เนเธอร์แลนด์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 03 Jul 2023 01:19:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จีนขอเนเธอร์แลนด์ไม่งดส่งออกอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการผลิตชิป ชี้ถ้าแบนอาจสร้างผลกระทบทั่วโลก https://positioningmag.com/1436261 Sun, 02 Jul 2023 05:43:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436261 หลังจากที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้แบนการส่งออกอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิป โดยให้เหตุผลเรื่องของความมั่นคงนั้น ล่าสุดจีนได้ขอให้เนเธอร์แลนด์ไม่งดการส่งออกอุปกรณ์ดังกล่าว โดยชี้ว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตชิปทั่วโลก

สำนักข่าว Reuters และ Xinhua ได้รายงานข่าวว่า รัฐบาลจีนได้ขอร้องให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ไม่งดส่งออกอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศนี้ได้มีข้อตกลงระหว่างกัน และไม่ควรที่จะห้ามการส่งออก เนื่องจากจะขัดข้อตกลงที่ทำไว้

ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนเกิดขึ้น หลังจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมารัฐบาลของเนเธอร์แลนด์ได้มีการประกาศแบนการส่งออกอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไปยังประเทศจีน

ข้อกำหนดของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์คือ ถ้าหากบริษัทส่งออกอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไปยังประเทศจีน โดยเฉพาะการผลิตชิปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จะต้องได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลหลังจากวันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป

โดยเหตุผลสำคัญของเนเธอร์แลนด์ก็คือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของประเทศ และข้อตกลงดังกล่าวนี้เนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่นได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะจำกัดความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศจีน

ผลกระทบดังกล่าวจะกระทบกับบริษัทอย่าง ASML ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเครื่องสำหรับผลิตชิปรายใหญ่ของโลกที่มีฐานการผลิตในเนเธอร์แลนด์จะไม่สามารถส่งออกเครื่องรุ่นที่มีศักยภาพสูงซึ่งสามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 5 นาโนเมตรไปยังจีนได้ โดยชิ้นส่วนในเครื่องผลิตชิปของ ASML หลายชิ้นส่วนมาจากบริษัทในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามส่งออกชิ้นส่วนไปยังจีนอยู่แล้ว

ฝ่ายของจีนได้ออกมากล่าวว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐฯ และพันธมิตรได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก และยังกล่าวว่ารัฐบาลจีนได้กล่าวว่าทั้ง 2 ประเทศนั้นมีการสื่อสารระหว่างกันในหัวข้อต่างๆ บ่อยครั้ง

นอกจากนี้ ฝั่งจีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์ปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของภาคเอกชนของ 2 ประเทศอย่างจริงจัง และรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเรื่องของ Supply Chain ของอุตสาหกรรมผลิตชิปทั่วโลกด้วย

]]>
1436261
ไม่ไหวแล้ว! “อัมสเตอร์ดัม” เคาะกฎห้ามสูบ “กัญชา” ริมถนนในเขตโคมแดง https://positioningmag.com/1418827 Fri, 10 Feb 2023 05:58:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418827 เมืองหลวงกัญชาก็ไม่ไหว “อัมสเตอร์ดัม” เคาะกฎหมายใหม่ ห้ามสูบ “กัญชา” ริมถนนในเขตโคมแดง หรือ Red Light District หลังนักท่องเที่ยวป่วนเกินควบคุม ดึงดูดการค้ายาเสพติดอื่นๆ เพิ่ม

สำนักข่าวท้องถิ่นดัตช์รายงานว่า สมาชิกสภาเมืองเกือบทั้งหมดโหวตเห็นชอบกฎหมายนี้ และกฎหมายจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2023

นอกจากข้อบังคับเรื่องกัญชาแล้ว ยังมีกฎหมายควบคุมให้การค้าประเวณีต้องปิดสถานบริการภายในเวลาตี 3 คืนวันศุกร์และเสาร์จะต้องปิดผับบาร์ภายในเวลาตี 2 และพื้นที่ Red Light District จะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มหลังเวลาตี 1

เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์นั้นมีชื่อเสียงจากคาเฟ่จำหน่ายกัญชามาช้านาน ทำให้นักท่องเที่ยวกว่า 20 ล้านคนเดินทางมาที่นี่ทุกปี นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่มีเป้าหมายมาเที่ยวอัมสเตอร์ดัมเพื่อหายาเสพติด ซื้อบริการ หรือจัดปาร์ตี้สละโสด รวมๆ แล้วนักท่องเที่ยวมักจะมาอัมสเตอร์ดัมเพื่อใช้ชีวิต “สุดเหวี่ยง” กันสักครั้ง

ในระยะหลัง คนท้องถิ่นเริ่มส่งเสียงถึงปัญหาที่ตามมา นั่นคือการค้ายาเสพติดผิดกฎหมายบนท้องถนน จนทำให้อัตราอาชญากรรมเพิ่มสูง นักท่องเที่ยวเองก็ประพฤติตนหยาบคายและเข้ามามากเกินจะรับ ทำให้คนท้องถิ่นรู้สึกไม่ปลอดภัย

ดังนั้น แม้จะเป็นเมืองหลวงที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวา แต่ก็ต้องเริ่มมีลิมิตกันบ้างก่อนที่จะสนุกกันเกินไปจนไร้ความรับผิดชอบ

เนเธอร์แลนด์มีกฎหมายห้ามการครอบครอง ค้า และผลิตยาเสพติด แต่ในกรณีกัญชา เนเธอร์แลนด์มีนโยบายยืดหยุ่นให้ โดยคาเฟ่/ร้านกาแฟได้รับอนุญาตให้ขายกัญชาได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎที่เข้มงวด เช่น ร้านขายกัญชาจะต้องควบคุมไม่ให้ลูกค้าสร้างความเดือดร้อนรำคาญ

จากการออกกฎหมายควบคุมเหล่านี้ อัมสเตอร์ดัมจะมีแคมเปญการท่องเที่ยวใหม่ชื่อ “Stay Away” ออกมาในฤดูใบไม้ผลิด้วย โดยเนื้อหาจะรณรงค์พุ่งเป้าไปที่การ “ลดจำนวน” นักท่องเที่ยวที่มาอัมสเตอร์ดัมเพื่อหายาเสพติด แอลกอฮอล์ และการค้าประเวณี และให้มองมุมใหม่ว่าเมืองนี้ยังมีประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรมอื่นให้สำรวจ

Source

]]>
1418827
ผับบาร์ปิดทำพิษ! “ไฮเนเก้น” ปลดพนักงาน 8,000 คนทั่วโลก หลังยอดขายวูบจากไวรัส https://positioningmag.com/1318966 Wed, 10 Feb 2021 15:36:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318966 บริษัทผู้ผลิตเบียร์ไฮเนเก้นชื่อดังของเนเธอร์แลนด์ ประกาศปลดพนักงานออก 8,000 คน รวมไปถึงตำแหน่งงานในอังกฤษเกิดขึ้นหลังยอดขายตกวูบช่วงระหว่างวิกฤต COVID-19

BBC รายงานว่า ไฮเนเก้นออกแถลงการณ์ประกาศสั่งปลดพนักงานจำนวน 8,000 คน ทั่วโลก และพบว่าการปลดจะเกิดขึ้นกับบางส่วนที่สำนักงานใหญ่ของไฮเนเก้นในเมืองอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์

ดอล์ฟ ฟาน เดน บริงก์ (Dolf van den Brink) ซีอีโอใหญ่ของไฮเนเก้น ได้เคยกล่าวว่า ปี 2020 ถือเป็นปีแห่งการติดขัดอย่างไม่คาดฝัน บาร์ถูกสั่งปิดในหลายส่วนของโลก และในบางประเทศเช่นแอฟริกาใต้ออกคำสั่งห้ามการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั่วคราว

บริษัทผู้ผลิตสัญชาติดัตช์เป็นผู้ผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยนอกเหนือจากจะเป็นเจ้าของเบียร์ไฮเนเก้นแล้ว ยังมีแบรด์อื่น เช่น Tiger และ Sol

การลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลงจำนวน 8,000 ตำแหน่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดทั่วโลก และในอังกฤษ บีบีซีชี้ว่า จะมีพนักงานบริษัทไฮเนเก้นไม่ถึง 100 คนที่จะถูกเลิกจ้างจากจำนวนทั้งหมด 2,300 คน

Photo : Xinhua

โดยโฆษกบริษัทไฮเนเก้นอังกฤษแถลงว่า “การปิดผับและบาร์ในเดือนมีนาคม และตามมาด้วยมาตรการจำกัดหลังจากนั้น และรวมไปถึงช่วงเวลาคริสต์มาส ได้มีผลกระทบต่อยอดการขายเบียร์ และไซเดอร์ (เหล้าชนิดหนึ่ง) สำหรับตลอดทั้งปีเต็ม”

ทางไฮเนเก้นแถลงว่า มีเป้าหมายที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายจำนวน 2,000 ล้านยูโร ระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ไปจนถึงปี 2023 รวมไปถึงการตัดยอดค่าใช้จ่ายบุคคล 350 ล้านยูโร

สื่ออังกฤษชี้ว่า ถึงแม้ว่าทางไฮเนเก้นจะจำหน่ายได้มากกว่านอกผับและบาร์ แต่ทว่ายังคงไม่สามารถทดแทนได้ต่อผลกระทบที่มีต่อการขายในผับและบาร์

ซึ่งในระหว่างที่ทางบริษัทประกาศการสั่งปลดพนักงานออก CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ไฮเนเก้นได้รายงานผลการขาดทุนสุทธิประจำปี 2020 จำนวน 204 ล้านยูโร หรือราว 247.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับผลกำไรที่ทำได้ในปี 2019 ที่ 2,200 ล้านยูโร หรือราว 2,700 ล้านดอลลาร์

(Photo by Kevin Frayer/Getty Images)

รายได้ตกไป 16.7% อยู่ที่ 23,800 ล้านยูโร หรือราว 28,900 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางการปิดผับบาร์ และร้านอาหารในตลาดสำคัญ รวมไปถึงมาตรการป้องกัน COVID-19 ที่กำหนดให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคม และการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

บริงก์ที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อมิถุนายนปีที่ผ่านมากล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “ผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดต่อธุรกิจเราถูกขยายโดยพันธมิตรธุรกิจของเรา (ผับ บาร์ และร้านอาหาร) และการกระทบด้านภูมิศาสตร์”

ไฮเนเก้นคาดการณ์ว่า ภายในสิ้นมกราคมไม่ต่ำกว่า 30% ของบาร์ และร้านอาหารจะเปิดให้บริการในยุโรปซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของไฮเนเก้น

และจากการที่หลายประเทศในภูมิภาคกลับมาสั่งล็อกดาวน์อีกครั้งในเดือนธันวาคม และได้ออกคำสั่งเข้มงวดในมาตรการ COVID-19 มากขึ้นนับตั้งแต่นั้น ไฮเนเก้นกล่าวว่า ทางบริษัทได้สั่งตัดบัญชีให้เป็นหนี้สูญเกี่ยวข้องกับผับในอังกฤษจำนวน 191 ล้านยูโร หรือ 231.6 ล้านดอลลาร์

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน มีแผนที่จะประกาศโรดแม็ปการฟื้นตัวในวันที่ 22 ก.พ. ที่จะถึงนี้

Source

]]>
1318966
เปิดโผ 8 เมืองดาวรุ่ง แหล่งดึงดูด “เทคสตาร์ทอัพ” แห่งปี 2020 https://positioningmag.com/1310010 Thu, 10 Dec 2020 16:16:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310010 “เทคสตาร์ทอัพ” เป็นธุรกิจและวิธีลงทุนแบบใหม่ของโลก จนทำให้หลายเมืองปั้นตนเองให้มีระบบนิเวศเอื้อต่อการสร้างสตาร์ทอัพ ที่ผ่านมาแหล่งดึงดูดใหญ่ๆ จะกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ของจีนกับสหรัฐอเมริกา แต่ในระยะหลัง เมืองอื่นของโลกก็ต้องการส่วนแบ่งจากตลาดนี้บ้าง จึงพยายามสร้างจุดเด่นดึงการลงทุนและบรรดาบุคลากรหัวกะทิด้านเทคโนโลยีเข้ามาอยู่อาศัย เกิดเป็น 8 เมืองดาวรุ่งเหล่านี้

Savills บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เริ่มศึกษาและรายงานเมืองที่โดดเด่นด้านการลงทุนของกลุ่มเทคสตาร์ทอัพมาตั้งแต่ปี 2015 จนปัจจุบันการลงทุนกลุ่มนี้แพร่หลายออกไปทั่วโลก และทำให้หลายเมืองได้รับอานิสงส์ของการลงทุน โดยปี 2020 บริษัทจัดทำรายงานแบ่งเมืองแหล่งเทคสตาร์ทอัพออกเป็น 3 กลุ่ม คือ มหานครแห่งเทคโนโลยี, เมืองแห่งไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี และ เมืองดาวรุ่งด้านเทคโนโลยี

สองกลุ่มแรกนั้นเป็นกลุ่มที่มีตัวตนบนแผนที่โลกในฐานะศูนย์รวมเทคสตาร์ทอัพอยู่แล้ว โดยข้อแตกต่างของ “มหานคร” กับ “เมืองไลฟ์สไตล์” คือกลุ่มมหานครเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรเกิน 5 ล้านคน และเป็นศูนย์รวมบุคลากรด้านเทคโนโลยีระดับโลก ส่วนเมืองแห่งไลฟ์สไตล์นั้นเป็นเมืองขนาดเล็กกว่า 5 ล้านคน ดึงดูดเงินลงทุนจากเวนเจอร์แคปิตอลได้น้อยกว่า แต่ไลฟ์สไตล์เป็นมิตรกับการใช้ชีวิตของชาวเทคมากกว่า

แผนที่เมืองแหล่งเทคสตาร์ทอัพ 3 กลุ่ม คือ มหานครแห่งเทคโนโลยี, เมืองแห่งไลฟ์สไตล์เทคโนโลยี และเมืองดาวรุ่งด้านเทคโนโลยี

มหานครแห่งเทคฯ นั้น Savills ประเมินไว้ 16 แห่งทั่วโลก แบ่งตามภูมิภาค ดังนี้
– อเมริกาเหนือ : ลอสแอนเจลิส, นิวยอร์ก, ซานฟรานซิสโก, โตรอนโต
– ยุโรป : ลอนดอน, ปารีส
– จีน : ปักกิ่ง, เฉิงตู, หางโจว, ฮ่องกง, เซี่ยงไฮ้, เสิ่นเจิ้น
– เอเชีย : บังกาลอร์, โซล, สิงคโปร์, โตเกียว

ด้าน เมืองแห่งไลฟ์สไตล์เทคฯ ประเมินไว้ 12 แห่งทั่วโลก แบ่งตามภูมิภาค ดังนี้
– อเมริกาเหนือ : ออสติน, บอสตัน, เดนเวอร์, ซีแอตเทิล
– ยุโรป : อัมสเตอร์ดัม, บาร์เซโลนา, เบอร์ลิน, โคเปนเฮเกน, ดับลิน, สตอล์กโฮม
– ตะวันออกกลาง : เทลอาวีฟ
– เอเชีย : เมลเบิร์น

ในขณะที่กลุ่มสุดท้ายคือ “เมืองดาวรุ่ง” เป็นเมืองที่น่าจับตามองของปี 2020 คู่แข่งใหม่ในตลาดโลกเหล่านี้เริ่มได้รับความสนใจจากโครงสร้างพื้นฐานเมืองที่ปูทางมาตลอด และอีกส่วนหนึ่งคือการระบาดของ COVID-19 ทำให้เหล่าหัวกะทิเทคโนโลยีเริ่มมองหาเมืองที่ประชากรหนาแน่นน้อยลงและดีต่อสุขภาพมากขึ้น รวมถึงค่าครองชีพต่ำกว่าเมืองใหญ่ด้วย ติดตามข้อมูลได้ด้านล่าง

 

8 เมืองดาวรุ่ง แหล่งดึงดูด “เทคสตาร์ทอัพ” แห่งปี 2020

1.ดีทรอยต์, สหรัฐอเมริกา
(Photo : Mohtashim Mahin/Pixabay)

เมืองอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ แห่งนี้กำลังร้างผู้คน เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์เองกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ทำให้ดีทรอยต์ต้องเปลี่ยนจุดยืนตัวเองใหม่จาก “เมืองแห่งรถยนต์” เป็น “เมืองแห่งการเดินทาง” โดยปรับตัวเองมามุ่งเน้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง

ปัจจุบันมีบริษัทใหญ่เข้ามาลงทุนทั้ง Fiat-Chrysler, Google, GM, Ford และ Lyft จนถึงบริษัทสตาร์ทอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง เช่น Rivian ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ของที่นี่ปรับไปมีเทคโนโลยีเป็นแกนกลางแทนได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ดีทรอยต์เป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำของสหรัฐฯ ทำให้เมืองสามารถให้ไลฟ์สไตล์ที่ราคาถูกกว่าเมืองชายฝั่งตะวันตกหรือตะวันออกของประเทศ ดีทรอยต์ยังติดอันดับ 6 ของการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ “ดิจิทัล โนแมด” ด้วย โดยการจัดอันดับดังกล่าวของ Savills วัดจากดัชนีคุณภาพชีวิตคนสายเทค 6 ประการคือ ราคาเบอร์เกอร์วีแกนกับกาแฟแฟลตไวท์, ราคา MacBook Pro, ราคารองเท้ากีฬาทั่วไปกับหูฟังไร้สายแบบพรีเมียม, ความเร็วอินเทอร์เน็ต, ราคาโต๊ะทำงานในโคเวิร์กกิ้งสเปซ และคุณภาพอากาศ

 

2.โยโกฮาม่า, ญี่ปุ่น
(Photo : Pixabay)

หนึ่งเดียวจากเอเชียที่ติดผลสำรวจนี้ โยโกฮาม่าเป็นเมืองท่าแห่งแรกๆ ของญี่ปุ่นที่เปิดรับการค้าระหว่างประเทศในช่วงศตวรรษที่ 19 ทำให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าของญี่ปุ่นมานานกว่า 150 ปี ในหลายปีที่ผ่านมา โยโกฮาม่าสามารถดึงดูดการลงทุนระหว่างประเทศและการย้ายฐานบริษัทได้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากทำเลที่เข้าโตเกียวสะดวกและการเป็นแหล่งแรงงานฝีมือ

ในที่สุด โยโกฮาม่าประกาศตนเองเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาแห่งทวีปเอเชีย โดยมีบริษัทใหญ่มาตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาแล้ว คือ Apple, Lenovo, Samsung, Huawei และ LG ทำให้เมืองยิ่งติดสปีดการเป็นเมืองเทคโนโลยีระดับโลก โดยมีแรงหนุนคือการเป็นเมืองท่าส่งออกของประเทศ

สำหรับผู้อยู่อาศัย ค่าครองชีพของโยโกฮาม่าต่ำกว่าโตเกียว และมีประชากรหนาแน่นน้อยกว่า ทำให้น่าอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น

 

3.ทาลลินน์, เอสโตเนีย
(Photo : Pixabay)

ยุคแห่งยุโรปตะวันออกต้องมีเอสโตเนียเป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่รัฐบาลอื่นทั่วโลกต้องหัวหมุนกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานและเชื่อมโยงกับประชาชนของตน แต่ภาครัฐของเอสโตเนียสามารถนำกิจกรรมของรัฐถึง 99% มาอยู่บนออนไลน์ได้ทั้งหมด (เหลือเพียงการสมรส-หย่าร้าง และซื้อขายอสังหาฯ ที่ต้องไปติดต่อสำนักงาน)

ประเทศนี้ยังมีการออกโปรแกรม e-Residency เมื่อปี 2014 เพื่อให้ใครๆ ก็เป็นประชากรเอสโตเนียแบบข้ามโลกเสมือนจริงได้ ปลดล็อกให้คุณสามารถตั้งบริษัทในเอสโตเนียได้โดยไม่ต้องเข้าไปอยู่ที่เอสโตเนียเลย ต่อมาเอสโตเนียยังออกวีซ่าสำหรับดิจิทัล โนแมดโดยเฉพาะ เพื่อให้กลุ่มคนทำงานระยะไกลกลุ่มนี้สามารถมาทำงานพร้อมใช้ชีวิตได้ในเอสโตเนียเป็นระยะเวลาสูงสุด 1 ปี

สิ่งแวดล้อมด้านเทคโนโลยีของภาครัฐและวิถีชีวิตคน ทำให้ทาลลินน์ เมืองหลวงของประเทศแห่งนี้เป็นที่น่าจับตามอง ปัจจุบันมีหน่วยงานยักษ์ใหญ่ที่เข้าไปตั้งศูนย์ในทาลลินน์แล้วคือ หน่วยงานความร่วมมือด้านการป้องกันภัยทางไซเบอร์ ศูนย์กลางแห่งความเป็นเลิศของ NATO

 

4.วิลนีอุส, ลิทัวเนีย
(Photo : Pixabay)

อีกหนึ่งประเทศยุโรปตะวันออกที่ตีคู่มากับเอสโตเนีย ชื่อของประเทศลิทัวเนียอาจจะไม่ค่อยคุ้นในแผนที่โลก แต่จริงๆ แล้วนี่คือผู้นำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และฟินเทค ลิทัวเนียมีสตาร์ทอัพกว่า 1,000 บริษัท และฟินเทคอีกกว่า 200 บริษัท สตาร์ทอัพดังด้านเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Revolut และ Google Payments มีสำนักงานของบริษัทอยู่ในวิลนีอุส และ ศูนย์บล็อกเชนแห่งยุโรป ที่เปิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2019 ก็ตั้งขึ้นที่เมืองนี้

เช่นเดียวกับเอสโตเนีย ลิทัวเนียก็ออกวีซ่าสำหรับคนทำงานในสตาร์ทอัพเหมือนกัน เพื่อดึงดูดคนจากประเทศ non-EU ทั้งหลายให้มาลงหลักปักฐานที่นี่

 

5.ไอนด์โฮเว่น, เนเธอร์แลนด์
(Photo : Shutterstock)

เมืองที่ท้าชิงตำแหน่งกับอัมสเตอร์ดัม เป็นที่ตั้งของย่าน Brainport พื้นที่ที่ถูกสนับสนุนให้เป็นแหล่งยกระดับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างบริษัทเอกชน ภาครัฐ และสถาบันการศึกษา

รวมถึงเป็นที่ตั้งของ High Tech Campus แหล่งรวมศูนย์วิจัยและพัฒนาของสารพัดบริษัทจากทั่วโลก เริ่มต้นจาก Philips เป็นบริษัทแรกที่มาลงทุน จนปัจจุบันมีมากกว่า 220 บริษัทในพื้นที่ รวมนักวิจัยมากกว่า 12,000 คน
ทำให้ High Tech Campus ประกาศตัวเองว่าเป็นพื้นที่ “ตารางกิโลเมตรที่อัจฉริยะที่สุดในยุโรป”

เมืองไอนด์โฮเว่นยังติดอันดับ 2 ของการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ “ดิจิทัล โนแมด” โดยเป็นสวรรค์ของคนรักการขี่จักรยาน ด้วยทางจักรยานทั่วเมืองและมีทางจักรยานลอยฟ้าด้วย

 

6.แมนเชสเตอร์, สหราชอาณาจักร
(Photo by Nathan J Hilton from Pexels)

ไม่มีใครที่ไม่รู้จักแมนเชสเตอร์ ด้วยตำนานลูกหนังของสโมสรดังทั้งสองแห่ง แต่นั่นไม่ใช่จุดขายเดียวของแมนเชสเตอร์ เมืองนี้เป็นแหล่งรวมบริษัทเทคทั้งบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Google, Microsoft, IBM และ Cisco รวมถึงบริษัทขนาดเล็กและสตาร์ทอัพรวมมากกว่า 10,000 แห่ง

แมนเชสเตอร์เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยติดอันดับโลกถึง 3 แห่ง ทำให้มีบุคลากรชั้นนำรองรับภาคธุรกิจ และทำให้มีความร่วมมือระหว่างเอกชนกับสถาบันการศึกษาได้ง่าย

เมืองนี้ยังเป็นเมืองหัวก้าวหน้าของประเทศ โดยตั้งเป้าจะเป็นเมืองปลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2038 เร็วกว่าเป้าหมายของทั้งประเทศถึง 12 ปี และยังมีแผนสร้างทางเดินและทางจักรยานรวมระยะทาง 1,800 ไมล์ในเมือง

 

7.โบโกตา, โคลอมเบีย
(Photo : Pixabay)

ดังที่เห็นว่าทวีปอเมริกาใต้ยังไม่เคยมีศูนย์รวมเทคสตาร์ทอัพเลย ทำให้โบโกตา เมืองหลวงโคลอมเบียมีสิทธิ์สูงมากที่จะได้เป็นแห่งแรก ในเวลา 4 ปีที่ผ่านมา โบโกตากระโดดขึ้นมาถึง 200 อันดับเมื่อมีการจัดอันดับเมืองที่ดึงดูดเงินลงทุนจากเวนเจอร์ แคปิตอลได้มากที่สุด

เนื่องจากรัฐบาลโคลอมเบียลงทุนอย่างหนักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยมีการให้แรงจูงใจสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง และมีโปรแกรมเทรนนิ่งพนักงาน พร้อมกับสร้างแหล่งข้อมูลสนับสนุนผู้ประกอบการด้านเทคให้เข้ามาลงทุนที่โคลอมเบีย

พื้นฐานด้านพฤติกรรมประชากรยังมีส่วนช่วยให้โบโกตาโตอย่างก้าวกระโดด EY สำรวจเมื่อปี 2019 พบว่า ชาวโคลอมเบียมีอัตราการเปลี่ยนไปใช้บริการฟินเทคสูงที่สุดในภูมิภาคละตินอเมริกา โดยประชากรสัดส่วน 76% จะมีการใช้บริการฟินเทคอย่างน้อยหนึ่งอย่าง

ตัวเมืองโบโกตาเองก็ถือเป็นเมืองที่อยู่อาศัยได้ดีพอควร เป็นเมืองทางเดินดี เข้าถึงสวนสาธารณะง่าย และอยู่ในอันดับ 11 ของการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ “ดิจิทัล โนแมด”

 

8.เคปทาวน์, แอฟริกาใต้
(Photo : Sharon Ang/Pixabay)

เช่นเดียวกับละตินอเมริกา ทวีปแอฟริกาก็ยังไม่มีแหล่งเทคสตาร์ทอัพ แต่เคปทาวน์กำลังจะมาคว้าตำแหน่งนี้ เคปทาวน์เป็นศูนย์รวมสถาบันการเงินในแอฟริกาอยู่แล้ว ทำให้เหล่าฟินเทคจะมาใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ รวมถึงสตาร์ทอัพสายอื่นก็เข้ามาลงทุนดึงเม็ดเงินจากเวนเจอร์ แคปิตอลให้เพิ่มขึ้น โดยระหว่างปี 2016-2019 เงินลงทุนจากเวนเจอร์ แคปิตอลสู่เคปทาวน์เพิ่มขึ้น 147%

โครงสร้างพื้นฐานเมืองค่อนข้างมีเสน่ห์กับชาวเทคด้วย ด้วยที่ตั้งของเคปทาวน์ขนาบด้วยภูเขาและทะเลอย่างสวยงาม มาพร้อมกับค่าครองชีพต่ำกว่าเมืองเทคใดๆ ในโลก ทำให้เป็นจุดดึงดูดคนดิจิทัลเข้ามาหา

Source

]]>
1310010
“เนเธอร์แลนด์” เตรียมไฟเขียวให้ใช้ “การุณยฆาต” กับเด็กอายุ 1-12 ปี สำหนักเคสป่วยหนัก https://positioningmag.com/1302270 Fri, 23 Oct 2020 14:36:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302270 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เตรียมอนุญาตให้แพทย์สามารถใช้วิธีการุณยฆาตกับเด็กที่ป่วยหนักที่มีอายุน้อยที่สุดตั้งแต่ 1 ปีไปจนถึง 12 ปี อ้างเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อช่วยเด็กป่วยหนักระยะสุดท้าย

หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หลังจากที่มีการโต้เถียงยาวนานร่วมปีภายในพรรคร่วมรัฐบาลผสมดัตช์ของนายกรัฐมนตรี มาร์ค รีตเตอ (Mark Rutte) ล่าสุดรัฐบาลของรีตเตอมีแผนบังคับใช้การการุณยฆาต (Euthanasia) กับผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายที่มีอายุไม่เกิน 13 ปี

โดยรัฐมนตรีสาธารณสุขดัตช์ ฮูโก เดอ ยอง (Hugo de Jonge) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในข้อกำหนดนั้นมีความจำเป็นเพื่อช่วยผู้ป่วยกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นเด็กที่ป่วยในระยะสุดท้าย และกำลังอยู่ในความเจ็บปวดทรมานอย่างไร้ความหวัง

รัฐบาลดัตช์ประเมินว่ากฎใหม่จะส่งผลกระทบกับเด็กจำนวนราว 5 – 10 คน/ปี อยู่ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีความหวังว่าอาการป่วยจะดีขึ้น

ทั้งนี้เบลเยียมถือเป็นชาติแรกของโลกที่ใช้วิธีการุณยฆาตกับเด็กในปี 2014 โดยได้ออกกฎหมายให้สามารถทำการุณยฆาตได้กับเด็กในกรณีที่เป็นผู้ป่วยหนักระยะสุดท้าย และอยู่ในความเจ็บปวดสาหัส ซึ่งเด็กชาวเบลเยียมวัย 9 ปีและ 11 ปีกลายเป็นกรณีแรกของโลกที่ถูกทำการการุณยฆาตเมื่อปี 2016 และปี 2017 ตามลำดับ

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยเด็กที่มีอายุเกิน 12 ปี ในเนเธอร์แลนด์นั้นสามารถเข้ารับการุณยฆาตได้ก่อนหน้านั้นแล้วหากได้รับความยินยอมจากตัวเด็ก และจากผู้ปกครองของเด็ก ส่วนทารกตั้งแต่แรกคลอดไปจนถึง 1 ขวบสามารถถูกการุณยฆาตในเนเธอร์แลนด์ได้ตามกฎหมายได้เช่นกันภายใต้การยินยอมของพ่อแม่เด็กเอง

ซึ่งในเวลานี้ที่เนเธอร์แลนด์ผู้ป่วยเด็กอาจได้รับการดูแลระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative Care) หรือการถูกไม่ได้รับอาหาร เพื่อเร่งให้มีการเสียชีวิตเร็วขึ้น ภายใต้ข้อกำหนดปัจจุบันที่แพทย์อาจต้องเผชิญกับการถูกดำเนินคดีทางกฎหมายหากพวกเขาใช้วิธีอื่นในการจบชีวิตคนไข้

ซึ่งทางแพทย์ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขสำหรับช่องว่างที่เรียกว่า “โซนสีเทา” ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กอายุระหว่าง 1 ปี – 12 ปี เดอะการ์เดียนชี้

และกลายเป็นกระแสร้อนทำให้มีการถกเถียงอย่างหนักภายในพรรคร่วมรัฐบาลพรรคผสมนานร่วม 1 ปี ซึ่งมีความเห็นต้านออกมาจากทั้งพรรคคริสเตียน เดโมแครต แอปเพียล ปาร์ตี (Christian Democrat Appeal party) และพรรค คริสเตนยูนี (ChristenUnie)

ในปี 2019 พบว่ามีการเสียชีวิตที่เกิดจากการุณฆาตจำนวน 6,361 ราย คิดเป็นจำนวนกว่า 4% ของจำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งหมดในเนเธอร์แลนด์ และจากจำนวนทั้งหมดของการการุณฆาตพบว่า 91% อยู่ในกลุ่มอยู่ในกลุ่มป่วยขั้นระยะสุดท้าย

Source

]]>
1302270
“อัมสเตอร์ดัม” ตั้ง “โถสุขภัณฑ์” ข้างถนนให้คนเมา แก้ปัญหาความสกปรกในที่สาธารณะ https://positioningmag.com/1293827 Mon, 24 Aug 2020 11:29:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1293827 ตั้งไว้ให้จะได้จบ! ปัญหาที่มีมายาวนานของเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ คือประชาชนที่ชอบปล่อยเบาในที่สาธารณะ จนล่าสุดสภาท้องถิ่นต้องแก้ปัญหาด้วยการติดตั้งโถสุขภัณฑ์ชายไว้ให้ที่ข้างถนน โดยใช้โถที่ออกแบบเนียนๆ เหมือนกับเป็นกระถางต้นไม้ ปรากฏว่าโถใช้ได้ผลพอสมควร เพราะสามารถลดปัญหาดังกล่าวไปได้ 50% ในพื้นที่ที่ทดลองติดตั้ง

สภาท้องถิ่นเมืองอัมสเตอร์ดัมเพิ่งติดตั้งโถสุขภัณฑ์ชายที่ดัดแปลงให้ดูเหมือนกระถางต้นไม้ทั้งหมด 8 เครื่อง กระจายตามจุดต่างๆ 4 จุดทั่วเมือง โดยเน้นในจุดที่มีปัญหาการปัสสาวะในที่สาธารณะมากที่สุดก่อน นั่นคือพื้นที่ใกล้กับแหล่งผับบาร์กลางคืน

โถสุขภัณฑ์นี้มีชื่อเรียกว่า GreenPee หากดูเผินๆ จะเหมือนกับเป็นกระถางปลูกไม้ประดับปกติ เพราะมีต้นไม้เล็กๆ อยู่ด้านบน แต่ถ้ามองใกล้ๆ จะเห็นว่ามีช่องเปิดด้านข้างของเครื่องเพื่อใช้สำหรับทำธุระแบบยืน

เนียนๆ เหมือนเป็นกระถางต้นไม้ธรรมดา (Photo : GreenPee)

GreenPee นี้ผลิตขึ้นโดยบริษัท Urban Senses ออกแบบโดย ริชาร์ด เดอ ฟรีส์ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อม “ผลลัพธ์ของเครื่องนี้ทำให้การปัสสาวะในที่สาธารณะลดลงถึง 50% เป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยม” เดอ ฟรีส์กล่าว

หลัง 8 เครื่องแรกประสบความสำเร็จ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสั่งมาเพิ่มอีก 8 เครื่อง เดิมจะต้องติดตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ แต่เกิดโรคระบาด COVID-19 เสียก่อน ทำให้การส่งมอบถูกเลื่อนออกไป จนกระทั่งเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน อัมสเตอร์ดัมเริ่มคลายล็อกดาวน์ ทำให้ดีมานด์การใช้งานห้องน้ำสาธารณะกลับมาอีกครั้ง ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มเพิ่มขึ้น

นำไปตั้งตามจุดเสี่ยงต่างๆ (Photo : GreenPee)

เดอ ฟรีส์กล่าวว่า GreenPee มีประโยชน์อย่างมาก เพราะช่วยปกป้องอาคารประวัติศาสตร์ในเมืองไม่ให้เสียหายจากของเสีย และตัวเครื่องเองสามารถปลูกต้นไม้ด้านบนได้จริงๆ ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง รวมถึงภายในเครื่องมีระบบเก็บของเสียไปทำเป็นปุ๋ยหมักและบำบัดเป็นน้ำสำหรับรดต้นไม้ได้อีก ตัวเครื่องยังรองรับเซ็นเซอร์อัจฉริยะ ใช้ตรวจสอบได้ว่าเจ้าหน้าที่ต้องไปล้างทำความสะอาดเครื่องหรือยัง

นักออกแบบรายนี้ต้องการจะนำเครื่อง GreenPee ไปนำเสนอใช้งานในประเทศอื่นๆ ต่อจากนี้ รวมถึงจะพัฒนาให้เครื่องสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากการทำธุระของคนได้ด้วย!!

Source

]]>
1293827
Brexit ส่งผล “ธุรกิจจัดตั้งใหม่” เเห่ย้ายไปลงทุนในเนเธอร์แลนด์ https://positioningmag.com/1265446 Fri, 21 Feb 2020 13:29:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265446 จำนวนบริษัทที่เริ่มจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเนเธอร์แลนด์ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากความความกังวลต่อ “Brexit” การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ

ศูนย์ดูแลการลงทุนจากต่างประเทศของเนเธอร์แลนด์ (NFIA) ระบุว่า ในปี 2019 กว่า 78 บริษัทตัดสินใจที่จะเปิดสำนักงานหรือย้ายการดำเนินงานมายัง กลุ่มประเทศ “เบเนลักซ์” หรือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจยุโรปตะวันออก ประกอบด้วย เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก เเละหากนับจากปี 2016 ตั้งเเต่เริ่มมีประเด็น Brexit เป็นต้นมาก็มีบริษัทต่างประเทศย้ายมากว่า 140 บริษัทเเล้ว

แนวโน้มดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในแต่ละปี โดยคาดว่ายอด 140 บริษัทนี้จะสร้างงานในประเทศมากกว่า 4,200 ตำแหน่ง และมีมูลค่าการลงทุนกว่า 375 ล้านยูโร ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ทั้วนี้ อังกฤษเพิ่งถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) ไปเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา เเละกำลังเข้าสู่ช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อดำเนินการเจรจาข้อตกลงความสัมพันธ์เเละการค้าใหม่กับประเทศสมาชิก EU ที่เหลืออีก 27 ประเทศ

“ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าการเจรจาต่อรองจะเป็นอย่างไร ซึ่งความไม่แน่นอนนี้กำลังผลักดันให้บริษัทต่างๆมองหาทางเลือกอื่น” Jeroen Nijland หนึ่งในคณะกรรมการของ NFIA กล่าว

NFIA เผยว่าตอนนี้กำลังพูดคุยกับ 425 บริษัทเกี่ยวกับการย้ายมาหรือการขยายธุรกิจในเนเธอร์แลนด์

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เนเธอร์แลนด์มีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดที่มีการค้าต่างประเทศค่อนข้างสูง จึงกลายเป็นประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจาก Brexit

ทั้งนี้ เหล่าบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ส่วนใหญ่ จัดอยู่ในกลุ่มการเงิน เทคโนโลยีสื่อโฆษณา วิทยาศาสตร์เเละธุรกิจสุขภาพ

ที่มา : Reuters / Brexit brings record number of businesses to Netherlands in 2019

]]>
1265446