BTS – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 18 Oct 2021 13:45:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 โปรฯ ใหม่ BTS! เปลี่ยนวิธีเป็น “สะสมพอยต์แลกเที่ยวแถม” ขึ้นราคาจากตั๋วเดือน 25% https://positioningmag.com/1357200 Mon, 18 Oct 2021 12:48:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1357200 คำนวณกันจนงง! รถไฟฟ้าบีทีเอสประกาศ “โปรโมชันใหม่” ใช้วิธี “สะสมพอยต์แลกเที่ยวเดินทาง” ผ่านบัตรแรบบิท แทนตั๋วเหมารายเดือนแบบเดิม

รถไฟฟ้าบีทีเอส ประกาศโปรโมชันใหม่เป็นระบบ “ยิ่งเดินทางต่อสัปดาห์บ่อย ยิ่งได้เที่ยวแถมเยอะขึ้น” เพราะคำนวณการสะสมพอยต์จากจำนวนเที่ยวเดินทางต่อสัปดาห์ (ดูตาราง) เช่น เดินทาง 10 เที่ยวต่อสัปดาห์ได้ 600 พอยต์ สำหรับบัตรบุคคลทั่วไปจะแลกเที่ยวแถมฟรีได้ 3 เที่ยว หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “ซื้อ 10 เที่ยว แถม 3 เที่ยว”

ทั้งนี้ BTS มีช่วงประเดิมพอยต์คูณสองให้เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 64 – 31 ม.ค. 65

เงื่อนไขของการสะสมพอยต์คือ ต้องเดินทาง 5 สถานีขึ้นไป (ค่าโดยสาร 37 บาท) และต้องเดินทางอย่างน้อย 4 เที่ยวต่อสัปดาห์ (เริ่มขึ้นสัปดาห์ใหม่ทุกวันจันทร์เวลา 03.00 น.) จึงจะถือว่าคิดเป็นพอยต์สะสม

รวมถึงสถานีที่นับในการสะสมพอยต์ นับเฉพาะเขตสัมปทานของ BTS ได้แก่ สถานีหมอชิต-อ่อนนุช และสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน

ส่วนการแลกเที่ยวเดินทางฟรี สามารถใช้กี่สถานีก็ได้ ภายในเขตสัมปทาน BTS ได้แก่ สถานีหมอชิต-อ่อนนุช และสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-วงเวียนใหญ่

 

โปรฯ ใหม่ BTS แพงขึ้น 25%

กลับมาที่วิธีคำนวณโปรโมชันใหม่นี้ ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบบุคคลทั่วไป เดินทาง 40 เที่ยวต่อเดือน หรือเฉลี่ยสัปดาห์ละ 10 เที่ยว มีความแตกต่างกับโปรโมชันเดิม ดังนี้

  • โปรโมชันใหม่ สะสมพอยต์ : หากชำระค่าโดยสารสูงสุด 44 บาท x 10 เที่ยว = 440 บาท สะสมพอยต์แถม 3 เที่ยว = 440 บาท หาร 13 เที่ยว เฉลี่ยเที่ยวละ 33.85 บาท
  • โปรโมชันเก่า ตั๋วเดือน : เหมา 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 27 บาท

จะเห็นได้ว่าโปรโมชันใหม่แบบสะสมพอยต์ กรณีพ้นช่วงพอยต์คูณสองไปแล้ว และเป็นผู้ที่เดินทางด้วยค่าโดยสารสูงสุด จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นประมาณ 25%

วิธีการสะสมพอยต์และแลกพอยต์ สามารถทำได้ใน Rabbit Rewards Application เมื่อแลกพอยต์จะได้รับเป็นคูปองเที่ยวฟรี จากนั้นแสดง QR CODE จากการแลกคูปองให้พนักงานที่ห้องโดยสารเพื่อเติมเที่ยวฟรีลงบัตรแรบบิท

นอกจากการแลกพอยต์เป็นเที่ยวเดินทาง สามารถนำพอยต์ไปแลกเป็นสิทธิประโยชน์ตามร้านค้าที่ร่วมรายการได้ พอยต์ทั้งหมดเก็บไว้ได้ 2 ปี

ความคิดเห็นบนหน้า Facebook ของรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนใหญ่มองว่า โปรโมชันการสะสมพอยต์ยุ่งยาก ซับซ้อนอย่างมาก ขณะที่ “นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวในประกาศการเปิดตัวโปรโมชันใหม่นี้ว่า

“ตลอดระยะการให้บริการกว่า 22 ปี ที่ผ่านมา บีทีเอสคำนึงถึงผู้โดยสารมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ และด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเราได้เปิดตัวโปรโมชันใหม่เพื่อมอบสิทธิการแลกเที่ยวเดินทางฟรี รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เหมาะสม และยืดหยุ่นต่อไลฟ์สไตล์ของผู้โดยสารที่หลากหลาย และเพื่อเป็นการตอบแทนผู้โดยสารที่เดินเคียงข้างบีทีเอสเสมอมา”

อ่านรายละเอียดเต็มๆ ของโปรโมชันแลกพอยต์ BTS ที่นี่ >> https://www.bts.co.th/promotion/bts-challenge.html

]]>
1357200
U City ปรับทิศ เลิกทำ ‘อสังหาฯ’ เทขายโรงเเรมในยุโรป ทุ่มหมื่นล้าน ขอลุย ‘บริการทางการเงิน’ https://positioningmag.com/1349219 Mon, 30 Aug 2021 08:10:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349219 U City บริษัทลูกในเครือ ‘บีทีเอส กรุ๊ป’ ที่เคยมุ่งลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ 100% วันนี้ประกาศทรานส์ฟอร์มใหม่ ทยอยเทขายโรงแรมในยุโรป หลังเจอพิษโควิดฉุดท่องเที่ยวซบเซา ทุ่มหมื่นล้าน ขอลุย ‘บริการทางการเงิน’ 

กวิน กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงการปรับตัวท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 นี้ ว่า “ทาง U City มีตั้งใจที่จะ ‘ยุติการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์”

เนื่องจากมองว่าธุรกิจอสังหาฯ โรงเเรมเเละออฟฟิศ ภายใน 3 -5 ปีนี้ ‘ไม่น่าจะทำกำไร’ จากผลกระทบของโรคระบาด ทำให้ธุรกิจมีรายได้ค่อนข้างต่ำ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่นักลงทุนต้องการ

ทางบริษัท จึงได้ประกาศขายธุรกิจโรงแรมที่เหลืออยู่ในยุโรปเกือบทั้งหมด รวมถึงขายแบรนด์เวียนนา เฮ้าส์ และส่วนหนึ่งของบริษัท แอ๊บโซลูท โฮเต็ล เซอร์วิส จำกัด เบื้องต้น คาดว่าธุรกรรมนี้ จะสร้างกำไรให้แก่บริษัทและจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้

กวิน บอกว่า การเทขายอสังหาฯ เเละโรงเเรมครั้งนี้ จะทำให้มีเงินทุนกลับมาประมาณ ‘หมื่นกว่าล้าน’ ซึ่งจะนำไปไปลงทุนในธุรกิจ ‘ไฟแนนซ์เชียล เซอร์วิส’ อย่างเจมาร์ท เเละซิงเกอร์

โดย U City เเจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย ว่า ได้ทำการเข้าซื้อหุ้น 24.9% ในบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ Singer จำนวน 7,000 ล้านบาท ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด และเข้าลงทุน 9.9% ในบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ Jaymart จำนวน 4,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังขยายไปสู่ธุรกิจประกัน โดย U City ทุ่มเงินอีก 1,500 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 75% ในบริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ A Life พร้อมขยายฐานลูกค้าเเละช่องทางการจัดจำหน่าย ร่วมกับ วีจีไอ, ซิงเกอร์ และ เจเอ็มที รวมถึงพันธมิตรในเครือข่ายของกลุ่มบีทีเอส ที่มีทั้งธุรกิจระบบขนส่งมวลชน สื่อโฆษณา ธุรกิจบริการ

สถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปี ทำให้ U City ต้องปรับเเผนการดำเนินธุรกิจในระยะยาวครั้งใหญ่
“จุดเปลี่ยนครั้งนี้ จะพลิกฟื้นธุรกิจจากอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นขาลง ให้ก้าวไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน” กวิน กล่าว

ในช่วงต่อไปนี้ U City จะดำเนินการขายพอร์ตอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ข้อตกลงและราคาที่สร้างผลกำไร เพื่อจะจัดสรรเงินทุนที่ได้รับไปต่อยอดธุรกิจบริการทางการเงินต่อไป

“อสังหาฯ เเละโรงเเรมที่เหลืออยู่ กำลังรอราคาที่ดี เพื่อขายให้ได้กำไร ไม่ใช่จะเร่งขายถูกในช่วงนี้”

ทั้งนี้ ต่อไปบริษัทจะมีการเปลี่ยนชื่อ ‘U City’ (ยูซิตี้) โดยจะให้ผู้ถือหุ้นเสนอชื่อบริษัทขึ้นมาใหม่ในเร็วๆ นี้

 

 

]]>
1349219
พลัง BTS Meal! ดันรายได้ Q2 ‘แมคโดนัลด์’ ทะยาน 5.86 พันล้านเหรียญ โต 57% https://positioningmag.com/1344350 Wed, 28 Jul 2021 12:03:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344350 ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ‘แมคโดนัลด์’ (McDonald’s) แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดชื่อดังก็ได้ออกเมนูเซตพิเศษ “BTS Meal” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแคมเปญที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก เพราะช่วยดันให้ยอดขายสามารถเติบโตเป็นเลขสองหลัก

แมคโดนัลด์ ได้รายงานรายรับสุทธิในช่วงไตรมาส 2 ของปีโดยยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 57% เป็น 5.89 พันล้านดอลลาร์ จากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 5.6 พันล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากสาขาเดิมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 40.5% จากปีที่แล้ว และ 6.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ยอดขายสาขาเดิมของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 25.9% ในไตรมาสนี้และ 14.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี บริษัทให้เครดิตกับยอดขายที่เติบโตขึ้นมาจากเมนู แซนด์วิชไก่ตัวใหม่ ซึ่งเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ และเซตพิเศษ BTS Meal” ที่ร่วมกับกลุ่มเคป๊อปวง BTS ซึ่งรวมถึงคำสั่งซื้อของ McNuggets และซอสพิเศษ

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถรักษายอดขายเดลิเวอรี่ที่ได้เติบโตขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด โดยแมคโดนัลด์ในสหรัฐฯ ได้เปิดตัวโปรแกรมความภักดี ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม จนถึงตอนนี้มีผู้บริโภคมากกว่า 12 ล้านคนที่เข้าร่วมโปรแกรม

ส่วนตลาดนอกสหรัฐอเมริกา แมคโดนัลด์ก็สามารถฟื้นตัวได้ในหลายภูมิภาค โดยยอดขายสาขาเดิมเป็นบวกทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อาทิ สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสมีการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่ 75.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว หรือ 2.6% ในระยะเวลาสองปี แมคโดนัลด์ กล่าวว่า การผ่อนปรนข้อจำกัดของมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศและการปิดร้านที่น้อยลงช่วยให้ยอดขายในส่วนนั้น

Source

]]>
1344350
เจาะกลยุทธ์ ‘บัตร Rabbit’ ในวันที่นักท่องเที่ยวหายและถูกท้าทายจาก ‘อีวอลเล็ต’ https://positioningmag.com/1312294 Mon, 28 Dec 2020 08:41:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1312294 ตลอด 9 ปีที่ผ่านมามีการออกบัตร ‘แรบบิท (Rabbit)’ มากกว่า 14 ล้านใบ เพื่อใช้เป็นตั๋วรถไฟฟ้าและบัตรเติมเงินสำหรับซื้ออาหารเครื่องดื่มและบริการซึ่งมีกว่า 550 แบรนด์ที่รองรับการใช้งานผ่านบัตรแรบบิท และโดยปกติจะมีการออกบัตรแรบบิทใหม่ประมาณ 2 ล้านใบ/ปี แต่เมื่อมีการระบาดของ COVID-19 ตัวเลขดังกล่าวลดลงเหลือเพียง 1.5 ล้านใบ ซึ่งการจะกลับมาเติบโตเหมือนเดิมอีกครั้ง ถือเป็นอีกโจทย์ของ รัชนี แสนศิลป์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด (บัตรแรบบิท)

รัชนี แสนศิลป์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด (บัตรแรบบิท)

เดินหน้าเพิ่มพันธมิตร

รัชนี ระบุว่า เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงและจำนวนผู้โดยสารที่ใช้ระบบขนส่งมวลชนน้อยลงในช่วงล็อกดาวน์ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การออกบัตรแรบบิทลดลง แต่ยังมีความหวังว่าในปี 2564 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะ ‘กลับมา’ หลังจากที่ทั่วโลกได้รับความหวังจากการมี ‘วัคซีน’

อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังดำเนินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องในการเพิ่มจำนวนผู้ถือบัตรด้วยการนำบัตรแรบบิทไปใช้ในบริบทต่าง ๆ อาทิ ร่วมกับองค์กรและสถานศึกษาในการทำ ‘บัตรพนักงาน’ และ ‘บัตรนักเรียน’ รวมถึงร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ‘แสนสิริ’ ในการจัดหาคีย์การ์ดแรบบิทเพื่อเข้าคอนโดมิเนียม นอกจากนี้ยังออก ‘บัตรเมมเบอร์’ ให้แบรนด์ต่าง ๆ อีกด้วย

ล่าสุด ได้ออก ‘บัตรเครดิต อิออน แรบบิท แพลทินัม’ (AEON Rabbit Platinum Card) ซึ่งเข้ามามีส่วนใน eco-system ของบัตรแรบบิทให้เข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น เพราะทุกการแตะบัตรใบนี้เพื่อชำระค่าบริการไม่ต้องกังวลว่ามีเงินอยู่ในบัตรพอเพียงหรือไม่ เพราะเมื่อเงินในฟังก์ชันแรบบิทที่อยู่ในบัตรใบนี้ไม่พอจ่ายค่าสินค้า/บริการ เงินจากวงเงินบัตรเครดิตก็จะเติมเข้า กระเป๋าบัตรแรบบิทโดยอัตโนมัติ และยังได้รับเครดิตเงิน 5%

เพิ่มบริการ ขนส่งมวลชน

บริษัทต้องการให้บัตรแรบบิทครอบคลุมการขนส่งประเภทต่าง ๆ ไม่ใช่แค่รถไฟฟ้า เนื่องจากจะทำให้มีผู้ถือบัตรมากขึ้นและมีร้านค้ามากขึ้นที่เสนอตัวเลือกการชำระเงินด้วยแรบบิท โดยในระหว่างที่รอการเชื่อมต่อ Rabbit กับตั๋วรถไฟฟ้า MRT บริษัทกำลังขยายบริการให้ครอบคลุมเส้นทางรถเมล์บางส่วนตามสถานที่ท่องเที่ยวและเรือสาธารณะ อาทิ การเดินทางบนคลองภาษีเจริญและแม่น้ำเจ้าพระยา

“เป้าหมายของเราคือการขยายเครือข่ายของเราให้มากที่สุด อย่างการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจากวัดพระศรีมหาธาตุไปยังคูคต และรถไฟฟ้าสายสีทองที่เชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรีกับคลองสานน่าจะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มจำนวนการใช้บัตร”

ในส่วนของร้านค้าปลีกต่าง ๆ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มจุดรับชำระให้ได้ 40% โดยจะเน้นไปที่ร้านรายย่อย

“เรามั่นใจว่าจะสามารถหลับมาเติบโตได้เหมือนกับก่อนที่มี COVID-19 โดยในปีหน้าเราตั้งว่ายอดออกบัตรใหม่จะเติบโตได้ 15-20%

เพิ่มแอปฯ เพิ่มความสะดวก

ภายในไตรมาสที่สองของปี 2564 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อให้ผู้ถือบัตรสามารถ ‘ตรวจสอบยอดคงเหลือ’ ‘ประวัติการใช้งาน’ และเติมเงินมูลค่าบัตรได้ในไม่กี่วินาที และในอนาคตพวกเขาจะสามารถใช้ ‘มือถือแตะทำธุรกรรม’ ต่าง ๆ ได้ด้วย โดยผู้ถือบัตรจะต้องเชื่อมโยงแอปพลิเคชันกับบริการธนาคารบนมือถือ และต้องใช้โทรศัพท์ที่มี NFC

“ทุกสิ่งที่เราทำไม่ใช่แค่เพิ่มยอดออกบัตรใหม่ แต่ต้องใช้บัตรในกิจวัตรประจำวันนอกจากแค่ใช้เดินทาง BTS ซึ่งปัจจุบันมีการทำธุรกรรมผ่านบัตร 700,000-800,000 รายการ/วัน แต่การใช้นอกเหนือจากโดยสาร BTS หรือการใช้จ่ายซื้อของยังมีสัดส่วนเพียง 5-10%”

โปรโมชัน ยังจำเป็น

ส่วนบัตรลายลิมิเต็ดต่าง ๆ ช่วยให้บริษัทได้รู้ว่าลูกค้าเป็นใคร และจากนี้จะมีสิทธิประโยชน์เพิ่ม เช่น ได้ส่วนลดเพิ่มเติม ซึ่งจะไม่ใช่แค่ขายลายแต่ยังช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายด้วย อาทิ ลาย ‘กันดั้ม’ ที่เพิ่งออกไปก็จะมีสิทธิพิเศษเพิ่มไปด้วย ดังนั้น สิทธิพิเศษหรือโปรโมชันต่าง ๆ ยังเป็นสิ่งจำเป็น ช่วยให้รู้สึกว่าดีกว่า ‘ใช้เงินสด’ ดังนั้น การแข่งขันของบัตรแรบบิทกับ ‘อีวอลเล็ต’ ต่าง ๆ ยังอยู่ที่โปรโมชันเป็นหลัก ส่งผลให้ทรานแซคชั่นของร้านค้าต่าง ๆ จะขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วแต่ใครมี ‘โปรโมชัน’ ดังนั้น ‘Loyalty’ ไม่มีแล้ว

“โปรโมชันยังสำคัญในการดึงลูกค้ามาใช้ แต่ความชินเป็นอีกสิ่งที่คนใช้ไม่รู้ตัว การชำระเงินผ่านแอปฯ อาจจะง่าย แต่การหยิบบัตรมาแตะก็ง่าย และเราไม่ได้มีโปรหวือหวาให้ว้าว แต่มีตลอดเพื่อให้อยู่ในใจลูกค้า”

ผู้อยู่รอดต้องมี อีโคซิสเต็มส์ ที่แข็งแรงพอ

ตอนนี้การแข่งขันเป็นสิ่งที่ท้าทายของแรบบิทที่สุด เพราะตอนนี้กำลังแข่งขันกับ ‘ออนไลน์’ แต่ไม่ได้มีใครมองว่าความจริงเป็นยังไง โดยแรบบิทยังมองว่า ‘ออฟไลน์’ ยังแข็งแกร่ง และออนไลน์แรบบิทก็มี Rabbit Line Pay นอกจากนี้ จุดแข็งของบัตรแรบบิทคือ ‘BTS’ ตราบใดที่คนยังต้องเดินทางด้วย BTS บัตรแรบบิทยังจำเป็น ดังนั้น คนที่จะอยู่รอดหรืออีวอลเล็ตที่จะอยู่รอดต้องมีอีโคซิสเต็มส์ที่แข็งแรง

“เรายังมีความจำเป็นต้องเป็นออฟไลน์เพราะเรื่องการเดินทาง แต่ก็พร้อมจะอัพเกรดเป็นออนไลน์ 100% ได้ทันที ดังนั้นเราเท่าเทียมกับอีวอลเล็ต แต่มีมากกว่าก็คือทรานซิท”

สุดท้าย แม้ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่โลกดิจิทัลและโลกเสมือนจริง แต่ในช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ โลกออฟไลน์ยังคงแข็งแกร่ง ดังนั้น การจะเป็นสังคมไร้เงินสดเหมือนจีนยังไม่ง่าย เพราะการใช้จ่ายของไทยกระจุกอยู่ในสังคมเมืองมากกว่า แถมคนไทยถูกกปลูกฝังว่าเรื่องเงินเป็นของธนาคาร ดังนั้นมันยังมีปัญหาตรงส่วนนี้อยู่ ดังนั้นอีก 10 ปีอาจเป็นไปได้

]]>
1312294
BTS เข้าถือหุ้นร้านขนมหวาน “After You” 8.1% “กุลพัชร์-แม่ทัพ” 2 ผู้ก่อตั้ง ลุยขยายเครือข่าย https://positioningmag.com/1311848 Thu, 24 Dec 2020 04:57:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311848 กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณแม่ทัพ .สุวรรณ” สองผู้ก่อตั้งเเละถือหุ้นใหญ่คาเฟ่ขนมหวานอาฟเตอร์ ยู” (After You) เทขายหุ้นรวม 66 ล้านหุ้น หรือกว่า 8.1% ให้ “BTS” รับโอกาสขยายเครือข่าย

บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการซื้อขายหุ้นของบริษัท ตามที่ได้ปรากฏในรายการซื้อขายหุ้น AU ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวนรวม 66,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 8.1 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท โดยราคาเฉลี่ยหุ้นละ 10 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 660 ล้านบาท

รายการดังกล่าว เกิดจากการขายหุ้นของนางสาวกุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ และนายแม่ทัพ ต.สุวรรณ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท

โดยนางสาวกุลพัชร์ และ นายแม่ทัพ จำหน่ายหุ้น รายละจำนวน 33,000,000 หุ้น ส่งผลให้หลังการทำรายการ นางสาวกุลพัชร์ เหลือจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ 226,669,759 หุ้น สัดส่วน 27.79% จากเดิม 31.84% ส่วนนายแม่ทัพ เหลือหุ้นจำนวน 206,793,750 หุ้น หรือสัดส่วน 25.35% จากเดิม 29.40%

การขายหุ้นของอาฟเตอร์ ยูในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเสนอขายให้กับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสในการผนึกกำลัง และขยายเครือข่ายงานต่อไปในอนาคตของทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นครั้งนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการจัดการและนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด

 

ที่มา : SET 

]]>
1311848
ด้อมเกาหลี ขยายสู่เเฟน “อินเตอร์” มิติใหม่ “ป้าย HBD” เทนายทุน มุ่งกระจายรายได้ชุมชน https://positioningmag.com/1311070 Fri, 18 Dec 2020 13:18:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311070 ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวลาเราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็มักจะเห็นป้าย HBD ที่เหล่าเเฟนคลับทุ่มเทลงขันบริจาคเงินกันเพื่อซื้อสื่ออวยพรวันเกิดให้ศิลปิน สร้างสีสันเเละบรรยากาศคึกคักในสถานี

จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ การเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย นำมาสู่กระเเสการเเบนบริษัทนายทุนต่าง ๆ หนึ่งในนั้นได้เกิดแคมเปญรณรงค์ให้ชาวแฟนด้อมหันไปสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย

เรียกได้ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ #เเบนจริง อย่างเป็นรูปธรรม เเละทำให้เกิดเเรงกระเพื่อมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เเม้สัดส่วนรายได้จากป้ายศิลปินจะยังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับสื่อนอกบ้านอื่น ๆ เเต่บรรดาเเบรนด์ต่าง ๆ ก็ต้องกลับมาคิดให้หนักกันมากขึ้น

เพราะกลุ่มเเฟนคลับ หรือที่มักเรียกกันว่าเเฟนด้อม” (Fandom) เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง เห็นได้จากในเเต่ละครั้งที่มีการเปิดโดเนท เหล่าเเฟนด้อมจะสามารถ “ระดมทุนได้ยอดเงินบริจาค ตั้งเเต่ “หลักหมื่นยันหลักล้าน” ในเวลาอันรวดเร็ว เพียงเปิดโดเนทไม่กี่ชั่วโมง ก็ทะลุหลักเเสนบาทไปเเล้วในด้อมใหญ่ ๆ ที่มีเเฟนคลับจำนวนมาก

ด้อมเกาหลี ขยายสู่อินเตอร์” ช่วย “ตุ๊กตุ๊ก

กระเเสนี้เริ่มต้นจากกลุ่มเเฟนคลับศิลปินเกาหลี รวมตัวกันเพื่อต่อต้านการซื้อสื่อโฆษณาในสถานีรถไฟฟ้า เเม้จะเป็นโปรเจกต์ที่เหล่าเเฟนคลับทำกันมาช้านานก็ตาม

มีการเสนอให้นำโปรเจกต์ศิลปินต่าง ๆ ย้ายไปซื้อสื่อโฆษณาในขนส่งมวลชนท้องถิ่นมากขึ้น เช่น รถตุ๊กตุ๊ก บิลบอร์ดรถสองเเถว รถเเดง ป้ายในเรือ หรือป้ายในย่านชุมชนต่าง ๆ เเทน

เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก็ประเดิมด้วยด้อมใหญ่อย่างกลุ่ม A.R.M.Y แฟนคลับของวง BTS บอยเเบนด์ชื่อดังเเห่งยุค ได้ทำโปรเจกต์ซื้อพื้นที่ป้ายโฆษณาหลังรถตุ๊กตุ๊กจำนวน 15 คัน เพื่ออวยพรวันเกิดให้ 2 สมาชิกในวงอย่าง คิม ซอกจิน (Jin) เเละคิม แทฮยอง (V) เน้นเคลื่อนที่ไปตามถนนเส้นสำคัญในกรุงเทพฯ อย่างสยามเเละสุขุมวิท

จากนั้นก็มีกลุ่มเเฟนด้อมต่าง ๆ หันไปซื้อสื่อโฆษณาในท้องถิ่นตามไปด้วย จนป้ายตามสถานีรถไฟฟ้าว่างในหลายพื้นที่อย่างเห็นได้ชัดต่างจากที่ผ่านมาจะมีโฆษณาลงเต็มตลอด

Source : twitter @piiragan

ล่าสุดความเคลื่อนไหวนี้ ไม่ได้จำกัดเเค่ในด้อมเกาหลีเท่านั้น เพราะได้ขยายไปสู่กลุ่มเเฟนคลับศิลปินระดับอินเตอร์ที่มีคนรู้จักทั่วโลก อย่าง Sarah Paulson เเละ Taylor Swift

Photo : Facebook / Sarah Paulson Thailand

จากการที่ได้พูดคุยกับผู้ทำโปรเจกต์เเละผู้ร่วมบริจาคซื้อโฆษณาบนรถตุ๊กตุ๊ก หลายคนมองว่า

  • เป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชนคนหาเช้ากินค่ำ
  • เป็นความเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ เพื่อต่อต้านนายทุนได้ดี
  • ราคาถูกกว่าการซื้อโฆษณาเเบบอื่น เเต่มีคนเห็นบนท้องถนนจำนวนมาก
  • มีความพิเศษ ไม่เหมือนใคร เพราะรถตุ๊กตุ๊กมีเเค่ในไทย ใครเห็นก็จำได้เเละคนต่างชาติก็สนใจ
  • เเบรนด์สินค้าก็สามารถทำได้ เพื่อลดต้นทุนการตลาดในยามเศรษฐกิจไม่ดี
Photo : Twitter @moomoots13

ด้านเหล่าคนขับรถตุ๊กตุ๊กบอกกับสื่อมวลชนว่าเเม้หลายคนจะมองว่ารายได้ป้ายโฆษณา 700 บาทต่อคันต่อเดือนนั้นจะน้อยนิดเเต่ก็สามารถต่อชีวิตในช่วงวิกฤต COVID-19 ได้ใช้จ่ายในครอบครัวหรือจ่ายค่านมลูกได้

จ่ายไม่เเพง เเต่ไปถึงคนตัวเล็กตัวน้อย

โดยราคาราคาป้ายโปรโมตศิลปินท้ายรถตุ๊กตุ๊กมีอัตราค่าบริการโดยเฉลี่ยราว 300 – 700 บาทต่อคันต่อเดือน ส่วนใหญ่ไม่มีขั้นต่ำจะติดกี่คันก็ได้ บางจุดไม่มีการหักค่าหัวคิว สามารถติดต่อคนขับได้โดยตรง เเต่บางจุดต้องติดต่อผ่านหัวหน้าวิน ซึ่งจะมีเเพ็กเกจพิเศษให้ถ้าตกลงติดตั้งเเต่ 30 – 100 คัน ส่วนตัวป้ายนั้น “ต้องทำมาเอง

ส่วนรถกระป้อในซอยต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เรตราคาจะอยู่ที่ 400 – 500 บาทต่อคันต่อเดือน ส่วนรถเเดงในเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ จะมีค่าทำตัวป้าย 500 บาท และค่าเช่ารถสองแถว 1,000 บาทต่อเดือน โดยได้ติดต่อผ่านทางสหกรณ์ที่ดูเเลรถ

Photo : Twitter @NEST97TG_

ขณะที่เมื่อเทียบกับค่าบริการป้ายโฆษณาของสถานีรถไฟ MRT นั้นจะเห็นว่าต่างกันมาก เเละลูกค้าต้องติดต่อกับบริษัทโดยตรง หรือบางกลุ่มก็ติดต่อผ่านเอเยนซี่โฆษณา โดยค่าใช้จ่ายของการติดตั้งป้ายนั้น รวมค่าพื้นที่มีเดีย สถานี ภาษีมูลค่าเพิ่มและระยะเวลาที่ต้องการติดตั้งไปด้วย ซึ่งมีไซส์ที่นิยมกันอยู่ 3 ขนาด คือ

  • ขนาดเล็ก (เเนวตั้งเเนวนอนเล็กเรตราคาตั้งเเต่หลักพันปลาย ๆ ถึง 3 หมื่นบาท
  • ขนาดกลาง (แนวนอนเรตราคาตั้งเเต่ 3 – 8 หมื่นบาท
  • ขนาดใหญ่ เรตราคาตั้งเเต่ 8 หมื่น – แสนบาท

โดยราคาของป้ายศิลปินมีอยู่หลากหลายมาก เริ่มตั้งเเต่หลักพันปลาย ๆ ไปจนถึงหลักเเสน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาเเละโลเคชั่น เช่น ถ้าขึ้นเเค่ 15 วันจะถูกลงไปอีก อยู่จุดไหน สถานีไหน ขนาดเท่าไหร่ จุดที่คนมองเห็นมากน้อย ก็จะมีราคาที่ต่างกัน รวมถึงโปรโมชันที่ได้ด้วย

ตัวอย่างป้ายอวยพรศิลปิน ในสถานีรถไฟฟ้า MRT

ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะจองขึ้นป้าย 15 วัน – 1 เดือน เป็นธีมอวยพรวันเกิด เเสดงความยินดีในโอกาสพิเศษ ออกเพลงละคร หรือออกอัลบั้มใหม่

เมื่อดูจากสัดส่วนรายได้ พบว่า รายได้รวมจากป้าย HBD ศิลปินจากกลุ่มเเฟนคลับถือเป็นส่วนเล็ก ๆ ของสื่อโฆษณาทั้งหมดของ BMN บริษัทผู้พัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ใน MRT โดยคิดเป็นเเค่ 2 – 3% เพราะส่วนใหญ่เป็นเเบรนด์สินค้าถึง 97%

เเต่ผู้บริหาร BMN ให้สัมภาษณ์กับ Positioning เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก่อนจะเกิดกระเเสการเเบนนี้ว่า

ถึงจะน้อยเเต่เราไม่ละทิ้ง เราจะดูเเลลูกค้ากลุ่มเเฟนคลับเป็นพิเศษ เพราะต้องทำความเข้าใจพวกเขาด้วย ด้วยการที่เขาทำด้วยความชื่นชอบ เราจึงไม่ได้มองว่าต้องเอากำไรมากหรือเป็นการค้าจ๋าขนาดนั้น รวมถึงเป็นการสร้างสีสันเเละความหลากหลายให้สถานีด้วย คนเเวะมาถ่ายรูป ก็เป็นการเพิ่มทราฟฟิกเเละการจับจ่ายใช้สอยไปในตัว 

ด้านฝั่งผู้พัฒนาสื่อโฆษณารายใหญ่ของเมืองไทยอย่าง Plan B เทคแอคชั่นในกระเเสนี้ด้วยเชิญชวนเเฟนคลับกลับมาลงโฆษณา ด้วยเเคปชั่นว่าเมนใคร ใครก็รัก ประกาศความน่ารักของเมนให้โลกรู้  ซึ่งหลายความเห็นในทวิตเตอร์มองว่า ยิ่งทำให้รู้ว่าความเคลื่อนไหวในการ #เเบน ครั้งนี้มีผลต่อวงการโฆษณาไม่น้อย

เมื่อถามว่าความเคลื่อนไหวนี้ จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหรือต่อไปอีกยาวหรือไม่ หนึ่งในผู้ทำโปรเจกต์ศิลปินเกาหลี บอกกับ Positioning ว่า จะมีการทำต่อเนื่องอย่างเเน่นอน โดยเฉพาะการซื้อโฆษณากับคนในชุมชน นอกจากรถตุ๊กตุ๊กเเล้ว ก็จะมีการขยายไปยังขนส่งมวลชนท้องถิ่นอื่น ๆ รวมไปถึงป้ายตามร้านโชห่วย รถเร่ขายของเเละรถพุ่มพวง ตามโอกาสที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งมองว่าในปีหน้าแฟนคลับจะมีการทุ่มเงินโปรโมตให้มากกว่าปีนี้อย่างเเน่นอนเพื่อเป็นการช่วยเหลือกันในช่วงเศรษฐกิจย่ำเเย่

สำหรับภาพรวมสื่ออุตสาหกรรมโฆษณาในเมืองไทย คาดว่าทั้งปีนี้ เงินโฆษณาจะสะพัดอยู่ที่ 7.1 หมื่นล้าน เเตะจุด “New Low” ต่ำสุดรอบ 20 ปี ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยสื่อทีวีและสื่อนอกบ้าน ที่เคยมีเม็ดเงินมากที่สุดยัง “ติดลบหนัก” ส่วนดาวรุ่งอย่างสื่อดิจิทัลที่เคยเติบโต 20-30% ต่อเนื่องมาทุกปี ต้องสะดุดเเละอาจเติบโตได้เพียง 0.5% เท่านั้น

 

]]>
1311070
สยามพิวรรธน์ เปิดเกมรุกปลายปี เปิดตัวบัตร VIZ Rabbit Card สร้างประสบการณ์เหนือระดับครบทุกมิติจากที่บ้านถึงศูนย์การค้า https://positioningmag.com/1307335 Tue, 24 Nov 2020 12:00:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307335

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่นกลุ่ม “วันสยาม” ที่ผนึกกำลังศูนย์การค้าระดับโลก ได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ และหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของโครงการ ไอคอนสยาม เดินหน้ากลยุทธ์การตลาดตอกย้ำการเป็นสัญลักษณ์แห่งการนำเสนอความแปลกใหม่ให้ชีวิต นอกเหนือจากแผนกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและมหกรรมอีเว้นท์ส่งท้ายปีที่ปีนี้ได้เตรียมจัดเต็มเพื่อมอบความสุขให้แก่ลูกค้าในช่วงเฟสทีฟซีซั่นแล้ว ล่าสุดได้จับมือพันธมิตรระดับผู้นำมอบประสบการช้อปปิ้งเหนือระดับให้ลูกค้าตั้งแต่ที่บ้านและภายในศูนย์ฯ อย่างครบวงจรของ Customer Journey ในทุกมิติ

สยามพิวรรธน์ เปิดเกมรุกคว้าลูกค้าสมาชิกใหม่ ชูกลยุทธ์ Collaboration to Win

นางสรัลธร อัศเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบริหารสมาชิก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า “ในช่วงเทศกาลจับจ่ายช่วงส่งท้ายปีนี้ สยามพิวรรธน์ยังจัดเต็มด้วยมหกรรมอีเว้นท์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างเต็มที่และมั่นใจว่าจะครองความเป็นเดสติเนชั่นที่มอบความสุขในช่วงเทศกาลให้แก่ลูกค้าทุกคนเช่นทุกปี  แต่ที่พิเศษสุดสำหรับปีนี้ สยามพิวรรธน์ได้ตอกย้ำกลยุทธ์ Collaboration to Win ร่วมผนึกกำลังกับพันธมิตรระดับผู้นำของอุตสาหกรรมขนส่ง ได้แก่ BTS โดยร่วมกับ Rabbit Card และ Rabbit Rewards ผสานศักยภาพมอบสิทธิ์ประโยชน์เพิ่มเติมให้กับลูกค้าสมาชิกทั้ง 2 องค์กร การจับมือกับพันธมิตรครั้งนี้  นอกจากตั้งโจทย์ในการมอบสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้นให้แก่ลูกค้าสมาชิกบัตร VIZ ขณะเดียวกันยังสามารถขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและเพิ่มสมาชิก VIZ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่แล้วกว่า 610,000 คน วันสยามและไอคอนสยาม  โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีก 100,000 คน รวมเป็นสมาชิก 710,000 คน ภายในปี 2563  และจะเพิ่มเป็นจำนวน 870,000 คน ภายในปี 2564 ที่จะถึงนี้

 VIZ Rabbit Card บัตรใบเดียวในไทยที่มอบสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้าแบบทวีคูณทุกการจับจ่าย

นางสาวรัชนี แสนศิลป์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก สมาร์ท การ์ด ซิสเทม  ผู้บริหาร Rabbit Card กล่าวว่า  “การร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่บัตรแรบบิท ได้จับมือกับผู้นำด้านธุรกิจรีเทลและศูนย์การค้าวันสยามและไอคอนสยาม ที่เป็นเดสติเนชั่นหลักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และในความพิเศษนี้เองที่ทำให้ผู้ถือบัตร VIZ Rabbit ทุกใบมั่นใจได้ว่าจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่บัตรแรบบิทของเรามีให้กับผู้ถือบัตรอยู่แล้วอย่างครบถ้วน โดยบัตรใบนี้ก็สามารถใช้จ่ายค่าเดินทางรถไฟฟ้าบีทีเอส จ่ายค่าเดินทางขนส่งสาธารณะอื่นๆ หรือแม้กระทั้งใช้จ่ายซื้อสินค้า/บริการ ที่ร้านค้าชั้นนำต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วประเทศรวมถึงในกลุ่มศูนย์การค้าวันสยามวันและไอคอนสยามอีกด้วย แต่บัตร VIZ Rabbit นี้ มีสิทธิพิเศษมากว่าบัตรแรบบิทใบอื่นๆ คือ เมื่อใช้บัตร VIZ Rabbit จ่ายค่าอาหาร/เครื่องดื่ม หรือสินค้าต่างๆ ที่รับชำระด้วยบัตรแรบบิทนั้น ก็จะได้รับคะแนนจากแรบบิทรีวอร์ดส x2 ทันที เพียงแค่นำบัตร VIZ Rabbit นี้ ไปลงทะเบียนเป็นสมาชิกแรบบิทรีวอร์สดก่อนการใช้งาน”

นายภคินท์ พัฒนวรเมธ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท แรบบิท รีวอร์ดส จำกัด กล่าวว่า “ความพิเศษที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ คือการมอบประโยชน์สูงสุดให้ลูกค้าผู้ที่มีเลขสมาชิกทั้ง Rabbit Rewards และ สมาชิก VIZ ที่ทำการผูกบัญชีเชื่อมต่อข้อมูลบัตรถึงกัน โดยสมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มมากขึ้น คือ เมื่อช้อปปิ้งจับจ่ายในร้านค้าชั้นภายในศูนย์การค้ากลุ่มวันสยาม ทั้งสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่ร่วมรายการกับบัตร VIZ ทุกการจับจ่ายมูลค่า  50 บาท จะได้รับ VIZ Point 1 คะแนน และยังได้รับ Rabbit Rewards Point 3 คะแนนอีกด้วย ผู้ที่เป็นลูกค้าของทั้ง 2 บัตรสมาชิก จึงเสมือนได้รับคะแนนสะสมพิเศษ 2 ต่อ สามารถนำคะแนนที่สะสมของแต่บัตรสมาชิกไปแลกเป็นของรางวัลที่มีให้เลือกหลากหลายของทั้งสองโปรแกรม สำหรับ Rabbit Rewards เป็น Loyalty Program ที่มอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ถือบัตร Rabbit ซึ่งเป็นบัตรหลักของผู้โดยสายรถไฟฟ้า BTS โดยมีผู้สนใจร่วมสมัครสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสมาชิก Rabbit Rewards กว่า 5,1000,000 สมาชิก

เปิดตัวยิ่งใหญ่คว้าศิลปินระดับโลกดีไซน์บัตร VIZ Rabbit Card

นายกวีวัฒน์ สินเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบริหารสมาชิก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “สยามพิวรรธน์ได้เชิญศิลปินนักออกแบบร่วมสมัยระดับโลก Ricardo Cavolo มาดีไซน์บัตรให้สามารถพกพางานศิลปะระดับเวิลด์คลาสติดตัวไปได้ทุกที่ โดยบัตร  VIZ Rabbit Card  คอลเลคชั่นพิเศษ ริคาร์โด คาร์โวโล มีถึง 3 ลายด้วยกัน พร้อมอีกหนึ่งลวดลายเป็นแพกเกจสำหรับซองใส่บัตร และกระเป๋าผ้า Tote Bag แต่ละลวดลายสื่อถึงมุมของศิลปินที่มีต่อไลฟ์สไตล์อันหลากหลายที่ร้อยเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวของผู้คนที่เข้ามาใช้ชีวิตใน สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม

บัตร VIZ Rabbit Card ลิมิเต็ด อิดิชั่นนี้  เปิดจำหน่ายแล้ววันนี้ –  30 ธันวาคม 2563 (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด) มีให้เลือกสองแพ็กเกจ ในราคา 399 บาท รับฟรี คูปองส่วนลดร้านค้าที่ร่วมรายการมูลค่า 2,000 บาท หรือแพ็กเกจ 599 บาท รับฟรี กระเป๋าผ้า Tote Bag  ดีไซน์พิเศษจากริคาร์โด คาโวโล และฟรีคูปองส่วนลดร้านค้าที่ร่วมรายการมูลค่ากว่า 4,000 บาท มีจำหน่ายที่ สยามพารากอน ชั้น M,  สยามเซ็นเตอร์ ชั้น M, และไอคอนสยาม ชั้น 1 โดยสามารถนำไปเติมมูลค่าบัตรได้ที่สถานี BTS ทุกสาขา

พิเศษช่วงเทศกาลแห่งความสุข ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม นี้ บัตร VIZ Rabbit Card มอบโปรโมชั่นจัดเต็มเพื่อมอบความสุขให้ลูกค้าได้จับจ่ายและรับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยขยายเวลารับคะแนนสะสม Rabbit Rewards ถึง 100 คะแนน  เพียงสมัครและผูกสมาชิก VIZ และ Rabbit Rewards เข้าด้วยกัน และพิเศษ! มอบคะแนนสะสม VIZ Points สูงสุด x 10 สำหรับสมาชิก VIZ  ที่ผูกบัญชีและมียอดใช้จ่าย 5,000 บาทแรกเมื่อช้อปในร้านค้าที่ร่วมรายการในสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิฟคัฟเวอรี่ และไอคอนสยามในช่วงเดือนธันวาคม”

“การจับมือของวันสยามกับพันธมิตรสำคัญ คือ Rabbit Card และ Rabbit Rewards เป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจครั้งสำคัญของธุรกิจรีเทลอีกครั้ง ตอกน้ำกลยุทธ์ที่มุ่งผสานศักยภาพความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนจุดแข็งของแต่ละองค์กร สร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดแก่ผู้บริโภค ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำของลูกค้าทุกวันเพื่อสร้างความสุขและแรงบันดาลใจเสมือนเพื่อนที่รู้ใจในทุกที่ทุกเวลา สยามพิวรรธน์ขอยืนหยัดในการคัดสรรนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้าทุกๆ คน” ผู้บริหารสยามพิวรรธน์ กล่าวเสริม

]]>
1307335
BTS กำไรปี 62/63 พุ่ง 8 พันล้าน โต 184% จ่อเพิ่มทุนพันล้านหุ้น เพิ่มวงเงินหุ้นกู้เป็น 6 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1281646 Tue, 02 Jun 2020 05:04:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281646 BTS อวดกำไรปี 62/63 ที่ 8.16 พันล้านบาท โต 184% พร้อมปันผล 0.15 บาท/หุ้น เตรียมออกหุ้นเพิ่มทุน เสนอขาย PP 1.1 พันล้านหุ้น เพิ่มวงเงินหุ้นกู้จากเดิมเป็น 6 หมื่นล้านบาท ชี้เคอร์ฟิวทำเที่ยวเดินทางไตรมาสเเรก ลด 17.5%

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS รายงานผลดำเนินงาน งวดปี 62/63 (สิ้นสุด มี.ค. 63) มีกำไรสุทธิ 8,161.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 184.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,872.95 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม จำนวน 42,203 ล้านบาท รายได้หลักมาจากธุรกิจระบบขนส่งมวลชน

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.15 บาท ต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 29 ก.ค. 2563 กำหนดจ่ายวันที่ 14 ส.ค. 2563

กวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส กรุ๊ป กล่าวว่า ผลประกอบการปีงบประมาณ 2562/63 (เมษายน 2562 ถึงมีนาคม 2563) เป็นที่น่าประทับใจ แม้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ โดยกำไรสุทธิในปีนี้เพิ่มขึ้น 184% จากปีก่อน แตะ 8.2 พันล้านบาท

ในขณะที่กำไรสุทธิหลังหักภาษีจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำสร้างสถิติสูงสุด ที่ 4.8 พันล้านบาท เติบโต 47% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในธุรกิจระบบขนส่งมวลชน ธุรกิจสื่อโฆษณาและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น รายได้รวมจำนวน 42.2 พันล้านบาท โดยมีรายได้จากธุรกิจระบบขนส่งมวลชนเป็นรายได้หลัก ในส่วนธุรกิจสื่อโฆษณา มีผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่งแสดงกำไรสุทธิสูงสุดใหม่ ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน

สำหรับธุรกิจระบบขนส่งมวลชน โครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาของเรายังคงมีพัฒนาการรุดหน้าต่อเนื่องเป็นอย่างมาก โดยในปี 2562/63 มีรายได้ค่าก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองและรายได้จากการให้บริการติดตั้งงานระบบและจัดหารถไฟฟ้าขบวนใหม่ภายใต้สัญญาสัมปทานสำหรับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้และเหนือ จำนวน 25.2 พันล้านบาท

ด้านรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ประจำปี 2562/63 เพิ่มขึ้น 65% YoY เป็น 3.8 พันล้านบาท บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ที่ 3.4 พันล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการเปิดให้บริการโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้ทั้งสายตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 รวมถึงการทยอยเปิดให้บริการ 5 สถานีแรกของโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือในปี 2562

นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าการเปิดทดลองให้บริการโครงการดังกล่าวอีก 4 สถานี ถึงสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ในเดือนมิถุนายน 2563 และคาดว่าจะเปิดให้บริการสถานีที่เหลือภายในสิ้นปี 2563

BTS คาดว่าการเปิดให้บริการสถานีใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยหนุนหลักของการเติบโตของรายได้ O&M ในอนาคต สำหรับโครงการคมนาคมขนส่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองนั้น คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าเป็นอย่างมากในปี 2563/64 ภายหลังการลงนามในสัญญาที่คาดว่าโครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาจะสามารถลงนามได้ในเดือนมิถุนายน 2563 และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในเดือนกรกฎาคม 2563

สำหรับช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 ส่งผลกระทบต่อไทย โดยรัฐขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน รวมถึงการปรับเวลาให้บริการให้สอดคล้องกับช่วงที่รัฐบาลประกาศห้ามออกจากเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ด้วย โดยไตรมาสล่าสุด (มกราคมถึงมีนาคม 2563) จำนวนเที่ยวการเดินทางลดลง 17.5% จากปีก่อน

ในฝั่งธุรกิจสื่อโฆษณา บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแบบ Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ สามารถสร้างสถิติรายได้และกำไรสุทธิสูงสุดใหม่ โดยมีรายได้ 4 พันล้านบาท เติบโต 11% YoY และกำไรสุทธิ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.1 พันล้านบาทในปีก่อน โดยมีหน่วยธุรกิจใหม่ของ VGI อย่าง VGI Digital Lab ที่จะใช้ฐานข้อมูลในการให้บริการแบบดิจิทัล สร้างผลการดำเนินงานแข็งแกร่งทะลุเป้ารายได้ปีแรกที่วางไว้ 150 ล้านบาท

นอกจากนี้ VGI ยังได้ยกเลิกการควบรวมงบการเงินบริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2562/63 เป็นต้นไป อันเป็นผลมาจากการลดสัดส่วนการถือหุ้นของ VGI ใน MACO จากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้แก่บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB ทั้งนี้ การยกเลิกการควบรวมงบการเงินดังกล่าวทำให้อัตรากำไรสุทธิของ VGI ดียิ่งขึ้น โดย VGI มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 35.6% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาสต่อๆ ไป

จ่อเพิ่มทุน 1.1 พันล้านหุ้น 

BTS เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 เพื่อพิจารณาและอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 4,400,000,000.00 บาท หรือเท่ากับประมาณ 8.36% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,100,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement)

ทั้งนี้ บริษัทจะลดทุนทะเบียน 4,574,781,048.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 62,618,389,192.00 บาท เป็น 58,043,608,144.00 บาท โดยการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่าย 1,143,695,262 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท ก่อนทำการเพิ่มทุนใหม่ให้เป็น 62,533,050,788.00 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 1,122,360,661 หุ้น รองรับการปรับสิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ BTS-W5 จำนวนไม่เกิน 22,360,661 หุ้น และ การเสนอขายหุ้น PP จำนวนไม่เกิน 1,100,000,000 หุ้น

โดยบริษัทมีแผนการลงทุนเพื่อขยายกิจการของกลุ่มบริษัทในอนาคตอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บริษัทฯ แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จะช่วยให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนที่สามารถใช้ในการรองรับแผนการลงทุนเพื่อขยายกิจการในอนาคตได้อย่างทันกาล โดยบริษัทฯ มีแผนการที่จะนำเงินทุนที่จะได้รับจากการเพิ่มทุนไปใช้ใน การลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อขยายกิจการของบริษัทฯ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินกิจการ

ทั้งนี้ จำนวนเงินที่ใช้ใน การลงทุนดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับโอกาสและความคุ้มค่าของการลงทุนในขณะนั้น ๆ และเมื่อเทียบกับการกู้ยืมเงินแล้วจะไม่ทำให้อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings per Share) ลดลง

พร้อมกันนั้น จะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ พิจารณาและอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ โดยมีวงเงินรวมกันทั้งสิ้น ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ไม่เกิน 60,000 ล้านบาท (หรือสกุลเงินอื่นในจำนวนเทียบเท่า) ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการเพิ่มวงเงินการออกหุ้นกู้อีกจำนวน 30,000 ล้านบาท จากวงเงินเดิม ซึ่งที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 ของบริษัทฯ ได้อนุมัติไว้จำนวน 30,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนับสนุนการลงทุน 

อ่านเพิ่มเติม : ตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย 

]]>
1281646
เปิดบิ๊กดีล JMART & KB เเบงก์เกาหลี นำกลยุทธ์ “ศิลปิน KPOP” เจาะสินเชื่อเเฟนคลับไทย https://positioningmag.com/1276373 Thu, 30 Apr 2020 13:00:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1276373 เเม้ในยามที่ธุรกิจกำลังสู้กับวิกฤต COVID-19 ยังมีดีลใหญ่มาสะเทือนวงการสินเชื่อไทย เมื่อ JMART เปิดทางให้ KB Kookmin Card กลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำของเกาหลีใต้ ลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน “JFINTECH” ได้เงินก้อนโต 3,000 ล้านต่อยอดธุรกิจ เตรียมใช้กลยุทธ์นำ “ศิลปิน KPOP” เจาะสินเชื่อเเฟนคลับเเละคนรุ่นใหม่ไทยที่กำลังเติบโตสูง

เบื้องหลังดีลใหญ่ JMART & KB

ที่มาของการร่วมทุนครั้งนี้ KB Kookmin Card  ผู้ให้บริการบัตรเครดิตการ์ด และสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ มีฐานลูกค้าจำนวน 34 ล้านราย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ KB Financial Group ได้ขยายลงทุนมายังอาเซียน

โดยเริ่มลงทุนธุรกิจ Non-Bank เน้นสินเชื่อส่วนบุคคลใน กัมพูชา เมียนมา ลาว เวียดนามเเละอินโดนีเซียก่อน จากนั้นต้องการขยับมาไทย เพื่อตั้งให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค จึงเริ่มมองหาพันธมิตรกลุ่มธุรกิจนี้ โดยมี EY(Ernst & Young) บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ของโลกเป็นผู้ประสานงาน

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากหาพาร์ตเนอร์ในไทยมาร่วม 2 ปีก็ได้ตัดสินใจเลือก JFINTECH เเละทำการศึกษาร่วมกันกว่า 1 ปีครึ่งก่อนจะสำเร็จเเละแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดยจะดำเนินการผ่านการเพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัทย่อย ด้วยมูลค่า 650 ล้านบาท เป็นการเพิ่มทุนเป็น 1,112,851,210 บาท แบ่งเป็น ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน และโอนหุ้นเดิมให้อีก 1 หุ้น รวมจำนวนหุ้นทั้งหมด 55,631,431 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 10 บาท ซึ่ง JMART และบริษัทในเครือ JMT จะสละสิทธิ์การจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน JFINTECH

ดังนั้นการร่วมทุนครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ JMART ใน JFINTECH เหลือ 44.2% จากเดิม 90.2% ขณะที่ JMT ถือครองหุ้นในสัดส่วน 4.8% จากเดิม 9.8% ส่วน KB Kookmin Card จะถือครองหุ้น 49.99%

เบื้องต้นคาดว่า KB จะได้เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.ปีนี้ เเละเดินหน้า “เเผนต่อไป” โดยการหาสินเชื่ออื่นมาทดแทนสัญญากู้ยืมเงินผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน ซึ่งมีรายละเอียดยอดเงินกู้ ณ สิ้นปี 2562 รวม 3,012.5 ล้านบาท เป็นยอดเงินกู้ของบริษัท จำนวน 2,717.5 ล้านบาท และยอดเงินกู้ของ JMT จำนวน 295 ล้านบาท

“ดีลครั้งนี้จะทำให้กลุ่ม JMART ได้เงินคืนรวม 3,012.5 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งมากขึ้น”


ปั้น JFINTECH เป็น Top 5 ธุรกิจสินเชื่อ-บัตรเครดิตในไทย

ผู้บริหาร JMART บอกว่า การร่วมทุนครั้งนี้ได้รับผลประโยชน์กันเเบบ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย โดย JFINTECH จะได้นำเอาความรู้และเทคโนโลยีทางการเงินของ KB เข้ามาเสริมให้กับกลุ่มบริษัทในระยะยาว ขณะที่ความแข็งแกร่งในเครือข่ายของ JFINTECH ที่มีความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น ก็จะเป็นเหมือนแพลตฟอร์มที่ทำให้ KB ขยายธุรกิจต่อไปได้หลายมิติในอาเซียน

“JFINTECH” ตั้งเป้าจะเป็น 1 ใน 5 ผู้นำธุรกิจสินเชื่อและบัตรเครดิตในประเทศไทย โดยในช่วง 1-2 ปีแรกจะเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในบริษัท พร้อมปล่อยสินเชื่อ จากนั้นช่วงปีที่ 3-4 จะเข้าไปเจาะตลาดบัตรเครดิต เเละเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคล รุกการตลาดเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในไทย ส่วนช่วงปีที่ 5 เป็นต้นไป จะเป็นการสร้างการเติบโตเเละทำกำไรมากขึ้น”

 

โดยกลุ่ม JMART คาดว่าหลังการร่วมทุนเเล้วเสร็จจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ในเฟสเเรก ราว 650 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าผู้คนจะต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

รุกการตลาด “ศิลปิน KPOP” เจาะสินเชื่อเเฟนคลับ-คนรุ่นใหม่  

เหล่าธนาคารในเกาหลีใต้ กำลังเเข่งขันกันดุเดือด ด้วยการนำ “ศิลปิน KPOP” มาเพิ่มยอดผู้ใช้เเละออกขายผลิตภัณฑ์ดีไซน์พิเศษกันคึกคัก KB Kookmin Card ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นธนาคารใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้ ด้วยเป็นสปอนเซอร์ให้บอยเเบนด์ชื่อดังที่มีฐานเเฟนคลับทั่วโลกอย่าง “BTS” (Bangtan Sonyeondan)

โดย KB มีการทำตลาดทั้งออฟไลน์เเละออนไลน์ที่เข้มข้น เน้นเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ที่เป็น “Young Generation”

จุดเเข็งด้านการตลาดไอดอลนี้ ทำให้กลุ่ม JMART มองว่าเป็นโอกาสที่จะนำมาต่อยอดในไทย ซึ่งกระเเส KPOP กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก มีฐานเเฟนคลับเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย มีกำลังซื้อเเละมีการใช้จ่ายด้านไลฟ์สไตล์สูง จึงเป็นลูกค้าที่เหมาะเเก่การปล่อยสินเชื่อเเละบัตรเครดิต

ก่อนหน้านี้วงการธนาคารไทย ก็มีการนำศิลปิน KPOP มาทำตลาดเจาะกลุ่ม New Gen ที่มีกว่า 10 ล้านคนในไทยมาเเล้ว อย่างโปรเจกต์ใหญ่ KBankxBLACKPINK ของกสิกรไทยร่วมกับเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดัง BLACKPINK ในคอนเซ็ปต์ #แค่เชื่อก็เป็นได้ ปล่อยโปรดักต์แรกเป็นบัตรเดบิตคอลเลคชั่นพิเศษที่ตั้งเป้ายอดบัตรถึง 1 ล้านใบ

อาจเป็นไปได้ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นศิลปินวง BTS หรือวงอื่นๆ มาอยู่บนบัตรของ JFINTECH ก็เป็นได้ เพราะมีฐานเเฟนคลับในไทย “เยอะมาก” อย่างไรก็ตามเเต่..ก็ต้องคอยลุ้นกันต่อไป

พับเเผนขยาย Jaymart Mobile – ธุรกิจทวงหนี้ยังสดใส 

ย้อนกลับมาคุยกันถึงธุรกิจที่น่าเป็นห่วงที่สุดในกลุ่ม JMART นั่นก็คือร้านขายมือถือเพราะ COVID-19 ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันไปช้อปสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เเละมีกำลังซื้อลดลง ชะลอการใช้จ่าย

“ในปีนี้ Jaymart Mobile คงไม่ขยายสาขาในห้างสรรพสินค้าเพิ่มเติม เเละอาจปรับลดจำนวนสาขาลงด้วย”

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในเครืออย่าง Singer ยังมีโอกาสขยายการเติบโตได้อีก เพราะไม่ต้องอยู่ในห้าง เเละจะเข้ามาเสริมช่องทางการขายของ Jaymart Mobile ได้

ขณะเดียวกัน JMART ก็ยังมีธุรกิจดาวรุ่งอยู่ในมือ เเม้ต้องเผชิญเศรษฐกิจฝืดเคือง นั่นคือ “ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ” ของบริษัทในเครืออย่าง JMT ยังเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากบริษัทมีพอร์ตบริหารหนี้สะสมในปัจจุบันอยู่ที่ 177,000 ล้านบาท และสามารถทยอยรับรู้รายได้จากกระแสเงินสด (Cash collection) ที่สามารถเก็บเข้ามาได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10 ปี

“ในสถานการณ์ COVID-19 จะทำให้มีเเนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบเพิ่มขึ้น จึงตั้งเป้าใช้งบลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหารในปีนี้ที่ 4,500 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน” สุทธิรักษ์ ตรัย
ชิรอาภรณ์ ซีอีโอของ JMT ระบุ

สำหรับภาพรวมธุรกิจ เเม่ทัพของ JMART ยืนยันว่าปีนี้ก็น่าจะเป็นปีที่ดีที่สุดอีกปีหนึ่งของบริษัท จากปีที่แล้วที่ทำกำไรได้สูงสุด ปีนี้ก็น่าจะทำสถิติกำไรสูงสุดได้อีกปีหนึ่ง โดยยังคงตั้งเป้าการเติบโตของกำไรไว้ที่ 25% รายได้เติบโต 10% เเม้จะยอมรับว่าได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เเต่ยังบริหารจัดการต้นทุนเเละค่าใช้จ่ายได้ดี จึงคาดว่าจะยังคงทำได้ตามเป้า เเละสถานการณ์น่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

 

]]>
1276373
BTS ปรับปรุงสถานีสะพานตากสิน ปิดใช้งาน 24 เดือน เริ่มก่อสร้างกลางปี 63 https://positioningmag.com/1262295 Tue, 28 Jan 2020 17:22:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1262295 BTS เตรียมแผนรื้อปรับปรุงสถานีสะพานตากสินหลัง EIA ผ่าน คาดเริ่มก่อสร้างได้กลางปี 63 โดยช่วงรื้อชานชาลาเดิมออกเพื่อก่อสร้างทางวิ่งใหม่ 24 เดือนรถไฟฟ้าจะไม่มีการจอดที่สถานี สะพานตากสิน โดยจัดรถรับ-ส่งระหว่างสถานีสะพานตากสินไปยังสถานีสุรศักดิ์แทน

สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสิน (S6) ว่า

ตามที่คณะกรรมการดำเนินงานบูรณาการด้านโครงสร้างพื้นฐานและอำนวยความสะดวกในการเดินทางบริเวณสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เห็นชอบแผนการปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสิน (S6) เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2562 ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ จากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กกวล.) แล้ว ขั้นตอนต่อไปอยู่ระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบการรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (ส่วนช่องนนทรี-สาทร) กรณีปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสิน (S6) ฉบับสมบูรณ์ หลังจากนั้นบริษัทฯ จึงจะดำเนินการก่อสร้างได้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในกลางปี 2563 นี้

สำหรับแผนการปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสินตามแผนจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างรวดเร็วที่สุดภายใน 30 เดือน หรือประมาณ 2 ปี 6 เดือน โดยเริ่มจากการขยายสะพานตากสินออกไปข้างละ 1.8 เมตร ยาว 250 เมตร พร้อมติดตั้งเสาตอม่อรับน้ำหนักเพิ่มอีกข้างละ 8 ต้นเพื่อทดแทนพื้นที่ที่จะใช้ขยายเป็นสถานีรถไฟฟ้าเริ่มจากบริเวณถนนเจริญกรุง ถึงแม่น้ำเจ้าพระยา

หลังจากนั้นจะใช้เวลาอีก 24 เดือนดำเนินการปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า โดยจะรื้อชานชาลาเดิมออก ก่อสร้างพื้นทางวิ่งใหม่เพื่อรองรับรางอีกหนึ่งคู่ จากนั้นจึงก่อสร้างชานชาลาใหม่พร้อมปรับปรุงรูปแบบทางขึ้น-ลงชานชาลา

ระหว่างการก่อสร้างบริษัทฯ จะไม่หยุดจอดรับ-ส่งผู้โดยสารที่สถานีสะพานตากสินเป็นการชั่วคราวจนกว่าก่อสร้างแล้วเสร็จเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ส่วนมาตรการการรองรับผู้โดยสารระหว่างการงดใช้สถานีนั้น บริษัทฯ จะจัดรถให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารจากสถานีสะพานตากสินไปยังสถานีสุรศักดิ์

ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการเดินรถที่สะดวกต่อผู้โดยสารที่สุด ซึ่งจะต้องนำเสนอต่อคณะกรรมการดำเนินงานบูรณาการด้านโครงสร้างพื้นฐานและอำนวยความสะดวกในการเดินทางบริเวณสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนเริ่มการก่อสร้าง และขอเรียนว่าผู้โดยสารที่จะเดินทางในเส้นทางสายสีลมไปยังสถานีอื่นๆ ที่ไม่ใช่สถานีสะพานตากสินจะคงใช้บริการได้เหมือนเดิม และน่าจะได้รับความสะดวกเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในระหว่างที่ไม่จอดรับ-ส่งผู้โดยสารที่สถานีสะพานตากสินจะสามารถเพิ่มขบวนรถในสายสีลมได้อีกเล็กน้อย จำนวน 1-2 ขบวน

อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ สถานีสะพานตากสินจะสามารถรองรับผู้โดยสารที่ใช้บริการได้เพิ่มขึ้น และจะสามารถเพิ่มความถี่สูงสุดในการเดินรถสายสีลมเป็น 2 นาทีต่อขบวน จากเดิมต้องใช้เวลาถึงเกือบ 4 นาทีต่อขบวน เนื่องจากต้องรอสับหลีก ซึ่งการเดินรถที่รวดเร็วขึ้นนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารในช่วงเวลาเร่งด่วนได้ดียิ่งขึ้นของทั้งระบบ

Source

]]>
1262295