แอชตัน อโศก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 03 Aug 2023 05:52:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “อนันดาฯ” เปิด 5 แนวทางหาทางออก “แอชตัน อโศก” ยันแจ้งเรื่องคดีให้ลูกค้าทราบก่อนโอน https://positioningmag.com/1439651 Thu, 03 Aug 2023 03:42:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439651 “อนันดา” เปิด 5 แนวทางหาทางออกที่เป็นไปได้ให้กับโครงการ “แอชตัน อโศก” พร้อมชี้แจงได้ประสานสถาบันการเงินช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกบ้าน ยืนยันก่อนโอนกรรมสิทธิ์ ได้แจ้งลูกค้าทุกรายทราบแล้วว่ามีคดีฟ้องร้อง

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ส่งจดหมาย Company Statement เพื่อแจ้งความคืบหน้าในการหาทางออกให้กับโครงการแอชตัน อโศก และชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังข้อความด้านล่างนี้

สืบเนื่องจากเหตุการณ์เกี่ยวกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด โครงการแอชตัน อโศก เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 นั้น บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด (“บริษัทฯ”) ขอเรียนแจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อแสวงหาทางออกสำหรับท่านเจ้าของร่วม และชี้แจงประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติม ดังนี้ 

  1. แนวทางแก้ไขกรณีใบอนุญาตก่อสร้าง บริษัทฯ กำลังเร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขซึ่งมีอยู่หลายแนวทางที่มีความเป็นไปได้ ดังต่อไปนี้

1.1 ยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ โดยการซื้อ หรือหาที่ดินเพิ่มเติม

1.2 เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่าน สำนักการโยธากรุงเทพมหานครไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ไปยังคณะรัฐมนตรี

1.3 เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่าน รฟม. เสนอผ่านกระทรวงคมนาคม ไปยังคณะรัฐมนตรี

1.4 ประสานเจ้าของเดิม ให้ยื่นทบทวนสิทธิ์ที่ดินทางเข้า-ออกจาก รฟม. ให้ทบทวนสิทธิที่ดินเดิมก่อนเวนคืน ควรให้สิทธิ์ทางเข้า-ออกอย่างน้อย 12-13 เมตร เพื่อให้สามารถขึ้นอาคารสูงและขนาดใหญ่พิเศษได้ 

1.5 ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่ ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป 

2.แนวทางช่วยเหลือ เรื่องการผ่อนชำระสินเชื่อของท่านเจ้าของร่วมที่มีภาระผูกพันกับสถาบันการเงิน

ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เร่งประสานงานกับสถาบันการเงินหลายแห่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการผ่อนชำระสินเชื่อของท่านเจ้าของร่วมที่ยังมีภาระผูกพันกับสถาบันการเงิน โดยบริษัทฯ ได้เชิญสถาบันการเงินต่างๆ เข้าร่วมประชุม เพื่อหารือแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนในการผ่อนชำระของท่านเจ้าของร่วม ดังนี้

2.1 บริษัทฯ ขอให้สถาบันการเงินพิจารณาแนวทางด้านการผ่อนชำระในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ

2.2 บริษัทฯ ขอให้สถาบันการเงินพิจารณาแนวทางสำหรับมาตรการลดภาระในการผ่อนชำระอื่นๆ 

ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลพิจารณาจากสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อได้รับความคืบหน้าประการใด บริษัทฯ จะแจ้งให้ท่านเจ้าของร่วมทราบโดยเร็ว 

3. ประเด็นชี้แจงอื่นๆ เพิ่มเติม 

3.1 การออกใบอนุญาตเปิดใช้อาคารแบบมีเงื่อนไข 

ประเด็นเรื่องข้อสงวนที่ กทม. กำหนดว่าบริษัทฯ จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบริษัทฯ และผู้ที่เกี่ยวข้อง หากผลการพิจารณาของศาลปกครองเป็นที่สุดว่าโครงการดำเนินการขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคาร ข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฎอยู่เพียงในใบรับรองการก่อสร้าง (อ.6) ซึ่งเอกสารดังกล่าว กทม.ออกให้บริษัทฯ หลังจากที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและได้มีการขายให้กับลูกค้าแล้ว นอกจากนี้ ในใบอนุญาตอื่น ที่กทม. ออกให้แก่บริษัทฯ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีข้อความทำนองนี้ปรากฎอยู่ในใบอนุญาตแต่อย่างใด และบริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะร่วมแก้ปัญหาไปพร้อมกับ กทม. ต่อไป

3.2 เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ และรับทราบสถานะคดี

บริษัทฯ ได้แจ้งเรื่องของคดีที่อยู่ในศาลปกครอง นับแต่ที่ลูกค้าได้ทำการซื้อขายห้องชุด กับบริษัทฯ ตามลำดับดังนี้

– ในช่วงแรก ที่บริษัทฯ ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาจะซื้อจะขาย บริษัทฯ ได้ขอขยายระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ โดยแจ้งเรื่องคดีของโครงการให้ลูกค้าทราบ พร้อมทั้งเสนอแนวทาง 3 ข้อให้ลูกค้าพิจารณา คือ (1) การยกเลิกสัญญา และคืนเงิน (2) การย้ายโครงการตามที่บริษัทฯ กำหนดไว้ (3) หากถือสัญญาไว้ต่อจนถึงครบกำหนดการขยายระยะเวลา (26 มีนาคม 2562) จะได้รับส่วนลด ณ วันโอน ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินที่ชำระมาแล้วทั้งหมด โดยสำหรับลูกค้าที่เลือกรับโอนกรรมสิทธิ์ บริษัทฯ ได้ส่งหนังสือขอบคุณ พร้อมทั้งแจ้งสถานะเกี่ยวกับคดีของโครงการให้รับทราบด้วย

(จากลูกค้าจองทั้งหมด 766 ราย มีลูกค้ายกเลิกสัญญาทั้งหมด 244 ราย, ย้ายโครงการ 4 ราย และ อยู่รอโอนกรรมสิทธิ์ 518 ราย  หลังจากที่บริษัทฯ ได้มีการแจ้งให้ลูกค้าทราบทั้ง 3 แนวทาง)

– ในเวลาต่อมา บริษัทฯ ได้จัดส่งเอกสารแจ้งสถานะคดีของโครงการ ในหนังสือนัดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ไปยังลูกค้าทุกราย ซึ่งได้รับการลงนามการตอบรับมาเป็นส่วนใหญ่

– สำหรับลูกค้าที่ซื้อและทำสัญญาจะซื้อจะขาย ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ได้รับทราบสถานะคดี ตามที่บริษัทฯ ได้แจ้งไว้ในบันทึกแนบท้ายสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด

ดังนั้น ลูกค้าของโครงการจึงรับทราบสถานะของคดีมาโดยตลอด

ทั้งนี้ บริษัทฯ ใคร่ขอยืนยันว่า บริษัทฯ จะร่วมเคียงข้างเจ้าของร่วมทุกท่าน และกำลังเร่งดำเนินการแสวงหาทางออกอย่างสุดความสามารถ โดยจะแจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ ให้ท่านเจ้าของร่วมทราบโดยเร็ว 

จึงเรียนมาเพื่อทราบ 

ขอแสดงความนับถือ 

บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด 

วันที่ 3 สิงหาคม 2566

]]>
1439651
“โนเบิล” แจงที่ดินคอนโดฯ 3 โครงการบนถนน “รัชดาฯ” ได้รับอนุญาตถูกต้อง-ไม่มีคดีติดตัว https://positioningmag.com/1439556 Wed, 02 Aug 2023 07:06:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439556 หลังศาลปกครองสูงสุดออกคำตัดสินคดี “แอชตัน อโศก” ยังผลให้อสังหาฯ หลายค่ายต้องออกโรงชี้แจงลักษณะโครงการของตนเองบ้างเพื่อให้ความสบายใจต่อลูกค้า โดยล่าสุด “โนเบิล” ซึ่งมีคอนโดฯ 3 แห่งบนถนน “รัชดาฯ” ที่ใช้ทางเข้าออกผ่านที่ดินของ รฟม. จัดแถลงข่าวชี้แจงถึงการเปิดทางเข้าออกที่ดินทุกผืนเนื่องมาจากเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีการย้ายหรือขยายถนนให้ผิดไปจากเดิม และทั้ง 3 โครงการไม่มีการฟ้องร้องคดีใดๆ ติดตัว

“ธงชัย บุศราพันธ์” รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) นำทีมชี้แจงต่อสื่อมวลชน เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูล คลายข้อสงสัยของลูกค้าและลูกบ้านต่อการใช้ที่ดินของโครงการ 3 แห่งในเครือซึ่งเกี่ยวพันกับที่ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้แก่ โครงการนิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว, โครงการโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 1 และ โครงการโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 ดังนี้

นิว โนเบิล รัชดา–ลาดพร้าว

สำหรับโครงการนิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว เป็นคอนโดมิเนียมสูง 34 ชั้น บริเวณ​สถานี MRT ลาดพร้าว ซึ่งโครงการนี้ยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดจะก่อสร้างเสร็จปี 2567 และปัจจุบันมีลูกค้าจองซื้อแล้ว 80% ของโครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านบาท

ธงชัยแจกแจงประวัติของที่ดินโดยไล่ไทม์ไลน์ความเปลี่ยนแปลงของที่ดิน ดังนี้

พ.ศ. 2495 – ที่ดินแปลงเดิมมีทางเข้าออกติดกับถนนลาดพร้าว ฝั่งตะวันออกของที่ดินติดที่ดินการรถไฟ

พ.ศ. 2544 – รฟม. เวนคืนที่ดินแปลงนี้ฝั่งที่ติดกับถนนลาดพร้าว ทำให้ที่ดินเกิดเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางเข้าออกถนน

ที่ดินถูกเวนคืนจึงทำให้เกิดเป็นที่ดินตาบอด (ภาพจาก: โนเบิล)

พ.ศ. 2547 – รฟม. ก่อสร้างอาคารจอดแล้วจรสถานีลาดพร้าวบนที่ดินที่เวนคืนมา และมีการทำทางเข้าออกของอาคารดังกล่าวออกทางถนนรัชดาภิเษก

พ.ศ. 2557 – เจ้าของที่ดิน ณ ขณะนั้นขอเปิดทางภาระจำยอมเพื่อเข้าออกที่ดินตาบอด และขอเชื่อมใช้ทางเข้าออกของอาคารจอดแล้วจรสถานีลาดพร้าวซึ่งมีอยู่แล้ว เพื่อให้ที่ดินผืนนี้สามารถเข้าออกทางถนนรัชดาภิเษกได้ โดย รฟม. มีการเก็บค่าตอบแทนการผ่านถนนอาคารจอดแล้วจรโดยเรียกเก็บครั้งเดียว และเจ้าของที่ดินเดิมชำระครบแล้ว

ที่ดินแปลงนี้ได้ใบอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของ รฟม. เป็นทางผ่าน เลขที่ รฟม. 012/0099 ลงวันที่ 20 มกราคม 2557 อ้างอิงการอนุญาตตาม “ประกาศการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เรื่องกำหนดประเภทการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินของ รฟม. เป็นทางผ่าน” ประกาศ ณ วันที่ 26 กันยายน 2556 ซึ่งที่ดินแปลงนี้ถือว่าเข้าเกณฑ์ข้อ 9.1(1) ในประกาศฉบับนี้ กล่าวคือ การเวนคืนของ รฟม. ทำให้ที่ดินนี้มีสภาพตาบอด จึงต้องให้ผ่านที่ดิน รฟม. เป็นทางเข้าออกได้

โนเบิล รฟม.
ที่ดินเดิมมีการขอเชื่อมต่อกับทางเข้าออกอาคารจอดแล้วจรของ รฟม. เพื่อเป็นทางผ่านออกสู่ถนนใหญ่คือถนนรัชดาภิเษกได้

พ.ศ. 2560 – โนเบิลฯ ติดต่อซื้อที่ดินแปลงนี้ และมีการพัฒนาโครงการนิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าวในเวลาต่อมา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเข้าออกที่เจ้าของเดิมได้ขออนุญาตไว้ทั้งในแง่ขนาดถนนและตำแหน่งถนน

ถนนบนที่ดินภาระจำยอมของโครงการมีขนาดความกว้าง 12.5 เมตร และไปเชื่อมต่อกับถนนทางเข้าออกอาคารจอดแล้วจรของ รฟม. ซึ่งมีความกว้าง 13.0-21.5 เมตร (แต่ละช่วงถนนมีความกว้างไม่เท่ากัน) เพื่อออกสู่ถนนรัชดาภิเษก

 

โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 1 และ 2

สองโครงการนี้เป็นคอนโดฯ 2 แปลงที่อยู่ติดกัน บริเวณสถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรมฯ ซึ่งขายห้องชุดหมดแล้วทุกยูนิต ลูกบ้านมีการโอนกรรมสิทธิ์ย้ายเข้าอยู่อาศัยแล้ว 4 ปี

ลักษณะที่ดินเดิมมีทางเข้าออกที่ติดกับถนนรัชดาภิเษก โดย รฟม. เข้าเวนคืนที่ดินในปี 2543 ฝั่งติดถนนรัชดาภิเษกเพื่อทำอาคารจอดแล้วจรและแนวก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน (หลังก่อสร้างรถไฟฟ้าเสร็จ แนวก่อสร้างนี้ถูก รฟม. พัฒนาเป็นที่จอดรถเช่นกัน) ทำให้ที่ดินเดิมขาดออกเป็น 2 แปลง แบ่งเป็นแปลงใหญ่ด้านในที่ไม่ติดกับถนนรัชดาภิเษกเกิดเป็นที่ดินตาบอด และเหลือที่ดินลักษณะชายธงสามเหลี่ยมผืนเล็กที่ยังติดกับถนนรัชดาภิเษก

กรณีของโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 1 และ 2

เจ้าของที่ดินเดิมจึงดำเนินการขอภาระจำยอมให้กับที่ดินแปลงใหญ่ด้านในที่กลายเป็นที่ดินตาบอดได้ใช้ทางเข้าออกผ่านที่ดินของ รฟม. และไปเชื่อมกับที่ดินชายธงที่ยังเหลือเพื่อเป็นทางออกถนนรัชดาภิเษกได้ดังเดิม ปัจจุบันจะเห็นว่าทางเข้าออกโครงการโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 1 และ 2 จะเข้าผ่านทางซอยรัชดาภิเษก 6 และเป็นทางเดียวกับทางเข้าที่จอดรถ รฟม. สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ

 

“โนเบิล” ขอย้ำไม่มีคดีฟ้องร้อง – กรณี “แอชตัน อโศก” กระทบการหาที่ดิน

ธงชัยกล่าวย้ำว่า ทั้ง 3 โครงการไม่มีคดีฟ้องร้องใดๆ หรือการร้องเรียนจากหน่วยงานใดทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลูกค้า/ลูกบ้านมีความกังวลจากกรณีแอชตัน อโศก จึงมีการติดต่อขอข้อมูลจากโนเบิลมาประมาณ 30 ราย ทำให้บริษัทมีการทำหนังสือเอกสารชี้แจง และจัดแถลงข่าวเพื่อให้ข้อมูลต่อสาธารณะ

ปัจจุบันที่ดินของบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับการเวนคืนที่ดินโดย รฟม. มีเพียง 3 โครงการนี้ ในแลนด์แบงก์ปัจจุบันไม่มีที่ดินรอการพัฒนาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ รฟม. ส่วนการหาซื้อที่ดินในอนาคต คาดว่าจะต้องระมัดระวังสูงขึ้นเนื่องจากการตีความกฎหมายที่ไม่ชัดเจนที่เกิดขึ้น

“เราคงต้องระวังกับการซื้อที่ดินมากขึ้น ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าที่ดินนี้ถูกเวนคืนจนเป็นที่ดินตาบอดและต้องขอภาระจำยอมจริงไหม ไม่มีการขอแก้ไขใดๆ จริงไหม เพราะอ้างอิงกรณีแอชตัน อโศกจะเห็นได้ชัดเจนมากว่าถ้าที่ดินมีการขอแก้ไขทางเพื่อประโยชน์ของเอกชน จะเกิดข้อขัดแย้งทันที และเราต้องดูต่อเนื่องว่า รฟม. หรือ กทม. จะมีการเปลี่ยนเกณฑ์อะไรต่อไปไหมในภายหน้า ซึ่งผู้ประกอบการทุกรายน่าจะมองคล้ายๆ กัน” ธงชัยกล่าว

 

ข้อสังเกตความแตกต่าง “ขอขยายถนน-เปลี่ยนย้ายจุดเข้าออก”

จากคดีแอชตัน อโศก มาถึงกรณี 3 โครงการของโนเบิลที่ไม่เป็นคดี เราจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างที่สำคัญคือ “การขยายและเปลี่ยนจุดที่เป็นถนนภาระจำยอม”

เนื่องจากที่ดินที่ตั้งโครงการแอชตัน อโศกแต่เดิมนั้น หลังจากถูกเวนคืนจนเป็นที่ดินตาบอด รฟม. จึงอนุญาตให้ทางเข้าออกเป็นถนนภาระจำยอม แต่ถนนดังกล่าวนี้มีความกว้างเพียง 6.4 เมตร และเดิมถนนภาระจำยอมจะอยู่ติดกับปล่องระบายอากาศของรถไฟฟ้าใต้ดิน

ต่อมา บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ ได้ร้องขอใช้ประโยชน์ที่ดิน รฟม. ทำถนนความกว้าง 6.6 เมตร เพื่อรวมกับถนนภาระจำยอมเดิมให้ได้ถนนที่มีความกว้างมากขึ้นเป็น 13.0 เมตร และขอย้ายจุดตัดถนนทางเข้าออกไปชิดกับฝั่งสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์แทน เมื่อมีความกว้างของถนนเข้าออกดังนี้แล้ว จะทำให้เข้าเกณฑ์ที่ดินที่สามารถก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษได้

ขณะที่โครงการ 3 แห่งของโนเบิลจะเป็นการใช้ถนนภาระจำยอมตามเดิมที่เจ้าของที่ดินรายเดิมเคยขออนุญาตกับ รฟม. ไว้ ไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่งถนน และไม่มีการขอขยายถนนให้กว้างมากขึ้น

นี่จึงเป็นชนวนสำคัญในการฟ้องร้องและตัดสิน นั่นคือศาลปกครองมองว่า รฟม. มีการให้โครงการแอชตัน อโศกใช้ประโยชน์ที่ดินเพิ่มเติมเป็นถนนกว้าง 6.6 เมตรที่นอกเหนือจากภาระจำยอมสำหรับที่ดินตาบอด ถือว่าผิดหลักเกณฑ์วัตถุประสงค์ในการเวนคืน และไม่ใช่ส่วนที่ถือว่า ‘ต้อง’ ให้ผ่านเข้าออกแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม เมื่อผลตัดสินออกมาในช่วงที่โครงการก่อสร้างเสร็จไปแล้ว และมีลูกบ้านกว่า 600 ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในโครงการ ห้องชุดหลายยูนิตมีการผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคาร จึงเป็นคำถามสำคัญว่าจากนี้ลูกบ้านทั้งหมดจะมีชะตาชีวิตอย่างไรต่อไป

]]>
1439556
คดี “แอชตัน อโศก” ศาลปกครองสูงสุดตัดสิน ก่อสร้าง “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” สั่งเพิกถอนใบอนุญาต https://positioningmag.com/1439287 Thu, 27 Jul 2023 11:47:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439287
  • เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินในคดี “แอชตัน อโศก” ให้ยืนตามศาลปกครองกลาง ตึกแอชตัน อโศกทำการก่อสร้างโดย “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และ “สั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง”
  • ทางอนันดาฯ ออกแถลงการณ์บริษัท ร้องหน่วยงานรัฐต้องเยียวยาความเดือดร้อน เพราะเป็นผู้อนุมัติทำให้เกิดการก่อสร้างโครงการได้ และจะร่วมกับลูกบ้านขอเข้าพบผู้ว่าฯ กทม. และผู้ว่าฯ รฟม. เพื่อทวงถามความรับผิดชอบ
  • ข้อมูลจาก บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด เปิดเผยผลคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด จากคดีฟ้องร้องประเด็นการให้ใบอนุญาตคอนโดมิเนียม “แอชตัน อโศก” ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากแอชตัน อโศก มีการใช้ที่ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นทางเข้าออกโครงการ (อ่านที่มาที่ไปโดยละเอียดได้ที่นี่)

    เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ศาลปกครองกลางมีคำตัดสินออกมาว่า คดีนี้ รฟม. มีการอนุญาตให้แอชตัน อโศกใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกโดย “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ซึ่งมีผลต่อเนื่องทำให้อนันดาฯ ไม่สามารถใช้ที่ดินของรฟม.ไปใช้ประกอบการขออนุญาตก่อสร้างตึกได้ และพิพากษาให้ “เพิกถอน” ใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์ก่อสร้างทั้งหมด 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับอาคารนี้ โดยมีผลย้อนหลัง

    หลังจากนั้นคดีนี้มีการอุทธรณ์ต่อไปยังศาลปกครองสูงสุด และล่าสุดในวันนี้ (27 กรกฎาคม 2566) อนันดาฯ แจ้งว่า ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่ง “ยืนตาม” คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง โดยมีรายละเอียดที่ส่งแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชน ดังนี้

    “เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคําพิพากษาในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวก (ผู้ฟ้องคดี) ได้ยื่นฟ้องผู้อํานวยการเขตวัฒนา ที่1 , ผู้อํานวยการสํานักการโยธา ที่ 2 , ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ที่ 3 , ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ที่ 4 , คณะกรรมการผู้ชํานาญการ พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ที่ 5 (ผู้ถูก ฟ้องคดี) และบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จํากัด “บริษัทฯ” ซึ่งไม่ใช่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยตรง แต่ถูกเรียกเข้ามา ในฐานะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากผลแห่งคดี ในฐานะผู้ร้องสอด ในคดีหมายเลขดําที่ อส 67/2564 หมายเลข แดงที่ อส.188/2566

    โดยศาลปกครองสูงสุด ได้มีคําพิพากษา ยืนตามคําพิพากษาศาลปกครองกลาง บริษัทฯขอน้อมรับและ เคารพในคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดตามที่ได้วินิจฉัยไว้”

     

    เรียกร้อง “หน่วยงานรัฐ” รับผิดชอบ ในฐานะผู้ให้อนุญาต

    ในแถลงการณ์ดังกล่าวจากอนันดาฯ ยังมีข้อความต่อเนื่อง ทวงถามถึงความรับผิดชอบ เนื่องจากอนันดาฯ มองว่า การก่อสร้างอาคารแอชตัน อโศกเกิดขึ้นได้ มาจากการให้อนุญาตของหน่วยงานรัฐเอง เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้จึงมองว่าหน่วยงานรัฐควรจะเป็นผู้เยียวยาความเดือดร้อนของลูกบ้าน

    รวมถึงอนันดาฯ ยังแจ้งว่ากำลังประสานกับเจ้าของร่วมคอนโดฯ แอชตัน อโศกเพื่อขอเข้าพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อทวงถามความรับผิดชอบภายใน 14 วัน

    โดยข้อความฉบับเต็มจากอนันดาฯ มีดังนี้

    “กรณีที่ศาลปกครองสูงสุด ได้วินิจฉัยไว้ในประเด็นสําคัญที่ว่า ที่ดินของ รฟม.ไม่อาจนํามาให้บริษัท ฯ หรือ เอกชนใช้ในการทําโครงการได้ จึงทําให้หน่วยงานของรัฐไม่อาจออกใบอนุญาตในการก่อสร้าง จึงมีผลให้ใบอนุญาตไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น บริษัท ฯ เห็นว่า ศาลปกครองซึ่งมีหน้าที่พิจารณาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ และหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ กับ เอกชน เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งเพื่อวางแนวหรือสร้างบรรทัดฐานในการปฏิบัติราชการให้ถูกต้องชอบธรรม อีกทั้ง ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ รวมถึงฉบับปัจจุบันพุทธศักราช 2560 ในส่วนบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของรัฐ ในกรณีที่รัฐจะอนุมัติหรืออนุญาตให้ผู้ใดทําการได้ก็จะต้องดําเนินการไปตามกฎหมายโดยรัฐมีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องใช้อํานาจและทําหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ประมาทเลินเล่อ หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกับประชาชนหรือผู้ประกอบการ ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังเกิดขึ้นเป็นคดีนี้แล้ว หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและทําการเยียวยาในความเดือดร้อน เสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้า

    ดังนั้น ผลแห่งคําพิพากษาที่เกิดขึ้นดังกล่าว หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ต่อเจ้าของร่วมอาคารชุดและบริษัทฯ เพราะ หากหน่วยงานราชการผู้มีอํานาจหน้าที่ไม่เห็นชอบและอนุมัติแล้วโครงการนี้จะไม่สามารถก่อสร้างได้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะไม่เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงอย่างที่เป็นอยู่

    ทั้งนี้ บริษัทฯจะเร่งรีบดําเนินการในการเรียกร้องค่าเสียหายกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าของร่วมอาคารชุดและบริษัท ฯ โดยเร็ว รวมทั้งบริษัทฯ จะดําเนินการประสานงานคณะกรรมการนิติบุคคลแอชตัน อโศก และท่านเจ้าของร่วม เพื่อขอเข้าพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อทวงถามความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ภายใน 14 วัน (สิบสี่) นับแต่วันนี้

    บริษัทฯ ใคร่ขอยืนยันว่า การทําโครงการแอชตัน อโศก นั้น ได้มีการตรวจสอบประเด็นทางกฎหมาย รวมทั้งข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตต่างๆ รวมทั้งสภาพที่ดินของโครงการอย่างรอบคอบรัดกุม อีกทั้ง การพิจารณาอนุมัติในการทําโครงการต่าง ๆ ยังได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติ และภายใต้การกํากับ ควบคุม จากหน่วยงานของรัฐไม่ตํ่ากว่า 8 หน่วยงาน จึงเป็นที่เห็นประจักษ์และยืนยันได้ว่า บริษัทฯ ได้ดําเนินการไปด้วย ความสุจริต และชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้งแล้วทุกประการเท่าที่บริษัทฯจะทําได้ด้วยความเชื่อถือโดยสุจริตว่าการอนุมัติของหน่วยงานราชการทุกฝ่ายนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว บริษัท ฯ จึงใคร่ขอความเป็นธรรมจากทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันแก้ไขป้องกันมิให้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังเช่นคดีนี้ได้เกิดขึ้นอีก และเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐได้เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเร็วด้วย”

    ข้อความจากโพสต์บน Facebook ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวก (ผู้ฟ้องคดี)

    คดีนี้ถือเป็นคดีที่ร้ายแรงในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย เนื่องจากโครงการนี้ก่อสร้างเสร็จ โอนกรรมสิทธิ์ และเจ้าของร่วมได้ย้ายเข้าอยู่จริงมาแล้วกว่า 4 ปีก่อนที่จะมีคำตัดสินอันเป็นที่สุดของศาลดังกล่าวนี้ ต่างจากคดีอื่นๆ ที่มักจะมีการเพิกถอนใบอนุญาตหรือ EIA ในช่วงที่โครงการยังก่อสร้างไม่เสร็จเรียบร้อย จึงกระทบเฉพาะบริษัทเจ้าของโครงการ

    ขณะที่คดีนี้คำตัดสินจะกระทบกับลูกบ้านกว่า 600 ครอบครัวที่ยังคงอาศัยอยู่ในคอนโดฯ และหลายรายผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคาร ซึ่งลูกบ้านเคยถามคำถามล่วงหน้ามาแล้วตั้งแต่ปี 2564 ว่า “หากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามเดิม และอาจมีคำสั่งให้ทุบอาคารตามมา ผู้ซื้อจะยังต้องผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคารต่อไปจนครบหรือไม่ ทั้งที่ห้องชุดกลายเป็นอากาศไปแล้ว”

     

    อ่านข้อมูลย้อนหลังคดีแอชตัน อโศก

    • ลูกบ้าน “แอชตัน อโศก” ขอรับการเยียวยา ผลกระทบเกิดทันที รีไฟแนนซ์-ขายต่อไม่ได้
    • ผู้ซื้อ “แอชตัน อโศก” เรียกร้องอย่าทิ้งกันไว้กลางทาง “ศรีสุวรรณ” มีคดีฟ้องคอนโดฯ อีกเพียบ
    ]]>
    1439287
    ผู้ซื้อ “แอชตัน อโศก” เรียกร้องอย่าทิ้งกันไว้กลางทาง “ศรีสุวรรณ” มีคดีฟ้องคอนโดฯ อีกเพียบ https://positioningmag.com/1350155 Fri, 03 Sep 2021 08:56:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1350155 ลูกบ้านกว่า 600 ครอบครัวใน “แอชตัน อโศก” ยังคงยืนอยู่ปากเหวโดยไม่มีเบาะรองรับ ล่าสุดกลุ่มลูกบ้านทำหนังสือขอให้ “อนันดาฯ” จัดประชุมรับฟังความเห็นภายใน 14 วัน เตรียมยกระดับข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานราชการและอนันดาฯ หากไม่ได้รับการตอบกลับ ด้าน “ศรีสุวรรณ จรรยา” โจทก์ฟ้องคดี ยื่นอุทธรณ์ ยืนยันโครงการมีการรุกล้ำทางสาธารณะ แย้มสมาคมฯ มีกรณีพิพาทกับคอนโดฯ อื่นอีกหลายแห่ง

    ติดตามความคืบหน้าโครงการ “แอชตัน อโศก” ที่พัฒนาโดย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และถูกศาลตัดสินเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 ล่าสุด ตัวแทนลูกบ้านโครงการออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 และจัดแถลงข่าวสาธารณะอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ประเด็นจากหนังสือแถลงการณ์ลูกบ้านแอชตัน อโศก ระบุความคืบหน้าของคดีว่า “พวกเราชาวลูกบ้านแอชตัน อโศกเข้าใจว่า บัดนี้หน่วยงานของรัฐและบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

    “แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีหน่วยงานราชการใดหรือผู้พัฒนาโครงการได้จัดให้มีมาตรการเยียวยา เพื่อบรรเทาผลกระทบจากคำพิพากษาของศาลปกครองกลางให้มีผลเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด” เป็นข้อความส่วนหนึ่งในแถลงการณ์

    ทางเข้า-ออกโครงการแอชตัน อโศก กว้าง 13 เมตร โดยขอใช้ทางผ่านที่ดินของรฟม. (ภาพจาก : Google Maps Streetview)

    แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า ลูกบ้านได้ทำหนังสือลงวันที่ 24 ส.ค. 2564 ไปยังบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด และบมจ.อนันดาฯ เพื่อขอให้มีการประชุมเพื่อรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมกับการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

    โดยลูกบ้านกำหนดกรอบเวลาตอบกลับภายใน 14 วัน หากยังไม่มีการตอบสนอง “พวกเราชาวลูกบ้านแอชตัน อโศกกว่า 1,000 ชีวิตจากกว่า 600 ครอบครัวก็มีความจำเป็นต้องยกระดับข้อเรียกร้องของพวกเราต่อหน่วยงานราชการและ/หรือ ผู้พัฒนาโครงการในโอกาสต่อไป” (อ่านเอกสารแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ด้านท้ายบทความ)

    Positioning ได้ติดต่อสอบถามความคืบหน้าคดีและแนวทางเยียวยาลูกบ้านไปยัง บมจ.อนันดาฯ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 64 โดยยังรอการตอบกลับอยู่ในขณะนี้

     

    ต้องเป็นหนี้ผ่อน ‘อากาศ’ ต่อไปหรือไม่?

    ลูกบ้านแอชตัน อโศกยังย้ำอีกครั้งถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือธนาคารต่างๆ ไม่รับรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านของผู้ซื้อห้องชุดโครงการนี้ ซึ่งทำให้ผู้ซื้อเสียโอกาสลดภาระดอกเบี้ยลง 2-3% คิดเป็นค่าเสียหาย 60-90 ล้านบาทต่อปี หากยังต้องรอการพิจารณาคดีอีก 5 ปี ค่าเสียหายส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 300-450 ล้านบาท

    • ลูกบ้าน “แอชตัน อโศก” ขอรับการเยียวยา ผลกระทบเกิดทันที รีไฟแนนซ์-ขายต่อไม่ได้

    และไม่เพียงแต่ความเสียหาย ณ วันนี้ ลูกบ้านยังมีความกังวลใจถึงอนาคต หากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามเดิม และอาจมีคำสั่งให้ทุบอาคารตามมา คำถามของลูกบ้านคือ “ผู้ซื้อยังต้องผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคารต่อไปจนครบหรือไม่ ทั้งที่ห้องชุดกลายเป็นอากาศไปแล้ว”

    (Photo : Shutterstock)

    กลายเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ เนื่องจากเหตุการณ์ลักษณะนี้น่าจะยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ผ่านมาการระงับการก่อสร้างมักจะเกิดขึ้นก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ ทำให้ผู้รับผิดชอบคือบริษัทผู้พัฒนาโครงการโดยตรง แนวทางการเยียวยามักจะเป็นการคืนเงินดาวน์ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย แต่กรณีนี้ลูกบ้านได้โอนกรรมสิทธิ์แล้ว และมีภาระหนี้สินเชื่อบ้านกับธนาคารแตกต่างกันไปคนละสัญญา

    • ทำความเข้าใจคดี “แอชตัน อโศก” หลังอนันดาฯ เตรียม “อุทธรณ์” กู้ชื่อเสียง-มั่นใจทำถูกต้อง

     

    บริษัทไม่เคยแจ้งลูกค้าใหม่ว่ามีคดีพิพาท

    ย้อนกลับไปก่อนเกิดคำตัดสินของศาลปกครองกลาง หนึ่งในตัวแทนลูกบ้านซึ่งตัดสินใจซื้อผ่อนดาวน์ตั้งแต่ก่อนโครงการสร้างเสร็จ เล่าถึงประสบการณ์ในช่วงก่อนโอนกรรมสิทธิ์ว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2561 ที่กำลังจะถึงเดดไลน์ส่งมอบห้องตามสัญญา แต่บริษัทยังติดปัญหายังไม่ได้รับเอกสารใบรับรองการก่อสร้างอาคาร (แบบ อ.6) ทำให้โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้

    ในช่วงปี 2561 นั้น บริษัทได้ให้ข้อเสนอ 3 ทางแก่ผู้ซื้อคือ ขอขยายเวลาส่งมอบตามสัญญาออกไปก่อน หรือ รับคืนเงินดาวน์ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย หรือ แลกห้องชุดกับโครงการอื่นในเครืออนันดาฯ ซึ่งตัวแทนลูกบ้านรายนี้ได้เลือกทางเลือกแรก คือยอมที่จะรอต่อไป จนในที่สุดหลังขยายสัญญา 3 เดือนก็ได้โอนกรรมสิทธิ์ จากนั้นก็เข้าอยู่เป็นปกติตลอดมาจนมารับทราบพร้อมลูกบ้านทุกคนเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 ว่าโครงการถูกเพิกถอนใบอนุญาต

    ขณะที่ตัวแทนลูกบ้านอีกรายหนึ่ง เป็นลูกค้าใหม่ที่เข้าชมและตัดสินใจซื้อโครงการหลังก่อสร้างเสร็จ ลูกค้ารายนี้เพิ่งโอนและย้ายเข้าอยู่เมื่อเดือนเมษายน 2564 เพียง 3 เดือนหลังจากนั้นก็เกิดเหตุคำตัดสินของศาล โดยเขายืนยันว่าทุกขั้นตอนการขายและทำสัญญาไม่มีการแจ้งให้ทราบว่าโครงการมีคดีพิพาทในชั้นศาลอยู่

     

    “ศรีสุวรรณ” ยื่นอุทธรณ์ – มีอีกหลายคดีกับคอนโดฯ อื่นๆ

    ฝั่งโจทก์ของคดีนี้คือ “สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน” และผู้ฟ้องร่วม 16 คน ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลปกครองกลางเช่นกัน

    “ศรีสุวรรณ จรรยา” นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน

    ตามข้อมูลจากสำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ “ศรีสุวรรณ จรรยา” นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า แม้จะเป็นผู้ชนะคดี แต่มีบางข้อตัดสินของศาลที่ต้องการอุทธรณ์กลับ เช่น ข้อฟ้องร้องว่าโครงการแอชตัน อโศกรุกล้ำถนนสาธารณะ ซึ่งศาลตัดสินว่าไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีทางสาธารณะ จึงให้ข้อฟ้องร้องนี้ตกไป ฝั่งโจทก์ยังยืนยันว่าเจ้าของที่ดินเดิมเคยตัดที่ดินบางส่วนเป็นทางสาธารณะและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานแล้ว รวมถึงข้อฟ้องร้องอื่นๆ ที่ศาลไม่วินิจฉัย

    ศรีสุวรรณยังเปิดเผยด้วยว่า ต้องการจะให้คดีนี้เป็นบรรทัดฐาน เพราะสมาคมฯ มีกรณีพิพาทกับคอนโดมิเนียมอีกหลายแห่ง ทั้งที่อยู่ระหว่างฟ้องร้องในศาลปกครองกลาง และที่กำลังจะนำเรื่องขึ้นฟ้อง

    ที่ผ่านมาสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่โครงการต่างๆ เคยฟ้องร้องคดีในลักษณะใกล้เคียงกันมาแล้วหลายครั้ง ก่อนหน้านี้เคยชนะคดีโครงการ “มหาดเล็กหลวง 2 เรสซิเดนเซส” ของ บมจ.ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม (TFD) (ชื่อบริษัทขณะนั้น) ของตระกูลเตชะอุบล โดยโครงการคอนโดฯ ลีสโฮลด์แห่งนี้ถูกเพิกถอนทั้ง EIA และใบอนุญาตก่อสร้าง เมื่อปี 2560 และ 2562 ตามลำดับ

    โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์ อีกหนึ่งคอนโดฯ ที่เกี่ยวพันกับคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนฟ้องร้องผู้บริหาร กทม.

    ต่อจากนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2562 สมาคมฯ พร้อมกับชาวบ้านใน ซ.สุขุมวิท 101 และ ซ.สุขุมวิท 103 ยื่นฟ้องผู้บริหาร กทม. หลายหน่วยงานต่อศาลปกครองกลาง กรณีปล่อยปละให้โครงการ “เอลลิโอ เดล เนสท์” ซอยอุดมสุข ที่พัฒนาโดย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ก่อสร้างโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชน โดยร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนรายงาน EIA ทั้งนี้ โครงการนี้ก่อสร้างเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วเมื่อปี 2563

    ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 สมาคมฯ ร่วมกับชาวบ้านซ.สุขุมวิท 61 และเอกมัยซอย 1 เดินทางไปยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) กรณีอนุมัติรายงาน EIA ให้กับโครงการคอนโดฯ IMPRESSION EKKAMAI พัฒนาโดย บริษัท เอเอชเจ เอกมัย จำกัด ทั้งที่ยังไม่มีการปรับแก้แบบโครงการตามข้อกังวลของชาวบ้าน เช่น โครงการเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษแต่ตั้งอยู่บนถนนเอกมัยที่มีความกว้างไม่ถึง 18 เมตร

    บริษัท เอเอชเจ เอกมัย จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ กับทุนญี่ปุ่น เจอาร์ คิวชู และ ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์ โครงการนี้เริ่มเปิดขายตั้งแต่ปี 2562

    มหากาพย์แอชตัน อโศกจึงอาจจะไม่ใช่โครงการสุดท้ายที่เกิดปัญหาต่อลูกบ้านติดตามมา ดังที่เห็นว่าเฉพาะสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนก็มีคดีหรือข้อร้องเรียนค้างอยู่อีกหลายโครงการ

    (เอกสารแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ของลูกบ้านแอชตัน อโศกฉบับเต็ม)

    ]]>
    1350155
    ลูกบ้าน “แอชตัน อโศก” ขอรับการเยียวยา ผลกระทบเกิดทันที รีไฟแนนซ์-ขายต่อไม่ได้ https://positioningmag.com/1346124 Tue, 10 Aug 2021 10:41:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1346124 จากกรณี “แอชตัน อโศก” ถูกศาลปกครองกลางเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในเรื่องนี้หนีไม่พ้น “ลูกบ้าน” ที่ซื้อห้องชุดในโครงการไปแล้ว ล่าสุดตัวแทนลูกบ้านเปิดใจต่อสาธารณะ ขอความเห็นใจและเยียวยาเพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีแม้คดียังไม่สิ้นสุด พร้อมแจ้งตั้งที่ปรึกษาทางกฎหมายร่วมติดตามคดีความ

    เปรียบเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจผู้ซื้อห้องชุดในโครงการ “แอชตัน อโศก” เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการนี้ย้อนหลัง เนื่องจากการอนุญาตของสำนักการโยธาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทำให้ผู้อยู่อาศัยหวั่นใจว่าอาจมีคำสั่งให้ทุบทำลายอาคารได้ในอนาคต (อ่านเพิ่มเติม :  ทำความเข้าใจคดี “แอชตัน อโศก” หลังอนันดาฯ เตรียม “อุทธรณ์” กู้ชื่อเสียง-มั่นใจทำถูกต้อง)

    วันนี้ (10 ส.ค. 64) หลังกลุ่มลูกบ้านแอชตัน อโศกรวบรวมข้อมูลและปรึกษากันภายใน จึงมีการส่งตัวแทนลูกบ้าน 2-3 รายโดยขอไม่เปิดเผยชื่อ-สกุลออกชี้แจงต่อสื่อและสาธารณะถึงสถานการณ์และความเดือดร้อนที่ได้รับ พร้อมแจ้งความคืบหน้าว่า ขณะนี้กลุ่มลูกบ้านได้ใช้ค่าส่วนกลางว่าจ้างที่ปรึกษาทางกฎหมายเพื่อเป็นตัวแทนลูกบ้านในการติดตามคดีความแล้ว

     

    เพิ่งทราบเรื่องหลังอยู่มา 2 ปี

    ตัวแทนลูกบ้านชี้แจงก่อนว่า ขณะนี้แอชตัน อโศกมีผู้อยู่อาศัยกว่า 600 ครอบครัว รวมกว่า 1,000 คนในโครงการ และเพิ่งทราบเรื่องข้อพิพาทพร้อมๆ กับสาธารณะ เมื่อสื่อมวลชนรายงานข่าวคำตัดสินของศาลปกครองกลางดังกล่าว ซึ่งทำให้ลูกบ้านงุนงง สับสน เนื่องจากโอนกรรมสิทธิ์และย้ายเข้าอยู่มากว่า 2 ปีแล้ว

    ในฐานะผู้ซื้อ มองว่าก่อนซื้อโครงการมีการตรวจสอบให้แน่ใจแล้วว่าโครงการไม่มีปัญหา เนื่องจากโครงการผ่านการรับรอง EIA เรียบร้อย อีกทั้งกว่า 50% ของลูกบ้านซื้อด้วยการกู้สินเชื่อธนาคารซึ่งไม่มีปัญหาเช่นกัน และทั้งหมดสามารถโอนกรรมสิทธิ์ กรมที่ดินออกโฉนดให้ตามปกติ จึงสับสนว่าสถานการณ์ ‘มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร’

    โครงการแอชตัน อโศก

    ลูกบ้านได้รวบรวมข้อมูลจากสื่อต่างๆ พบว่า บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้แจงว่าบริษัทได้รับใบอนุญาตและมีการหารือหน่วยงานราชการก่อนก่อสร้างหลายหน่วยงาน รวมถึงมีโครงการอีก 13 แห่งที่ก่อสร้างในลักษณะเดียวกัน

    ลูกบ้านมีความเคารพต่อศาลและกฎหมายบ้านเมือง แต่เห็นว่าข้อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตนี้อาจเกิดจากการตีความทางกฎหมายหรือไม่

    “ต่อจากนี้อาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อถือใบอนุญาตทางราชการได้อย่างไร” ตัวแทนลูกบ้านกล่าว

     

    รีไฟแนนซ์ไม่ได้-ขายต่อชะงัก

    ตัวแทนลูกบ้านยังร้องเรียนด้วยว่า แม้คดีความจะยังไม่สิ้นสุด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกบ้านนั้นเกิดขึ้นแล้วทันที ดังนี้

    1.การรีไฟแนนซ์ ลูกบ้านบางรายเริ่มใกล้ถึงรอบรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน หลังยื่นเอกสารแล้วถูกธนาคารปฏิเสธการรีไฟแนนซ์ เพราะสถาบันการเงินมองว่าหลักประกันไม่มีความน่าเชื่อถือจากคำสั่งของศาลปกครองกลาง

    2.โครงการเสมือนถูกแช่แข็งในการทำนิติกรรม ผู้จะซื้อต่อห้องชุดมือสองหลายรายยกเลิกการซื้อขายทันที เพราะข่าวที่ออกมาทำให้เกิดความกังวลใจ

    ประเด็นเหล่านี้ทำให้ลูกบ้านเกิดความเดือดร้อนเพราะไม่ทราบว่าการลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยหรือผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคารจะสูญเปล่าหรือไม่ในอนาคต หลายรายประสบปัญหาทางการเงินจากวิกฤตเศรษฐกิจและต้องการขายห้องชุดเพื่อหมุนกระแสเงินสด แต่ไม่สามารถทำได้ กลายเป็นภาระที่ซ้ำเติมลูกบ้านมากยิ่งขึ้น

    “เราเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดในเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางกฎหมายเลย” ตัวแทนลูกบ้านระบุ

     

    ใครจะเยียวยาลูกบ้าน?

    จากความเดือดร้อนที่ได้รับ ลูกบ้านแอชตัน อโศกวิงวอนขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ดังนี้

    1.ในระยะสั้น ลูกบ้านต้องการความช่วยเหลือด้านการรีไฟแนนซ์ ขอให้ทางสถาบันการเงินและผู้พัฒนาโครงการให้ความช่วยเหลือในประเด็นนี้โดยเร่งด่วน

    2.หากเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง และอาจจะทำให้มีคำสั่งทุบอาคาร ลูกบ้านต้องการให้มีผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ซื้อว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐหรือเอกชนผู้พัฒนาโครงการ โดยลูกบ้านมีข้อกังวลว่า หากให้บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัดเป็นผู้รับผิดชอบ ณ เวลานั้นบริษัทนี้ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอาจจ่ายปันผลเข้าบริษัทแม่และปิดบริษัทไปแล้วได้

    ทั้งนี้ ลูกบ้านร้องขอให้ “คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค” และ “คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน” ในสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารที่ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และเสนอแนวทางเยียวยาให้กับลูกบ้านแอชตัน อโศกด้วย

    ]]>
    1346124
    ทำความเข้าใจคดี “แอชตัน อโศก” หลังอนันดาฯ เตรียม “อุทธรณ์” กู้ชื่อเสียง-มั่นใจทำถูกต้อง https://positioningmag.com/1344950 Mon, 02 Aug 2021 16:58:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344950 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาฟ้าผ่าให้การอนุญาตก่อสร้าง “แอชตัน อโศก” ไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 ทั้งที่โครงการเสร็จสิ้นและมีการโอนกรรมสิทธิ์ มีลูกบ้านเข้าอยู่แล้วถึง 578 ครอบครัว จำนวน 666 ยูนิต (87% ของโครงการ) เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ข้อพิพาทเกิดขึ้นตรงไหน และ “อนันดาฯ” เจ้าของโครงการมีแผนอย่างไรต่อ ติดตามได้ที่นี่

    โครงการ “แอชตัน อโศก” เป็นโครงการ คอนโดมิเนียมสูง 50 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น มีห้องชุด 783 ห้อง ตั้งอยู่บนที่ดิน 2 ไร่ 3 งาน พื้นที่อาคารกว่า 46,700 ตร.ม. พัฒนาโดย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมทุนกับ มิตซุย ฟูโดซัง จากญี่ปุ่น

    โครงการขนาดใหญ่นี้ตั้งตระหง่านบริเวณหลังศูนย์การค้า Terminal 21 อโศก ติดกับทางเข้า-ออกสถานีรถไฟฟ้า MRT สุขุมวิท และมีทางถนนเข้า-ออกโครงการสู่ถนนอโศกมนตรี

    บริเวณที่ดินโดยคร่าวของโครงการแอชตัน อโศก พื้นที่สีแดงคือที่ดินโครงการ พื้นที่สีเหลืองคือถนนทางเข้า-ออกซึ่งผ่านพื้นที่ของรฟม.

    ถนนเข้า-ออกโครงการที่เชื่อมกับถนนอโศกมนตรีนี้เองที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง เนื่องจากคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 ระบุว่า การที่ผู้อำนวยการสำนักการโยธาอนุญาตให้อนันดาฯ ก่อสร้างโครงการแอชตัน อโศกถือว่า “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และพิพากษาให้ “เพิกถอน” ใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์ก่อสร้างทั้งหมด 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับอาคารนี้ โดยให้มีผลย้อนหลัง

    นั่นหมายความว่า แอชตัน อโศก มีความเสี่ยงที่จะถูกสั่งทุบอาคาร กลายเป็นความหวั่นวิตกต่ออนันดาฯ ลูกบ้าน 578 ครอบครัวในอาคาร จนถึงคนวงการอสังหาริมทรัพย์ และประชาชนทั่วไปที่ลงทุนซื้อหรือจะซื้อที่อยู่อาศัย

     

    ชนวนเหตุ “ทางเข้า-ออกโครงการ”

    โครงการแอชตัน อโศกนั้นเริ่มเปิดตัวตั้งแต่ปี 2557 ก่อนที่คดีความเหล่านี้จะเริ่มขึ้นในปี 2559 เมื่อสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนร่วมกับชาวบ้านที่อยู่อาศัยในละแวกโครงการรวม 16 ราย เป็นผู้ฟ้องร้องคดีต่อศาลปกครอง มีผู้ถูกฟ้อง 5 ราย คือ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา ผู้อำนวยการสำนักการโยธา ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการ EIA ส่วน บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด อยู่ในฐานะผู้ร้องสอด

    การฟ้องร้องว่าด้วยการที่หน่วยงานปกครองเหล่านี้กระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการอนุญาตให้โครงการแอชตัน อโศกก่อสร้างได้

    ประเด็นการฟ้องร้องมีทั้งหมด 5 ข้อ และศาลมีข้อพิจารณาออกมาเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 แล้วทั้งหมด คือ

    1. การอนุญาตก่อสร้างไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
      1.1 โครงการแอชตัน อโศกรุกล้ำทางสาธารณะ : ศาลพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีทางสาธารณะ ข้อฟ้องร้องนี้จึงตกไป
      1.2 โครงการต้องมีด้านใดด้านหนึ่งของที่ดินยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่ต่ำกว่า 18 เมตร และเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่ต่ำกว่า 18 เมตร จึงจะสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษได้ (อาคารขนาดใหญ่พิเศษคือมีขนาดอาคารมากกว่า 30,000 ตร.ม. และแอชตัน อโศกถือเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษ) : ศาลพิจารณาว่าทางเข้า-ออกของแอชตัน อโศกที่มีความกว้างรวม 13 เมตรไม่ใช่ “ถนนสาธารณะ” เพราะยังเป็นที่ดินของ รฟม. ไม่ได้เปิดให้ประชาชนสัญจรทั่วไป และการที่ รฟม. ให้อนันดาฯ ใช้ประโยชน์ไม่ถือเป็นการใช้ที่ดินเพื่อ “กิจการรถไฟฟ้า” การกระทำของ รฟม. จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีผลต่อเนื่องให้อนันดาฯ นำที่ดินนี้ไปประกอบการขออนุญาตก่อสร้างไม่ได้
    2. คณะกรรมการ EIA อนุญาตให้ก่อสร้าง ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ : ศาลไม่วินิจฉัย เนื่องจากพิจารณาให้การอนุญาตก่อสร้างไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
    3. ผู้ถูกฟ้องละเลยการปฏิบัติหน้าที่รักษาทางสาธารณะหรือไม่ : ศาลวินิจฉัย ไม่มีการละเลยปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่มีการรุกล้ำทางสาธารณะ (ตามข้อ 1)
    4. รฟม. อนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นทางผ่าน ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ : ศาลไม่วินิจฉัย เนื่องจากผู้ฟ้องทั้ง 16 คนไม่ได้รับความเดือดร้อนจากการนี้ จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
    5. รฟม. อนุญาตให้แอชตัน อโศกมีการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นทางผ่าน ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ : ศาลไม่วินิจฉัย เนื่องจากผู้ฟ้องทั้ง 16 คนไม่มีนิติสัมพันธ์กับรฟม.หรือแอชตัน อโศก จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
    ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ ส.53/2559 คดีหมายเลขแดงที่ ส.19/2564

     

    เอื้อประโยชน์รายเดียวไม่เกี่ยวกับ “กิจการรถไฟฟ้า” ?

    สรุปแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อพิพาททั้งหมดเป็นประเด็นที่ข้อ 1.2 นั่นคือเรื่องของ ทางเข้า-ออกโครงการแอชตัน อโศก และสาเหตุที่ไปเกี่ยวข้องกับ รฟม. ต้องย้อนไปก่อนการพัฒนาโครงการ

    ที่ดินของแอชตัน อโศกนั้นเกิดจากการรวมแปลงที่ดิน 3 แปลง แปลงหนึ่งในนั้นเดิมเคยมีหน้าที่ดินติดกับถนนอโศกมนตรี แต่ถูก รฟม. เวนคืนที่ดินเพื่อสร้างรถไฟฟ้า จึงทำให้ที่ดินมีลักษณะเป็นที่ดินตาบอด เจ้าของที่ดินเดิมคือ บริษัท จตุรัก จำกัด จึงฟ้องร้องเพื่อให้ รฟม. เปิดทางจำเป็นเข้า-ออกให้โดยกว้าง 6.4 เมตร ผ่านที่ดินเวนคืนของ รฟม.

    ต่อมาเมื่ออนันดาฯ ทำการรวมแปลงที่ดินแล้ว ได้ร้องขอให้ย้ายทางเข้า-ออก 6.4 เมตรนี้ไปอยู่ฝั่งที่ติดกับสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องจากเดิมทางเข้า-ออกอยู่ติดกับปล่องระบายอากาศของสถานีรถไฟฟ้า

    ทางเข้า-ออกโครงการแอชตัน อโศก กว้าง 13 เมตร โดยขอใช้ทางผ่านที่ดินของรฟม. (ภาพจาก : Google Maps Streetview)

    อนันดาฯ ยังมีคำขอเพิ่มเติมโดยขอให้ รฟม. ขยายทางเข้า-ออกนี้เพิ่มอีก 6.6 เมตร รวมเป็น 13 เมตร ซึ่งจะเป็นทางถาวร โดยกรรมสิทธิ์ยังคงเป็นที่ดินของ รฟม. บวกกับขอใช้พื้นที่ลานจอดรถ รฟม. เป็นเวลา 30 เดือนเพื่อใช้ตั้งสำนักงานขาย ทั้งหมดนี้แลกกับการที่ อนันดาฯ จะให้ค่าตอบแทนเป็นเงิน 98 ล้านบาท หรือก่อสร้างอาคารจอดรถให้กับ รฟม. โดยให้สิทธิ รฟม. เป็นผู้เลือกผลตอบแทนที่ต้องการ

    จะเห็นได้ว่าผลพิพากษาของศาลปกครองกลางมองว่า การเวนคืนที่ดินประชาชนแต่แรกนั้นต้องการให้นำมาใช้เพื่อ “กิจการรถไฟฟ้า” แต่การเปิดให้เอกชนรายเดียวใช้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของโครงการแอชตัน อโศก ไม่ใช่กิจการรถไฟฟ้า แม้ว่าอนันดาฯ จะให้ผลตอบแทนแล้วก็ตาม

     

    รฟม.ยังได้ใช้งาน-ไม่ใช่โครงการแรกที่ทำ

    เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 64 “ชานนท์ เรืองกฤตยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อนันดาฯ และทีมงาน มีการแถลงชี้แจงต่อสื่อ โดยยืนยันว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์อย่างแน่นอน โดยมีกำหนดเวลา 30 วัน

    เหตุผลโต้กลับของอนันดาฯ คือ รฟม. มีคำยืนยันมาโดยตลอดว่า รฟม. มีสิทธิอนุญาตให้บริษัทใช้ที่ดิน และทางเข้า-ออก 13 เมตรดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้โดยแอชตัน อโศกโครงการเดียว เพราะเป็นทางร่วมที่ รฟม. ใช้เข้า-ออกที่จอดรถของ รฟม. เอง ดังนั้น มองว่ายังถือเป็นทางที่ใช้ในกิจการรถไฟฟ้าอยู่ รฟม. ไม่ได้เสียสิทธิในการใช้งาน

    นอกจากนี้ อนันดาฯ ยังให้ข้อมูลด้วยว่าก่อนหน้าโครงการแอชตัน อโศก ยังมีโครงการอื่นๆ ที่ขอใช้ที่ดินของรัฐเป็นทางผ่านและนำไปขออนุญาตก่อสร้างในลักษณะเดียวกันไม่ต่ำกว่า 13 โครงการ รวมถึงแอชตัน อโศกไม่ใช่รายแรกที่ขอใช้ทางเข้า-ออกของ รฟม. ดังนั้น หากศาลพิพากษาให้การก่อสร้างโครงการนี้ไม่ถูกต้อง จะมีผลกระทบต่อโครงการอื่นๆ อีกจำนวนมาก

    ข้อชี้แจงจากอนันดาฯ กรณีแอชตัน อโศก ข้อมูลวันที่ 2 ส.ค. 64

     

    สู้สุดความสามารถ-ทำโดยสุจริตใจ

    ชานนท์ ซีอีโอของอนันดาฯ กล่าวว่า ในระยะสั้น บริษัทได้จัดประชุมผ่าน Zoom กับลูกบ้านแอชตัน อโศกแล้วเพื่อทำความเข้าใจ โดยยอมรับว่าลูกบ้านจำนวนหนึ่งมองบริษัทเป็นจำเลย แต่อีกจำนวนหนึ่งมีความเข้าใจ และต้องการจะร่วมเป็นผู้ร้องสอด ซึ่งต้องไปศึกษาข้อกฎหมายอีกครั้งว่าทำได้หรือไม่

    ในระยะยาวบริษัทจะสู้สุดความสามารถเพื่อดูแลลูกค้าและเพื่อชื่อเสียงองค์กร ส่วนถ้าหากเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือศาลปกครองสูงสุดยืนคำพิพากษาตามศาลปกครองกลาง ชานนท์ตอบกว้างๆ ว่าในฐานะซีอีโอจะดูแลลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบ แต่ขอบเขตการดูแลจะต้องศึกษาข้อบังคับในตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง

    “ชานนท์ เรืองกฤตยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

    “ย้อนไปตอนนั้นเรามั่นใจว่าเราทำถูกต้องทุกอย่าง ถ้ามีคนไปร้องแล้วเราต้องหยุดทุกอย่างก็คงเป็นไปไม่ได้ เราต้องยึดมั่นว่าเรามาอย่างถูกต้องโดยสุจริตใจ เมื่อคิดว่าเราสุจริตเราก็ต้องสู้” ชานนท์กล่าวถึงการตัดสินใจเดินหน้าก่อสร้างต่อแม้ว่าจะมีการฟ้องร้องเมื่อ 5 ปีก่อน ทั้งนี้ ในช่วงที่เริ่มมีการฟ้องร้อง คอนโดฯ แอชตัน อโศกมีการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 70-80%

    มหากาพย์การฟ้องร้องแอชตัน อโศกถือเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างมาก เพราะดังที่อนันดาฯ ยกตัวอย่างว่า มีโครงการอีกมากที่ใช้วิธีลักษณะเดียวกันเพื่อเปิดหน้าที่ดิน หากโครงการแอชตัน อโศกไม่ได้ไปต่อ อีกหลายโครงการก็อาจจะถูกฟ้องร้องเป็นโดมิโนไปด้วยก็ได้

    ]]>
    1344950