เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 31 Jul 2024 04:54:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ถ้าเป็นไปได้ อยากมีพันธมิตรร่วมทุนทุกโครงการ” กลยุทธ์ใหม่ MJD ลดความเสี่ยง ลดต้นทุน https://positioningmag.com/1484415 Tue, 30 Jul 2024 10:19:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484415 MJD วางกลยุทธ์ใหม่มองหา “พันธมิตรร่วมทุน” ทุกโครงการ เพื่อลดความเสี่ยงและลดต้นทุนทางการเงิน ปัจจุบันมี “JV Partner” จากหลากหลายสัญชาติ โดยล่าสุดที่เพิ่งเซ็นดีลคือ “Mori Trust” จากญี่ปุ่นซึ่งเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ อาเซียนเป็นครั้งแรก แย้มมีดีลบริษัทญี่ปุ่นอีก 2 เจ้าจ่อเซ็น

“นฑา กิตติอักษร” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ MJD เปิดเผยแนวทางบริหารธุรกิจของบริษัทในยุคนี้ว่าจะใช้กลยุทธ์มองหา “พันธมิตรร่วมทุน” เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ หลังจากต้นทุนส่วนที่ดินขยับสูงขึ้นมาก

“ค่าที่ดินคิดเป็น 25% ของการลงทุนพัฒนาโครงการและเราต้องลงไปก่อน ทำให้เราต้องการมี JV Partner มาช่วยลดความเสี่ยงการลงทุน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีพันธมิตรร่วมทุนทุกโครงการหลังจากนี้” นฑากล่าว

ทำให้วิธีการจัดซื้อที่ดินของ MJD จากนี้จะเป็นการตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาเพื่อซื้อที่ดินโดยเฉพาะเพื่อความคล่องตัวในร่วมทุนเมื่อเจรจาสำเร็จในภายหลัง ทั้งนี้ ส่วนที่ดินเก่าที่บริษัทจัดซื้อไว้แล้วจะลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งนฑาระบุว่าบริษัทเหลือแลนด์แบงก์ไม่มากแล้ว

MJD ร่วมทุน
“นฑา กิตติอักษร” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ MJD

ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ระบุว่าดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2/2562 มีค่าดัชนีอยู่ที่ 236.9 จุด ถัดมาในไตรมาส 2/2567 พุ่งขึ้นมามีค่าดัชนีเท่ากับ 398.2 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 68% ภายในรอบ 5 ปีเท่านั้น

นฑากล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา MJD มีพันธมิตรร่วมทุนจากหลากหลายสัญชาติ เช่น สิงคโปร์ อิสราเอล เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และยังเปิดกว้างต้อนรับนักลงทุนบริษัทใหม่ๆ เสมอเพื่อร่วมทุนเป็นรายโครงการ

ยกตัวอย่างเมื่อปี 2566 MJD มีการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัท GS E&C จากเกาหลีใต้ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ “Maru Chula” คอนโดมิเนียมไฮไรส์ทำเลใกล้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท

MJD
มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา 1

ขณะที่ปี 2567 นี้ เพิ่งประกาศเซ็นดีลกับกลุ่มบริษัทอสังหาฯ “Mori Trust” จากญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการ “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา 2” โครงการแนวราบมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท

สำหรับกลุ่ม Mori Trust เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่มีการลงทุนในญี่ปุ่นและกระจายการลงทุนสู่ต่างประเทศในสหรัฐฯ หลายเมือง เช่น นิวยอร์ก บอสตัน วอชิงตัน โดยนฑาเปิดเผยว่า การเข้ามาลงทุนกับ MJD ในไทยถือเป็นครั้งแรกที่ Mori Trust มีการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และครั้งแรกที่ลงทุนในอสังหาฯ เพื่อขาย เพราะปกติแล้วบริษัทนี้นิยมลงทุนในอสังหาฯ เพื่อเช่า เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม รีสอร์ต

“นักลงทุนญี่ปุ่นต้องการออกมาลงทุนนอกประเทศมาก เพราะถ้าได้ผลตอบแทนมากกว่า 0% ถือว่าดีหมดสำหรับเขา อย่างในประเทศไทยเราถือว่าได้ IRR 10% ขึ้นไป ทำให้ญี่ปุ่นต้องการมาลงทุน” นฑาเปิดเผย โดย MJD ยังอยู่ระหว่างเจรจาดีลเพิ่มอีก 2 บริษัท เป็นบริษัทจากญี่ปุ่นทั้งคู่ และเคยเข้ามาลงทุนในไทยแล้ว

  • “MJD” จับช่องว่างตลาด “ทาวน์เฮาส์หรู” เปิดแบรนด์ใหม่ “มิลฟอร์ด” ลุยทำเลรามคำแหง
  • “เดอะ เกรท รูม” ขยายสาขา 2 ที่ “พาร์ค สีลม” ชูโมเดลธุรกิจ “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” ร่วมทุนเจ้าของอาคาร

MJD เป็นบริษัทอสังหาฯ ขนาดกลางที่เน้นการลงทุนในเซ็กเมนต์ระดับกลางจนถึงอัลตราลักชัวรี และมีจุดเด่นเป็นเจ้าแรกที่ประกาศให้อสังหาฯ ทุกโครงการที่พัฒนาเป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยง (pet-friendly) รวมถึงคอนโดฯ ที่ปกติในไทยมักจะไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ ที่ผ่านมา MJD มีสัดส่วนรายได้ 90% จากคอนโดฯ และ 10% จากแนวราบ แต่นฑากล่าวว่ากลยุทธ์การลงทุนของบริษัทได้เปลี่ยนไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคหลังโควิด-19 ทำให้รายได้ของบริษัทจะเปลี่ยนสัดส่วนเป็น 60% จากคอนโดฯ และ 40% จากแนวราบภายในปี 2570

]]>
1484415
“MJD” จับช่องว่างตลาด “ทาวน์เฮาส์หรู” เปิดแบรนด์ใหม่ “มิลฟอร์ด” ลุยทำเลรามคำแหง https://positioningmag.com/1484353 Sat, 27 Jul 2024 12:27:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484353 โอกาสในตลาดอสังหาฯ กลุ่มลักชัวรียังมี! “MJD” งัดที่ดิน 12 ไร่ซอยรามคำแหง 53 เปิดแบรนด์ใหม่ “มิลฟอร์ด” พัฒนาโปรดักส์ “ทาวน์เฮาส์หรู” ราคา 18-35 ล้านบาท จับกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้เมืองในแพ็กเกจราคาที่ต่ำกว่าบ้านเดี่ยว

บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) เปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัท “มิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหง” มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท พัฒนาเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ระดับลักชัวรี ราคา 18-35 ล้านบาท จำนวน 84 ยูนิต บนที่ดิน 12 ไร่

ทำเลที่ตั้งในซอยรามคำแหง 53 ซึ่งเป็นซอยที่สามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้ 3 เส้นทาง คือ ถ.รามคำแหง ถ.ลาดพร้าว และ ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม เข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ ได้สะดวก รวมถึงอยู่ใกล้แหล่งงานและแหล่งการศึกษาสำคัญ เช่น ทาวน์อินทาวน์, รร.บดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี), ม.รามคำแหง

มิลฟอร์ด MJD
“Glass Sky Box”

โปรดักส์ออกแบบเป็นทาวน์เฮาส์ 3.5 ชั้นมีขนาดที่ดินตั้งแต่ 24.5 – 72 ตารางวา ห้องนอน 3-5 ห้อง ที่จอดรถ 3-6 คัน ดีไซน์แบบ “English Eclectic Design” กลิ่นอายอังกฤษ มีไฮไลต์ที่ดีไซน์เปลี่ยนระเบียงบางส่วนของตัวบ้านเป็น “Glass Sky Box” หน้ามุขกล่องกระจก เพิ่มพื้นที่ใช้สอยเป็นที่นั่งชมวิว นั่งทำงาน หรือปลูกต้นไม้ในบ้าน

“นฑา กิตติอักษร” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MJD กล่าวว่า “มิลฟอร์ด” เป็นโครงการแรกในรอบ 25 ปีที่บริษัทกลับมาพัฒนาโครงการที่เป็นทาวน์เฮาส์ทั้งโครงการ โดยกลับมาเพราะเห็นโอกาสในตลาดปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าเจ้าของธุรกิจที่ต้องการที่อยู่อาศัยในแพ็กเกจราคานี้ แต่ต้องการทำเลใกล้เมือง และมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอสำหรับคนในครอบครัว ทำให้โปรดักส์ที่เหมาะสมจึงเป็น “ทาวน์เฮาส์” ซึ่งใช้ที่ดินน้อยกว่า ขยับมาใกล้เมืองได้มากกว่า

มิลฟอร์ด MJD
(ซ้าย) บรรยากาศห้องรับแขกและโต๊ะทานอาหารชั้น 1 (ขวา) มุมมองจาก Glass Sky Box หน้ามุขชมวิว

“คู่แข่งโดยตรงไม่มี เพราะไม่มีโครงการทาวน์เฮาส์บนถนนรามคำแหงช่วงต้น แต่จะมีโครงการบ้านเดี่ยวในละแวกใกล้เคียง ซึ่งแพ็กเกจราคาแพงกว่า ราคาอาจจะไม่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้” นฑากล่าว

ผู้สื่อข่าว Positioning สำรวจพื้นที่รอบๆ มิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหง พบว่าโครงการแนวราบที่ยังอยู่ระหว่างขายมักจะเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี เช่น “ธารารมณ์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ รามคำแหง 9” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นราคาเริ่มต้น 44 ล้านบาท หรือ “โนเบิล เทอร์รา พระราม 9 – เอกมัย” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นราคาเริ่มต้น 45 ล้านบาท

ห้องนอนมาสเตอร์

นฑากล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มมีผู้ที่สนใจลงทะเบียนเข้ามาแล้วกว่า 100 ราย และจะเปิดขายแกรนด์โอเพนนิ่งวันที่ 17-18 สิงหาคมนี้ วางเป้าหมายยอดขายของโครงการมิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหงแตะ 40-50% ภายในสิ้นปี 2567

ด้านโอกาสการขยายแบรนด์มิลฟอร์ดไปปักหมุดในทำเลอื่นๆ นฑาระบุว่า ในไตรมาส 4 จะมีอีกโครงการคือ “มิลฟอร์ด โฮม สตูดิโอ ลาดพร้าว” เป็นโครงการขนาดเล็กมูลค่า 100 ล้านบาท พัฒนาเป็นโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น จำนวน 3 ยูนิตเท่านั้น ราคาประมาณ 30 ล้านบาทต่อหลัง

ห้องเล่นเด็ก

ขณะที่ทำเลอื่นๆ ที่อาจจะมีการจัดซื้อที่ดินในอนาคต จะมองหาที่ดินเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 6-7 ไร่ในทำเลใกล้เมือง เช่น โซนกาญจนาภิเษก ซึ่งนฑายอมรับว่าการหาที่ดินคืออุปสรรคสำคัญในการพัฒนาโครงการลักษณะนี้ เพราะที่ดินราคาเหมาะสมและมีเนื้อที่พอสมควรค่อนข้างหายากแล้วในทำเลใกล้เมือง

  • พาชม “คอนโดอารมณ์ทาวน์เฮาส์” ที่อยู่อาศัยฉีกแนวใหม่ในโครงการ “บ้านกรีนเฮ้าส์ รังสิต สเตชั่น – ซ.เวิร์คพอยท์”
  • ได้อีก! “ราคาบ้าน” สูงขึ้น 5 ไตรมาสติดต่อกัน “บางพลี-บางบ่อ” แชมป์ทำเลถีบตัวสูงสุดทั้งบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์

สำหรับภาพรวมยอดขายของ MJD ครึ่งปีแรก 2567 นฑาระบุว่าทำยอดขายได้กว่า 5,000 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 7,000 ล้านบาท ถือว่าได้ยอดขายดีเกินคาด

ส่วนครึ่งปีหลังนี้นอกจาก “มิลฟอร์ด” ทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1-2 แห่ง และน่าจะทำให้ทั้งปีนี้ MJD สร้างยอดขายได้ตามเป้า ส่วนการเทิร์นอะราวด์กลับมาทำกำไร นฑายังไม่ยืนยันว่าจะเป็นไปได้ในปี 2567 แต่เชื่อว่าน่าจะเริ่มเห็นการกลับมาทำกำไรของ MJD ได้ภายในต้นปี 2568 เพราะโครงการคอนโดมิเนียมจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์

]]>
1484353
“10 & Only” บ้านหรูร้อยล้านจากเมเจอร์ฯ ผสาน “โรงรถ 2 ชั้น” ไว้ในบ้าน เอาใจกลุ่มนักสะสมรถ https://positioningmag.com/1438539 Fri, 21 Jul 2023 08:53:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438539 “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เปิดตัวโครงการสุดหรู “10 & Only” (เทน แอนด์ โอนลี่) พัฒนาการ 20 บ้านเดี่ยว 3-4 ชั้น ราคา 80-130 ล้านบาท ไฮไลต์ฟังก์ชัน “โรงรถ” ที่สามารถจอดได้ 5-12 คันต่อหลัง และมีพื้นที่จอดแบบ ‘Duplex’ ด้านในตัวบ้าน ผสานพื้นที่กับบริเวณเลาจน์ห้องสังสรรค์ เจาะกลุ่มนักสะสมรถ

ตามแผนที่แถลงไว้ตั้งแต่ต้นปี 2566 ว่าปีนี้ “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” จะมีการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี เซ็กเมนต์สูงสุดที่บริษัทเคยพัฒนามา ล่าสุด “เพชรลดา พูลวรลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ฯ ประกาศความพร้อมแล้วว่า โครงการ “10 & Only” (เทน แอนด์ โอนลี่) บ้านเดี่ยวราคา 80-130 ล้านบาท เตรียมเปิดจองช่วงเดือนสิงหาคมนี้

โครงการ 10 & Only เป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่มีเพียง 10 หลังตามชื่อโครงการ ทำเลตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 20 โดยใช้แรงบันดาลใจกลิ่นอายจากอาคาร “บาร์เซโลนา พาวิลเลียน” ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Ludwig Mies van der Rohe เจ้าของคอนเซ็ปต์การออกแบบ “Less is More” มีฐานการออกแบบในสไตล์โมเดิร์น ผสมกลิ่นอายความคลาสสิกเข้ามาให้เกิดความลงตัว และทำให้เป็น “Timeless Design” ที่ไม่ล้าสมัยเมื่อเวลาผ่านไป

“เพชรลดา พูลวรลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์

สวรรค์นักสะสมรถ

บ้านในโครงการนี้จะเป็นบ้านเดี่ยว 3 ขนาด สูง 3-4 ชั้น ที่ดินขนาดตั้งแต่ 91-114 ตารางวา เป็นบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ได้ 3 เจนเนอเรชัน

แต่ไฮไลต์ที่แท้จริงของ 10 & Only อยู่ที่ “โรงรถ” เพราะบ้านแต่ละหลังมีที่จอดรถขั้นต่ำ 5 คัน และต่อเติมให้จอดได้สูงสุด 12 คัน เหมาะกับบ้านคนรักรถ

10 & Only
บ้านเดี่ยว 4 ชั้น หลังขนาดใหญ่ที่สุดในโครงการ 10 & Only

ที่สำคัญคือ จะมีพื้นที่จอดรถส่วนหนึ่งที่เป็น Duplex และเข้าไปอยู่ภายในบ้าน ที่จอดรถ 2 ชั้นนี้จะเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่เลาจน์ห้องสังสรรค์รับแขก ขนาบอีกด้านด้วยสระว่ายน้ำ เป็นโซน “Duplex Supercar Lounge” ออกแบบเพื่อเป็นพื้นที่ในฝันของนักสะสมรถ โดยเฉพาะซูเปอร์คาร์ รถคลาสสิก รถหรูที่มีความพิเศษ ควรค่าแก่การจัดแสดงในพื้นที่บ้านเพื่อให้เจ้าของได้ชื่นชมทุกวัน และสามารถชวนเพื่อนๆ มาชื่นชมด้วยกันได้

เพชรลดากล่าวว่า บ้านหลังนี้คิดจากอินไซต์คนรักรถที่ “มีรถเท่าไหร่ก็คงไม่พอ” และต้องการพื้นที่ไว้แสดงรถ ส่วนพื้นที่โรงรถปกติก็จะต้องมีที่จอดให้กับรถบ้าน รถตู้ครอบครัว พร้อมจุดชาร์จ EV รองรับเทคโนโลยีอนาคต

 10 & Only
Duplex Supercar Lounge ภายในบ้านโครงการ 10 & Only

ภายในบ้านยังมีเทคโนโลยีเพื่อ “สุขภาพ” และความสะดวกสบายต่างๆ ด้วย เช่น ระบบบ้านเย็น, บ้านปลอดฝุ่น, ระบบ Home automation ซึ่งระบบบ้านเย็นและปลอดฝุ่นนี้จะเป็นผลดีกับการเก็บรักษารถในบ้านด้วย

 

บ้านหรูร้อยล้านขายดี ผู้ซื้อไม่มีปัญหา

10 & Only จะเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าจะสร้างเสร็จครบทั้งโครงการภายในไตรมาส 4 ปี 2567 โอนกรรมสิทธิ์พร้อมกันทั้งโครงการ เพื่อไม่ให้การก่อสร้างรบกวนการอยู่อาศัย

โดยเพชรลดาเชื่อมั่นว่า เมเจอร์ฯ จะมียอดจองครบภายในไตรมาส 4 ปีหน้า เนื่องจากทำเลพัฒนาการช่วงต้น ขณะนี้ไม่มีซัพพลายบ้านหรูระดับนี้เหลืออยู่

โรงรถที่เปรียบเหมือนได้จัดแสดงรถไว้ในบ้าน

Positioning สำรวจพบว่า โครงการบ้านหรูในย่านพัฒนาการช่วงต้นที่เปิดขายในช่วงปี 2565-66 จะมีโครงการ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32” พัฒนาโดย บมจ.สิงห์ เอสเตท ราคา 65-180 ล้านบาท มีเพียง 28 หลัง และโครงการ “บูก้าน (BuGaan) พัฒนาการ” พัฒนาโดย บมจ.แสนสิริ ราคา 65-115 ล้านบาท มีเพียง 17 หลัง

บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรีในย่านนี้ถือว่าเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ยกตัวอย่างโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32 ทางสิงห์ เอสเตท เคยให้ข้อมูลว่าโครงการเพิ่งเปิดตัวช่วงปลายปี 2565 แต่ใช้เวลาไม่กี่เดือน สามารถปิดการขายไปได้แล้ว 26 หลัง เหลือเพียง 2 หลังสุดท้าย (ข้อมูลเดือนมกราคม 2566)

  • TikTok: พาชมบ้านเดี่ยวหลังละ 130 ล้านบาทที่โครงการ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32”
  • “เอพี” ปี 2566 ตั้งเป้าเปิดตัว 58 โครงการ 77,000 ล้านบาท รุกเซ็กเมนต์ใหม่ “บ้านหรู 100 ล้าน”

เพชรลดาแห่งเมเจอร์ฯ เองมีข้อมูลของตลาดบ้านเดี่ยวกรุงเทพฯ มาชี้ให้เห็นเช่นกันว่า มีแนวโน้มเติบโตในกลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี โดยหากนับเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 70 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2566 มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้น 220% หากคิดตามจำนวนหลัง หรือเพิ่มขึ้น 63% หากคิดตามมูลค่า ทำให้ปีนี้บ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรีมีมูลค่าโครงการเปิดใหม่ร่วม 11,900 ล้านบาทแล้ว

แนวโน้มของตลาดที่หันมาจับเซ็กเมนต์บ้านเดี่ยวร้อยล้านกันมากขึ้นนั้น เกิดจากการมองหาพื้นที่ขายที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อเพียงพอและอัตราดอกเบี้ยไม่มีผลกระทบ ต่างจากกลุ่มบ้านในราคา 2-10 ล้านบาทที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง เพราะภาวะหนี้ครัวเรือนสูงและอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นทำให้จะมีปัญหาติดขัดเรื่องการขอสินเชื่อบ้าน

]]>
1438539
ลุยเต็มสูบ! “เมเจอร์” ปี 2566 เปิดตัว 14,700 ล้านบาท ผุดแบรนด์ใหม่รวด 5 แบรนด์ https://positioningmag.com/1419214 Tue, 14 Feb 2023 08:41:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1419214 หลังผ่านช่วงโควิด-19 ปี 2566 “เมเจอร์” จะกลับมาลุยอสังหาฯ เต็มสูบ 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,700 ล้านบาท โดยมี 5 แบรนด์ใหม่เจาะตลาดไฮเอนด์ถึงซูเปอร์ลักชัวรี คอนโดฯ ปักธง 2 ทำเล พร้อมพงษ์และพญาไท ปี 2567 เตรียมขึ้นมิกซ์ยูสใกล้อารีย์ ฮิลส์

“เพชรลดา พูลวรลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนปี 2566 บริษัทจะกลับมาลงทุนอสังหาฯ แบบ All-time High โดยเตรียมเปิดทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,700 ล้านบาท

ที่ถือว่าเป็น ‘การกลับมา’ เพราะเมเจอร์ฯ มีช่วงที่ไม่ได้เปิดโครงการใหม่เลยต่อเนื่อง 2 ปีในช่วงปี 2563-64 ซึ่งเป็นผลจากโควิด-19 และปี 2565 มีการเปิดใหม่เพียง 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,200 ล้านบาท ปีนี้จึงเป็นปีแห่งการบุกตลาด

สรุปเป้าหมายธุรกิจปี 2566 ของเมเจอร์ฯ

ด้านเป้าหมายยอดขายตั้งไว้ที่ 7,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 200% และเป้าหมายรายได้ 5,000 ล้านบาท เติบโต 67% ซึ่งเพชรลดาเชื่อว่าจะทำให้ปีนี้เมเจอร์ฯ เทิร์นอะราวด์ทำกำไรสำเร็จ

 

ขึ้นแบรนด์ใหม่รวด 5 แบรนด์

เจาะลึกโครงการที่จะเปิดตัวปีนี้ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการมูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท และแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวม 5,900 ล้านบาท รายละเอียดทุกทำเล ดังนี้

  1. มิวนีค (Muniq) พร้อมพงษ์ ทำเลปากซอยสุขุมวิท 39 (ติดกับโครงการ Marque สุขุมวิท ของเมเจอร์ฯ เอง) ราคาเฉลี่ย 310,000 บาทต่อตร.ม. โดยเป็นโครงการที่เลื่อนมาจากแผนเดิมเมื่อปี 2564
  2. มาร์ควิส (Marquis) พญาไท มาในคอนเซปต์ใหม่เป็น Super Luxury Wellness Condo ราคาเฉลี่ย 265,000 บาทต่อตร.ม.
  3. เมย์ฟิลด์ (Mayfield) ปิ่นเกล้า แบรนด์พรีเมียมทาวน์โฮม คอนเซปต์ที่อยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติ ราคา 13-16 ล้านบาท
  4. เมย์ฟิลด์ (Mayfield) รามอินทรา-คู้บอน แบรนด์พรีเมียมทาวน์โฮม คอนเซปต์ที่อยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติ ราคา 12-15 ล้านบาท
  5. เมย์ฟิลด์ เลน (Mayfield Lane) รัชดา-ลาดพร้าว แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี ราคา 34-41 ล้านบาท
  6. มิลฟอร์ด (Milford) ลาดพร้าว-รามคำแหง ไพรเวท ลักชัวรี ทาวน์โฮม ราคาขาย 14-17 ล้านบาท
  7. บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี แบรนด์ใหม่ ย่านพัฒนาการ ราคา 65-100 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างตั้งชื่อ แต่จะเป็นแบรนด์แบบ Limited Edition
เมเจอร์ 2566
แผนการเปิดตัวโครงการปี 2566 ของเมเจอร์ฯ

สังเกตว่าปีนี้มีการเปิดแบรนด์ใหม่ถึง 5 แบรนด์ ซึ่งเป็นการเปิดมาให้รองรับกับเซ็กเมนต์และพฤติกรรมรูปแบบที่เหมาะกับทำเล โดยเฉพาะแนวราบนั้นปกติเมเจอร์ฯ มีการพัฒนามาไม่มากและมักจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป ปีนี้จึงได้เห็นแบรนด์ใหม่ๆ ขึ้นมาครอบคลุมโปรดักส์ เช่น บ้านแฝด ทาวน์โฮม ในตลาดราคา 10 ล้านต้นๆ จนถึง 30 ล้านบาทมากขึ้น

 

ปี’67 มีแผนรอแล้ว จับตามิกซ์ยูสย่าน “อารีย์”

เมื่อกลับมาลุยเต็มสูบ ปี 2567 เมเจอร์ฯ จึงมีแผนรองรับแล้วเช่นกัน โดยจะเปิดทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 14,000 ล้านบาท

ไฮไลต์ทำเลที่มีที่ดินรองรับแล้ว พร้อมขึ้นโครงการ ได้แก่ มิกซ์ยูสทำเลใกล้อารีย์ ฮิลส์ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งออฟฟิศและคอนโดฯ กับโครงการคอนโดฯ มารุ จุฬา มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท คาดเปิดขายในราคาเฉลี่ย 135,000 บาทต่อตร.ม.

“เพชรลดา พูลวรลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ กับน้องแฮปปี้ นกกระตั้วแสนรัก

ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างหาที่ดิน โดยทำเลหนึ่งที่กำลังเล็งอยู่คือกรุงเทพกรีฑา จากยอดขายโครงการ มอลตัน เกตส์ กรุงเทพกรีฑา ที่เปิดตัวปีก่อนพุ่งเกินคาด ทำให้มองว่าดีมานด์ยังมีอยู่อีก

  • ถอดบทเรียน “คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้” ประสบการณ์ 20 ปีของ “โอ๋-เพชรลดา” แห่ง MJD
  • “อนันดาฯ” ปี 2566 ผ่อนคันเร่งเปิดโครงการใหม่ เน้นระบายสต็อกพร้อมอยู่ 45,000 ล้านบาท

 

อนาคต 5 ปีต้อง “Diversify”

เพชรลดายังกล่าวถึงแผนระยะยาว 5 ปีของบริษัทด้วยว่า บริษัทต้องการจะ Diversify แหล่งรายได้ให้มากขึ้น จากปัจจุบัน 96% ของรายได้มาจากอสังหาฯ เพื่อขาย และ 4% มาจากรายได้ค่าเช่าออฟฟิศ ห้องพักโรงแรม และค่าบริหารโครงการ

อนาคตของเมเจอร์ฯ ต้องการจัดแหล่งรายได้ใหม่ แบ่งสัดส่วน ดังนี้

  • 65% จากอสังหาฯ เพื่อขาย
  • 8% จากออฟฟิศและโรงแรม
  • 7% จากบริษัทรับจ้างบริหารโครงการ/นิติบุคคล
  • 20% ธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่อสังหาฯ (non-real estate)
แผนการ Diversify กระจายแหล่งรายได้ภายใน 5 ปี

ธุรกิจใหม่ของเมเจอร์ฯ เริ่มลงทุนไปบ้างแล้วในบริษัทสตาร์ทอัพด้านสุขภาพและด้านเทคโนโลยีในชื่อ “HealthScape” และ “TechScape” เริ่มตั้งแต่ปี 2563 และได้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบหลังบ้านให้กับเมเจอร์ฯ เช่น ระบบบริหาร CRM ลูกค้า

ภายในปี 2567 บริษัทมีงบลงทุนธุรกิจใหม่อีก 200 ล้านบาท ในระยะยาวอาจจะมีการลงทุน JV กับบริษัทใหม่ได้อีก หรือเป็นการควบรวมกิจการ หรือจัดตั้งจากคนในบริษัทเองก็ได้ แต่คอนเซปต์ธุรกิจใหม่จะต้องเกี่ยวข้องกับ “LifeScape” แต่ไม่ใช่การลงทุนในลักษณะอสังหาฯ (non-real estate)

“สถานการณ์แบบ ‘VUCA World’ ทำให้การมีธุรกิจแค่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ตอบโจทย์โลกที่ไม่แน่นอน เราต้องเริ่มหาน่านน้ำใหม่ที่เป็นเทรนด์อนาคต อะไรที่เมเจอร์ฯ จะต่อยอดได้” เพชรลดากล่าว “นิยามใหม่ของเราคือการเป็น LifeScape Developer เราไม่ใช่แค่ทำการออกแบบก่อสร้าง เพราะเราต้องเข้าใจการใช้ชีวิตของคน และเราเปิดโอกาสตัวเองให้ทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับภูมิทัศน์การใช้ชีวิต”

(*VUCA World หมายถึง V-Volatility ความผันผวน, U-Uncertainty ความไม่แน่นอน, C-Complexity ความซับซ้อน และ A-Ambiguity ความคลุมเครือ)

]]>
1419214
รู้จัก “ธนา ต่อสหะกุล” จากนักลงทุนคอนโด สู่ผู้บริหาร MDPC https://positioningmag.com/1351421 Mon, 13 Sep 2021 06:19:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351421 ทำความรู้จัก ธนา ต่อสหะกุล จากอดีตนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ สู่กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด MDPC ในเครือเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์

นอกเหนือจากทำเล และราคา การบริหารจัดการโครงการและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัย เพราะสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตตั้งแต่วันแรกที่เข้าอยู่จนถึงวันสุดท้ายก่อนขยับขยายสู่ความสำเร็จก้าวต่อไป

ภารกิจของ ธนา ต่อสหะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด MDPC Expertise Meets Excellence จึงไม่ได้เสร็จสิ้นลงพร้อมกับการโอนกรรมสิทธิ์ แต่ยังต้องดำเนินต่อเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแก่เจ้าของร่วมและลูกบ้านทุกคนตลอดการอยู่อาศัยในโครงการ

หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เริ่มต้นอาชีพด้วยตำแหน่งวิศวกรไฟฟ้าโทรคมนาคมในธุรกิจสำรวจและขุดเจาะน้ำมันที่ต่างประเทศถึง 2 ปี แล้วข้ามกลับมาทำงานที่ประเทศไทยในสายงาน Service Engineer ดูแลระบบเมนเฟรมคอมพิวเตอร์

ก่อนจะได้รับคำชักชวนให้มาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่คอนโดมิเนียมกำลังได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในที่ดิน บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ซื้อขายทรัพย์กรมบังคับคดี และทรัพย์ NPA รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่ Renovation and Decoration และเฝ้ามองทิศทางการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยมาเรื่อยๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดการลงทุนอสังหาฯ จนมาถึงการส่งมอบ งานบริการด้านอสังหาฯ อย่างครบวงจร

“การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่แค่การซื้อมาขายไป ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจลูกค้าในหลายมิติมาก เราต้องเข้าใจทำเล รู้ว่าทำเลไหนน่าลงทุน และเข้าใจไลฟ์สไตล์ลูกค้า รู้ Customer Insight เข้าใจเรื่องดีไซน์ รู้ว่าห้องต้องตกแต่งระดับไหนถึงจะสามารถขายได้ ที่สำคัญคือ การวางกลยุทธ์การตลาดและโปรโมชันช่วงเวลาไหนที่จำเป็น เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ และการบริการหลังการขายควรมีอะไร นักลุงทนอสังหาริมทรัพย์ต้องรู้จักบริหารจัดการพอร์ตคอนโดมิเนียมที่เราถืออยู่ในมือ เพื่อไม่ให้โอกาสกลายเป็นความเสี่ยง”

จากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้ธนาเห็นภาพของทั้งระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ แม้จะข้ามเส้นทางจากอาชีพวิศวกรมาสู่อีกธุรกิจ แต่งานบริการคล้ายกับลักษณะงานที่เคยทำมาตลอดตั้งแต่แรกเริ่ม รวมกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ทั้งการเป็นผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและซื้อลงทุน จึงไม่เป็นอุปสรรคในการต่อยอด สู่วงการอสังหาริมทรัพย์ เมื่อได้มีโอกาสเป็น Agency Partner ช่วยสร้างยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำได้อย่างต่อเนื่อง

“ไม่ว่าจะเซ็กเมนต์ไหน โดยธรรมชาติของลูกค้าต้องเลือกในสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการให้มากที่สุดเสมอ บางครั้งเราจึงต้องมีแผนสำรองเพื่อปรับบางจุดที่อาจจะไม่แมตช์กับลูกค้าให้กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ก่อนที่เราจะเสียโอกาสนั้นไป เช่น ถ้าคอนโดมิเนียมที่เราเสนอมีครบทั้งคุณภาพ ดีไซน์ และทำเล แต่โปรโมชันอาจยังไม่ตรงใจลูกค้า หรือยังไม่ตอบโจทย์สภาพเศรษฐกิจขณะนั้น เราก็ต้องรีบปรับตัวแล้วเสนอในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า”

นอกจากประสบการณ์ด้านการขายโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว ธนายังเคยรับบทบาทบริหารภาพรวมธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ รับผิดชอบตั้งแต่กระบวนการขายไปจนถึงการดูแลหลังการเข้าอยู่อาศัย ก่อนจะก้าวสู่โอกาสใหม่อีกครั้งในตำแหน่งผู้บริหารที่ดูแลการขับเคลื่อนของบริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด MDPC Expertise Meets Excellence ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในเครือเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์

ซึ่งให้บริการใน 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจบริหารจัดการอาคาร 2.ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ 3.ธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ 4.ธุรกิจตกแต่งและปรับปรุงที่อยู่อาศัย 5.ธุรกิจบริการด้านความสะอาด 6.ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง

หนึ่งในโจทย์ที่ท้าทาย คือ งานบริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร การเข้าถึงความต้องการของผู้ซื้อที่กลายมาเป็นลูกบ้านในอีกแง่ที่ต้องเข้าถึงมากขึ้น โดยเฉพาะงานด้านบริหารจัดการอาคาร (Property Management) ที่มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลคุณภาพชีวิตของลูกบ้านให้อยู่อาศัยในโครงการได้อย่างมีความสุขภายใต้การดูแลของ MDPC

ทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของลูกบ้านในอนาคต ภารกิจหลักในฐานะผู้บริหารจึงเป็นการพัฒนานวัตกรรม Living Solutions อาทิ เทคโนโลยี M365 ดูแลระบบวิศวกรรมอาคารและแอปพลิเคชัน Lifescape ซึ่งตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เช่นเดียวกับการพัฒนา Essential Skills และปลูกฝัง Service Mind ในตัวตนของพนักงานทุกคนในการส่งมอบ Worry-Free Services รวมถึงธุรกิจบริการด้านความสะอาด และธุรกิจตกแต่งและปรับปรุงที่อยู่อาศัย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกด้านให้แก่ลูกบ้าน

“การสั่งสมประสบการณ์ในหลากหลายด้านรวมกว่า 20 ปี รวมถึงประสบการณ์ที่เคยเป็นนักลงทุนเอง ทำให้เราค่อนข้างเข้าใจความคิดของลูกค้า ดังนั้น ในวันที่เราขึ้นมาเป็นคนดูแลภาพรวมทุกอย่างขององค์กร จึงพยายามต่อยอดและบอกกับทีมงาน MDPC ทุกคนเสมอว่าหัวใจสำคัญของงานบริการ คือ ต้องดูแลลูกค้าทุกคนให้ดีที่สุด และเสนอให้มากกว่าความคาดหวังของลูกค้าถ้ามีโอกาส และตั้งใจที่จะสร้างรากฐานที่มั่นคงในการขับเคลื่อนองค์กร”

]]>
1351421