Economics – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 17 Apr 2024 04:12:30 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 IMF คาด GDP ไทยโต 2.7% ในปีนี้ มองเศรษฐกิจโลกเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เตือนยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมาก https://positioningmag.com/1470177 Tue, 16 Apr 2024 17:27:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470177 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโต 2.7% ขณะเดียวกันก็มองว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.2% จากปัจจัยของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ก็เตือนถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นยังมีความเสี่ยงอีกมาก

IMF ได้ออกคาดการณ์เศรษฐกิจล่าสุดฉบับเดือนเมษายน โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกนั้นจะเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิม ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศกำลังพัฒนาที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดีก็ได้เตือนถึงเรื่องปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย

สำหรับเศรษฐกิจโลก IMF ได้คาดการณ์ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 3.2% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยบวกจากการเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งอยูที่ 1.8% ขณะเดียวกันก็ปรับคาดการณ์ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเหลือเติบโตแค่ 4.2% ในปีนี้

นอกจากนี้ IMF ยังมองว่าเศรษฐกิจโลกถือว่ามีความยืดหยุ่น แม้ว่าโลกจะอยู่ในสภาวะดอกเบี้ยสูงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ นอกจากนี้ชื่นชมว่าธนาคารกลางทั่วโลกได้ต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อได้ถูกทางแล้ว

IMF ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเติบโตได้มากถึง 2.7% ในปีนี้ ขณะที่จีนคาดว่าจะเติบโตที่ 4.6% ขณะที่อินเดียคาดว่าจะเติบโตได้ 6.8% ยกเว้นในส่วนของยูโรโซนที่ปรับประมาณการลดลง เนื่องจากราคาพลังงานที่สูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปอย่างมาก

ในส่วนเศรษฐกิจไทยนั้น IMF คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 2.7% ในปีนี้ และคาดว่าจะเติบโต 2.9% ในปี 2025 ขณะที่เงินเฟ้อของไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7%

ทางด้านของความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก IMF ยังมองถึงความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง แต่ก็ทยอยลดลงจากราคาพลังงานและอาหารลดลง รวมถึง Supply Chain ทั่วโลกกลับมาสู่สภาวะปกติมากขึ้น คาดว่าทั่วโลกนั้นตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ 5.9% ในปีนี้ และ 4.5% ในปี 2025

ในเรื่องอื่นๆ นั้น IMF ยังกังวลถึงความเสี่ยงระยะสั้นคือ ต้นทุนการเงินที่สูง การถอนมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจทำให้ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงระยะกลางนั้น ด้านผลิตภาพ (Productivity) ถือว่าต่ำสุดในรอบหลายสิบปี และยังกังวลถึงเรื่องของความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก

และยังรวมถึงปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ในจีน การแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ส่งผลทำให้เกิดการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก

]]>
1470177
ธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี นักวิเคราะห์ชี้เงินเยนอาจไม่แข็งค่าเท่าที่คาด https://positioningmag.com/1466718 Tue, 19 Mar 2024 10:25:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466718 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 0-0.1% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี และยังเป็นการประกาศชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ว่าแดนอาทิตย์อุทัยได้ออกจากสภาวะเงินฝืดแล้ว แต่สำหรับค่าเงินเยนแล้วนั้นนักวิเคราะห์มองว่าอาจไม่ได้แข็งค่าเท่าที่คาดจากท่าทีที่ระมัดระวังของ BoJ

ธนาคารกลางญี่ปุ่น ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วง 0-0.1% ซึ่งการปรับดอกเบี้ยดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี หลังจากที่ญี่ปุ่นได้ใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย รวมถึงการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบมาเป็นระยะเวลานาน

BoJ ได้ประกาศอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.1% จากเดิมที่ญี่ปุ่นได้ใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบที่ -0.1% มาเป็นระยะเวลาเกิน 10 ปี มาตรการดังกล่าวตามมาหลังจากที่ญี่ปุ่นได้ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.3% เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแดนอาทิตย์อุทัยได้พ้นจากสภาวะเงินฝืดเป็นที่เรียบร้อย

ถ้อยแถลงของ BoJ ยังมีการกล่าวถึงตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นอยู่ในช่วง 2% (หรือมากกว่า) ซึ่งมีลักษณะมั่นคงมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และมองว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของญี่ปุ่นได้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว

นอกจากนี้ในถ้อยแถลงของ BoJ ยังกล่าวว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเติบโตที่เป็นไปได้ (Potential Growth Rate)

นโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่นนอกจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีนโยบายที่จะยกเลิกการซื้อกองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ซื้อขายในตลาดหุ้น (ETF) ทรัสต์การลงทุนในอสังหาริมทัพย์ในประเทศญี่ปุ่น (REITS) หรือแม้แต่การควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Curve Control) เพื่อควบคุมให้นโยบายการเงินอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย

การที่ญี่ปุ่นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเนื่องจากปัญหาเงินฝืด ซึ่งเป็นผลกระทบของเศรษฐกิจในยุค 1990 ที่ฟองสบู่แตก ส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น จนเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทศวรรษที่สาบสูญ จนท้ายที่สุด ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ออกนโยบายผ่อนคลายทางการเงินออกมาเพื่อจะแก้ปัญหาดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2012

ในช่วงที่ผ่านมา BoJ ได้ส่งสัญญาณการยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงินมาโดยตลอด หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อในญี่ปุ่นนั้นปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนคาดว่าในท้ายที่สุดแล้วญี่ปุ่นจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี BoJ ยังยืนยันว่าจะไม่ใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดเหมือนกับธนาคารกลางของประเทศพัฒนาหลายประเทศที่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วและรุนแรง เช่น สหรัฐอเมริกา ฯลฯ และยังชี้ว่านโยบายทางการเงินของญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้ยังอยู่ในสภาวะผ่อนคลายอยู่

ผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของญี่ปุ่นหลายปีที่ผ่านมาคือส่งผลทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่า ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการส่งออกและท่องเที่ยวของญี่ปุ่น แต่ผลกระทบคือการนำเข้าสินค้าของญี่ปุ่นจะมีราคาสูงมากขึ้น

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับค่าเงินเยนว่า “ตลาดคาดว่า BoJ จะเปลี่ยน แปลงนโยบายพร้อมกับท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยหาก BoJ ส่งสัญญาณว่าอาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นได้”

สำหรับค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทล่าสุดในวันนี้ (19 มีนาคม) ซื้อขายในช่วง 0.2396-0.2415 เยนต่อ 1 บาท ซึ่งยังไม่ได้แข็งค่าในทันทีจากนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว

ที่มา – Reuters, The Guardian, CNN

]]>
1466718
SCB EIC คาด GDP ปีนี้โตแค่ 2.7% ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าอยู่กลุ่มรั้งท้ายของโลก และยังมีความท้าทายในเรื่อง Supply Chain https://positioningmag.com/1466313 Fri, 15 Mar 2024 04:47:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466313 SCB EIC คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้โตแค่ 2.7% ขณะเดียวกันก็ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าอยู่กลุ่มรั้งท้ายของโลก และยังมีความท้าทายในเรื่อง Supply Chain ซึ่งไทยเองมีความจำเป็นเร่งด่วนในการที่จะต้องแก้ปัญหาดังกล่าว

มุมมองเศรษฐกิจโลกนั้น SCB EIC คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.6% ซึ่งมุมมองปรับดีขึ้นจากแรงส่งจากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในช่วงต้นปีนี้ รวมถึงเศรษฐกิจโลกได้รับแรงสนับสนุนจากการค้าโลกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัวลง แต่ยังมีแรงกดดันจากผลกระทบของภาวะดอกเบี้ยสูง ความขัดแย้งต่างๆ อยู่

นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองว่าธนาคารกลางหลายแห่งของประเทศพัฒนาแล้ว จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก

สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2024 เหลือ 2.7% (จากเดิม 3%) แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องได้ จากแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและภาคบริการรวมถึงเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อื่นที่กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มดีขึ้น

อย่างไรก็ดี SCB EIC มองว่าแรงส่งภาครัฐจะยังหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2567 รวมถึงปัญหาสินค้าคงคลังสะสมสูงจากปีก่อนจะยังไม่สามารถคลี่คลายได้เร็ว ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทยที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นช้าต่อเนื่องมาในปีนี้

สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจไทยนั้นเหมือนจะดี และเห็นสัญญาณที่ไม่ดีตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2023 ที่ผ่านมา และเขายังกล่าวว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้นฟื้นตัวช้าในกลุ่มรั้งท้ายของโลก ซึ่งอันดับของไทยอยู่ที่อันดับ 162 ซึ่งแย่ลงกว่าเดิม จากปีก่อนหน้าอยู่ที่อันดับ 155

ขณะเดียวกัน สมประวิณ เชื่อว่า การที่ กนง.จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ได้มาจากปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อเป็นสำคัญ แต่น่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะยาวที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาในเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน โดยชี้ถึงสาเหตุสำคัญมาจาก

  • ผลิตภาพการผลิต (Total Factor Productivity) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวของไทยต่ำลงเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งจากปัญหาผลิตภาพแรงงานไทยลดลงและกฎเกณฑ์ภาครัฐจำนวนมากที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
  • ปัจจัยทุน (Capital) ปัจจัยดังกล่าวของไทยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะเห็นได้จากสัดส่วนการลงทุนในประเทศที่ลดลงเหลือประมาณ 24% ของ GDP ในช่วง 2 ทศวรรษหลัง นอกจากนี้ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (FDI) ของไทยต่ำลงหากเทียบประเทศในภูมิภาคอาเซียน
  • ปัจจัยกำลังแรงงาน (Labor) ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยเร็ว
เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวช้า เมื่อเทียบกับหลายประเทศ / ข้อมูลจาก SCB EIC

SCB EIC ยังคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรกของปี ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยจะเหลือแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งสมประวิณมองว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสอดคล้องกับผลิตภาพการผลิตของไทย

นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองว่าการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก ขณะเดียวกันการที่เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนและห่วงโซ่การผลิตจีนมากท่ามกลางกระแสภูมิรัฐศาสตร์โลกรวมถึงความสามารถของภาคการผลิตไทยในการปรับตัวกับห่วงโซ่การผลิตโลกใหม่และรูปแบบความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้ช้าทำให้การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคส่งออกไทยยังทำได้ค่อนข้างจำกัด สะท้อนจากส่วนแบ่งยอดขายสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลกที่ยังใกล้เดิมมาตลอดทศวรรษ

SCB EIC ยังชี้ว่าไทยยังมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการยกระดับขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกใหม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว

]]>
1466313
อัตราว่างงานในสหรัฐอเมริกา ทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี แต่นักวิเคราะห์ยังมองว่าเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง https://positioningmag.com/1465720 Sun, 10 Mar 2024 10:24:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465720 อัตราว่างงานในสหรัฐอเมริกา ทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี โดยตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 3.9% จากสาเหตุสำคัญคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่นักวิเคราะห์ยังมองว่าเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง และมองว่ายังมีความห่างไกลจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย

กระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกา ได้รายงานตัวเลขอัตราว่างงานล่าสุด ซึ่งเป็นตัวเลขในเดือนกุมภาพันธ์ โดยตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 3.9% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้ตัวเลขอัตราว่างงานในสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับ 3.7% มาเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 3 เดือนติดกัน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการว่างงานที่ยังเพิ่มขึ้นสูงคือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อัตราดอกเบี้ยล่าสุดนั้นอยู่ในช่วง 5.25-5.50% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 23 ปี และยังเป็นการขึ้นดอกเบี้ยที่รวดเร็วมากที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วย

การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็ว ส่งผลทำให้ธุรกิจมีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงมากขึ้น ส่งผลทำให้หลายบริษัทในสหรัฐฯ ต้องออกมาตรการประหยัดต้นทุน ซึ่งรวมถึงการปลดพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งที่ยังมีการปลดพนักงานในปี 2024 นี้ ไม่ว่าจะเป็น Amazon ไปจนถึงบริษัทผลิตเครื่องสำอางอย่าง Estee Lauder

กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ กล่าวในรายงานว่าทางหน่วยงานกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อหาเบาะแสว่าเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกดูดซับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2022 ได้อย่างไร

ตัวเลขอัตราว่างงานในสหรัฐอเมริกาเคยทำตัวเลขต่ำสุดคือ 3.4% ในเดือนเมษายนปี 2023 ที่ผ่านมา และตัวเลขดังกล่าวถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปี ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นมา

อย่างไรก็ดี จอช เฟอร์แมน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้กล่าวบนโซเชียลมีเดียว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงดูดี” และยังมองว่าความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อรวมถึงเศรษฐกิจถดถอยนั้นยังคงห่างไกลอยู่

ปัจจุบันเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังถือว่ารอดจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้อยู่ และยังสร้างความแปลกใจให้กับนักวิเคราะห์เช่นกันว่าสภาวะดังกล่าวนั้นเศรษฐกิจของแดนมะกันสามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ยังเติบโตแม้จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงได้อย่างไร

แม้ว่าตัวเลขอัตราการว่างงานนั้นเพิ่มสูงขึ้น แต่นักวิเคราะห์บางรายเริ่มมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเองนั้นอาจไม่มีการถดถอยเลยด้วยซ้ำในปีนี้

ที่มา – Reuters, BBC, CNBC

]]>
1465720
จีนตั้งเป้า GDP ปีนี้โต 5% แม้จะเผชิญกับความยากลำบาก ผลักดันโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีคุณภาพมากขึ้น https://positioningmag.com/1465319 Wed, 06 Mar 2024 09:45:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465319 รัฐบาลจีนตั้งเป้า GDP ปี 2024 นี้โต 5% แม้จะเผชิญกับความยากลำบากจากหลายปัจจัย ขณะเดียวกันก็ผลักดันโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีคุณภาพมากขึ้น ทางด้านวิเคราะห์มองว่าเป้าหมายดังกล่าวถือว่ามีความท้าทายไม่น้อย แต่ก็ยังมองว่าในที่สุดนั้นจีนจะสามารถบรรลุเป้าได้

ในการประชุมประชุม 2 สภา รัฐบาลจีนตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2024 ที่ 5% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเท่ากับปี 2023 ที่ผ่านมา และยอมรับถึงความยากลำบากในการผลักดันให้ได้ตามเป้า ขณะเดียวกันก็เตรียมที่ปรับการพัฒนาเศรษฐกิจของแดนมังกรให้มีคุณภาพมากขึ้น และยังได้เตือนถึงปัญหาของเศรษฐกิจจีนหลายเรื่องยังไม่ได้รับการแก้ไข

หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ยังได้กล่าวว่า ผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของจีนนั้นเผชิญกับความยากลำบาก เขายังกล่าวเสริมว่าหลายสิ่งหลายอย่างยังไม่ได้รับการแก้ไข และไม่ควรมองข้ามสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด รวมถึงเสถียรภาพถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดและเป็นพื้นฐานทุกอย่าง

นายกรัฐมนตรีจีน ยังมองว่าเป้าหมาย GDP เติบโตที่ 5% นั้น รัฐบาลได้คำนึงถึงความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการจ้างงานและเพิ่มรายได้ และยังรวมถึงป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยอื่นๆ ทางเศรษฐกิจ และจีนจะผลักดันด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเติบโตของเศรษฐกิจ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับปรุงคุณภาพ และการปรับปรุงประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ดีสิ่งที่นายกรัฐมนตรีจีนได้กล่าวถึงการผลักดันการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเติบโตของเศรษฐกิจนั้นไม่ได้มีการระบุระยะเวลาแต่อย่างใด

รัฐบาลจีนยังเตรียมผลักดันการวิจัยในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเช่น AI เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมถึงการประกาศมาตรการอื่นๆ อีกหลายชุดเพื่อช่วยรับมือกับการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ของประเทศจากการแพร่ระบาดของโควิดซึ่งรวมถึงการแก้ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์

ขณะเดียวกันจีนยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มตำแหน่งงาน 12 ล้านตำแหน่งในเขตเมือง การเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมมากถึง 7.2% ของ GDP อย่างไรก็ดีจีนได้กำหนดเป้าหมายขาดดุลทางการคลังเพียงแค่ 3% ของ GDP เท่านั้น ลดลงจากปี 2023 ที่ขาดดุลทางการคลังถึง 3.8% ของ GDP

เศรษฐกิจจีนในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นเติบโตที่ 5.2% ซึ่งถือว่าเติบโตตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ อย่างไรก็ดีการเติบโตของเศรษฐกิจจีนได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงมา หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด และยังมีปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังกดดันเศรษฐกิจ รวมถึงประชาชนไม่จับจ่ายใช้สอยเท่าที่ควร

Larry Hu นักวิเคราะห์จาก Macquarie สถาบันการเงินจากออสเตรเลียมองว่า เป้าหมายของ GDP จีนที่ 5% ในปีนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เขามองว่าจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้

ที่มา – BBC, China Daily, Reuters, CNN

]]>
1465319
ปริมาณการค้าสหรัฐฯ กับจีนลดลง 17% ในปี 2023 ที่ผ่านมา ผู้แทนการค้าของแดนมะกันมองว่าถือเป็นเรื่องที่ดี https://positioningmag.com/1464837 Mon, 04 Mar 2024 03:18:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464837 ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงปริมาณการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจ สหรัฐฯ กับจีน ลดลงถึง 17% ในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศได้มีการกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ดีหลายฝ่ายมีความกังวลถึงสงครามการค้าอาจกลับมาอีกครั้ง

Katherine Tai ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ซึ่งเธอกล่าวว่า ปริมาณการค้ากับจีนในปี 2023 ลดลงถือเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าหลายฝ่ายจะกังวลถึงความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจโลกจะกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งกำแพงภาษีด้านการค้า

ในปี 2023 ที่ผ่านมาปริมาณการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนลดลงถึง 17% ซึ่งปริมาณการนำเข้าสินค้าจีนโดยสหรัฐฯ เหลือแค่ 427,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่จีนได้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ แค่ 148,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่านั้น

ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวว่า แม้ปริมาณการค้ากับจีนจะลดลง แต่ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าทั้ง 2 ประเทศมีการกระจายความเสี่ยง ขณะเดียวกันเธอก็มองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนกำลังได้สร้างแรงกดดันด้านการแข่งขันมากมายทั่วโลก

ก่อนหน้านี้การค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ทำสถิติสูงสุดในปี 2022 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีปริมาณการค้ากลับลดลงเนื่องจากบริษัทใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ จำนวนมากย้ายกำลังการผลิตออกนอกประเทศจีน ซึ่งประเทศที่ได้รับผลประโยชน์ดังกล่าว ได้แก่ อินเดีย เม็กซิโก หรือแม้แต่อาเซียน ในหลายประเทศ

ไม่เพียงเท่านี้รวมถึงผลกระทบจากภาษีทางการค้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายเคยเปิดศึกในสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นประประธา นาธิบดีด้วย และยังมีความเสี่ยงว่าถ้าหากเขาได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง อาจมีมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น

ความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างทั้ง 2 ย่ำแย่ลงหนักกว่าเดิมเมื่อ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิป ขณะที่จีนเองก็ได้ออกมาตรการตอบโต้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการงดการส่งออกแร่หายาก หรือวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิป

นอกจากนี้ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ยังมองว่า องค์การการค้าโลกเองนั้นจะต้องมีการปฏิรูปยกเครื่องครั้งใหญ่ และเธอชี้ว่าองค์การการค้าโลกนั้นต้องตอบสนองต่อประเทศที่เป็นสมาชิกไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีตั้งแต่เรื่องของการประมงไปจนถึงการการห้ามเก็บภาษี E-commerce ฯลฯ

]]>
1464837
วิจัยกรุงศรีคาด GDP ไทยปี 67 โต 2.7% และยังมีความไม่แน่นอนสูง สวนทางกลุ่มประเทศในอาเซียน https://positioningmag.com/1463914 Sun, 25 Feb 2024 07:32:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463914 วิจัยกรุงศรีคาด GDP ไทยปี 67 โต 2.7% และยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ตัวเลขดังกล่าวของไทยถือว่าสวนทางกลุ่มประเทศในอาเซียนซึ่งคาดว่าจะเติบโตที่ 4.7% ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกนั้นถือว่าเติบโตชะลอตัวลงตามวัฎจักร 

พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่สภาวะชะลอตัวตามวัฎจักร หลังจากหลายประเทศได้ใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบผ่อนคลาย แล้วมีการปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายการคลังของรัฐบาลการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเบาลง

นอกจากนี้ยังมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในยุโรป ภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกนั้นสร้างแรงกระเพื่อมต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลก

เศรษฐกิจสหรัฐฯ วิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP จะเติบโต 2.1% โดยมองว่าเศรษฐกิจเติบโตไม่ร้อนแรงเหมือนเดิม แต่การจ้างงาน ค่าแรง ยังดูโอเค และหลังจากนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเติบโตกลับสู่ระดับปกติ นอกจากนี้ยังคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) น่าจะลดดอกเบี้ยช่วงกลางปีเป็นต้นไป

สำหรับเศรษฐกิจจีน วิจัยกรุงศรีมองว่าความเสี่ยงสำคัญคือภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาเชิงโครงสร้างทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง นอกจากนี้จีนยังต้องหาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจใหม่ๆ แทนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจีนโตได้ 4.6%

ในส่วนของเศรษฐกิจในยูโรโซน วิจัยกรุงศรี มองว่ายังทรงๆ แม้ว่าจะรอดจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ยังมองว่าการเติบโตยังอ่อนแอ ขณะที่ญี่ปุ่นเศรษฐกิจได้รับแรงบวกจากการเปิดประเทศแทบจะ 100% แล้ว แต่มองว่าการเพิ่มค่าแรง อาจทำให้ BoJ ปรับดอกขึ้นได้ แม้ว่าไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะถดถอยก็ตาม

ปัจจัยดังกล่าวทำให้หัวหน้าทีมวิจัยกรุงศรีมองว่าสำหรับเศรษฐกิจโลกนั้นน่าจะเติบโตได้ 3.1% ถือว่าเติบโตต่ำใกล้เคียงกับปีก่อน

ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ – หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) / ภาพจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา

เศรษฐกิจอาเซียน

วิจัยกรุงศรีคาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศรวมกัน (ASEAN 5) จะอยู่ที่ 4.7% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวประมาณ 4.2%โดยอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ รวมถึงการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อยตามการคลี่คลายของภาวะชะงักงันด้านอุปทาน กำลังซื้อที่กระเตื้องขึ้นจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง และแรงกดดันจากสภาวะทางการเงินตึงตัวที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

อย่างไรก็ตามความท้าทายต่อเศรษฐกิจภูมิภาคที่สำคัญ ได้แก่ ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ เศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแอ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเพิ่มความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มการเติบโตของภูมิภาคผ่านช่องทางทั้งภาคการเงินและการค้า

นอกจากนี้ นโยบายการคลังจะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับความท้าทายด้านอุปทานที่มีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้น สำหรับนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวน อาจทำให้ธนาคารกลางในภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้จนถึงกลางปีนี้

เศรษฐกิจไทย

หัวหน้าทีมของวิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตได้ 2.7% เติบโตมากกว่า GDP ของไทยในปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 1.9% สาเหตุสำคัญคือการใช้จ่ายภาครัฐที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี ขณะเดียวกันภาคการส่งออกก็กลับมาฟื้นตัว รวมถึงคาดว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะมาไทยมากถึง 35.6 ล้านคน ส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชน หรือแม้แต่การจ้างงาน

อย่างไรก็ดีการบริโภคภาคเอกชนอาจกระทบจากหนี้ครัวเรือน เนื่องจากภาระครัวเรือนที่ต้องจ่ายยังสูง นอกจากนี้ยังรวมถึงรายได้ภาคเกษตรที่ยังเติบโตไม่มากนัก แม้ว่าราคาพืชผลจะสูงจากสภาวะเอลนีโญก็ตาม

แม้ว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมทยอยฟื้นตัว แต่วิจัยกรุงศรีมองว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับ 3% ต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องที่ 1.1% ปัจจัยดังกล่าวเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง

]]>
1463914
ข้อมูลเผย จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนอาเซียนช่วงตรุษจีน เกินระดับก่อนการแพร่ระบาดโควิดแล้ว https://positioningmag.com/1463485 Wed, 21 Feb 2024 07:21:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463485 ข้อมูลจากหลายแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวเผยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนท่องเที่ยวในอาเซียนช่วงตรุษจีน เกินช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิดแล้ว ขณะที่ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของชาวจีนก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกันแต่ยังไม่พ้นระดับสูงสุดในปี 2019

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ได้เข้ามาท่องเที่ยวรวมกันในทวีปเอเชียในช่วงวันตรุษจีนเกินจำนวนช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิดไปแล้ว และยังรวมถึงปริมาณการใช้จ่าย โดยเฉพาะจุดหมายปลายทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือแม้แต่ไทย

ข้อมูลจาก Trip.com ได้เผยว่า ปริมาณชาวจีนที่ได้จองทริปการเดินทางมายัง สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงไทย ในช่วงวันที่ 10-17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ทางด้านข้อมูลการเช่ารถของนักท่องเที่ยวชาวจีนจาก Trip.com ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น 53% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019

การจองห้องพักจากแพลตฟอร์มท่องเที่ยว LY.com ในช่วงวันที่ 10-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในไทยนั้นมีปริมาณการจองเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากนักท่องเที่ยวชาวจีน ขณะที่สิงคโปร์นั้นเพิ่มขึ้น 9 เท่า

ขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายของชาวจีนอ้างอิงข้อมูลจาก Alipay นั้น ในไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมกันเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด และมากถึง 7 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2023 ที่ผ่านมา แต่ถ้าหากเทียบการใช้จ่ายรวมทั้งหมด ยังคิดเป็น 82% เมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีน ได้เปิดเผยการเดินทางระหว่างประเทศ จีนมีการเดินทางเข้าและออกประมาณ 13.52 ล้านเที่ยว ซึ่งอยู่ระดับ 90% เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด

ปัจจัยสำคัญนั้นมาจากการเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ที่มีฟรีวีซ่าก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว

ข่าวดีดังกล่าวถือเป็นมาในท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจแดนมังกรอาจพบกับปัญหาเงินฝืด 

]]>
1463485
GDP ไทยปี 2566 เติบโตแค่ 1.9% เท่านั้น หลังไตรมาส 4 ตัวเลขแย่กว่าคาด สภาพัฒน์มองปีนี้โตแค่ 2.2-3.2% https://positioningmag.com/1463087 Mon, 19 Feb 2024 03:48:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463087 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้รายงานตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นั้น GDP ไทยเติบโตได้ 1.9% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าที่คาด โดยในปีที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการประคองเศรษฐกิจไทย

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้รายงานตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นั้น GDP ไทยเติบโตได้ 1.9% ซึ่งต่ำกว่าที่คาด และแย่กว่าปี 2565 ที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% ด้วยซ้ำ โดยพระเอกสำคัญคือภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ช่วยฉุดภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนกลับมาอีกครั้ง

ตัวเลขเศรษฐกิจไทยนั้นถือว่าต่ำว่าการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg ซึ่งคาดไว้อยู่ที่ 2.6% และต่ำกว่าสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าว Reuters ที่คาดไว้ 2.5%

อีกปัจจัยที่ทำให้ GDP ไทยเติบโตน้อยคือ ภาคการส่งออกที่อ่อนแอจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว รวมถึงการเบิกจ่ายของรัฐบาลที่ล่าช้า เนื่องจากไม่สามารถที่จะออก พรบ. งบประมาณ ประจำปี 2567 ได้ทันในช่วงกลางปี 2566 เนื่องจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลทำให้ต้องใช้งบของปี 2566 แทน

สำหรับตัวเลขที่น่าสนใจในปี 2566 นี้

  • การบริโภคในประเทศเติบโต 7.1% ได้ปัจจัยจากภาคการท่องเที่ยว
  • การส่งออกเติบโต 2.1% (แต่ถ้ามองในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น -1.7%)
  • การลงทุนภาคเอกชนเติบโต 3.2%
  • การอุปโภคภาครัฐกลับถดถอยที่ -4.6% จากปัญหาการเบิกจ่ายของรัฐบาล
  • อัตราเงินเฟ้อ 1.2%

ขณะที่มุมมองสถาบันการเงินต่างประเทศ J.P. Morgan ได้ออกบทวิเคราะห์โดยมองว่าตัวเลข GDP ที่ออกมานั้นแย่กว่าคาด และได้ปรับคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2567 เหลือแค่ 2.3% แต่ยังมองถึงแง่บวกจากการกระจายด้าน Supply Chain แต่มีด้านลบจากโอกาสต่อต้านนโยบายของภาครัฐ และคาดว่าภายในครึ่งปีหลังจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมกัน 0.5%

ทางด้านของ Citi ได้ออกบทวิเคราะห์โดยยังให้คาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 ที่ 3% โดยมองว่าระยะสั้นจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาถ้าหากงบประมาณประจำปี 2567 ผ่านสภาออกมา และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ภายในเดือนมิถุนายน เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านลบของเศรษฐกิจไทย

Bank of America มองว่าไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ เริ่มในเดือนมิถุนายน และอาจปรับลดได้ก่อนถ้าหากเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าคาด

ตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยที่แย่กว่าคาด ยังทำให้สภาพัฒน์ยังปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยที่เคยทำไว้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เหลือแค่ 2.2-3.2% เท่านั้น และความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีนี้คือ สภาวะเอลนีโญ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เป็นต้น

Note: อัพเดต 17:53 เพิ่มมุมมองบทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างประเทศ

ที่มา – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, บทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างประเทศ

]]>
1463087
ชาวจีนใช้จ่ายค่าเดินทางช่วงตรุษจีนพุ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิดแล้ว คลายกังวลผู้คนอาจไม่จับจ่ายใช้สอย https://positioningmag.com/1463080 Mon, 19 Feb 2024 01:46:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463080 ข้อมูลของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีน ได้เปิดเผยตัวเลขการใช้จ่ายและการเดินทางของชาวจีนช่วงตรุษจีนปี 2024 พุ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิดแล้ว ซึ่งถือเป็นข่าวดีท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจแดนมังกรอาจพบกับปัญหาเงินฝืด

รายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดตรุษจีน 8 วันในประเทศจีน ได้เพิ่มขึ้น 47.3% เมื่อเทียบกับปี 2023 ที่ผ่านมา การเติบโตดังกล่าวยังแซงหน้าช่วงก่อนโควิดไปแล้ว ซึ่งถือเป็นข่าวดีของเศรษฐกิจท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจแดนมังกรอาจพบกับปัญหาเงินฝืด

ข้อมูลของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีน ได้เปิดเผยตัวเลขการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศอยู่ที่ 632,700 ล้านหยวน และเพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบกับปี 2019 ขณะที่จำนวนการเดินทางในประเทศเพิ่มขึ้น 34.3% จากปี 2023 อยู่ที่ 474 ล้านครั้ง และเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปี 2019

ขณะที่สำนักข่าว Reuters ได้คำนวณค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของชาวจีนจะอยู่ที่ 1,335 หยวนต่อคน มากกว่าในปี 2019 ซึ่งอยู่ที่ 1,238 หยวนต่อคน

สื่อในประเทศจีนอย่างสำนักข่าว Xinhua ชี้ว่าเทรนด์การท่องเที่ยวในประเทศจีนกำลังเติบโต เมืองที่นักท่องเที่ยวชาวจีนได้เดินทางมากที่สุดคือ ปักกิ่ง พื้นที่ Greater Bay Area เช่น ฮ่องกง มาเก๊า มณฑลกวางตุ้ง หรือแม้แต่ฮาบิน ซึ่งเป็นเมืองทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของจีนก็ได้รับความนิยมเช่นกัน

ทางด้านการเดินทางระหว่างประเทศ จีนมีการเดินทางเข้าและออกประมาณ 13.52 ล้านเที่ยว ซึ่งอยู่ระดับ 90% เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด

Xinhua ยังชี้ว่าชาวจจีนบางส่วนที่หนีความหนาวเย็น ได้ใช้ช่วงเวลาวันหยุดตรุษจีนมาเที่ยวอาเซียนด้วยเช่นกัน

สำหรับวันหยุดช่วงตรุษจีน ถือว่าเป็นการอพยพย้ายถิ่นประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้คนหลายร้อยล้านคนเดินทางกลับบ้านเกิด ทั้งทาง เครื่องบิน รถไฟ หรือแม้แต่เดินทางด้วยรถยนต์ เพื่อพบปะกับสมาชิกในครอบครัว ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศจีนเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก

การจับจ่ายใช้สอยของชาวจีนช่วงวันหยุดตรุษจีน ถือว่าเป็นข่าวดี เนื่องจากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาตัวเลขทางเศรษฐกิจจีนมีความน่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวจีนกำลังอยู่ในสภาวะเงินฝืดติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 เดือนแล้ว ตัวเลขวันหยุดตรุษจีนนั้นถือว่าช่วยผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวลงได้บ้าง

ที่มา – Xinhua, South China Morning Post

]]>
1463080