Standard Chartered มอง ‘ท่องเที่ยวไทย’ ใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปีถึงจะฟื้น ฉุดเศรษฐกิจอ่อนเเอ

Photo : Shutterstock
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย’ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย’ 3 ปีกว่าจะฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้ เเม้ว่ารัฐจะเตรียมการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสเเล้วภายในเดือนหน้านี้ก็ตาม

สำนักข่าว Bloomberg รายงานบทวิเคราะห์ของ ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Standard Chartered ระบุว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย ที่มีสัดส่วนถึง 15% ของ GDP จะเป็นไปอย่างช้าๆ ส่งผลทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน จะยังคงอ่อนแอในช่วง 2 ปีข้างหน้า

เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวลำบาก หากภาคการท่องเที่ยวไม่ดีขึ้น เเละอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอ่อนแอลงในช่วงปี 2022-2023”

รัฐบาลไทย วางเเผนจะยกเลิกมาตรการกักตัวนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 .. เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์อยู่ร่วมกับโควิด-19 เเทน

เเต่ Standard Chartered มองว่าแผนการเปิดประเทศอาจสะดุดหากสถานการณ์โรคระบาดในไทย มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยลดลงเหลือ 73,932 คน จากจำนวนเกือบ 40 ล้านคนในปี 2019 ที่เคยสร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไทยยังต้องการนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 6 ล้านคน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปใน 8 เดือนแรก จนถึงเดือน ส..ของปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในปีหน้า มีการประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 4 ล้านคนเข้ามา ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เทียบเท่ากับ 1% ของ GDP โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะจับจ่ายใช้สอยราว 1,500 เหรียญสหรัฐ หรือ 50,775 บาทต่อคน ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในไทย

ทิม กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือ นักท่องเที่ยวจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทยในปี 2019 “ไม่น่าจะกลับมาเป็นจำนวนมากในเร็วๆ นี้เนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่เข้มงวด

ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดีย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในเดือนพ.. จากช่วงเทศกาลดิวาลี ก็ยังจะไม่เท่ากับจำนวนของนักท่องเที่ยวจากจีน

ทั้งนี้ เมื่อเดือน ส..ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทย เพียงเหลือ 150,000 คนในปีนี้ และ 6 ล้านคนในปี 2022

 

ที่มา : Bloomberg