โทเคน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Apr 2023 11:20:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ซอยขายเป็นตารางนิ้ว! “RealX” โทเคนลงทุนคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” เหรียญละ 182 บาท การันตียีลด์ 4-5% https://positioningmag.com/1428853 Thu, 27 Apr 2023 08:10:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428853 เตรียมออกโทเคน “RealX” เพื่อการลงทุนในคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” ที่สร้างเสร็จแล้ว 3 ทำเล คือ ทองหล่อ พร้อมพงษ์ พญาไท ราคาเหรียญละ 182 บาท เปรียบเหมือนการซอยขายห้องชุดเป็นตารางนิ้ว ให้รายย่อยร่วมลงทุนได้ง่าย ไม่ต้องมีเงินล้าน ใช้เงินลงทุนหลักร้อยบาท การันตียีลด์ปีละ 4-5% ใน 5 ปีแรก

“การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ตามวิธีดั้งเดิมคือต้องเป็นเจ้าของห้องทั้งห้องหรือบ้านทั้งหลัง หมายความว่านักลงทุนต้องมีเงินสดหลักล้าน หรือมีเครดิตดีพอที่จะกู้สินเชื่อบ้าน ยิ่งถ้าหากเป็นอสังหาฯ ใจกลางเมืองวันนี้ ราคาคอนโดฯ ย่านซีบีดีพุ่งไปถึงยูนิตละ 5 ล้าน 10 ล้าน ทำให้คนทั่วไปเอื้อมถึงการลงทุนอสังหาฯ ในทำเลทองได้ยากมาก

จนกระทั่งเทคโนโลยีบล็อกเชนและการออกเหรียญโทเคนดิจิทัลเกิดขึ้น จึงมีการต่อยอดไอเดียมาสร้างการลงทุนแบบใหม่ ใช้การออก “โทเคน” กระจายการถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของคอนโดฯ 1 ห้องออกเป็นหลายเจ้าของ (fractionalization) เพื่อให้หน่วยการลงทุนอสังหาฯ มีขนาดเล็กลง คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

แนวคิดการออกโทเคนเพื่อลงทุนคอนโดฯ ดังกล่าวกำลังจะเกิดขึ้นครั้งแรกในไทยกับ “RealX Investment Token” และคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” ซึ่งพัฒนาโดย บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI)

RealX
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการ RealX : (จากซ้าย) “พีระพงษ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI), “ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด และ “จิตตินันท์ ชาติสีหราช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X

 

ถือ 1 เหรียญ เสมือนเป็นเจ้าของ 1 ตารางนิ้ว

“ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดการออกเหรียญ “RealX” เป็นการนำห้องชุดในคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” 3 ทำเล รวมไม่เกิน 361 ยูนิต มาแปลงเป็นหน่วยการลงทุน โดยแบ่งรายละเอียดคอนโดฯ ที่จะนำมาขายผ่านโทเคน ดังนี้

  • พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์ ไม่เกิน 138 ยูนิต
  • พาร์ค ออริจิ้น พญาไท ไม่เกิน 123 ยูนิต
  • พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ไม่เกิน 100 ยูนิต
RealX
(ซ้ายบน) พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์, (ขวาบน) พาร์ค ออริจิ้น พญาไท, (ภาพล่าง) พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ

เมื่อออกขายหน่วยลงทุนแล้ว RealX จะนำห้องชุดเหล่านี้เข้าระบบการ “ปล่อยเช่า” โดยมี บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด หรือ HHR เป็นผู้รับบริหารการเช่าครบวงจร (*HHR เป็นบริษัทในเครือออริจิ้น) เพื่อสร้างรายได้กลับมาเป็นเงินปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือโทเคน

ด้าน “จิตตินันท์ ชาติสีหราช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X ภายใต้กลุ่ม SCBX ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) กล่าวว่า เหรียญ RealX จะเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก (ICO) จำนวนไม่เกิน 19,230,769 โทเคน ที่ราคา 182 บาทต่อโทเคน รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 3,500 ล้านบาท

จำนวนโทเคนนี้มาจากไหน? จิตตินันท์ระบุว่ามาจากการคำนวณพื้นที่ขายทั้งหมดของห้องชุดที่จะนำมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิงของโทเคนนี้ และนำมาหารเป็น “ตารางนิ้ว” ทำให้การถือเหรียญ RealX 1 เหรียญ จะเปรียบเหมือนกับการถือครองคอนโดฯ 1 ตารางนิ้ว

 

การันตียีลด์ 4-5% ในช่วง 5 ปีแรก

โครงการลงทุนโทเคนดิจิทัล RealX มีการกำหนดอายุโครงการ 10 ปี โดย ดร.วีรพงษ์ นำเสนอผลตอบแทนที่จะได้รับในช่วง 10 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ

ช่วงแรก – ปีที่ 1-5 การันตีผลตอบแทนการเช่า 4.00%, 4.25%, 4.50%, 4.75% และ 5.00% ของมูลค่าเสนอขายโทเคน โดยปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดทุกปี

ช่วงที่สอง – ปีที่ 6-10 จะทยอยขายยูนิตในโครงการเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา (capital gain) โดยจะขายปีละ 10%, 15%, 20%, 25% และ 30% ของจำนวนยูนิตที่มี ปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดทุกปี จนขายหมดในปีที่ 10 (ทยอยขายเพื่อไม่ให้ซัพพลายล้นเกินในปีเดียว) ระยะนี้ผู้ถือโทเคนจะได้รับผลตอบแทนทั้งส่วนที่ขายห้องชุดได้ และผลตอบแทนจากค่าเช่าในห้องชุดที่ยังไม่ได้ขายออกไป

ทั้งหมดนี้ ผู้ถือโทเคนจะได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาส

แม้โครงการจะมีอายุ 10 ปี แต่ในระหว่างนั้นผู้ถือโทเคนสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือโทเคนได้ เพราะจะมีการนำเหรียญ RealX เข้าเทรดในตลาดรอง ซึ่งขณะนี้กำลังเลือกระหว่างกระดาน TDX หรือ Bitkub หรือทั้งสองกระดาน

เมื่อโทเคนอยู่บนกระดาน ราคาเหรียญจะมีการขึ้นลงตามตลาด สามารถเทรดซื้อขายทำกำไรเหรียญได้ ซื้อเพิ่มหรือขายออกได้คล่องตัวมากกว่าการลงทุนอสังหาฯ แบบดั้งเดิม

 

ลงทุนในแหล่งปล่อยเช่าชาวต่างชาติ

ดังที่เห็นว่าเหรียญ RealX เป็นโทเคนที่มีพื้นฐานจากสินทรัพย์อ้างอิง การพิจารณาความเหมาะสมของราคาขาย รวมถึงความเป็นไปได้ในการทำกำไรทั้งจากค่าเช่าและส่วนต่างราคา จึงต้องกลับมาที่ตัวสินทรัพย์

“พีระพงษ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI กล่าวถึงสินทรัพย์ทั้ง 3 แห่ง เป็นทำเลปล่อยเช่าชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย (expat) ในทำเลทองหล่อ-พร้อมพงษ์จะเป็นกลุ่มชาวญี่ปุ่น ส่วนทำเลพญาไทมีหลากหลายสัญชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและไต้หวันซึ่งเดินทางติดต่อธุรกิจบ่อย ทำให้ต้องการที่พักใกล้ ARL เพื่อไปสนามบินสะดวก

ปัจจุบัน HHR บริหารการเช่าในทั้ง 3 โครงการอยู่แล้ว และมีอัตราเข้าพักเกือบเต็ม 100% สามารถทำราคาเช่าได้สูง ตัวอย่างเช่น ทำเลทองหล่อ คิดค่าเช่าที่ 2,000 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน

อัตราผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ยของ 3 โครงการนี้อยู่ที่ 8% แต่ที่การันตียีลด์ 4-5% สำหรับผู้ถือโทเคน เพราะจะมีการหักค่าบริหารจัดการทั้งค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้ HHR และการบริหารของ RealX

ด้านการเติบโตของราคาคอนโดฯ พีระพงษ์มองว่าทำเลซีบีดีของกรุงเทพฯ ในอดีตที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่าราคาสามารถขึ้น 100% ได้ภายใน 10 ปี เพราะที่ดินเป็นสินทรัพย์ที่มีจำกัด

ส่วนราคาขายห้องชุดผ่านโทเคน ไม่ได้ปรับขึ้นสูงกว่าปกติและมีการลดราคาให้ด้วย เพราะปัจจุบันออริจิ้นขายโฉนด 3 โครงการนี้ในราคาเฉลี่ย 298,000 บาทต่อตร.ม. แต่การขายผ่าน RealX คิดเป็นตารางเมตรแล้วจะตก 265,000 บาทต่อตร.ม.

ดร.วีรพงษ์กล่าวต่อว่า RealX จะเริ่มเปิดขายผ่านแอปพลิเคชัน Token X ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566 ในส่วนนักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อคน (ตามกฎกำกับการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลของ ก.ล.ต.) นักลงทุนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ และยืนยันตัวตนไว้ก่อนได้

“เรากำลังอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ที่นวัตกรรมจะเปลี่ยนวงการอสังหาฯ ปกติถ้าผมขายคอนโดฯ กลางเมือง จะมีคนแค่ 5% ของประเทศนี้ที่ซื้อได้ แต่เมื่อมีการสร้างการลงทุนเป็นโทเคน จะซื้อเพียงแค่ 1 ตารางนิ้วก็ได้ ทำให้ใครๆ ก็ลงทุนได้ แม้แต่น้องพนักงานเซเว่นฯ ที่แม่ฮ่องสอนยังกดซื้อคอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ ได้” พีระพงษ์แห่ง ORI กล่าว “นวัตกรรมนี้จะเปิดโอกาสอีกมากมาย ต่อไปผมอาจจะทำ Hotel Token กระจายการลงทุนในโรงแรม หรือทำ Warehouse Token กระจายการลงทุนคลังสินค้า ทำให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนกับกระแสอีคอมเมิร์ซที่กำลังบูมในวันนี้”

]]>
1428853
แผน 4 ปี “เอสซี แอสเสท” รายได้พุ่ง 1 แสนล้าน! ปักหลักสมรภูมิเดิม เสริมด้วยน่านน้ำธุรกิจใหม่ https://positioningmag.com/1373505 Thu, 10 Feb 2022 07:50:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373505
  • “เอสซี แอสเสท” ขยับแผนการเติบโตเร็วขึ้น วางกลยุทธ์ 4 ปี (2565-2568) รายได้สะสม 1 แสนล้านบาท มาจาก ‘สมรภูมิเดิม’ คือการพัฒนาที่อยู่อาศัย และ ‘น่านน้ำใหม่’ จากธุรกิจโรงแรม อพาร์ตเมนต์ รู้ใจแอปพลิเคชัน ฯลฯ
  • โชว์วิสัยทัศน์นวัตกรรม เตรียมออก ‘SC Morning Coin’ ในลักษณะ Utility Token ไตรมาส 4 ปีนี้
  • สำหรับแผนปี 2565 เตรียมเปิดตัวมากที่สุด 27 โครงการ 40,000 ล้านบาท พร้อมแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ บ้านเดี่ยวสุดหรู 50 ล้านบาททำเลเลียบด่วนรามอินทรา และคอนโดฯ เพื่อคนเจนวายทำเลวงเวียนใหญ่
  • หลังเกิดการระบาดของ COVID-19 “เอสซี แอสเสท” เคยประเมินว่าผลกระทบจะยาวนานจนถึงปี 2565 แต่หลังจากสถานการณ์ยังมีโอกาส และบริษัทสามารถรอดผ่านวิกฤตมาได้ ทำให้แผนการกลับมาเติบโตของบริษัทถูกขยับขึ้นมาเร็วขึ้น 1 ปี

    “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) เปิดแผน “Thriving for Good” ของบริษัทในระยะ 4 ปี (2565-2568) แบ่งเป็น 3 กลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน ดังนี้

    1. เติบโต บนสมรภูมิเดิมและน่านน้ำใหม่

    เอสซีฯ วางเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง 4 ปี รายได้สะสมรวมกัน 1 แสนล้านบาท เริ่มปี 2565 ปีแรกจะมีรายได้ 20,000 ล้านบาท และปี 2568 รายได้จะขึ้นไปแตะ 30,000 ล้านบาท

    รายได้ดังกล่าวจะมาจาก 2 ฝั่งคือ ‘engine 1’ โครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูงประมาณ 80% และ ‘engine 2’ ซึ่งเป็นธุรกิจโอกาสใหม่ ประมาณ 20%

    สำหรับโอกาสใหม่ (engine 2) จะเป็นธุรกิจจากเทรนด์ใหม่ของโลกคือ Work from Anywhere และ Home is Everything ที่บริษัทมีการลงทุนแล้วคือ โรงแรม “ย่าน” (YAHN) จะเปิดช่วงปลายปีนี้, แอปพลิเคชันรู้ใจ, การลงทุนอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐฯ และจะมีธุรกิจใหม่เปิดตัวในช่วงกลางปีนี้

    engine 2 โอกาสใหม่ของเอสซีฯ
    2. เชื่อมต่อ ทุกสิ่งถึงกัน สร้างคุณค่าที่มากกว่า

    กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงระบบนิเวศของอสังหาฯ เช่น

    • รู้ใจ OS เป็นซอฟต์แวร์เพื่อใช้สั่งการโฮมออโตเมชันซึ่งเอสซีฯ เริ่มติดตั้งตั้งแต่ปี 2564 และปี 2565 จะเพิ่มฟีเจอร์ให้สามารถสั่งการด้วยเสียงได้
    • ระบบ Active Airflow ผลงานจากการทำงานร่วมกับ SCG ทำให้ถ้าหากในบ้านมี 5 มากเกินไป ระบบจะดูดกรองอากาศอัตโนมัติ
    • แอปฯ รู้ใจ จะเชื่อมต่อกับสินค้าและบริการหลากหลายมากขึ้น
    • EV Charger เข้ามาติดตั้งในโครงการแน่นอน
    • SC Morning Coin เป็น Utility Token ให้ลูกค้าและคู่ค้าของเอสซีฯ ได้ใช้ ทำให้ระบบนิเวศเชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้น

    “คอยน์ของเราจะเป็น Utility Token คือไม่ได้นำไปซื้อของโดยตรง แต่เหมือนเป็นพอยท์แลกของ เมื่อเป็นโทเคนเดียวกันจะทำให้แลกได้ง่ายขึ้น การที่เราทำสิ่งนี้เราไม่ได้ได้เปรียบในธุรกิจมากขึ้น แต่ถ้าเราไม่ทำเราจะเสียเปรียบ” ณัฐพงศ์อธิบายถึงแนวคิด

    ส่วนประเด็นการที่ภาครัฐจะพิจารณาควบคุมการใช้คอยน์ซื้อสินค้า แม่ทัพเอสซีฯ ไม่ได้กังวลถึงผลกระทบมากนัก “ผมเชื่อว่าการที่หน่วยงานกำกับควบคุมเข้ามา ก็เพราะว่ากำลังจะเกิดการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย เราไม่ได้กังวลกับการกำกับควบคุมเพราะสิ่งใหม่เข้ามามันก็ต้องเกิดขึ้น และเราพร้อมจะปรับตาม”

    3. ยั่งยืน สร้างคุณค่าสู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม

    การสร้างความยั่งยืน เอสซีฯ มองเป็น 3 มุมคือ “แบรนด์” จะต้องคงความน่าเชื่อถือ คุณภาพสูง แม้ว่าจะขยายการลงทุนสูง “องค์กร” ต้องการเป็นค่ายอสังหาฯ ที่น่าทำงานด้วยเป็นอันดับ 1 โดยสร้างสังคมดี สมดุลดี อนาคตดี “ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” เป็นการขยายความรับผิดชอบสู่สังคมโดยรวม มีเป้าหมายแรกคือ SCEROmission (เอสซีโร่มิชชั่น) ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกลง 25% ในปี 2568

    “เราจะยั่งยืนบนวิถีโลกใหม่ได้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าทุกสิ่งเชื่อมต่อกัน เราเรียนรู้เรื่องนี้ได้ดีจาก COVID-19 เพราะผู้ป่วย 1 คนวันนี้กลายเป็นผู้ป่วย 400 ล้านคนทั่วโลก และทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจจนไปสู่การเมือง เพราะฉะนั้น การเติบโตในโลกยุคใหม่ถ้ามองแต่กำไร เราจะไม่ยั่งยืนและเป็นเรื่องล้าสมัยแล้ว องค์กรที่จะโตในโลกยุคใหม่ต้องมองทั้ง Profit People และ Planet” ณัฐพงศ์กล่าว

     

    แผนปี 2565 ลงทุนหนัก เปิดสองแบรนด์ใหม่

    ด้านแผนระยะสั้นในปี 2565 ของ เอสซี แอสเสท มีแผนการลงทุนและเป้าหมาย ดังนี้

    • เปิดตัว 27 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท (แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 2 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท)
    • เป้ายอดขาย 22,000 ล้านบาท
    • เป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท
    • เป้าลงทุนซื้อที่ดินและอสังหาฯ ในสหรัฐอเมริกา 11,500 ล้านบาท
    เอสซี แอสเสท
    แผนธุรกิจเอสซีฯ ปี 2565

    สัดส่วนรายได้ปีนี้แบ่งเป็น 66% มาจากแนวราบ 30% มาจากแนวสูง และ 4% มาจากธุรกิจโอกาสใหม่ และสัดส่วนการเปิดตัว 70% จะเป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อสูง

    เอสซีฯ ยังมีไฮไลต์ “แบรนด์ใหม่” 2 แบรนด์ คือ

    • “บ้านเดี่ยวราคามากกว่า 50 ล้านบาท” ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ที่บริษัทยังไม่เคยลงทุน แต่เห็นโอกาสความต้องการขณะที่ซัพพลายมีน้อย จะเปิดในทำเลเลียบด่วนรามอินทรา
    • “คอนโดฯ เพื่อคนเจนวาย” มีการออกแบบใหม่ให้เหมาะกับโลกปัจจุบัน เปิดในทำเล 130 เมตรจาก BTS สถานีวงเวียนใหญ่ ราคาของแบรนด์นี้จะอยู่ในช่วง 1-2 แสนบาทต่อตร.ม. แต่อาจปรับลงมาต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตร.ม.ได้ถ้าอยู่ในทำเลที่เหมาะสม
    ภาพเบื้องต้น คอนโดฯ แบรนด์ใหม่

    ส่วนคอนโดฯ อีกโครงการหนึ่งคือ “สโคป ทองหล่อ” ติดถ.สุขุมวิทและ BTS สถานีทองหล่อ มีเพียง 20 ยูนิต ราคาเริ่ม 140 ล้านบาทต่อยูนิต เป็นคอนโดฯ ระดับซูเปอร์ลักชัวรีที่จะมาตอบโจทย์กลุ่มไฮเอนด์แต่ยังต้องการไลฟ์สไตล์แบบคอนโดมิเนียม

    “เราเห็นสัญญาณเชิงบวกจากทั้งภายในภายนอก ภายในเราเห็นความพร้อมของเรา หนี้เรายังไม่สูง สภาพคล่องพร้อม เรามีวงเงินสดและวงเงินพร้อมเบิก 10,000 ล้านบาท ส่วนภายนอกองค์กร เราเห็นดีมานด์แนวราบเติบโตน่าตื่นเต้น ตลาดบ้านปีที่แล้วโตถึง 29% ซึ่งผมว่าทุกคนเพิ่งจะรู้จากวิกฤตนี้ว่า “บ้าน” เป็นที่ต้องการเพราะสเปซ” ณัฐพงศ์กล่าว “ผมเชื่อว่าเราผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และปีนี้จะคึกคักขึ้น”

    ]]>
    1373505
    ทำความรู้จัก Popcoin เหรียญวงการ “บันเทิง” ไทยที่ “แบมแบม” เป็นแพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์ https://positioningmag.com/1370103 Tue, 11 Jan 2022 11:16:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370103 เกิดกระแสฮือฮาในวงการบันเทิงและนักลงทุน เมื่อปรากฏภาพ “แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” ในฐานะแพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์ของเหรียญ “Popcoin” เหรียญนี้คืออะไร เราจะพาไปทำความรู้จักกัน

    เหรียญ Popcoin เกิดจากความร่วมมือของ 3 บริษัท คือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS, โฟร์ท แอปเปิ้ล และ บริษัท ฟิวเจอร์ คอมเพเทเร่ จำกัด และวางตัวให้เหรียญนี้เป็น “Utility Token” คือเหรียญที่ตั้งใจให้มีช่องทางนำไปใช้แลกเปลี่ยนสินค้าได้จริงมากกว่าการเก็งกำไร

    จุดประสงค์ของ Popcoin ดูได้จากสโลแกนของเหรียญคือ “Popcoin: Join to Earn” เหรียญนี้จะมาดิสรัปต์วงการ “Entertainmerce” โดยเข้ามาเป็นตัวเชื่อมในระบบนิเวศของ “วงการบันเทิง” และ “การตลาด”

    โดยผู้ที่จะได้ครอบครองเหรียญ (หรือในแพลตฟอร์ม Popcoin ใช้ชื่อว่า Popsters) จะได้เหรียญมาจากการรับชมโฆษณา เข้าร่วมงานอีเวนต์ ตอบคำถาม เล่นเกม ฯลฯ ตามแต่จะมีการสร้างกิจกรรมขึ้นมาร่วมกับสปอนเซอร์

    วิธีการนี้จะเข้ามาอุดจุดบอดของการตลาดปัจจุบันที่คนมักจะไม่สนใจโฆษณา ไม่สนใจมีส่วนร่วมกับแบรนด์ แต่เมื่อมี Popcoin ตอบแทนก็จะเป็นแรงจูงใจใหม่ให้ผู้บริโภคสนใจมากขึ้น

    (จากซ้าย) กอล์ฟ F.HERO ผู้ร่วมก่อตั้ง High Cloud Entertainment, สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) และ ฐณณ ธนกรประภา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ โฟร์ท แอปเปิ้ล

     

    แล้วผู้บริโภคจะอยากได้ Popcoin ไปทำไม?

    คำตอบคือ Popcoin จะร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้คนนำเหรียญไปใช้แลกสินค้าได้จริง บางแคมเปญอาจจะมีการปล่อยสินค้าพิเศษที่ต้องใช้ Popcoin แลกเท่านั้น เช่น การ์ดเซ็ทของไอดอล ของสะสมดาราศิลปิน เมอร์ชานไดซ์พิเศษ รวมถึงอนาคตหากโลก ‘เมตาเวิร์ส’ บูมเมื่อไหร่ เหรียญนี้ก็อาจจะนำไปใช้ในโลกดิจิทัลได้

    แม้ว่าจุดประสงค์ของเหรียญจะไม่ได้เน้นเก็งกำไร แต่ Popcoin กำลังจะเข้าไปเทรดบนกระดานของ Bitkub ด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้เทรดแลกเหรียญ Popcoin กับเงินคริปโตอื่นๆ หรือแลกออกมาเป็นเงินบาทได้

    นอกจากนี้ ยังมีระบบให้ ‘Stake’ เหรียญ ให้เจ้าของเหรียญที่ไม่มีแผนจะใช้เหรียญนำเหรียญเข้ามาออมในระบบเพื่อรอรับ Reward (คล้ายกับฝากเงินในธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ย) อัตรา Reward ที่จะได้ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะซัพพลาย-ดีมานด์ของเหรียญขณะนั้น

    ด้านการควบคุมจำนวนเหรียญ Popcoin มีการระบุไว้ใน Whitepaper ว่า ภายใน 4 ปีแรกจะมีการผลิตเหรียญไม่เกิน 10,000 ล้านเหรียญ และในปีต่อๆ ไปจะมีการปรับจำนวนเหรียญขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้จำนวนเหรียญในระบบ “เฟ้อ” จะต้องเพิ่มจำนวนตามปริมาณการนำไปใช้จริง

     

    ใครได้ Popcoin ไปแล้วบ้าง?

    การปล่อยเหรียญครั้งแรกหรือ ICO ไม่ได้ขายให้กับประชาชนทั่วไป แต่เน้นไปที่ B2B มากกว่า ได้แก่

    • 65% ให้กับแบรนด์ที่ต้องการซื้อไปทำแคมเปญ
    • 15% เก็บไว้ทำการตลาดให้กับตัวเหรียญเอง
    • 15% ให้กับพันธมิตรธุรกิจ
    • 5% ให้กับทีมผู้ก่อตั้ง

    เหรียญ Popcoin มีการเปิดตัวไม่เป็นทางการต่อสาธารณะไปตั้งแต่เดือน พ.ย.-ธ.ค. 2564 โดยให้สิทธิผู้ที่สมัครเข้ามาในแพลตฟอร์ม สามารถร่วมแคมเปญ “Popcoin Airdrop” รับเหรียญฟรี 100 เหรียญ และเมื่อชวนเพื่อนมาสมัครจะได้รับเพิ่มอีก 25 เหรียญต่อเพื่อน 1 คน (เป็นเหรียญที่มาจากส่วนสำหรับทำการตลาดนั่นเอง)

    ปัจจุบันเหรียญมี Popsters ที่ถือเหรียญแล้ว 5 แสนคน และ Popcoin เชื่อว่าจะมีผู้สมัครเข้าแพลตฟอร์มเป็น 1 ล้านคนในเร็วๆ นี้ (สำหรับแคมเปญ Popcoin Airdrop จบไปแล้วตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 10 ม.ค. 65)

    แบมแบม Popcoin
    แพลตฟอร์มดึงตัว “แบมแบม” มาเป็นพาร์ทเนอร์ช่วยโปรโมต

    ล่าสุด Popcoin ประกาศรายชื่อพันธมิตรออกมายาวเหยียด แบ่งกลุ่มได้ดังนี้

    • ธุรกิจดนตรีและบันเทิง: Live Nation, BEC Tero, High Cloud Entertainment, คณะหมอลำเสียงอิสาน, VOM Records, Full Sense, สมาคมการค้าธุรกิจไอดอลหญิง (FITA), RS Music, Coolism, สถานีโทรทัศน์ช่อง 8
    • ธุรกิจสื่อ: UNLOCKMEN, Pet Hipster
    • ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค: RS Mall, คามู ซี, เวล ยู, ไลฟ์เมต, ไวตาเนเจอร์พลัส
    • ธุรกิจอื่นๆ: Carnival แบรนด์สตรีทแฟชั่น, Bhouse Studio โรงเรียนสอนเต้น, บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด, บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท อินดีม กรุ๊ป จำกัด, บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน), บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)

    น่าสนใจว่า Popcoin จะร้อนแรงแค่ไหน เมื่อเข้ามาเป็นโทเคนมิติใหม่แห่งวงการบันเทิง-การตลาด!

    ]]>
    1370103
    กางเเผน ‘เอ็กซ์สปริง’ ขอลุย ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ รับตลาดโตเร็ว เปิดลงทุนเเบบ One Stop Service https://positioningmag.com/1347432 Wed, 18 Aug 2021 11:58:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1347432 เปิดเเผนธุรกิจ ‘เอ็กซ์สปริง‘ หลังมีเงินทุนหมื่นล้าน ขอลุย ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เต็มสูบ ปั้นเป็น New S-curve รับตลาดโลกขยายตัว พัฒนาแพลตฟอร์มให้ลงทุนเเบบ One Stop Service ได้เเทบทุกผลิตภัณฑ์ ประเดิมขายโทเคนดิจิทัล ‘สิริฮับ’ ก.ย.นี้

    เอ็กซ์สปริงขยับมูฟใหม่อีกครั้งในปีนี้ หลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG เเละระดมทุนได้ 7,111 ล้านบาท รวมถึงการจับมือร่วมลงทุนกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ฝั่งอสังหาฯอย่างแสนสิริ

    ปัจจุบัน เอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจการเงิน เเบ่งเป็น 1) ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัท หลักทรัพย์กรุงไทยซีมิโก้ จำกัด 2) ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็กซ์สปริงจำกัด 3) ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์เอ็กซ์สปริงเอเอ็มซี จำกัด 4) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริงดิจิทัล จำกัดเเละ 5) ธุรกิจจัดการเงินลงทุน

    ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้ ทำให้เอ็กซ์สปริงมีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท บวกสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท รวมกันเเล้วเอ็กซ์สปริงมีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท

    ความเคลื่อนไหวสำคัญที่ต้องจับตามองคือ บริษัทกำลังเดินหน้าขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจเพิ่มอีก 4 ใบอนุญาต ได้แก่ นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Private fund Management) และใบอนุญาตในการเป็นตัวแทนขายกองทุนรวม (LBDU)

    เราจะสร้างระบบนิเวศการลงทุนของบริษัทให้สมบูรณ์มากที่สุด เพื่อเป็น One Stop Service ให้ลูกค้า โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในสิ้นปีนี้ หรือย่างช้าในต้นปี 2565″ 

    วาง ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เป็น New S-curve

    สำหรับเงินทุนก้อนใหญ่ที่ได้มานั้น บริษัทชี้เเจงว่า จะนำไปพัฒนาธุรกิจในส่วน ธุรกิจดิจิทัล เพื่อมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน 

    อีกส่วนคือ ธุรกิจปัจจุบัน เพื่อขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) ขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

    “ปีนี้เราวางแผนรุกธุรกิจครั้งใหญ่สู่การเป็น Digital Financial Service เปลี่ยนธุรกิจการเงินเดิมๆ สู่นวัตกรรมการเงิน โดยตั้งเป้าหมายว่า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็น New S-curve ที่ช่วยสร้างการเติบโตใหม่ของบริษัท เสริมกับธุรกิจดั้งเดิม” 

    ระเฑียร สรุปจุดแข็งของบริษัท เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด คือ  “พันธมิตร- เงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมี 17 Licenses ในมือ” โดยเป็นพาร์ตเนอร์ที่มีความชำนาญในอุตฯ ของตัวเอง อย่างในวงการอสังหาริมทรัพย์คือ บมจ.แสนสิริ (SIRI) วงการประกันภัยคือ บมจ.วิริยะประกันภัย และ เอเลเวตเท็ด รีเทิร์นส์ (Elevated Returns) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารหลักทรัพย์ วางโครงสร้างทางการเงิน และควบรวมกิจการ

    “เราจะเติบโตด้วยบทบาทของการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ มุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชันในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) สร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนมนุษย์ (Human Capital)”

    นอกจากนี้ จะต่อยอดพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วย

    เตรียมเปิดลงทุนเงินดิจิทัลครบวงจร นำร่องด้วย ‘สิริฮับ’

    สำหรับเทรนด์การเติบโตของ ธุรกิจการเงินดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ล่าสุดมีมูลค่าถึง 40 ล้านล้านบาท หรือราว 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ 

    ด้วยโอกาสนี้ เอ็กซ์สปริง จึงวางเเผนการเติบโตไปพร้อมตลาดโลกผ่านสินทรัพย์ที่จะมาแทนที่เงินสกุลต่างๆ เช่น คริปโทเคอเรนซี่ และการซื้อขายทองคำผ่านระบบดิจิทัล

    โดยที่ผ่านมา ตลาดบิตคอยน์เติบโตกว่า 24 ล้านล้านบาท (8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ) รวมทั้งตลาดแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และ Decentralized Finance ที่มีขนาดกว่า 11.7 ล้านล้านบาท (3.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) และ 1.35 ล้านล้านบาท (45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ ส่วน Utility Token และ Security Token ก็ยังเป็นการเงินดิจิทัลที่มีการเติบโตสูงเช่นกัน ด้วยขนาดตลาดในปัจจุบันที่สูงถึง 1.95 ล้านล้านบาท (64,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)

    ทั่วโลกยังนำโทเคนดิจิทัลและระบบบล็อคเชนมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อย่างโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น ทอง ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

    “เมื่อเราได้ไลเซ่นส์ครบ ลูกค้าจะสามารถเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ได้เเทบทุกอย่างในที่เดียว ไม่ใช่เฉพาะหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคน เท่านั้น โดยเอ็กซ์สปริงจะทำแพลตฟอร์มในรูปแบบ Open Architecture” 

    บริษัทกำลังเตรียมเสนอขายผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลผลิตภัณฑ์แรก คือ โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ‘สิริฮับ’ (SiriHub Investment Token) คาดจะเปิดขายในเดือนก.ย. นี้  ต่อมาจะเปิดนักลงทุนสามารถซื้อขายโทเคนดิจิทัลของ บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท โดยใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10 บาทต่อเหรียญ

    สำหรับผลประกอบการของ ‘เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล’ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีรายได้รวม ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ อยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 791% โดยทางผู้บริหาร คาดว่าบางธุรกิจมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ได้ในช่วงกลางปีหน้า

     

    ]]>
    1347432