E-Commerce – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 13 Nov 2025 10:49:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Shopee ไม่เพียงส่งด่วน ‘ภายใน 1 ชม.’ แต่จะพาแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก รับมือยุค E-Commerce แข่งเดือด https://positioningmag.com/1546815 Thu, 13 Nov 2025 06:31:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546815 ไม่เพียงสร้างเสียงฮือฮากับการเปิดบริการส่งด่วน ‘ภายใน 1 ชม.’ แต่ในงาน  Shopee Summit Together We Grow เรายังได้เห็นทิศทางต่อไปของ Shopee ในยุคที่ E-Commerce แข่งขันกันอย่างดุเดือด ภายใต้เป้าหมายต้องการเป็น ‘สะพานดิจิทัล’ (Digital bridge) พาแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก

 

เป้าหมายดังกล่าว ก็เนื่องมาจาก Shopee มีแพลตฟอร์มอยู่ในหลายประเทศ และเห็นการเติบโตของแบรนด์ในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงเปิดตัวโครงการ Shopee Global Sales ซึ่งยกระดับมาจากโครงการ Shopee International Platform (SIP) สนับสนุนการขยายธุรกิจของผู้ขายไทยสู่ตลาดโลก ไม่เฉพาะตลาดในอาเซียนเท่านั้น

 

โดยการพาแบรน์สู่ตลาดโลก ผ่านโครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการแล้วในฟิลิปปินส์ ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ก่อนจะขยายสู่สิงคโปร์ และมาเลเซีย ช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 รวมถึงมีแผนขยายไปยังอีกหลายประเทศในปี 2569

 

‘ฮันดิกา จาห์จา’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า กว่าสิบปีที่ผ่านมา Shopee ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การช้อปปิ้งออนไลน์ของไทย และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยหลายล้านคน โดยในส่วนของผู้ขาย Shopee เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดสามารถแสดงศักยภาพและขยายธุรกิจได้กว้างขึ้น

 

อีกทั้งมีบทบาทในการขับเคลื่อนและยกระดับธุรกิจของผู้ขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถเข้าถึงลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งการก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย Shopee ประกาศเดินหน้าภายใต้วิสัยทัศน์การเป็น ‘ประตูสู่เศรษฐกิจดิจิทัล’ (Gateway to the Digital Economy) สนับสนุน      ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเท่าเทียม ตั้งแต่ร้านค้าครอบครัว ผู้ผลิตชุมชน ไปจนถึงองค์กรและแบรนด์ระดับประเทศ โดยใช้พลังของเทคโนโลยีและเครือข่ายของช้อปปี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงสินค้าไทยสู่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ

 

“เรามุ่งเป็นสะพานดิจิทัล (Digital Bridge) ที่เชื่อมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดระดับภูมิภาค เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับบนแผนที่เศรษฐกิจดิจิทัลของโลก”

 

E-Commerce ในไทยโตน่าสนใจ

 

สำหรับตลาด E-Commerce ในไทยถือว่า มีการเติบโตน่าสนใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงในปี 2569 ซึ่งคาดการณ์ว่า

 

E-Commerce จะคิดเป็น 53% ของเศรษฐกิจดิจิทัล

มีมูลค่า 34 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.1 ล้านล้านบาทไทย

เติบโต 15-20% ใน 4-5 ปีข้างหน้า

E-Commerce จะคิดเป็น 21.5 % ของธุรกิจรีเทลทั้งหมดในไทย

สรุปทิศทาง Shopee ในไทย

 

กลยุทธ์ของ Shopee ในไทยจะไม่ใช่แค่ ‘ขายของ’ แต่เน้นสร้าง ‘ประสบการณ’ โดยได้เปิด 4 ฟีเจอร์ใหม่ ประกอบด้วย

 

Prime Seller : เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ร้านค้า เป็นการอัปเกรดโปรแกรมส่งฟรีร้านโค้ดคุ้มและส่วนลดร้านโค้ดคุ้มให้ดียิ่งขึ้น อาทิ Affiliate for Seller คืนค่าคอมมิชชั่นสูงสุด 8% ต่อออเดอร์ ฯลฯ โดยจะมีสิทธิประโยชน์แบบสแตนดาร์ดและให้ตามช่วงฤดูกาล

 

Shopee Global Sales : 2026 พาไทย SME และแบรนด์ไทย บุกอาเซียนและตลาดโลก ลดความซับซ้อนของการส่งออกเพียงแค่ลงทะเบียนคลิกเดียว และ AI Translation ช่วยแปลภาษา

 

Speed Strategy : หลังจากเปิดตัวส่งภายใน 4 ชั่วโมง ตอนนี้มีบริการใหม่ ส่งทันทีภายใน 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายให้กับร้านค้า

 

Golden Tick Creator: รวมครีเอเตอร์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ เพื่อเลือกใช้ในการทำ Content commerce

ขณะที่การตลาด จะยกระดับการช้อปปิ้งด้วยแผน Marketing 360 ได้แก่

 

Reinvented In-App Experience : ดึง AI มาช่วยจัดการหน้าชอปสินค้าในรูปแบบ personalized ดีไซน์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น

 

Dynamic Content Ecosystem : ยกระดับและผสมผสานคอนเทนต์ทั้งคลิปวิดีโอ ไลฟ์ ฯลฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการซื้อขาย

 

Seamless Social Integration : การเชื่อมต่อกับโซเชียลแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Meta และ YouTube เพิ่มช่องทางมองเห็นสินค้าและเชื่อมต่อให้เกิดการซื้อขาย

 

Holistic Brand Building : สร้าง Brand Awareness ผ่านกิจกรรมทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

 

Borderless Assortment & Product Launch : ดันสินค้าใหม่ให้ติดเทรนด์ และเพิ่มความหลากหลายของสินค้า

 

Unbearable Value for Users: การใช้ Voucher หลายต่อ, Shopee VIP พร้อมการรันตีราคาถูกสุด

 

 

สำหรับสินค้าที่ Shopee ให้ความสำคัญจะมี 4 หมวดหมู่หลัก

 

1.หมวดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า

2.หมวดสินค้าแฟชั่น

3.หมวดสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ FMCG

4.หมวดสินค้าไลฟ์สไตล์

]]>
1546815
ใครได้ ใครเสีย เมื่อยักษ์ ‘อีคอมเมิร์ซ’ เปิดศึก ‘ส่งด่วน-สั่งวันนี้ ส่งวันนี้’ https://positioningmag.com/1537121 Mon, 08 Sep 2025 05:00:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537121 ตอนนี้บรรดายักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซทั้ง Lazada, Shopee และ TikTok Shop ต่างเปิดศึก ‘ส่งด่วน’ กำหนดกรอบเวลาการจัดส่งใหม่ ‘สั่งวันนี้ ส่งวันนี้’ โดยให้เหตุผล ‘ทำเพื่อผู้บริโภค’ อย่างไรก็ตามได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎใหม่นี้เป็นการเพิ่มภาระและส่งกระทบต่อ ‘ร้านค้า’ ซึ่งเป็นผู้ขายหรือไม่

 

Shopee

 

• Shopee ได้ขยับกรอบการจัดส่งสินค้าใหม่กำหนดเวลาการตัดรอบ 12.00 น. มีไปเมื่อ 1 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา

 

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อนเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลังเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

• หากเกินกรอบเวลาที่กำหนด จะถูกนับเป็น ‘ออเดอร์ล่าช้า’ และร้านค้าจะต้องมีเรทอัตราการจัดส่งที่ล่าช้า LSR (Late Shipment Rate) ไม่เกิน 15% ในระยะเวลา 7 วันย้อนหลัง ถ้าร้านค้ามีออเดอร์จัดส่งล่าช้าเกินกว่ากำหนดจะถูกตัดคะแนน และอาจจะถูกตัดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

 

TikTok Shop

 

TikTok Shop ได้ปรับกรอบเวลาการจัดส่งสินค้าเช่นกัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป   

 

• ในวันทำการ

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อนเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลังเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

• ในวันหยุดทำการ หากลูกค้าสั่งซื้อสินค้า ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันทำการถัดไป

 

หากร้านค้าไม่สามารถจัดส่งได้ทันกรอบเวลาที่กำหนด จะถูกคิดเป็นอัตราการจัดส่งล่าช้า หรือ LDR (Late Dispatch Rate) ซึ่งส่งผลเสียต่อคะแนนของร้านค้า

 

อย่างไรก็ตาม ทาง TikTok Shop ได้กำหนด ‘ช่วงปรับตัว’ สำหรับร้านค้าไปจนถึงวันที่ 1 พ.ย.2568 เพื่อให้ร้านค้ามีระยะเวลาในการปรับตัวเข้ากับกรอบเวลาใหม่ ด้วยการผ่อนปรนมาตรการในการคำนวณ LDR และอัตราการยกเลิกจากข้อผิดพลาดของผู้ขาย  

 

Lazada

 

สำหรับ Lazada ได้เริ่มนโยบายส่งด่วนไป ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 โดยกำหนดเวลาตัดรอบออเดอร์ไว้ที่ 11.00 น.

 

• ในวันทำการ

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อน 11 .00 น.’ ร้านค้าต้องส่งวันเดียวกัน

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลัง 11.00 น.’ ร้านค้าต้องจัดส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

•ในวันหยุดทำการ

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อน 11.00 น.’ ร้านค้าต้องส่งมอบให้กับขนส่งในวันทำการถัดไปภายในเวลา 23.59 น.

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลัง 11.00 น.’ ร้านค้าจะส่งมอบสินค้าให้ขนส่งใน 2 วันทำการถัดไปภายในเวลา 23.59 น.

 

• สำหรับ Lazada การกำหนดระยะเวลาเตรียมจัดส่งสินค้าจะถูกวัดจาก ‘อัตราการจัดส่งเร็ว’ หรือ FFR (Fast Fulfillment Rate) ซึ่งหากส่งสินค้าล่าช้า คะแนน FFR จะลดลง มีผลให้ร้านค้าอาจไม่ได้รับสิทธิพิเศษเข้าร่วมแคมเปญ หรือถูกลดอันดับการมองเห็น

 

กฎใหม่ที่ออกมาผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีเคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า เป็นการยกระดับประสบการณ์การให้บริการเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค เพราะ ‘ความเร็ว’ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

 

อย่างไรก็ตาม ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎใหม่นี้กำลังสร้างแรงกดดันและเพิ่มภาระให้กับ ‘ร้านค้า’ หรือไม่      โดยเฉพาะ ‘รายเล็ก’ ที่มีทีมงานน้อย และไม่มีคลังสินค้าที่จะสต็อกสินค้าให้พร้อมส่งทันทีได้

 

นอกจากนี้ ร้านค้าหลายรายยังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าสินค้า ค่าจ้างพนักงาน ค่าขนส่ง รวมไปถึงการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบนแพลตฟอร์มที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้น 15-30% ประกอบกับปัจจุบันร้านค้าหลายแห่งต้องเผชิญปัญหายอดขายตก จากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคตกต่ำ

]]>
1537121
สรุปอินไซต์น่าสนใจตลาด ‘อีคอมเมิร์ซไทย’ และเทรนด์ใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป https://positioningmag.com/1536481 Wed, 03 Sep 2025 07:31:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1536481 สรุปอินไซต์ ‘ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย’ ที่แม้ GDP บ้านเราจะเติบโตน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และเศรษฐกิจอยู่ช่วงขาลง แต่ ‘คนไทย’ ยังครองแชมป์ ‘ขาช้อป’ ที่จับจ่ายออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก รวมถึงมีเทรนด์การใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นความคุ้มค่า ซึ่งไม่ได้มองแค่ ‘ราคาถูก’ ยังมองคุณภาพ การใช้งานในระยะยาว บริการ และความน่าเชื่อถือ

 

อี-คอมเมิร์ซไทยโตสวน GDP

 

‘วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ตอนนี้แม้เศรษฐกิจภาพรวม ดูจะชะลอตัวลง และ GDP ประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนแล้วจะมีการเติบโตน้อยกว่า แต่มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยกลับมีการเติบโตสวนกระแส และคนไทยไม่ได้ช้อปออนไลน์น้อยลงเลย

 

ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเป็นอย่างไร

 

-ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทย ปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เติบโต 21.7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่เติบโต 12%

-67% ของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยขับเคลื่อนโดย E-Marketplace

-การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปี 2568 ยอดขายสินค้าบนอีคอมเมิร์ซคิดเป็น 1 ใน 4 ของตลาดค้าปลีกไทยแล้ว

-คาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย จะมีมูลค่าเติบโตรวม 2 ล้านล้านบาท ในอีก 5 ปี หรือภายในปี 2573

 

สำหรับปัจจัยการเติบโตที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่ทำให้นักช้อปไทยเปิดใจและหันมาใช้บริการซื้อของออนไลน์มากขึ้น โดยนักช้อปไทยมีการซื้อของออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็น ‘อันดับ 1 ของโลก’ คิดเป็น 68.2% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 56.1%

คนไม่ได้ดูแค่ของถูกแต่หาความคุ้มค่า

 

นอกจากเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ‘พฤติกรรม’ ขาช้อปออนไลน์ไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน

 

วาริสฐาบอกว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยมีผู้บริโภคประมาณ 43.5 ล้านคน ที่น่าสนใจ คือ คนช้อปออนไลน์มีทุกเจนเนเรชั่น แบ่งเป็น

-กลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีสัดส่วน 62% ของตลาด

-Gen X มีสัดส่วน 33% ของตลาด

นอกจากนี้ คนไทยมองหา ‘ความคุ้มค่า’ ในทุกการช้อป ซึ่งความคุ้มค่าไม่ใช่ ‘ราคาถูก’ แต่ให้ความสำคัญกับ คุณภาพ, การใช้งานในระยะยาว, การบริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ สะท้อนจาก

 

-ช่วงแคมเปญมียอดสั่งซื้อเพิ่มกว่า 15%

-50% ของคำสั่งซื้อช่วงแคมเปญมีการใช้คูปองหลายต่อ ทั้งส่งฟรีและส่วนลด

-ยอดขายช่วงเมกะแคมเปญ และ Double Digits เพิ่มขึ้น 300% เมื่อเทียบกับเวลาปกติ

 

“ในอดีตพฤติกรรมนักช้อปไทยจะมองความคุ้มค่าในเรื่องราคา แต่ในปีนี้ลูกค้ามองคำว่าคุ้มค่าแบบองค์รวม ดูตั้งแต่คุณภาพ การใช้งานในระยะยาว บริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากกว่าราคาถูก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เปลี่ยนไปมาก”

 

อีกความน่าสนใจ คือ นักช้อปคนไทยหันมาซื้อแบรนด์แท้มากขึ้น เห็นชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่แม้สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ยอดขายจาก LazMall ซึ่งการันตีขายของแท้มีการเติบโตขึ้น 22% และมีการใช้จ่ายต่อบิลต่อครั้งเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,000 บาท

จากการเติบโตที่เกิดขึ้น ทางลาซาด้า ประกาศวิสัยทัศน์ Next-Level eCommerce ในการเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ ประกอบด้วย

  1. บุกเบิกและยกระดับมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง
  2. มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มพรีเมียมและศูนย์รวมแบรนด์ชั้นนำ
  3. สร้างการเติบโตในระยะยาวด้วยคุณภาพอย่างแท้จริง

4.เดินหน้าสร้างคุณค่าและผลกระทบเชิงบวกให้กับผู้ซื้อ, แบรนด์, ผู้ขาย และพันธมิตรอย่างยั่งยืน

 

โดยวิสัยทัศน์ดังกล่าว จะเดินหน้าผ่าน 3 แกนหลัก

1.คัดสรรสินค้าคุณภาพครบทุกหมวดหมู่ (High-Quality Assortment) : นำเสนอสินค้าแบรนด์แท้ 100% ตลอดจนสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ลาซาด้า ผ่าน LazMall และ LazMall Luxury ที่มีมากกว่า 32,000 แบรนด์ทั่วทั้งภูมิภาค ควบคู่กับเพิ่มความหลากหลายด้วยหมวดหมู่ขายดีอย่าง LazBEAUTY, LazLOOK และ Lazada Electronics

รวมถึงนำร่องโมเดลค้าส่งสำหรับลูกค้าธุรกิจ (B2B) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ประกอบการ ด้วยสินค้ากว่า 15,000 รายการ ครอบคลุมหมวดเกษตรกรรม อุปกรณ์ประปา และอุปกรณ์ไฟฟ้า

2.มอบประสบการณ์การช้อปที่เหนือกว่า (High-Quality Experience) ด้วย 4 การันตีจาก LazMall (การันตีสินค้าแบรนด์แท้ 100%-จัดส่งตรงเวลา-คืนสินค้าพร้อมเงินคืนไว-การันตีสต๊อกพร้อม), โปรแกรมส่งเร็วพิเศษ Priority Delivery 24 Hours สั่งซื้อสินค้าภายในเที่ยง ได้รับสินค้าในวันถัดไป ฯลฯ

3.ดึงอินไซต์สร้างอิมแพคผ่านแคมเปญคุณภาพ (High-Quality Campaign)

]]>
1536481
‘โลตัส’ ชูจุดแข็งช่องทางออนไลน์ ส่งฟรี ส่งของสดภายใน 1-3 ชั่วโมง จูงใจลูกค้า ตั้งเป้าปีนี้โต 30% https://positioningmag.com/1466486 Fri, 15 Mar 2024 10:26:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466486 โลตัส (Lotus’s) ชูจุดแข็งช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งสินค้าฟรีไม่มีขั้นต่ำ ส่งของสดภายใน 1-3 ชั่วโมง เพื่อที่จะจูงใจลูกค้า โดยตั้งเป้าปีนี้โต 30% ขณะเดียวกันก็ยังมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรม My Lotus’s ให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data

ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส ได้กล่าวถึงแอปพลิเคชัน Lotus’s ในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นมียอดดาวน์โหลดแอปฯ รวมมากถึง 10 ล้านดาวน์โหลดแล้ว ซึ่งเขาชี้ว่าตัวเลขจำนวนการสั่งซื้อรวมแตะระดับ 1 ล้านครั้ง และเป็นครั้งแรกนั้นยากเสมอ บริษัทต้องใช้เวลาถึง 7 เดือนหลังจากบริษัทได้เปิดตัวแอปฯ ในปี 2022

ขณะที่จำนวนการสั่งซื้อรวมแตะระดับ 1.5 ล้านครั้งภายในเดือนมกราคมปี 2024 ที่ผ่านมา และในปี 2023 มียอดสั่งซื้อรวมกันมากถึง 1 หมื่นล้านบาทแล้ว

กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของโลตัส ยังกล่าวว่า บริษัทเป็นค้าปลีกรายแรกของไทยที่พร้อมจัดส่งสินค้าภายใน 1 ชั่วโมงหากเป็นการจัดส่งจากสาขาของโลตัสโกเฟรช และภายใน 3 ชั่วโมงหากเป็นการจัดส่งจากสาขาใหญ่ ส่วนถ้าเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ จะจัดส่งภายในวันถัดไป หรือแม้แต่การรับสินค้าที่สาขา นอกจากนี้ยังมีค่าส่งที่ฟรีไม่มีจำกัดการสั่งซื้อขั้นต่ำ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้เป็นตัวเร่งให้ลูกค้าใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

เขายังชี้ว่าจุดแข็งที่โลตัสสามารถพร้อมส่งสินค้าได้ เนื่องจากบริษัทมีสาขาเล็กและสาขาใหญ่รวมกันกว่า 2,100 สาขาทั่วประเทศ และยังมีสินค้าถึง 30,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอาหารสด สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเสริมความงาม และสินค้าสำหรับแม่และเด็ก เป็นต้น

ธรินทร์ ธนียวัน – กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส / ภาพจากบริษัท

ออกแคมเปญใหม่

ขณะเดียวกันภายในเดือนมีนาคมนี้ Lotus’s ได้ออกแคมเปญมีโปรโมชั่น ให้ทุกคนที่เข้ามาสั่งสินค้านั้นมีความสุข ผ่านดีลพิเศษทุกวัน เช่น วันจันทร์ถ้าหากสั่งน้ำดื่ม มีแคมเปญซื้อน้ำแพ็คทุกวันอาทิตย์หรือทุกวันจันทร์  วันอังคารมีโปรโมชั่นอาหารสดถ้าหากสั่งถึงจำนวนหนึ่ง หรือถ้าสั่งเกินจะมีคูปองออนท็อปด้วย เป็นต้น

ผู้บริหารของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส ได้กล่าวว่า การที่บริษัทสามารถทำแคมเปญต่างๆ ได้ทุกวันเนื่องจากบริษัทได้เห็นข้อมูลการสั่งสินค้าของลูกค้า เช่น ปริมาณการสั่งน้ำดื่มในวันจันทร์ถือว่าเยอะเป็นพิเศษ ทำให้โลตัสได้ออกแคมเปญดังกล่าวออกมา

มองว่าเทรนด์ของผู้บริโภคจะมาช่องทางออนไลน์แน่นอน

ธรินทร์ ยังชี้ว่าปัจจุบันยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ตั้งแต่เปิดตัวแอปฯ ในปี 2022 มีสัดส่วน 1% แต่ปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวกำลังจะแตะเลข 2 หลักในเร็วๆ นี้แล้ว และเขามองว่าเทรนด์การซื้อสินค้าของคนไทยจะคล้ายกับประเทศจีนที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น และการไปซื้อสินค้าแบบปกตินั้นเหมือนมาซื้อสินค้าให้สนุก

นอกจากนี้ ธรินทร์ ได้ชี้ถึงว่า ในการสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์นั้นมีดีลส่วนลดพิเศษให้กับลูกค้า ซึ่งแตกต่างกับการไปซื้อที่สาขาที่จะไม่มีส่วนลด และโลตัสเตรียมนำสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ให้    ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อภายในแอปฯ ได้ด้วย โดยถ้าเป็นสินค้าใหญ่ๆ จะใช้เวลาจัดส่งไม่เกิน 7 วัน

วรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ – ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส / ภาพจากบริษัท

ปรับสิทธิประโยชน์ Lotus’s Reward Program ใหม่

วรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส กล่าวว่า นอกเหนือจากความสะดวกสบายที่เพิ่มมากขึ้นในการจับจ่ายผ่านช่องทางออนไลน์แล้ว โลตัสยังมอบสิทธิประโยชน์ที่ดียิ่งกว่า ด้วยรีวอร์ดโปรแกรมมายโลตัส (My Lotus’s) ที่เปลี่ยนจากการเป็นเพียงบัตรสะสมคะแนน สู่ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มแบบปัจเจกบุคคล

เธอชี้ว่าโปรแกรม My Lotus’s พัฒนามาจาก Club Card สมัยที่ยังเป็น Tesco Lotus ซึ่งมีการสะสมแต้ม แต่ต้องรอคูปองนานถึง 3 เดือน ซึ่งโปรแกรมใหม่นั้นสามารถที่จะสะสมแต้มได้สะดวกมากกว่าเดิม

ตัวเลขในปี 2023 ที่ผ่านมาโปรแกรม My Lotus’s มีลูกค้ามากถึง 17 ล้านคน มีการแจก Coin ไปแล้วมากกว่า 1,600 ล้าน Coin นอกจากนี้ วรวรรณ ยังได้กล่าวเสริมว่าลูกค้าโปรแกรมดังกล่าวนั้นมีการใช้จ่าย 3 เท่าเยอะกว่าคนไม่ได้เป็นสมาชิกโปรแกรมดังกล่าวอีกด้วย

โปรแกรม My Lotus’s เองยังมีการทำโปรโมชั่นส่วนบุคคล ผ่านเทคโนโลยี AI และ Big Data และมีการทำโปรโมชั่นไปแล้วกว่า 150 ล้านโปรโมชั่น เช่น ในวันเกิดของสมาชิก ฯลฯ และการสั่งสินค้าผ่านแอปฯ Lotus’s ยังมีสิทธิพิเศษคือได้ Coin เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปแลกในภายหลังได้

โดย Lotus’s ตั้งเป้าที่จะมีการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ในปีนี้

]]>
1466486
Lazada ปลดพนักงานในสิงคโปร์ มาเลเซีย ให้เหตุผลปรับโครงสร้างในบริษัทเพื่อรองรับอนาคต https://positioningmag.com/1457663 Thu, 04 Jan 2024 07:53:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457663 ลาซาด้า (Lazada) ยักษ์ใหญ่ E-commerce ในอาเซียน ได้ประกาศปลดพนักงานในสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยให้เหตุผลเรื่องการปรับโครงสร้างของบริษัทเพื่อรองรับอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทกำลังเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งทั้ง Temu และ Shein รวมถึง TikTok Shop ที่กำลังรุกคืบเข้ามา

The Edge และ The Strait Times ของสิงคโปร์ ได้รายงานข่าวว่า Lazada ผู้ให้บริการ E-commerce รายใหญ่ในอาเซียน ได้ประกาศปลดพนักงานในสิงคโปร์ออก โดยตัวแทนบริษัทได้ให้เหตุผลการปรับโครงสร้างในบริษัท เพื่อรองรับธุรกิจในอนาคต

สื่ออย่าง The Edge รายงานว่าพนักงานที่ถูกปลดได้รับการนัดให้พูดคุยกับฝ่ายบุคคลในวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา พนักงานรายหนึ่งที่ถูกปลดและขอให้ไม่ระบุตัวตน ได้กล่าวกับ The Edge ว่า ห้องประชุมในสำนักงานของ บริษัทนั้นฝ่ายบุคคลของบริษัทได้จองไว้ทั้งสัปดาห์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าการปลดพนักงานนั้นอาจยังไม่สิ้นสุด

นอกจากนี้สื่อรายดังกล่าวยังรายงานว่าแผนกที่เกี่ยวข้องกับการตลาดที่สำนักงานสิงคโปร์ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ทางด้าน Strait Times ได้ถามความเห็นไปยังตัวแทนของบริษัท โดยตัวแทน Lazada ได้กล่าวว่า การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้ทำไปเพื่อสร้างความมั่นใจว่าบริษัทอยู่ตำแหน่งที่ดีกว่า

ขณะที่ Tech in Asia รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Lazada อาจปลดพนักงานมากถึง 30% ขององค์กร โดยหลังจากการปลดพนักงานในสิงคโปร์แล้ว ประเทศต่อไปที่จะมีการปลดพนักงานคือประเทศมาเลเซีย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการปลดพนักงานของบริษัทเนื่องจากการแข่งขันระหว่างธุรกิจ E-commerce ในอาเซียนดุเดือดมากขึ้น Lazada เองถือว่าเป็นผู้เล่นรายใหญ่อันดับ 2 เมื่อเทียบในแง่ของยอดขายรวม อย่างไรก็ดีคู้แข่งรายสำคัญอย่าง Temu ของ Pinduoduo และ Shein เองได้รุกตลาดอาเซียนมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งรายใหญ่อย่าง TikTok Shop เองก็รุกตลาดอาเซียนเช่นกัน และยังรวมถึงคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Shopee ที่ในอดีตทั้ง 2 ฝ่ายเคยแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงลูกค้ามาแล้ว

เมื่อกลางเดือนธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมา ได้มีรายงานข่าวว่า Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้ตัดสินใจอัดฉีดเม็ดเงินมากถึง 634 ล้านเหรียญสหรัฐมาแล้ว 

Lazada เองมีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง และ The Strait Times รายงานว่าบริษัทมีการปลดพนักงานรอบล่าสุดคือเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาในสิงคโปร์ ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันจากคู่แข่งที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่

]]>
1457663
Coupang ซื้อกิจการ Farfetch ธุรกิจขายสินค้าหรูผ่านช่องทางออนไลน์ มูลค่าเกือบ 17,500 ล้านบาท https://positioningmag.com/1456179 Tue, 19 Dec 2023 02:15:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456179 E-commerce รายใหญ่ในเกาหลีใต้ ประกาศซื้อกิจการ Farfetch ธุรกิจขายสินค้าหรูผ่านช่องทางออนไลน์ มูลค่าเกือบ 17,500 ล้านบาท หลังจากที่ Farfetch ได้หาผู้ซื้อกิจการต่อ เนื่องจากบริษัทขาดทุนอย่างหนัก และมีโอกาสล้มละลายได้ในช่วงสิ้นปี 2023 นี้

Coupang ซึ่งเป็นธุรกิจ E-commerce รายใหญ่ในเกาหลีใต้ ได้แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์และนักลงทุน ถึงการเข้าซื้อกิจการของ Farfetch ซึ่งเป็นธุรกิจขายสินค้าหรูผ่านช่องทางออนไลน์ จากสหราชอาณาจักร มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 17,500 ล้านบาท

สำหรับ Farfetch เป็นธุรกิจขายสินค้าหรูผ่านช่องทางออนไลน์ จากสหราชอาณาจักร ก่อตั้งในปี 2007 โดย Jose Neves และธุรกิจขายสินค้าหรูผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัทนั้นให้บริการมากถึง 190 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

แบรนด์สินค้าที่วางขายใน Farfetch มีทั้ง Gucci และ Dolce & Gabbana หรือ Alexander McQueen ฯลฯ ขณะที่ประเภทของสินค้านั้นมีตั้งแต่กระเป๋า รองเท้า หรือแม้แต่เครื่องประดับราคาแพง

ขณะที่ Coupang นั้นเป็น E-commerce รายใหญ่จากเกาหลีใต้ และมีผู้ลงทุนรายใหญ่คือ SoftBank

Bom Kim ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Coupang ได้กล่าวว่า การซื้อกิจการของ Farfetch ทำให้เข้าถึงธุรกิจขายสินค้าหรูที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และในแพลตฟอร์มของ Farfetch นั้นทางฝั่งของ Coupang มองว่าเป็นส่วนหนึ่งในอนาคตของช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าหรูด้วย

นอกจากนี้เกาหลีใต้ยังเป็นประเทศหนึ่งที่มีอัตรการซื้อสินค้าหรูนั้นสูงแห่งหนึ่งในโลกเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้ธุรกิจ E-commerce รายใหญ่ในเกาหลีใต้มองเห็นโอกาสในการซื้อกิจการของ Farfetch

ในปี 2018 นั้น Farfetch ได้เข้า IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยมีมูลค่ากิจการมากถึง 6,000 ล้านเหรียญในช่วงเวลาดังกล่าว และมีมูลค่าบริษัทสูงสุดถึง 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 จากช่วงการแพร่ระบาดของโควิดทำให้มียอดการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ดี มูลค่ากิจการ Farfetch ในช่วงที่ผ่านมากลับลดลงอย่างหนัก เหลือมูลค่ากิจการไม่ถึง 230 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น จากปัญหาการขาดทุนของธุรกิจติดต่อกันหลายปี จนทำให้ผู้ก่อตั้งของ Farfetch มีแผนที่จะซื้อบริษัทออกจากตลาดหุ้น หรือแม้แต่ขายกิจการต่อให้กับผู้สนใจ

โดยเม็ดเงินดังกล่าวของ Coupang จะทำให้กิจการของ Farfetch นั้นอยู่รอดต่อไปได้ หลังจากที่บริษัทนั้นมีสิทธิ์ที่จะล้มละลายและต้องเข้าฟื้นฟูกิจการ ถ้าหากไม่ได้ผู้ที่มาซื้อกิจการก่อนในช่วงวันที่ 25 ธันวาคมนี้

ที่มา – Reuters, Axios

]]>
1456179
ศึกไลฟ์ขายของในจีนยังดุเดือด Meituan แพลตฟอร์มส่งอาหารยังต้องเพิ่มฟังก์ชันดังกล่าวเพื่อเพิ่มยอดขาย https://positioningmag.com/1454650 Thu, 07 Dec 2023 07:46:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454650 Meituan แพลตฟอร์มส่งอาหารรายใหญ่ของประเทศจีน ล่าสุดถือเป็นผู้เล่นอีกรายที่ได้เพิ่มฟังก์ชันการไลฟ์ขายสินค้าเข้ามา ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายผ่านช่องทางดังกล่าวถึง 2,000 ล้านหยวนแล้ว เพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม

36Kr สื่อด้านไอทีของจีน ได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวภายในของ Meituan ว่า ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่บริการส่งอาหารในจีนสามารถมียอดขายสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์รวม (GMV) มากถึง 2,000 ล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ต่ำกว่า 600 ล้านหยวนด้วยซ้ำ

จำนวนผู้ค้าใน Meituan ที่ได้มีการไลฟ์ขายสินค้าในเดือนตุลาคมนั้นมีมากถึง 300,000 ราย บริษัทยังให้เงินอุดหนุนกับร้านค้าเหมือนกับแพลตฟอร์มอื่น รวมถึงไม่เก็บเงินค่าไลฟ์ขายสินค้าด้วย

สื่อไอทีจากประเทศจีนยังชี้ว่าในปี 2023 นี้ Meituan ยังไม่ได้วางเป้าหมายยอด GMV ของฟังก์ชันไลฟ์ขายสินค้าไว้แต่อย่างใด

ในปี 2020 ที่ผ่านมา มีการถกเถียงภายในบริษัทถึงการเปิดตัวฟังก์ชันไลฟ์ขายสินค้าว่าควรอยู่ในแอปฯ Meituan หรือไม่ เนื่องจากคู่แข่งหลายรายเพิ่งเริ่มที่จะมีการนำฟังก์ชันดังกล่าวมาไว้ในแพลตฟอร์มของตน และบริษัทได้ทดสอบฟังก์ชันดังกล่าวตั้งแต่เดือนมีนาคมของปี 2022 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Meituan ต้องงัดกลยุทธ์ดังกล่าวออกมาก็คือ การรุกเข้ามาในธุรกิจ E-commerce ของคู่แข่งรายยักษ์อย่าง ByteDance ที่ได้นำฟังก์ชันไลฟ์ขายสินค้าเข้ามาใน Douyin ทำให้แพลตฟอร์มคู่แข่งต่างก็ต้องปรับตัว นอกจากนี้ Douyin ยังได้รุกเข้ามาในธุรกิจหลักที่ชนกับบริษัทคือการส่งอาหารด้วย

และยังรวมถึงคาดการณ์ว่าตลาดการไลฟ์ขายสินค้าในประเทศจีนยังมีการเติบโต โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัยอย่าง eMarketer คาดการณ์ว่าในปี 2023 นี้จะเติบโตได้มากถึง 30% ทำให้บริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีนได้รุกตลาดดังกล่าวอย่างหนัก

อย่างไรก็ดีการงัดกลยุทธ์ดังกล่าวออกมาใช้นั้นมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทเช่นกัน เนื่องจาก Meituan เองจะต้องใช้เงินมหาศาลในการอุดหนุนร้านค้า หรือแม้แต่กับลูกค้าให้มาใช้ฟังก์ชันการไลฟ์ขายสินค้ามากขึ้น ซึ่งกระทบกับกำไรของบริษัทมาแล้วถึง 2 ไตรมาสติดต่อกัน

]]>
1454650
ยักษ์ใหญ่บริษัทขนส่งในสหรัฐฯ หลังจากนี้ไม่ใช่ UPS หรือ FedEx อีกต่อไป แต่เป็น Amazon ที่แซงหน้า 2 เจ้านี้ไปแล้ว https://positioningmag.com/1454255 Mon, 04 Dec 2023 06:33:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454255 Amazon ยักษ์ใหญ่ E-commerce ในสหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นเป็นผู้เล่นยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งพัสดุ หลังจากตัวเลขปริมาณการส่งพัสดุสินค้าในแดนมะกันแซงหน้าบริษัทขนส่งในสหรัฐฯ รายใหญ่อย่าง UPS หรือ FedEx ไปแล้ว และบริษัทยังเตรียมนำโมเดลดังกล่าวขยายออกนอกประเทศด้วย

ข้อมูลล่าสุดในปี 2022 ที่ผ่านมา Amazon ได้จัดส่งพัสดุไปแล้วในสหรัฐอเมริกามากถึง 5,200 ล้านชิ้น ทำให้ล่าสุดบริษัทมีปริมาณมีปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกาแซงหน้าผู้เล่นรายสำคัญอย่าง FedEx หรือแม้แต่ UPS ไปแล้ว ซึ่ง 2 ผู้เล่นรายดังกล่าวนั้นปริมาณขนส่งพัสดุในแดนมะกันแทบไม่เติบโตด้วยซ้ำ

ปัจจุบัน Amazon มีปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกาแซงหน้า FedEx ยักษ์ใหญ่ขนส่งแดนมะกันไปเมื่อปี 2020 ที่ 3,300 ล้านชิ้น ก่อนที่จะแซงหน้า UPS ยักษ์ใหญ่ขนส่งอีกรายไปในปีนี้ เนื่องจากบริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณขนส่งพัสดุจะไม่เกินสถิติที่บริษัททำได้ที่ 5,300 ล้านชิ้น คาดว่าในปี 2023 นี้ Amazon จะมีปริมาณพัสดุขนส่งผ่านบริษัทมากถึง 5,900 ล้านชิ้น

คำถามคือ ทำไมปริมาณพัสดุของ Amazon นั้นกลับเพิ่มขึ้น คำตอบหนึ่งคือ เครือข่ายขนส่งพัสดุของ Amazon ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นทันตาเห็นจากนโยบายของบริษัทในปี 2018 ที่ไฟเขียวให้ผู้สนใจสามารถซื้อแฟรนไชส์และนำไปตั้งสาขาส่งพัสดุตามเมืองเล็กๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาได้ด้วยเม็ดเงินแค่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

ถ้าหากผู้เล่นรายใดมีเครือข่ายขนส่งที่ทรงประสิทธิภาพแล้ว ลูกค้าเองก็อยากใช้งานของบริษัทขนส่งนั้นเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับ Amazon เองแล้วนั้นมีเครือข่าย E-commerce ของตัวเอง ยิ่งเป็นปัจจัยบวกทำให้ลูกค้าทั้งผู้เล่นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่มาขายสินค้าในแพลตฟอร์มมากขึ้น

Photo : Shutterstock

ข้อมูลล่าสุด Amazon มีพนักงานที่เป็นแฟรนไชส์ขนส่งที่ขับรถส่งสินค้ามากถึง 200,000 คน ส่งผลทำให้เครือข่ายขนส่งของบริษัทมีเพิ่มมากขึ้นทันตาเห็นทันที

Brian Olsavsky ซึ่งเป็น CFO ของบริษัทกล่าวว่า การขยายโปรแกรมแฟรนไชส์ของบริษัททำให้ระยะเวลาการส่งสินค้าของบริษัทลดลง ทำให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคได้ไวขึ้น และยังเพิ่มกำไรให้กับบริษัทด้วย

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น Amazon เองยังเคยเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ FedEx และ UPS มาแล้ว ก่อนที่บริษัทจะขยายเครือข่ายขนส่งเป็นของตัวเอง เนื่องจากปริมาณสินค้านั้นคุ้มค่ากับการลงทุนของบริษัทแล้ว

แม้ว่าในปีนี้คาดว่าปริมาณพัสดุในภาพรวมของสหรัฐอเมริกาจะลดน้อยลงจากเรื่องการจับจ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีสำหรับปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกานั้น Amazon ยังตามหลัง USPS อยู่ (ซึ่งเทียบบริการได้กับไปรษณีย์ไทย) ซึ่ง UPS และ FedEx ได้ใช้บริการ USPS ในการส่งพัสดุ ถ้าหากเครือข่ายของบริษัทไม่มีในปลายทาง แตกต่างกับ Amazon ที่มีเครือข่ายของบริษัทอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกาแล้ว

นอกจากนี้ถ้าหากโมเดลโปรแกรมแฟรนไชส์ของ Amazon ในสหรัฐอเมริกาได้ผลดีมากแล้ว บริษัทเตรียมนำโมเดลธุรกิจดังกล่าวมาใช้ในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของบริษัทอีกแห่ง

ที่มา – Fox Business, Daily Mail, Logistics Insider

]]>
1454255
รายงานล่าสุดชี้เศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนโตช้าลง คาดว่าปีนี้รายได้จากธุรกิจดิจิทัลแตะ 1 แสนล้านเหรียญได้ https://positioningmag.com/1450237 Wed, 01 Nov 2023 10:47:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450237 Google Temasek และ Bain & Company ได้ออกรายงาน e-Conomy SEA ซึ่งรวมเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2023 นี้ โดยคาดว่ารายได้ของธุรกิจดิจิทัลจะแตะ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้

Google และกองทุนความมั่งคั่งของสิงคโปร์อย่าง Temasek รวมถึงบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอย่าง Bain & Company ได้ออกรายงาน e-Conomy SEA ประจำปี 2023 โดยประเด็นที่น่าสนใจในปีนี้คือเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม

Positioning สรุปประเด็นที่น่าสนใจของรายงานดังกล่าวมาฝาก 

ในรายงานได้ชี้ถึงสภาวะเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเติบโตได้ดี แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจภายนอกจะมีความผันผวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะเดียวกันในรายงานมองว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลับมาในไตรมาส 3

รายงานดังกล่าวชี้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลหลังปี 2025 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นจะเติบโตได้ช้าลง หลังจากนี้ ในประเทศไทยเศรษฐกิจดิจิทัลในช่วงปี 2025-2030 เติบโตเฉลี่ยราวๆ 13% ต่อปี จากเดิมในช่วงปี 2023-2025 เติบโตได้มากถึง 17% ต่อปี

สำหรับรายได้จากเศรษฐกิจดิจิทัลในปี 2023 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นแตะระดับ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ในปีนี้ ซึ่งเติบโต 8 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2016 ที่ผ่านมา ขณะด้านบริการด้านการเงินผ่านช่องทางดิจิทัล (ที่เป็นสีเทา) เองก็กำลังเติบโตเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบริการลงทุน บริหารความมั่งคั่ง ประกัน ฯลฯ

ถ้าหากมาแยกเม็ดเงินของเศรษฐกิจดิจิทัล E-commerce ยังถือเป็นสัดส่วนมากที่สุดคือ หรือด้านอื่นอย่างด้านแพท่องเที่ยวถือว่าเติบโตได้ดี ซึ่งเป็นการฟื้นตัวกลับมาจากการแพร่ระบาดของโควิด ขณะที่ด้าน Online Media เริ่มเติบตัวชะลอลง

สำหรับธุรกิจ E-commerce ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายได้ยังถือว่าเติบโต โดยในปี 2023 เติบโตมากถึง 22% อย่างไรก็ดีในช่วงทีผ่านมาผู้เล่นหลายรายเองก็ต้องเลือกว่าจะต้องทำให้รายได้เติบโต หรือแม้แต่ต้องป้องกันไม่ให้คู่แข่งรายใหม่เข้ามา

รายงานยังได้ชี้ถึงการลงทุนของ VC ต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลงจนสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น (ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง) ขณะเดียวกันนักลงทุนก็คาดหวังว่าเหล่าบริษัทสตาร์ทอัพจะสามารถกลับมาทำกำไรได้ และสามารถดำเนินธุรกิจในระยะยาวแบบยั่งยืนได้

โดยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีดีลการลงทุนเมื่อคิดมูลค่าเม็ดเงินแล้วที่น้อยสุด ในช่วงครึ่งปี 2023 นั้นมีการลงทุนแค่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

สำหรับประเทศไทยเศรษฐกิจดิจิทัล รายงานดังกล่าวคาดว่าจะโตจนมีขนาด 100,000 ถึง 165,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 โดยขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมาจาก E-Commerce รองลงมาคือ Online Travel และ Online Media

บริการเงินแบบดิจิทัลของไทยนั้นได้ผลดีจากการสนับสนุนของหน่วยงานกำกับดูแล โดยรายงานฉบับนี้คาดว่าภายในปี 2023-2025 จะทุกภาคส่วนจะเติบโตไม่น้อยกว่า 15% โดยในรายงานดังกล่าวมองว่าส่วนของบริการบริหารความมั่งคั่งจะเติบโตมากที่สุด รองลงมาคือบริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล

]]>
1450237
Facebook YouTube และ TikTok เตรียมขอใบอนุญาตทำ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งห้ามทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง https://positioningmag.com/1449478 Fri, 27 Oct 2023 06:53:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449478 บริษัทเทคโนโลยีหลายรายอย่าง Meta และ Alphabet รวมถึง ByteDance จากจีน เตรียมที่จะขอใบอนุญาตทำธุรกิจ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งแบนไม่ให้เครือข่ายสังคมทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า เนื่องจากรัฐบาลกังวลถึงผู้ค้าขนาดกลางและขนาดเล็กจะเสียเปรียบแพลตฟอร์มเหล่านี้

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Facebook และ YouTube รวมถึง TikTok ได้เตรียมขอใบอนุญาตทำธุรกิจ E-Commerce หลังรัฐบาลอินโดนีเซียสั่งแบนบรรดาแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคม (Social Network) ขายสินค้า รวมถึงห้ามทำธุรกรรมซื้อขายสินค้า

แหล่งข่าวของ Reuters ได้กล่าวว่า Facebook และ YouTube ได้เตรียมขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตที่อนุญาตให้โปรโมตสินค้าบนแพลตฟอร์มของตนได้ โดยทางด้าน Meta บริษัทแม่ของ Facebook เตรียมที่จะขอใบอนุญาตเพิ่มเติมให้กับ Instagram รวมถึง WhatsApp ด้วย

ทางด้านของ TikTok วางแผนที่จะยื่นขอใบอนุญาต E-commerce นอกจากนี้แหล่งข่าวรายดังกล่าวยังได้ชี้ว่า TikTok เองกำลังพูดคุยกับเจ้าของ E-commerce ในประเทศอย่าง GoTo ที่เป็นเจ้าของ Tokopedia รวมถึงมีการพัฒนาแอปพลิเคชันแยกออกมาอย่าง TikTok Shop

โดย TikTok เองได้เตรียมที่จะหยุดให้บริการ TikTok Shop ในช่วงเดือนสิ้นเดือนนี้แล้ว เพื่อที่จะรอท่าทีของทางการอินโดนีเซีย หลังจากที่บริษัทได้รุกตลาดประเทศอินโดนีเซียอย่างหนัก

ก่อนหน้านี้รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศแบนการทำธุรกรรม E-commerce ผ่านเครือข่ายสังคม ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้าผ่านเครือข่ายสังคม (Social Network) ได้ โดยข้อระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที และต้องทำตามภายใน 7 วัน ถ้าหากยังฝ่าฝืนต่อก็อาจมีสิทธิ์ถูกระงับการใช้งานในประเทศได้

เหตุผลที่รัฐบาลอินโดนีเซียสั่งห้ามการทำธุรกรรม E-Commerce ผ่าน Social Network เมื่อเดือนที่ผ่านมา ก็คือต้องการที่จะปกป้องผู้ค้าและตลาดออฟไลน์ขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมถึงเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของผู้ใช้งานได้รับการปกป้อง

]]>
1449478