัย รองรับการเปิดเมือง เพื่อให้พร้อมกลับมาทำธุรกิจใหม่ เพิ่มความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวว่ามีความปลอดภัย ส่วนนักท่องเที่ยวไทยก็ต้องเตรียมพร้อมไปช่วยจับจ่ายใช้สอยในประเทศ เพื่อให้ธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
ขณะที่ ชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บอกว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นราย มีเเรงงานที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 4 ล้านรายซึ่งกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักเนื่องจากไทยเคยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนกว่า 40 ล้านคนต่อปี เงินสะพัด 2 ล้านล้านบาท เเต่ตอนนี้ “หายหมด”
“เเม้จะเคยมองว่าสถานการณ์ดีขึ้นช่วงเดือน 6-7 เเต่เมื่อรุนเเรงขึ้นก็คาดว่าจะลากยาวไปถึงสิ้นปี การฟื้นฟูสภาพธุรกิจคงต้องรอจะเริ่มดีขึ้นก็คงช่วงต้นปีหน้า”
]]>