สื่อจีนชี้ “ชนชั้นกลางในประเทศมากกว่า 400 ล้านคนกำลังจะลดลง ปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาวได้”

ภาพจาก Unsplash
แม้ว่าจีนจะรายงานตัวเลข GDP ของปีที่ผ่านมาเกิน 5% แต่ปัญหาใหญ่อีกเรื่องของเศรษฐกิจจีนคือความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยเฉพาะชนชั้นกลางจีน ซึ่งถือเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจจีนไม่น้อยนั้นกำลังมีความเสี่ยงที่จะลดลงในอนาคต ทำให้สื่อในประเทศจีนต้องออกมาเตือนถึงปัญหาดังกล่าวแล้ว

South China Morning Post รายงานถึงสถานการณ์เศรษฐกิจจีน โดยรายงานดังกล่าวยังได้อ้างอิงบทความของสื่อทางการจีน โดยชี้ว่าจีนถือเป็นประเทศที่มีชนชั้นกลางมากกว่า 400 ล้านคน ถ้าหากไม่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งอาจส่งผลต่อชนชั้นกลาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้

โดยรายงานของสื่อรายดังกล่าวได้กล่าวถึงสภาวะความยากลำบากของชนชั้นกลางในประเทศจีนในปี 2023 ว่ามีความลำบากมากพอแล้ว และปี 2024 อาจเป็นอีกปีที่ความยากลำบากนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่า เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจจีนนั้นไม่ได้มีปัจจัยบวกให้เห็นมากเท่าไหร่นัก

จีนได้รายงานตัวเลข GDP ในปี 2023 ที่ผ่านมาเติบโต 5.2% ซึ่งมีหลายตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ยังน่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นอัตราการว่างงานของวัยรุ่นชาวจีนที่ยังสูงมากกว่า 13% แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงมาจากช่วงกลางปี 2023 ซึ่งเกิน 20% ก็ตาม และยังรวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อในจีนที่กลับกลายเป็นสภาวะเงินฝืดแทน

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนได้กำหนดเกณฑ์สำหรับชนชั้นกลางในประเทศด้วยนิยามว่า “กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางนั้นถูกกำหนดว่าเป็นครัวเรือนสามคนที่มีรายได้ระหว่าง 100,000 หยวน ถึง 500,000 หยวนต่อปี”

ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนกำลังประสบปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นผู้บริโภค หรือแม้แต่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างประเทศหลายแห่งได้ชี้ตรงกันว่าชาวจีนได้สะสมความมั่งคั่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้สร้างผลกระทบกับชนชั้นกลางจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทวิเคราะห์จาก Oxford Economics ได้ชี้ว่าปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนที่กำลังสร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจในเวลานี้ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 ปีในการแก้ไขปัญหา ถ้าหากไม่มีการเพิ่มจำนวนอสังหาริมทรัพย์เข้าไปในระบบ

ไม่ใช่แค่ภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ความตกต่ำของตลาดหุ้นจีน ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาดัชนีของตลาดหุ้นได้ตกลงตลอดทางยังส่งผลต่อความมั่งคั่งของชาวจีนมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากชาวจีนหลายคนได้ฝากเงินไว้กับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Shadow Bank) เพื่อที่จะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง

จะเห็นได้ว่าปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคกำลังบีบชนชั้นกลางชาวจีนเพิ่มด้วย แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาทางการจีนพยายามจะหาทางแก้ไข แต่ความมั่นใจของชนชั้นกลางชาวจีนก็ยังไม่กลับมา สอดคล้องกับข้อมูลจาก Macquarie ที่อ้างอิงข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนชี้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวจีนล่าสุดอยู่ที่ราวๆ 85 จุด และยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเท่ากับปี 2021 ซึ่งอยู่ที่ราวๆ 115 จุดด้วยซ้ำ

ปัญหาความเชื่อมั่นของชนชั้นกลางกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจจีน – ภาพจาก Unsplash

รายงานดังกล่าวยังอ้างสื่อทางการจีนอย่าง Economic Times ที่ได้ออกบทบรรณาธิการเมื่อวันที่ 27 ธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมา โดยเตือนถึงปริมาณชนชั้นกลางในประเทศจีนนั้นกำลังจะลดลงและเรียกร้องให้รัฐบาลจีนมีมาตรการอย่างเร่งด่วนในการส่งเสริมการเติบโตของชนชั้นกลางให้ได้

บทบรรณาธิการดังกล่าวได้ชี้ว่า “กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางสังคม และการรับมือกับความท้าทายจากภายนอก” และยังได้ชี้ว่ากลุ่มชนชั้นกลางในประเทศจีนกำลังเผชิญปัญหาจากงานที่ไม่มั่นคง “และมีความเสี่ยงที่จะไม่ใช่ชนชั้นกลางอีกต่อไป”

ในรายงานของ South China Morning Post ยังได้สัมภาษณ์ชายชื่อ Li ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง และโดนปลดออกจากงานในช่วงอายุราวๆ 40 เขากล่าวว่าการที่จะพัฒนาความสามารถในการหางานใหม่ถือเป็นเรื่องยาก และยังต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ของครอบครัวด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ สถานีโทรทัศน์ CCTV ได้สัมภาษณ์อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งสภาแห่งรัฐ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เขาได้กล่าวว่า “กลุ่มคนที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นชนชั้นกลางเมื่อไม่นานมานี้กำลังพบกับความเสี่ยงมากที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เช่น การแพร่ระบาดของโควิด ที่อาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานและรายได้”

อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งสภาแห่งรัฐ ยังกล่าวเสริมว่า “ขณะเดียวกันกลุ่มคนเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าดูแลบุพการี หรือแม้แต่ค่ารักษาพยาบาล นอกจากนี้กลุ่มคนเหล่านี้ยังต้องเก็บออมเงิน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่กล้าใช้จ่าย”

จะเห็นได้ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสื่อทางการจีนที่ได้รายงานปัญหาเศรษฐกิจในประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นไม่บ่อยนัก

การลดจำนวนของชนชั้นกลางยังส่งผลทำให้แผนความมั่งคั่งร่วมกัน หรือ Common Prosperity ของ สี จิ้นผิง ที่ต้องการจะเพิ่มจำนวนของชั้นกลางให้เติบโตเพิ่มมากขึ้นภายในปี 2035 อาจไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลยด้วยซ้ำ

และปัญหาชนชั้นกลางในประเทศจีนกับความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยนั้นอาจกระทบกับประเทศไทยได้หลังจากนี้ เช่น ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้สำคัญของเศรษฐกิจไทย หรือแม้แต่กลุ่มสินค้าต่างๆ ที่ไทยส่งออกไปยังจีน เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองไม่น้อย