Disney – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 29 Feb 2024 09:30:13 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Disney รวมธุรกิจในอินเดียเข้ากับกิจการของ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของแดนภารตะ คาดมูลค่าบริษัทใหม่ใหญ่ถึง 3 แสนล้านบาท https://positioningmag.com/1464458 Thu, 29 Feb 2024 08:48:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464458 Walt Disney ประกาศรวมกิจการสื่อในประเทศอินเดียกับ Reliance อาณาจักรธุรกิจของ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของแดนภารตะ คาดมูลค่าบริษัทใหม่ใหญ่ถึง 3 แสนล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากการแข่งขันในธุรกิจสื่อดุเดือดมากขึ้น และใช้เงินมหาศาลเพื่อที่จะแย่งชิงผู้ชม

Walt Disney ประกาศรวมกิจการสื่อในประเทศอินเดียกับ Reliance อาณาจักรธุรกิจของ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ชาวอินเดีย ซึ่งจะทำให้ขนาดบริษัทใหม่หลังควบรวมกิจการกันแล้วนั้นจะใหญ่มากถึง 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 300,000 ล้านบาท และขึ้นเป็นผู้เล่นรายใหญ่ด้านความบันเทิงในอินเดียทันที

หลังจากการควบรวมกิจการแล้วนั้น Reliance จะถือหุ้นราวๆ 63.16% ขณะที่ทางฝั่ง Disney จะถือหุ้นอีก 36.84%

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Disney เลือกที่จะควบรวมกิจการกับธุรกิจสื่อของ Reliance เนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจสื่อเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณจาก Sony ที่ประกาศควบรวมกิจการกับ Zee ซึ่งเป็นผู้เล่นสื่อรายใหญ่ของอินเดียอีกราย แม้ว่าดีลดังกล่าวในท้ายที่สุดจะล่มลงไป แต่ก็ทำให้เกิดแรงกดดันต่อผู้เล่นไม่น้อย

การควบรวมกิจการดังกล่าวจะทำให้ธุรกิจใหม่นั้นเป็นผู้นำด้านความบันเทิงในอินเดีย เนื่องจากคอนเทนต์ในมือไม่ว่าจะเป็นละคร กีฬา และมีช่องโทรทัศน์รวมกันมากถึง 120 ช่อง ถือว่าหลากหลายกว่าคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Sony หรือแม้แต่ Zee

ไม่ใช่แค่ธุรกิจสื่อในประเทศอินเดียเท่านั้น แต่การรุกเข้ามาของแพลตฟอร์มอย่าง Netflix เองก็ถือเป็นแรงกดดันที่เร่งทำให้ Disney ต้องนำธุรกิจไปควบรวมกับธุรกิจสื่อของ Reliance

ก่อนหน้านี้ Disney ได้เสียลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด Cricket รายการสำคัญให้กับ Reliance มาแล้ว จนส่งผลทำให้ปริมาณผู้ชม Hotstar ในประเทศอินเดียลดลงทันที

นอกจากนี้มูลค่ากิจการธุรกิจสื่อในประเทศอินเดีย จากเดิมที่ Disney เคยซื้อกิจการ Fox ซึ่งรวมถึงธุรกิจในอินเดียเคยมีมูลค่าสูงสุดมากถึง 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงการซื้อกิจการ ปัจจุบันลดลงเหลือแค่ราวๆ 3,000 ล้านเหรียญเท่านั้น

Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ Disney กล่าวถึงดีลดังกล่าวว่า อินเดียถือเป็นตลาดที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และเรารู้สึกตื่นเต้นสำหรับโอกาสในการร่วมทุนระหว่างกันนี้จะมอบผลตอบแทนระยะยาวให้กับบริษัท

การที่ Disney ควบรวมกิจการยังลดความเสี่ยงที่บริษัทใช้เงินมหาศาลเพื่อแย่งชิงตลาดผู้ชมในอินเดีย ซึ่งมีความเสี่ยงว่าบริษัทอาจสูญเสียความสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

ที่มา – Disney, Reuters, Al Jazeera

]]>
1464458
ลือ! ซีอีโอของ ‘Warner Bros. Discovery’ ซุ่มคุยกับซีอีโอ ‘Paramount’ เกี่ยวกับการ ‘ควบรวมกิจการ’ https://positioningmag.com/1456705 Thu, 21 Dec 2023 07:31:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456705 ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่การมาของแพลตฟอร์ม วิดีโอสตรีมมิ่ง ที่ทำให้วงการสื่อเปลี่ยนเเปลงไป ค่ายผู้ผลิตสื่อรายใหญ่ก็ต้องลงสู่ตลาดสตรีมมิ่ง ท่ามการการแข่งขันที่ดุเดือด โดยล่าสุด สื่อได้ออกข่าวว่าผู้บริหารระดับสูงของของค่าย ‘Warner Bros. Discovery’ ได้ไปเจรจากับค่าย ‘Paramount’ เกี่ยวกับการ ‘ควบรวมกิจการ’

CNN ได้รายงานว่า David Zaslav ซีอีโอของ Warner Bros. Discovery ได้พบกับ Bob Bakish ซีอีโอของ Paramount Global เมื่อวันอังคารที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ของ Paramount ในไทม์สแควร์ นิวยอร์กซิตี้ เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการระหว่างทั้งสองบริษัท อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวดังกล่าว

แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกัน แต่หลายคนมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากทั้งสองบริษัทจะควบรวมกัน เพราะการควบรวมนี้อาจอาจทำให้อุตสาหกรรมสื่อพลิกผันได้อีกครั้ง ขณะที่ Paramount ก็ต้องการพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดในปัจจุบัน

เพราะต้องยอมรับว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ในยุคสตรีมมิ่งนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และยังต้องใช้เงินมหาศาล เพราะต้องแข่งทั้งผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก ๆ อย่าง Netflix และ Disney ขณะที่ปัจจุบันทั้งสองบริษัทเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรตติ้งทีวีลดลงเนื่องจากลูกค้ายกเลิกบริการเคเบิลทีวีมากขึ้น ส่วนตลาดโฆษณากำลังเปลี่ยนไปสู่การสตรีม นอกจากนี้ ต้นทุนการสร้างคอนเทนต์ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ 

ดังนั้น หากทั้งสองบริษัทควบรวมกัน Warner Bros. Discovery ก็จะได้แพลตฟอร์มของ Paramount+ มาเสริมแกร่งให้กับบริการสตรีมมิ่งอย่าง HBO ขณะเดียวกัน Paramount ก็จะได้ช่องทางการขายในต่างประเทศเพื่อส่งเสริมแฟรนไชส์ต่าง ๆ ของค่าย

“ฉันคิดว่ามันบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก เพราะอุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับอนาคตที่ท้าทายอย่างยิ่ง พวกเขาจะพยายามทำให้ตัวเองใหญ่ขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่ง” Rich Greenfield นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม ผู้ร่วมก่อตั้ง LightShed Partners กล่าว

อย่างไรก็ตาม Warner Bros. Discovery จะไม่สามารถทำธุรกรรมกับ Paramount หรือหน่วยงานอื่นใดได้ในขณะนี้ จนกว่ากฎหมายภาษีอากรที่ห้ามไม่ให้บริษัทเข้าซื้อกิจการหรือการควบรวมกิจการเพิ่มเติมจนกว่าจะหลังเดือนเมษายน 2024 เนื่องจาก WarnerMedia เพิ่งซื้อ Discovery ไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาในมูลค่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน Warner Bros. Discovery มีมูลค่าอยู่ที่ราว 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Paramount มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทางบริษัทกำลังเผชิญกับภาระหนี้ ทำให้อยู่ภายใต้ความกดดันที่จะหาพาร์ตเนอร์ด้านกลยุทธ์หรือผู้ซื้อกิจการต่อ ดังนั้น อาจต้องรอดูว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกันได้หรือไม่

]]>
1456705
‘ดิสนีย์’ ประกาศจะ ‘ลดต้นทุน’ อีก 2 พันล้านเหรียญฯ มั่นใจธุรกิจ ‘สตรีมมิ่ง’ ทำกำไรภายในปีหน้า https://positioningmag.com/1451093 Thu, 09 Nov 2023 03:18:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451093 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่องรายได้ไม่เข้าเป้า แถมค่อนไปทางขาดทุน เลยทำให้ ดิสนีย์ (Disney) ต้องวางแผนลดต้นทุนอีกระลอกหรือเปล่า หลังจากที่เคยประกาศว่าต้องการลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดิสนีย์ ประกาศว่า จะลดค่าใช้จ่ายลงอีก 2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดต้นทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้บริษัทต้อง ลดจ้างงาน 7,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม แผนการลดต้นทุนในครั้งนี้ บริษัทยืนยันว่า ไม่มีแผนเลิกจ้างเพิ่มเติม

โดย Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า ที่บริษัทยังคงลดต้นทุน เนื่องจากบริษัทกำลัง การสร้างธุรกิจใหม่ ในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทยังคง ขาดทุน ในธุรกิจสตรีมมิ่ง Disney+ แม้ว่าบริษัทจะลดการขาดทุนได้อย่างมากแล้วก็ตาม โดยในไตรมาส 4 ตามปีงบประมาณ (ก.ค.-ต.ค.) บริษัทลดการขาดทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งเหลือ 420 ล้านดอลลาร์ จากเดิมขาดทุนถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ในกลุ่มสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น +12%

“ผลประกอบการของเราในไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สำคัญที่เราได้ทำในปีที่ผ่านมา แต่เรายังมีงานที่ต้องทำ ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้เราก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งการแก้ไขนี้ และเริ่มสร้างธุรกิจของเราอีกครั้ง” Bob Iger ซีอีโอกล่าว

สำหรับรายได้ของดิสนีย์ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.12 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้รายได้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย แต่หุ้นของดิสนีย์สูงขึ้นมากกว่า 3% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ โดยถือว่า ดีดตัวจากระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี

ทั้งนี้ รายได้ในช่วงไตรมาส 3 ของดิสนีย์ถือเป็นช่วงที่หยักหน่วงของบริษัท เพราะต้องดันธุรกิจสตรีมมิ่งที่ต้องใช้เงินสด, ความล้มเหลวของภายนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่อง รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างการที่นักแสดงประท้วงหยุดงาน แต่ธุรกิจ สวนสนุก กลายเป็นดาวเด่นของดิสนีย์ โดยเติบโตขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในส่วนของ Disney+ ที่ดิสนีย์ทุ่มเงินไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2562 จำนวนสมาชิกยังคงเติบโตขึ้น โดยฐานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพิ่มขึ้น +1% ส่วนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น +11% โดยเฉพาะแพ็กเกจโฆษณา สามารถเพิ่มการสมัครสมาชิกมากกว่า 2 ล้านครั้ง โดย Bob Iger มั่นใจว่า ธุรกิจสตรีมมิ่งจะ ทำกำไร ภายในสิ้นปี 2567

Source

]]>
1451093
Disney พิจารณาอาจขายธุรกิจบางส่วนในประเทศอินเดีย หลังผู้ชมคอนเทนต์ของบริษัทผ่านช่องทางต่างๆ ลดลง https://positioningmag.com/1444689 Mon, 18 Sep 2023 15:49:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444689 บริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่าง Walt Disney ล่าสุดกำลังพิจารณาที่จะขายธุรกิจบางส่วนในประเทศอินเดีย โดยสาเหตุสำคัญมาจากผู้ชม Content ผ่านช่องทีวีผ่านดาวเทียมที่บริษัทเป็นเจ้าของ หรือผ่านแพลตฟอร์ม Hotstar ลดลง และยังรวมถึงการแพ้ประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาคริกเก็ตในประเทศด้วย

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ว่า Walt Disney กำลังพิจารณาที่อาจขายธุรกิจผลิตช่องทีวีบอกรับสมาชิก รวมถึงธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Hotstar ซึ่งสื่อรายดังกล่าวคาดว่าจะมีผู้สนใจซื้อธุรกิจหลายราย

ความเคลื่อนไหวล่าสุดบริษัทกำลังพิจารณาขายธุรกิจบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตช่องทีวีบอกรับสมาชิก ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่ง รวมถึงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาประเภทต่างๆ ที่ถือไว้ หรือแม้แต่การขายธุรกิจทั้งหมดให้กับผู้สนใจ

คาดว่าผู้ที่น่าสนใจที่จะซื้อธุรกิจดังกล่าวคือ Viacom18 Media ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนระหว่าง Reliance กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ของประเทศอินเดียกับ Paramount Global บริษัทด้านบันเทิงจากสหรัฐอเมริกา

แหล่งข่าวของ Bloomberg กล่าวว่า Disney ได้ติดต่อสอบถามไปยัง Reliance ว่าสนใจที่จะซื้อหุ้นของธุรกิจดังกล่าวหรือไม่ด้วย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ด้านความบันเทิงพิจารณาขายธุรกิจดังกล่าว ก็คือเรื่องผู้ชมช่องทีวีผ่านดาวเทียมของบริษัทลดลง ไม่ว่าจะเป็นช่องกีฬา Star Sports ที่เสียลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาคริกเก็ตรายการสำคัญอย่าง Indian Premier League ซึ่งมีผู้ชมหลักหลายร้อยล้านคนผ่านหน้าจอโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก หรือแม้แต่ผ่านแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Hotstar

ตรงข้ามกับแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งของ Viacom18 Media อย่าง JioCinema หลังจากเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดคริกเก็ต Indian Premier League จนถึงปี 2027 ก็มีผู้ใช้งานจำนวนเพิ่มมากขึ้นทันที นอกจากนี้บริษัทยังได้เซ็นสัญญาในการนำคอนเทนต์ของ Warner Bros Discovery มาออกอากาศในอินเดียด้วย

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันบริษัทมีข่าวที่จะขายธุรกิจช่องโทรทัศน์อย่าง ABC ทรัพย์สินที่เป็นสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นที่แพร่ภาพออกอากาศช่อง ABC ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจผลิตช่องเคเบิลทีวีอย่าง FX และ National Geographic เป็นเม็ดเงินมากถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับ Nexstar

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวได้กล่าวว่า Disney เองอาจไม่ขายธุรกิจในประเทศอินเดีย หรืออาจใช้โมเดลการร่วมทุนกับผู้ที่สนใจ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงในช่วงเวลานี้

]]>
1444689
ตี้แตกอีกหนึ่ง! ‘Disney+’ เตรียมออกระบบป้องกันการแชร์รหัสผ่านตามรอย ‘Netflix’ https://positioningmag.com/1440492 Thu, 10 Aug 2023 02:35:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440492 หลังจากที่ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้นำในตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งของโลกได้ออกมาตรการห้าม แชร์รหัสผ่าน จนทำให้จำนวนผู้ใช้ช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้นถึง 5.9 ล้านราย ทำให้สตรีมมิ่งรายใหญ่อย่าง ดิสนีย์พลัส (Disney+) ก็ขอเดินตามรอยรุ่นพี่ เตรียมออกมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่านบ้าง

Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า บริษัทกำลังสำรวจการแชร์บัญชีของผู้ใช้และจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายที่จะ ควบคุมการแชร์รหัสผ่านของผู้ใช้ ในปลายปีนี้ ก่อนที่จะออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านภายในปี 2024 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อลดการใช้บัญชีร่วมกัน

“แน่นอนว่าเราเชื่อว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านจะส่งผลต่อการเติบโตของสมาชิกแน่นอน แต่เราไม่ได้คาดเดาได้ว่าจะเป็นในทางไหน”

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่เหมือนกับบริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ก็คือ เพิ่มกำไร เพราะนอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว บริการสตรีมมิ่งหลายรายพยายามลดค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ รวมถึงการออกแพ็กเกจราคาถูกลงโดยเพิ่มโฆษณาเข้ามา ซึ่งปัจจุบัน ดิสนีย์กำลังทำทั้งหมด

นอกจากนี้ ดิสนีย์ยัง ขึ้นราคา บริการสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมด โดยแพลตฟอร์ม Disney+ แบบไม่มีโฆษณาจะมีราคา 13.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 490 บาท) เพิ่มขึ้น 27% ส่วน Hulu เพิ่มขึ้นเป็น 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 630 บาท) เพิ่มขึ้น 20% ส่วนแพ็คเกจโฆษณาของทั้ง 2 บริการยังมีราคาเท่าเดิม ส่วนค่าบริการรายเดือนในไทยมีการปรับเป็น 289 บาท และรายปีปรับเป็น 2,290 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายที่ผ่านมา

ทั้งนี้ Netflix ถือเป็นผู้บุกเบิกในการออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่าน เนื่องจากพบว่ามากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกใช้บัญชีร่วมกัน และด้วยเหตุนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากที่ Netflix ออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ในช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านราย

Source

]]>
1440492
Disney+ เสียสมาชิกมากถึง 4 ล้านราย เตรียมขึ้นราคากับออกแพ็กเกจใหม่แบบมีโฆษณา https://positioningmag.com/1430171 Thu, 11 May 2023 06:29:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1430171 แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งรายใหญ่อย่าง Disney+ ล่าสุดในไตรมาสที่ผ่านมายังเสียสมาชิกมากถึง 4 ล้านราย อย่างไรก็ดีรายได้กลับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะปรับราคารวมถึงออกแพ็กเกจใหม่แบบมีโฆษณา เพื่อที่จะหารายได้เพิ่มขึ้น

Walt Disney ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุด โดยสิ่งที่น่าสนใจในไตรมาส 1 นี้นั้นบริษัทได้สูญเสียสมาชิกแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ รวมทั่วโลกไปมากถึง 4 ล้านราย

โดยลูกค้าที่หายไปนั้นมาจาก แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ Hotstar ส่วนสมาชิกของ Disney+ นั้นกลับเพิ่มขึ้น 600,000 ราย อย่างไรก็ดี รวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังขาดทุนจากการดำเนินงานที่ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการขาดทุนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา

หลังจากนี้บริษัทเตรียมรวมบริการของ Hulu และ Disney+ ในสหรัฐอเมริกาเข้าด้วยกันเป็นบริการเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิก

ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมที่จะให้บริการแพ็กเกจใหม่แบบมีโฆษณา รวมถึงขึ้นราคาค่าบริการ โดย Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ Walt Disney ได้ชี้แจงว่ามาตรการดังกล่าวทำขึ้นเพื่อที่จะแสดงให้เห็นคุณค่าของคอนเทนต์ของบริษัทที่นำเสนอให้กับสมาชิก

อย่างไรก็ดี CEO รายดังกล่าวได้ชี้ว่าแผนการที่จะนำแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งขึ้นมาเป็นรายได้หลักแทนจากรายได้ของเคเบิลทีวีนั้นยังต้องใช้เวลา และบริษัทยังต้องเรียนรู้ รวมถึงสร้างแผนธุรกิจเพื่อที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ในการลดค่าใช้จ่ายมาตรการที่งัดออกมาใช้คือลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอนเทนต์ต่างๆ ลง แต่ CEO รายดังกล่าวก็ได้กล่าวว่าการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะต้องไม่กระทบจนทำให้จำนวนลูกค้าลดลง

ถ้าหากมองผลประกอบการทั้งหมดของ Walt Disney ในไตรมาสที่ผ่านมา รายได้รวมทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ 21,800 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมบริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายสำคัญนั่นก็คือการปลดพนักงานบางส่วนออก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่อาจไม่เป็นใจ

ปัจจุบัน Disney+ มีจำนวนสมาชิกมากถึง 158 ล้านราย อย่างไรก็ดีวิดีโอสตรีมมิ่งรายนี้ยังมีจำนวนสมาชิกตามหลังคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Netflix ที่มีสมาชิกมากถึง 232.5 ล้านราย

ที่มา – CNN, BBC

]]>
1430171
Walt Disney ประกาศทยอยปลดพนักงานจำนวน 7,000 คน ชี้ลดต้นทุนของบริษัท https://positioningmag.com/1425167 Tue, 28 Mar 2023 07:58:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425167 บริษัทด้านบันเทิงรายใหญ่อย่าง Walt Disney เริ่มปลดพนักงานแล้ว โดยครั้งนี้คาดว่าจะปลดพนักงานมากถึง 7,000 ราย เพื่อที่จะควบคุมต้นทุนของบริษัท หลังจากที่บริษัทได้แบกค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่คือ Disney+ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวไม่ระบุตัวตน รวมถึงจดหมายที่ส่งให้กับพนักงาน ว่า Walt Disney ได้ประกาศเตรียมปลดพนักงานมากถึง 7,000 คน เพื่อที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะมากถึง 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงสามารถนำค่าใช้จ่ายไปลงทุนในธุรกิจอื่นได้

แหล่งข่าวไม่ระบุตัวตนยังกล่าวว่าพนักงานจาก Disney Entertainment และ Disney Parks รวมถึง Experiences & Products นั้นจะได้รับผลกระทบก่อน ส่วนพนักงานจาก ESPN ซึ่งเป็นธุรกิจช่องกีฬา รวมถึงแผนกอื่นๆ อาจมีการปลดพนักงานตามหลังอีกที

จดหมายที่ CEO อย่าง Bob Iger ได้ส่งจดหมายให้กับพนักงานนั้น พนักงานที่ถูกปลดในรอบแรกจะทราบว่าตัวเองถูกปลดภายในช่วงระยะเวลา 4 วันหลังจากนี้ และช่วงที่ 2 ที่จะมีพนักงานที่ถูกปลดรอบใหญ่สุดจะเริ่มในเดือนเมษายนซึ่งคาดว่าจะมีพนักงานถูกปลดราวๆ 2-3 พันคน และรอบสุดท้ายคาดว่าจะมีการปลดพนักงานช่วงก่อนฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง

ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Bob Chapek อดีต CEO ของ Walt Disney ได้ส่งจดหมายภายในถึงทีมผู้บริหารในแผนกต่าง ๆ ว่าบริษัทมีแผนจะลดพนักงานบางส่วนและระงับการจ้างพนักงานใหม่ นอกจากนี้บริษัทยังพยายามลดการเดินทางในการประชุมทางธุรกิจเพื่อลดค่าใช้จ่าย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Walt Disney ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายคือผลประกอบการของบริษัทที่ไม่ค่อยดีนักในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทลดลงสู่ระดับต่ำสุด

โดยค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่บริษัทแบกอยู่ก็คือ Disney+ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง ที่จำนวนเพิ่มสมาชิกหลายล้านราย แต่บริษัทก็ยังขาดทุน เนื่องจากต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ ซึ่งบริษัทวางเป้าว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวจะมีกำไรได้ภายในปี 2024

]]>
1425167
“เอเชียทีค” ลงทุน 800 ล้านรีโนเวตพื้นที่ให้เที่ยวได้ “ทั้งวัน” จับมือ Disney สร้างกิจกรรมดึง “คนไทย” https://positioningmag.com/1419413 Wed, 15 Feb 2023 11:50:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1419413
  • “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” ครบรอบ 10 ปี ขึ้นทศวรรษใหม่ด้วยแผนลงทุน 800 ล้านบาท ปรับปรุงครั้งใหญ่สร้างเดสติเนชันที่เที่ยวได้ “ทั้งวัน” เป้าหมายหลังโควิด-19 ดึงทั้งต่างชาติและ “คนไทย”
  • ไฮไลต์กิจกรรมแม่เหล็กใหม่ “Disney 100 Village” จัดโซนถ่ายภาพและรับประสบการณ์จากคาแรกเตอร์ที่ทุกคนชื่นชอบ
  • แผนระยะยาวในทศวรรษนี้ เตรียมงบลงทุนเฟส 2 ต่อขยาย 10 ไร่ ขึ้นโครงการมิกซ์ยูสอาคารสูง 100 ชั้น
  • หลังผ่านสถานการณ์โควิด-19 “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” จะปรับเป้าหมายใหม่ จัดสมดุลทราฟฟิกมาจากทั้งชาวต่างชาติและ “คนไทย” จากในอดีตที่นี่เคยเป็นเดสติเนชันของต่างชาติเป็นหลัก 90% โดยเฉพาะชาวจีนที่นิยมมาก

    เมื่อจะปรับใหม่สู่ทศวรรษใหม่ของเอเชียทีค “วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดแผนการลงทุน 800 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงพื้นที่ให้ตรงกับเป้าหมายทั้งคนไทยและต่างชาติมากขึ้น

    “วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC

    โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่จะลงทุนกับการปรับโครงสร้างพื้นฐานให้เอเชียทีคเป็นจุดหมายที่มาได้แบบ “ALL DAY, EVERYDAY” จะมีการสร้างหลังคาบังแดดบังฝน ปรับเลย์เอาท์การวางแนวร้านค้าให้ทางเดินรับลมจากแม่น้ำ เสริมต้นไม้-ดอกไม้ในพื้นที่ ให้ลุคใหม่ที่สดชื่นขึ้น เพื่อให้สามารถมาเที่ยวชมในช่วงกลางวันได้ด้วย และเอเชียทีคจะปรับเวลาเปิดปิดใหม่เป็น 10:00-24:00 น. จากปกติร้านค้าจะเริ่มเปิดราว 16:00 น.

     

    ดึงคนด้วยกิจกรรม อาหาร และตลาดนัดไลฟ์สไตล์

    หลังปรับพื้นที่ให้พร้อมแล้ว เอเชียทีคจะมีองค์ประกอบใหม่เพิ่มเข้ามา แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่

    1.กิจกรรม-จุดท่องเที่ยวใหม่

    แต่เดิมเอเชียทีคมีจุดท่องเที่ยวอยู่แล้วคือ ชิงช้าสวรรค์เอเชียทีค สกาย, ม้าหมุน, บ้านผีสิง และโรงจัดการแสดงคาลิปโซ่ แต่หลังจากนี้จะเติมกิจกรรมใหม่เข้ามาอีกโดยเน้นระดับ Global Partner เริ่มต้นจากเดือนมีนาคมนี้จะเปิด “Disney 100 Village” เป็น pop-up attraction นำตัวละครและประสบการณ์จาก Disney เข้ามาจัดกิจกรรม

    รวมถึงกิจกรรม Trashpresso จากมิลาน อิตาลี ซึ่งเป็นเครื่องผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่จากขยะพลาสติกอัตโนมัติ เช่น จานรองแก้ว พวงกุญแจ

    2.ร้านอาหารและเครื่องดื่ม

    จะเพิ่มโซน “อาหารท้องถิ่น” ลักษณะเป็น Co-Dining มีบูธร้านอาหารท้องถิ่นไทยชื่อดังมาออกร้าน และมีที่นั่งรวมส่วนกลาง แตกต่างจากที่ผ่านมาเอเชียทีคจะมีร้านอาหารแยกเป็นร้านๆ และเป็นร้านขนาดใหญ่

    3.ไลฟ์สไตล์มาร์เก็ต

    เปิดพื้นที่ใหม่บริเวณเอเชียทีค สกาย จัดเป็น “ตลาดนัดตกแต่งพิเศษ” หมุนเวียนอิงตามเทศกาล เช่น สงกรานต์ หรืออิงตามธีมความนิยม เช่น Pet Market, ของแต่งบ้าน, งานศิลปะ ของทำมือ เป็นต้น ร้านค้าในงานจะเปิดรับผู้เช่ารายย่อยที่ตรงกับธีมเข้ามาเปิดจำหน่าย

    นอกจากนี้ เอเชียทีคยังมีผู้เช่ารายใหญ่รายใหม่คือ บิ๊กซี (Big C) จะเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตพื้นที่ 2,000 ตร.ม. ซึ่งจะมีโซนของฝาก ของที่ระลึก ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติด้วย

     

    Disney แม่เหล็กดึงกลุ่มครอบครัว

    แม่เหล็กสำคัญที่จะสร้างความฮือฮาคือ Disney 100 Village ซึ่งจะเปิดบริการช่วงวันที่ 24 มีนาคม – 31 กรกฎาคม 2566 ลักษณะไม่ใช่ธีมปาร์คสวนสนุกขนาดใหญ่ แต่จะเป็นการจัดพื้นที่ถ่ายภาพร่วมกับคาแรกเตอร์ และกิจกรรมพิเศษแบบ pop-up event เน้นการมารับประสบการณ์จากการ์ตูนหรือภาพยนตร์ที่ชื่นชอบ

    รูปโปรโมตเบื้องต้นของงาน Disney 100 Village

    เท่าที่เปิดเผยได้ขณะนี้ Disney 100 Village จะมี 6 โซน ได้แก่

    1.Frozen Zone (*) บริเวณ Warehouse 4 หน้าหอนาฬิกา คล้ายกับที่เคยมีการจัดอีเวนต์ในไต้หวัน

    2.Marvel Zone (*) บริเวณเกือบถึงพื้นที่ริมน้ำ เป็นการสร้างประสบการณ์จากภาพยนตร์ Marvel แตกต่างจากที่เคยจัดในไทยที่จะอิงจากหนังสือการ์ตูน

    3.Princess Garden Zone (*) ธีมเจ้าหญิงดิสนีย์ Enchanted Ever After

    4.Disney 100 Zone บริเวณ Main Corridor รวมคาแรกเตอร์และฉากจากเรื่องต่างๆ เช่น Toy Story, Lion King

    5.Star Wars Zone บริเวณ Warehouse 10 โดยจะมีกิจกรรมประสบการณ์ใหม่

    6.Pixar Putt Zone ตีมินิกอล์ฟ 18 หลุมริมแม่น้ำเจ้าพระยา

    สำหรับโซนที่มี (*) คือโซนที่จะต้องซื้อตั๋วเข้าชมและจะเริ่มเปิดจำหน่ายบัตรวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ ส่วนโซนอื่นๆ นั้นสามารถเข้าชมได้ฟรี

    กิจกรรมจาก Disney ถือเป็นโซนที่จะช่วยดึงกลุ่มครอบครัวได้เป็นอย่างดี และจะเป็นบริเวณที่มาได้ทั้งกลางวันกลางคืน ตอบโจทย์การปรับเวลาของเอเชียทีคให้มาเที่ยวได้ทั้งวัน

    เอเชียทีค

    เป้าหมายการปรับครั้งนี้ วัลลภาเชื่อว่าจะทำให้เอเชียทีคมีทราฟฟิกเพิ่มขึ้นในอนาคต ในวันธรรมดาเพิ่มเป็น 50,000 คนต่อวัน และวันเสาร์-อาทิตย์เพิ่มเป็น 80,000 คนต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 ประมาณ 60%

    รวมถึงเป็นการปรับสัดส่วนลูกค้า จากเดิมมีต่างชาติถึง 90% เป้าหมายใหม่จะทำให้มีลูกค้าไทย 50% และลูกค้าต่างชาติ 50% โดยในครึ่งปีแรกยังมองลูกค้ากลุ่มเกาหลีใต้, สิงคโปร์, ฮ่องกง รวมถึงประเทศกลุ่มเอเชียอื่นๆ ก่อน เนื่องจากทัวร์จีนแผ่นดินใหญ่คาดว่าจะเริ่มคึกคักในช่วงครึ่งปีหลัง

     

    ทศวรรษนี้มาแน่ “อาคารสูง 100 ชั้น” แลนด์มาร์กใหม่

    วัลลภากล่าวต่อถึงแผนงานในทศวรรษที่สองของเอเชียทีค จะมีการขยายพื้นที่ที่ยังเหลืออยู่ จากเฟส 1 ที่ใช้พื้นที่ไปแล้วกว่า 40 ไร่ เฟส 2 จะมีการขยายพื้นที่อีก 10 ไร่ซึ่งเป็นที่ดินติดกันกับที่ดินเดิม

    เฟส 2 นี้เบื้องต้นมีการอนุมัติงบลงทุนแล้ว 2,000 ล้านบาทเพื่อขยายพื้นที่ตามคอนเซปต์ “Retailtainment” พื้นที่ค้าปลีกผสานความบันเทิง

    รวมถึงโครงการอาคาร “มิกซ์ยูส” สูง 100 ชั้น AWC ยังคงเดินหน้าการออกแบบ แต่มีการปรับเปลี่ยนแบบใหม่หลังผ่านโควิด-19 เปลี่ยนให้มีองค์ประกอบการเป็นอาคารพลังงานสะอาดโดยใช้พลังงานลม ยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรบริษัทออกแบบระดับโลก Adrian Smith + Gordon Gill Architecture ซึ่งเป็นผู้ออกแบบตึกเบิร์จ คาลิฟะ ในดูไบ

    อาคารหลังนี้ส่วนประกอบใหญ่ภายในจะเป็น “โรงแรม” โดยมีพันธมิตรเชนโรงแรมเข้ามาบริหาร 3 แบรนด์ คือ The Ritz Carlton Reserve, Autograph Collection และ JW Marriott

    วัลลภากล่าวว่าโครงการอาคาร 100 ชั้นยังไม่สรุปงบลงทุน แต่ต้องการจะให้ก่อสร้างเสร็จภายในปี 2576 หรือครบรอบ 20 ปีเอเชียทีค

    AWC ยังมีที่ดินส่วนขยายของเอเชียทีคได้อีกคือ ที่ดินขนาด 28 ไร่ บริเวณตรงข้ามถนนเจริญกรุง ปัจจุบันเป็นที่จอดรถ วางแผนว่าในอนาคตจะเป็นศูนย์รวมเวลเนส และอีกแปลงหนึ่งคือแปลงฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ บนถนนเจริญนคร พื้นที่ 29 ไร่ ที่ยังรอการออกแบบพัฒนา

    ]]>
    1419413
    ‘ดิสนีย์’ ประกาศปรับโครงสร้างเตรียมปลดพนักงาน 7,000 คน หวังลดต้นทุน-เพิ่มโอกาสทำกำไรให้สตรีมมิ่ง https://positioningmag.com/1418519 Thu, 09 Feb 2023 04:03:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418519 หลังจากที่ ‘บ็อบ ไอเกอร์’ (Bob Iger) อดีตซีอีโอของดิสนีย์ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา และได้มีการระบุว่า เขามีแผนจะปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ ล่าสุด ดิสนีย์ ก็เตรียมลดคนประมาณ 3% และจัดระเบียบใหม่เป็น 3 หน่วยงาน พร้อมตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ย้อนไปช่วงปลายปี 2022 ที่ บ็อบ ไอเกอร์ ได้กลับมารับตำแหน่ง ซีอีโอของดิสนีย์ อีกครั้ง สิ่งแรกที่บ็อบปรับเปลี่ยนในวันแรกก็คือ ไล่หัวหน้าฝ่ายสื่อและความบันเทิงของบริษัท ซึ่งถือเป็น มือขวา ของอดีตซีอีโอ บ็อบ ชาเพ็ก (Bob Chapek) ออก พร้อมระบุว่า ดิสนีย์เตรียมปรับโครงสร้างใหม่ โดยล่าสุด ดิสนีย์ก็ได้ประกาศแผนที่จะจัดระเบียบใหม่เป็น 3 ส่วนแผนก ได้แก่

    • Disney Entertainment : โดยจะเป็นการรวมหน่วยงานด้านสื่อรวมถึงแพลตฟอร์มสตรีม
    • แผนก ESPN : หน่วยงานดูแลเครือข่ายทีวีและบริการสตรีมมิ่ง ESPN+ ที่เป็นสตรีมมิ่งเกี่ยวกับกีฬา
    • สวนสนุก ประสบการณ์ และผลิตภัณฑ์

    การปรับโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ดิสนีย์ประกาศว่าจะ เลิกจ้างงานพนักงาน 7,000 ตำแหน่ง หรือราว 3% ของพนักงานทั้งหมด 220,000 คน โดยแบ่งเป็นในสหรัฐฯ 166,000 คน และประมาณ 54,000 คนในต่างประเทศ โดยการปรับโครงสร้างใหม่นี้ ถือเป็นหนึ่งในแผนในการลดต้นทุนบริษัทให้ได้ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้ ธุรกิจสตรีมมิ่งมีกำไร จากที่ก่อนหน้านี้ดิสนีย์เคยโดนนักลงทุนบ่นว่า ใช้เงินลงทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งมากเกินไป

    โดยในช่วง Q4/2022 ที่ผ่านมา สมาชิกของ Disney+ ลดลง 2.4 ล้านราย และนับเป็นการสูญเสียสมาชิกครั้งแรกของแพลตฟอร์ม นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2019 ซึ่งการลดลงดังกล่าวนี้ ดิสนีย์คาดว่าบริษัทสูญเสียรายได้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    สำหรับการลดต้นทุนมูลค่า 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะแบ่งเป็นการลดต้นทุนจากการผลิตคอนเทนต์ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมาจากการลดต้นทุนในส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตคอนเทนต์ โดยผู้บริหารของดิสนีย์ระบุว่า บริษัทได้ดำเนินการลดต้นทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเป้าหมายดังกล่าวตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่แล้ว

    ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งนับวันยิ่งดุเดือด โดยผู้เล่นแต่ละรายลงเงินไปกับการผลิตคอนเทนต์จำนวนมาก ทำให้ต้องมีการลดพนักงานและตัดส่วนงานที่ไม่จำเป็นเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ แพลตฟอร์มดัง ๆ อย่าง Netflix และ Disney+ ต่างก็มีแผนที่จะออกแพ็กเกจโฆษณาราคาถูกเพื่อสร้างรายได้

    Source

    ]]>
    1418519
    ‘Disney’ เตรียม ‘ปลดพนักงาน’ เพื่อลดต้นทุน พร้อมตั้งเป้าทำ ‘กำไร’ ในปี 2024 https://positioningmag.com/1408084 Sun, 13 Nov 2022 06:28:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408084 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรือว่าการบริหารงานภายในองค์กรของเหล่าบริษัทระดับโลกกันแน่ ทำให้ในช่วงเดือนนี้จะมีแต่ข่าวการลดพนักงานกันเต็มไปหมด ล่าสุด ดิสนีย์ (Disney) สื่อบันเทิงระดับโลกก็มีข่าวว่าจะลดจำนวนพนักงานลงและจะชะลอการจ้างงานในอนาคตอีกด้วย

    Bob Chapek ซีอีโอของดิสนีย์ ได้ส่งจดหมายภายในถึงทีมผู้บริหารในแผนกต่าง ๆ ว่าบริษัทมีแผนจะ ลดพนักงานบางส่วน และ ระงับการจ้างพนักงานใหม่ นอกจากนี้ ยังพยายาม ลดการเดินทางในการประชุมทางธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่าย หลังจากที่บริษัทได้ทบทวนการใช้จ่าย รวมถึงผลประกอบการของบริษัทที่ไม่ค่อยดีนักในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนคนงานที่อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากดิสนีย์กำลังการจัดตั้ง คณะทำงานด้านโครงสร้างต้นทุน เพื่อดำเนินการด้านการเงิน หลังจากที่ผ่านมา ดิสนีย์ใช้เงินหลายล้านเพื่อสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มสมาชิกใน Disney+ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง แม้จำนวนเพิ่มสมาชิกหลายล้านรายในไตรมาสที่แล้ว แต่บริษัทก็ยังขาดทุน เพราะด้วยต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ที่สูง ทำให้บริษัทต้องขึ้นราคา ขณะที่ปีหน้า บริษัทตั้งเป้าว่าจะต้องเริ่ม ทำกำไร ให้ได้ภายในปี 2024

    ไม่ใช่แค่ดิสนีย์ แต่ถ้าจำกันได้ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ก็เลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคนในปีนี้ หลังจากที่การเติบโตของสมาชิกลดลง แม้ว่าธุรกิจจะยังทำกำไรได้ก็ตาม นอกจากนี้ เอชบีโอ แม็กซ์ (HBO Max) และ วอร์เนอร์บราเธอส์ เทเลวิชั่นส์ (Warner Bros. Television) ก็ได้เลิกจ้างพนักงานหลายสิบคนในปีนี้เช่นกัน

    นอกเหนือจากอุตสาหกรรมความบันเทิงแล้ว บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกก็มีการลดจำนวนพนักงานอย่างมาก โดยเฉพาะ Meta และ Twitter ที่ได้เลิกจ้างพนักงานหลายพันคนในสัปดาห์ที่ผ่านมา

    Source

    ]]>
    1408084