“เดอะ เกรท รูม” ขยายสาขา 2 ที่ “พาร์ค สีลม” ชูโมเดลธุรกิจ “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” ร่วมทุนเจ้าของอาคาร

  • “เดอะ เกรท รูม” (The Great Room) ขยายสาขาสองในไทยที่ “พาร์ค สีลม” โดยเป็นการร่วมทุนกับ “นายณ์ เอสเตท” และ “ไมเนอร์” บริษัทเจ้าของอาคาร ชูโมเดลธุรกิจนี้แข็งแรงและยั่งยืนกว่าในการพัฒนา “โคเวิร์กกิ้งสเปซ”
  • ชี้โอกาสในตลาดไทยยังมีอีกมาก เพราะออฟฟิศแบบยืดหยุ่นยังมีเพียง 1.5% ของตลาดรวม

“เดอะ เกรท รูม” (The Great Room) ประกาศเปิดตัวสาขาที่สองในไทยที่อาคาร “พาร์ค สีลม” โดยใช้พื้นที่รวม 3,500 ตารางเมตรบนชั้น 29-30 ของอาคารพาร์ค สีลม เริ่มให้บริการเดือนสิงหาคม 2566 หลังจากเปิดสาขาแรกที่อาคาร เกษร ทาวเวอร์ มาตั้งแต่ปี 2561

แบรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซแห่งนี้ก่อตั้งครั้งแรกในสิงคโปร์ ก่อนที่บริษัท Industrious จากสหรัฐฯ (มีบริษัท CBRE เป็นผู้สนับสนุนการลงทุน) จะเข้าเทกโอเวอร์ เดอะ เกรท รูม ไปเมื่อปี 2565

ปัจจุบันเดอะ เกรท รูม ขยายไป 10 สาขาใน 3 เขตการปกครอง ได้แก่ 6 สาขาในสิงคโปร์, 2 สาขาในฮ่องกง และ 2 สาขาในไทย และเตรียมเปิดตัวสาขาที่ 11 ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ภายในปี 2567 ตามแผนการขยายตัวในเอเชียแปซิฟิกของบริษัท

 

“โคเวิร์กกิ้งสเปซ” ระดับพรีเมียม หรูสุดในตลาด

เดอะ เกรท รูม
บรรยากาศโซน The Drawing Room สามารถมานั่งจิบกาแฟพูดคุยธุรกิจกันได้

ภายในตลาดที่แข่งขันสูงของธุรกิจ “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” เดอะ เกรท รูมวางตำแหน่งทางการตลาดของตัวเองไว้ในกลุ่มพรีเมียม วัดได้จาก “ราคา” ที่สูงกว่าคู่แข่งมาก

เปรียบเทียบราคา ‘Hot Desk’ หรือการสมัครสมาชิกเพื่อเข้ามาใช้งานส่วนตัวโดยไม่มีที่นั่งประจำ “เดอะ เกรท รูม” คิดราคา 8,000 บาทต่อเดือน เทียบกับ “จัสโค” คิดเพียง 5,200 บาทต่อเดือน หรือ “SPACES” ยิ่งถูกลงมาเหลือ 2,050 บาทต่อเดือนเท่านั้น

เดอะ เกรท รูม

“ซู แอน มี” ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ The Great Room ชูจุดขายของแบรนด์ที่ทำให้พรีเมียมกว่า มาจากการเลือกโลเคชันใจกลางเมือง และเลือกอาคารเกรดเอเท่านั้น

ตามด้วยการตกแต่งภายใน ดีไซน์แตกต่างจากที่อื่นด้วยสไตล์ลักชัวรี มีระดับ ให้ความเป็นผู้ใหญ่ ได้ฟีลลิ่งเหมือนเดินเข้ามาในเลาจน์ของโรงแรมระดับ 5 ดาว

ปิดท้ายด้วยการบริการภายในด้วยฮอสพิทาลิตี้แบบโรงแรม และสำหรับสาขาใหม่นี้มีการดึง “Sarnies” คาเฟ่ชื่อดังเข้ามาเปิดสาขาบริการเครื่องดื่ม เบเกอรี และอาหารด้วย

เดอะ เกรท รูม
ห้องประชุมวิวตึกมหานคร

“สิลีน เดมีร์” ผู้จัดการทั่วไป  เดอะ เกรท รูม กรุงเทพฯ ระบุว่าความแตกต่างในตลาดทำให้สาขาแรกที่เกษร ทาวเวอร์ ในส่วนพื้นที่ออฟฟิศส่วนตัว (Dedicated Offices) มีอัตราการเช่า 90-92% มาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยได้ผู้เช่าส่วนใหญ่จากกลุ่มแบรนด์สินค้าลักชัวรี และมีสมาชิก Hot Desk จากสาขานี้ 50 ราย

ด้วยผลตอบรับที่ดีหลังผ่านช่วงโควิด-19 ทำให้บริษัทมองหาที่ตั้งสาขาต่อไป ก่อนจะมาจับมือเป็นพันธมิตรกับอาคารพาร์ค สีลม

สิลีนกล่าวว่าเดอะ เกรท รูมสาขาใหม่ที่พาร์ค สีลม ปัจจุบันพื้นที่ออฟฟิศส่วนตัวมีการเช่าแล้ว 40% และวางเป้ามีอัตราเช่า 75% ภายในปี 2567 ส่วนใหญ่ในสาขานี้จะได้ผู้เช่าเป็นออฟฟิศ spin-off ของบริษัทใหญ่กลุ่มบริษัทยา, เวนเจอร์แคปปิตอล และเทคโนโลยี

 

“ร่วมทุน” เพื่อให้ธุรกิจแข็งแรงกว่า

สำหรับสาขาสองนี้ เดอะ เกรท รูม ใช้กลยุทธ์ร่วมทุนกับ “แลนด์ลอร์ด” เจ้าของอาคาร คือ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด และ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยไม่เปิดเผยอัตราส่วนการร่วมทุน

ถือเป็นกลยุทธ์ที่ต่างจากโคเวิร์กกิ้งสเปซทั่วไปที่มักจะทำสัญญาเช่าอาคารไปตามปกติ และนำมาปล่อยเช่าช่วงตามแนวทางธุรกิจของตนเอง แต่เดอะ เกรท รูม เลือกเฟ้นหาแลนด์ลอร์ดที่พร้อมจะร่วมลงทุน

(จากซ้าย) สิลีน เดมีร์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ เกรท รูม กรุงเทพฯ, สุธี ลิมปนชัยพรกุล ประธานอำนวยการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด และ ซู แอน มี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ The Great Room

“กลยุทธ์นี้เราจะทำต่อในสาขาต่อๆ ไปด้วย เพราะเราต้องการให้เดอะ เกรท รูมเป็นบริการที่มีให้กับผู้เช่าทั้งตึก ไม่ใช่เฉพาะสมาชิกของเรา ดังนั้น เราต้องมีการทำงานร่วมกันกับแลนด์ลอร์ด มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน วิสัยทัศน์เดียวกัน ได้ประโยชน์ร่วมกัน” สิลีนกล่าว

สิลีนยกตัวอย่างเดอะ เกรท รูมที่พาร์ค สีลม บนชั้น 29 จะถือเป็น ‘Amenities Floor’ สำหรับคนทั้งอาคาร เพราะผู้เช่าทุกรายในอาคารสามารถพาแขกของบริษัทมาแวะทานกาแฟที่ Sarnies พุดคุยธุรกิจในบรรยากาศสบายๆ หรือมาจองใช้ห้องประชุม/พื้นที่จัดอีเวนต์ที่รองรับได้สูงสุด 120 คน รวมถึงมาร่วมงานอีเวนต์ของทางเดอะ เกรท รูมได้

การเปิดพื้นที่ของโคเวิร์กกิ้งสเปซให้คนทั้งอาคาร ไม่ใช่แค่ที่ปิดเฉพาะสมาชิก จะทำให้ผู้เช่าทั้งอาคารของแลนด์ลอร์ดได้ประโยชน์ในการใช้งาน และโคเวิร์กกิ้งสเปซก็ได้คุณค่ามากขึ้น เพราะเปิดให้การสร้างเครือข่าย (networking) กว้างขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการทำงานใกล้ชิดกับแลนด์ลอร์ด และดีที่สุดคือต้องร่วมทุนกันเพื่อแบ่งรายได้

ตัวอย่างบรรยากาศอีเวนต์เวิร์กช็อประบายสีน้ำจากเดอะ เกรท รูมสาขาเกษร ทาวเวอร์

ปัจจุบันเดอะ เกรท รูมในไทยกำลังมองหาทำเลสาขาต่อๆ ไปและมีการพูดคุยกับเจ้าของอาคารหลายราย

“สมัยก่อนสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานในตึกต่างๆ ก็มักจะเป็นฟิตเนสหรือสวนสาธารณะ แต่ในสมัยนี้เราต้องสื่อสารกับแลนด์ลอร์ดให้ได้ว่า เราก็เปรียบเหมือนสิ่งอำนวยความสะดวกของอาคารอย่างหนึ่ง และการมีเราจะช่วยให้มีจำนวนคนเข้าออก (footfall) เยอะขึ้น รวมถึงสตาร์ทอัพหรือบริษัทขนาดเล็กหลายรายมาเริ่มตั้งสำนักงานกับเรา แต่เมื่อเขาโตขึ้นจนต้องการออฟฟิศแบบดั้งเดิม เขาก็มักจะเลือกอยู่ในอาคารเดิมนี่แหละ ซึ่งแลนด์ลอร์ดจะได้ประโยชน์ในอนาคต” ซู แอน กล่าวเสริม

 

“กรุงเทพฯ” ยังขยายได้อีกมาก

ซู แอนกล่าวเพิ่มถึงภาพรวมในตลาด “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” ในเอเชียแปซิฟิก (APAC) เธอระบุว่าเทรนด์ยังเป็นขาขึ้น เพราะในฝั่งดีมานด์นั้นมีบริษัทที่หันมาใช้ออฟฟิศแบบยืดหยุ่น (Flexible Offices) แล้ว 48% และมีบริษัท 52% ที่ต้องการจะเพิ่มปริมาณการใช้ออฟฟิศแบบยืดหยุ่น สะท้อนว่ายังมีความต้องการในอนาคต

ส่วนฝั่งซัพพลายนั้น พบว่ามีเพียง 4% ในตลาดสำนักงานให้เช่าของ APAC ที่เป็นออฟฟิศแบบยืดหยุ่น เฉพาะของไทยยิ่งน้อยลงไปอีกเพราะมีเพียง 1.5%

นั่นทำให้ซู แอนเชื่อว่า ตลาดไทยยังมีโอกาสอีกมาก เฉพาะแบรนด์เดอะ เกรท รูม เธอเชื่อว่าบริษัทสามารถขยายตัวในกรุงเทพฯ ได้อีกอย่างน้อย 10 สาขา!

“จริงๆ แล้วโอกาสของโคเวิร์กกิ้งสเปซหลังผ่านโควิด-19 นั้นอยู่ในฝั่งเอเชียมากกว่า เพราะวัฒนธรรมบริษัทฝั่งเอเชียนิยมกลับเข้าออฟฟิศมากกว่าฝั่งตะวันตก” ซู แอนกล่าว “ในตะวันตกตอนนี้ยังเข้าออฟฟิศแค่ 50% ของชั่วโมงทำงาน แต่เอเชียเข้ากัน 65% ของชั่วโมงทำงาน และเราเชื่อว่าปี 2567 ตัวเลขของฝั่งเอเชียจะเพิ่มเป็น 75% และการใช้งานออฟฟิศที่สูงกว่าเป็นโอกาสของเดอะ เกรท รูมด้วยเช่นกัน”