Lazada – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 22 Oct 2025 08:15:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปร่างประกาศ ‘คุมอีคอมเมิร์ซ’ เพื่อสกัด ‘ผูกขาด’ ในวันที่ตลาดถูกครองโดยมาร์เก็ตเพลสต่างชาติ https://positioningmag.com/1543839 Wed, 22 Oct 2025 07:07:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543839 สถานการณ์อีคอมเมิร์ซไทย

ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย กว่าครึ่ง ครองโดย E-Marketplace ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada และ TikTok Shop จากประมาณการของ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Pay Solutions และในฐานะอนุกรรมาธิการการพาณิชย์ วุฒิสภา คาดว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2024 รวมยอดขายจากทั้ง 3 แพลตฟอร์มมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท ได้แก่

  • Shopee: 1.6 ล้านล้านบาท (40.9%)
  • Lazada: 6.6 แสนล้านบาท (34.9%)
  • TikTok Shop: 2.8 แสนล้านบาท (24.1%)

โดย ภาวุธ ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่อีมาร์เก็ตเพลสเจ้าตลาดที่เคย ขาดทุนสะสมมานาน แต่หลังจากที่กลายเป็น ช่องทางหลัก ของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นช่วง ทำกำไร ของผู้เล่นเหล่านี้

อย่าง Shopee ที่เคย ขาดทุนสะสม 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ในปีที่ผ่านมามี รายได้เกือบ 5 หมื่นล้านบาท เติบโต +69% กำไร 4.6 พันล้านบาท +113.82% ดังนั้น ด้วยอัตราเร่งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 2 ปี ลบการขาดทุนสะสมทั้งหมด และ Shopee ไม่ได้ทำแค่อีคอมเมิร์ซ แต่มีบริการทางการเงิน เช่น Spaylater ขายประกัน และ Food Delivery รวมแล้วมีบริษัทในกลุ่มประมาณ 9 บริษัท มีรายได้รวม 8.5 หมื่นล้านบาท

ด้าน Lazada ขาดทุนสะสม 1.3 หมื่นล้านบาท โดยปีที่ผ่านมา Lazada มี รายได้ 2.8 หมื่นล้านบาท +31.38% กำไร 836 ล้านบาท + 38.34% รวมรายได้ทั้ง 6 บริษัทในกลุ่มที่ 4.3 หมื่นล้านบาท กำไร 2.4 พันล้านบาท ด้าน TikTok Shop ปีเดียว ทำรายได้ 12,000 ล้านบาท ขาดทุน 3,600 ล้านบาท

4 ประเด็นใช้อำนาจเหนือตลาด?

ภาวุธ มองว่า E-Marketplace ต่างชาติอาจกำลัง ใช้อำนาจเหนือตลาด จาก 4 ประเด็น ได้แก่

  1. ค่าธรรมเนียม: จากที่ช่วงแรกที่แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสให้บริการฟรี แต่ปัจจุบันเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชั่น ซึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดย ภาวุธ ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้ง Shopee และ Lazada มีการขึ้นค่าธรรมเนียมถึง 300% ภายในครึ่งปี ปัจจุบันค่าธรรมเนียมรวมแล้วอยู่ที่ 15-25%
  2. เลือกขนส่งเองไม่ได้: ร้านค้าไม่สามารถเลือกขนส่งเองได้ โดย ภาวุธ กล่าวว่า อาจมี ดีลลับ ระหว่างแพลตฟอร์มกับขนส่ง เพื่อให้บริษัทนั้น ๆ เป็นขนส่งรายเดียว ซึ่งทำให้แพลตฟอร์มได้กำไรมากขึ้น
  3. ไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ซื้อกับร้านค้า: บางแพลตฟอร์มจะไม่เปิดเผยข้อมูลลูกค้าให้กับร้านค้ารู้ ดังนั้น ถือเป็นการกีดกันไม่ให้ลูกค้าซื้อตรงกับร้านค้าโดยไม่ผ่านแพลตฟอร์มหรือไม่
  4.  เปลี่ยนนโยบายหรือปิดร้าน โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ 

นอกจากนี้ ภาวุธ มองว่า ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านการใช้อำนาจเหนือตลาด แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่กำลังทำให้ร้านค้ารายย่อยอยู่ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่คนทำธุรกิจทั่วประเทศต้องเข้า Marketplace แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังต้องเจอ ร้านจากต่างประเทศที่อาจจะทำไม่ถูกต้องถามกฎหมายไทย

“ไม่ใช่แค่ผูกขาดในตลาดอีคอมเมิร์ซ แต่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนส่ง ธนาคาร ประกัน และสื่อโฆษณา เพราะบางแพลตฟอร์มมีอีโคซิสเต็มส์ครบ” ภาวุธ กล่าว

ขึ้นค่าแพลตฟอร์มเพื่อส่วนลด จะทำรายย่อยตาย

เจตน์ โสภิตวิริยาภรณ์ เจ้าของเพจ Jade : เลือดสาดมาร์เกตติ้ง กล่าวเสริมว่า ตนทำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายกล้องติดรถยนต์ ปัจจุบันยอดขายหลักมาจาก Shopee (75%), Lazada (25%) และ TikTok (5%) ขณะที่ยอกขายผ่านเว็บไซต์ตัวเองแทบไม่มี และการขายบนแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสกำลังเผชิญความท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าธรรมเนียม, การเลือกขนส่ง และการแข่งขัน

โดยเฉพาะในเรื่องของ ค่าธรรมเนียม ที่เข้าใจว่าแพลตฟอร์มเก็บไปส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็น ส่วนลดให้ลูกค้า แต่มองว่า แพลตฟอร์มไม่จำเป็นต้องขึ้นค่าธรรมเนียม เพื่อมาให้ส่วนลดเยอะ ๆ ก็ได้ เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการ รายย่อยตาย อยู่ได้แค่รายใหญ่ นอกจากนี้ ขนส่ง ก็เป็นอีกประเด็นที่ร้าน เลือกเองไม่ได้ อีกทั้งบางแพลตฟอร์มยัง คิดค่าส่งเป็นรายได้ของร้าน ไม่ได้แยกระหว่างยอดขายกับค่าส่ง แปลว่าฐานภาษีของร้านจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

“มันจำเป็นไหมที่ต้องให้ส่วนลดเพื่อสปอยลูกค้าขนาดนั้น ทุกครั้งที่แพลตฟอร์มให้ส่วนลดลูกค้า แล้วมาขยับค่าธรรมเนียม มันอาจจะดีกับลูกค้าในระยะสั้น แต่ตอนนี้ร้านเล็กปิดไปเยอะมาก เพราะสู้รายใหญ่ที่ลงมาขายเองไม่ไหว เพราะส่วนลดที่ลูกค้าได้ มันถูกกว่าต้นทุนราคาขายส่งที่ผมต้องเปิดบิลเป็นล้านบาท แล้วอย่างนี้รายย่อยจะอยู่อย่างไร”

สุดท้าย การ แข่งกับผู้เล่นต่างชาติ ซึ่ง เจตน์ มองว่า ผู้ประกอบการไทย สู้ไม่ได้เพราะกฎระเบียบที่ไม่เอื้อ ซึ่งส่วนนี้อาจโทษแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสไม่ได้ แต่อยากให้กฎหมายไทยมีความเข้มงวดกับสินค้าจากต่างประเทศ

“อย่างร้านที่นำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มาขาย สายไฟต้องมี มอก. ต้องโดน กสทช. ตรวจสอบ ต้องเสียภาษี แต่ร้านที่ส่งจากต่างประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี บางทีก็เอา มอก. ปลอมมาสวม กลายเป็นว่าคนที่ทำธุรกิจแบบถูกต้อง ไม่สามารถสู้ได้ เพราะกฎระเบียบไม่ได้เอื้อให้ผู้ประกอบการไทยสู้”

สรุป ร่างประกาศคุมอีคอมเมิร์ซ

จากภาพรวมของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซที่สะท้อนการยึดตลาด ส่งผลให้ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ออกร่างประกาศแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มหลายด้าน (Multisided Platform) ประเภทธุรกิจบริการดิจิทัลแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าหรือบริการ (e-Commerce)” โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 (3) แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ พฤติกรรมด้านราคา และ พฤติกรรมทางการค้าอื่น

1. พฤติกรรมด้านราคา (Price Behavior)

  • ห้ามขายต่ำกว่าทุนโดยไม่มีเหตุผล: ป้องกันการทุ่มตลาดเพื่อทำลายคู่แข่ง
  • ห้ามกำหนดราคาขายเท่ากันทุกช่องทาง (Rate Parity): ผู้ขายควรมีอิสระในการตั้งราคาที่ต่างกันตามต้นทุนแต่ละช่องทาง เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกด้านราคา
  • ห้ามกำหนดราคาขายต่อ (Resale Price Maintenance): ห้ามบังคับผู้ขายให้ตั้งราคาตามที่แพลตฟอร์มกำหนด และห้ามปฏิเสธการจำหน่ายหากไม่ทำตาม
  • ห้ามเรียกเก็บค่าธรรมเนียมโดยไม่มีเหตุผล/ไม่แจ้งล่วงหน้า: ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าคอมมิชชั่น, ค่าโฆษณา, ค่าขนส่ง, ค่าโปรโมชั่น หรือค่าบริการชำระเงิน ต้องสมเหตุสมผลและมีการแจ้งล่วงหน้า

2. พฤติกรรมทางการค้าอื่น (Nonprice Behavior)

  • ห้ามกีดกันการมองเห็นและให้สิทธิพิเศษเฉพาะตน (Self-preferencing): ห้ามใช้ระบบอัลกอริทึมปิดกั้นการมองเห็นสินค้าของผู้ขายรายอื่น และห้ามเอื้อประโยชน์ให้สินค้าของตนเองหรือผู้ขายที่ตนได้ประโยชน์มากกว่า
  • ห้ามบังคับใช้บริการบางอย่าง: ห้ามบังคับให้ผู้ขายต้องใช้บริการขนส่ง (Carrier), บริการจัดการคลังสินค้า (Fulfillment) หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ของแพลตฟอร์มหรือที่แพลตฟอร์มกำหนดแต่เพียงผู้เดียว
  • ห้ามจำกัดสิทธิ (Exclusive Dealing) โดยไม่มีเหตุผล: เช่น การบังคับเข้าร่วมโปรโมชั่น, การบังคับใช้ระบบชำระเงิน (Payment), การบังคับซื้อโฆษณา หรือการปกปิดข้อมูลลูกค้า
  • ห้ามเลือกปฏิบัติ (Discrimination): ห้ามเลือกปฏิบัติในการจัดอันดับสินค้า, การแบ่งสัดส่วนคำสั่งซื้อ หรือการขนส่งพัสดุ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
  • ห้ามเอื้อประโยชน์แก่บริษัทในเครือ/ผู้ค้ารายอื่น: ห้ามนำข้อมูลลูกค้าหรือข้อมูลทางการค้าไปใช้ประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทในเครือ (เช่น ขายประกัน, เสนอสินเชื่อ) หรือผู้ค้ารายอื่น
  • ห้ามร่วมมือกันเพื่อลดการแข่งขัน: ห้ามแพลตฟอร์มคู่แข่งร่วมกันกระทำใด ๆ ที่มีผลเป็นการจำกัดการแข่งขัน เช่น การพร้อมใจกันขึ้นค่าธรรมเนียม
  • ห้ามกระทำที่ผิดหลักการทางธุรกิจ: ห้ามการกระทำใด ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ หรือการตลาด หรือไม่เป็นไปตามจารีตปฏิบัติธุรกิจปกติ
วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.)

คาดบังคับใช้ในปีนี้

วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เปิดเผยว่า ร่างประกาศจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 2568 และคาดว่าจะบังคับใช้ได้ทันที ดังนั้น คาดว่าประกาศจะบังคับใช้ภายในปีนี้แน่นอน และถ้าผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 50 การใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม 

โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในกรณีที่กระทำความผิดในปีแรกของการประกอบธุรกิจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม วิษณุ เชื่อว่า หลังจากที่ร่างได้บังคับใช้ ปัญหาเรื่องการบังคับเลือกขนส่งจะถูกแก้ไข แต่ในส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมการขาย อาจจะเข้าไปช่วยในเรื่องของการ ควบคุมไม่ให้ขึ้นค่าธรรมเนียมพร้อมกัน แต่ไม่สามารถไป กำหนดอัตราค่าธรรมเนียม เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของสำนักงาน กขค.

]]>
1543839
ใครได้ ใครเสีย เมื่อยักษ์ ‘อีคอมเมิร์ซ’ เปิดศึก ‘ส่งด่วน-สั่งวันนี้ ส่งวันนี้’ https://positioningmag.com/1537121 Mon, 08 Sep 2025 05:00:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537121 ตอนนี้บรรดายักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซทั้ง Lazada, Shopee และ TikTok Shop ต่างเปิดศึก ‘ส่งด่วน’ กำหนดกรอบเวลาการจัดส่งใหม่ ‘สั่งวันนี้ ส่งวันนี้’ โดยให้เหตุผล ‘ทำเพื่อผู้บริโภค’ อย่างไรก็ตามได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎใหม่นี้เป็นการเพิ่มภาระและส่งกระทบต่อ ‘ร้านค้า’ ซึ่งเป็นผู้ขายหรือไม่

 

Shopee

 

• Shopee ได้ขยับกรอบการจัดส่งสินค้าใหม่กำหนดเวลาการตัดรอบ 12.00 น. มีไปเมื่อ 1 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา

 

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อนเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลังเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

• หากเกินกรอบเวลาที่กำหนด จะถูกนับเป็น ‘ออเดอร์ล่าช้า’ และร้านค้าจะต้องมีเรทอัตราการจัดส่งที่ล่าช้า LSR (Late Shipment Rate) ไม่เกิน 15% ในระยะเวลา 7 วันย้อนหลัง ถ้าร้านค้ามีออเดอร์จัดส่งล่าช้าเกินกว่ากำหนดจะถูกตัดคะแนน และอาจจะถูกตัดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

 

TikTok Shop

 

TikTok Shop ได้ปรับกรอบเวลาการจัดส่งสินค้าเช่นกัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป   

 

• ในวันทำการ

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อนเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน

– คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลังเที่ยง’ ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

• ในวันหยุดทำการ หากลูกค้าสั่งซื้อสินค้า ร้านค้าจะต้องส่งสินค้าภายในวันทำการถัดไป

 

หากร้านค้าไม่สามารถจัดส่งได้ทันกรอบเวลาที่กำหนด จะถูกคิดเป็นอัตราการจัดส่งล่าช้า หรือ LDR (Late Dispatch Rate) ซึ่งส่งผลเสียต่อคะแนนของร้านค้า

 

อย่างไรก็ตาม ทาง TikTok Shop ได้กำหนด ‘ช่วงปรับตัว’ สำหรับร้านค้าไปจนถึงวันที่ 1 พ.ย.2568 เพื่อให้ร้านค้ามีระยะเวลาในการปรับตัวเข้ากับกรอบเวลาใหม่ ด้วยการผ่อนปรนมาตรการในการคำนวณ LDR และอัตราการยกเลิกจากข้อผิดพลาดของผู้ขาย  

 

Lazada

 

สำหรับ Lazada ได้เริ่มนโยบายส่งด่วนไป ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 โดยกำหนดเวลาตัดรอบออเดอร์ไว้ที่ 11.00 น.

 

• ในวันทำการ

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อน 11 .00 น.’ ร้านค้าต้องส่งวันเดียวกัน

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลัง 11.00 น.’ ร้านค้าต้องจัดส่งสินค้าภายในวันถัดไป

 

•ในวันหยุดทำการ

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘ก่อน 11.00 น.’ ร้านค้าต้องส่งมอบให้กับขนส่งในวันทำการถัดไปภายในเวลา 23.59 น.

-คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จ ‘หลัง 11.00 น.’ ร้านค้าจะส่งมอบสินค้าให้ขนส่งใน 2 วันทำการถัดไปภายในเวลา 23.59 น.

 

• สำหรับ Lazada การกำหนดระยะเวลาเตรียมจัดส่งสินค้าจะถูกวัดจาก ‘อัตราการจัดส่งเร็ว’ หรือ FFR (Fast Fulfillment Rate) ซึ่งหากส่งสินค้าล่าช้า คะแนน FFR จะลดลง มีผลให้ร้านค้าอาจไม่ได้รับสิทธิพิเศษเข้าร่วมแคมเปญ หรือถูกลดอันดับการมองเห็น

 

กฎใหม่ที่ออกมาผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีเคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า เป็นการยกระดับประสบการณ์การให้บริการเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค เพราะ ‘ความเร็ว’ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

 

อย่างไรก็ตาม ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎใหม่นี้กำลังสร้างแรงกดดันและเพิ่มภาระให้กับ ‘ร้านค้า’ หรือไม่      โดยเฉพาะ ‘รายเล็ก’ ที่มีทีมงานน้อย และไม่มีคลังสินค้าที่จะสต็อกสินค้าให้พร้อมส่งทันทีได้

 

นอกจากนี้ ร้านค้าหลายรายยังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าสินค้า ค่าจ้างพนักงาน ค่าขนส่ง รวมไปถึงการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบนแพลตฟอร์มที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้น 15-30% ประกอบกับปัจจุบันร้านค้าหลายแห่งต้องเผชิญปัญหายอดขายตก จากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคตกต่ำ

]]>
1537121
สรุปอินไซต์น่าสนใจตลาด ‘อีคอมเมิร์ซไทย’ และเทรนด์ใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป https://positioningmag.com/1536481 Wed, 03 Sep 2025 07:31:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1536481 สรุปอินไซต์ ‘ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย’ ที่แม้ GDP บ้านเราจะเติบโตน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และเศรษฐกิจอยู่ช่วงขาลง แต่ ‘คนไทย’ ยังครองแชมป์ ‘ขาช้อป’ ที่จับจ่ายออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก รวมถึงมีเทรนด์การใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลง โดยเน้นความคุ้มค่า ซึ่งไม่ได้มองแค่ ‘ราคาถูก’ ยังมองคุณภาพ การใช้งานในระยะยาว บริการ และความน่าเชื่อถือ

 

อี-คอมเมิร์ซไทยโตสวน GDP

 

‘วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ตอนนี้แม้เศรษฐกิจภาพรวม ดูจะชะลอตัวลง และ GDP ประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนแล้วจะมีการเติบโตน้อยกว่า แต่มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยกลับมีการเติบโตสวนกระแส และคนไทยไม่ได้ช้อปออนไลน์น้อยลงเลย

 

ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเป็นอย่างไร

 

-ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทย ปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เติบโต 21.7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่เติบโต 12%

-67% ของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยขับเคลื่อนโดย E-Marketplace

-การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปี 2568 ยอดขายสินค้าบนอีคอมเมิร์ซคิดเป็น 1 ใน 4 ของตลาดค้าปลีกไทยแล้ว

-คาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย จะมีมูลค่าเติบโตรวม 2 ล้านล้านบาท ในอีก 5 ปี หรือภายในปี 2573

 

สำหรับปัจจัยการเติบโตที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่ทำให้นักช้อปไทยเปิดใจและหันมาใช้บริการซื้อของออนไลน์มากขึ้น โดยนักช้อปไทยมีการซื้อของออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงสุดเป็น ‘อันดับ 1 ของโลก’ คิดเป็น 68.2% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 56.1%

คนไม่ได้ดูแค่ของถูกแต่หาความคุ้มค่า

 

นอกจากเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ‘พฤติกรรม’ ขาช้อปออนไลน์ไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน

 

วาริสฐาบอกว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยมีผู้บริโภคประมาณ 43.5 ล้านคน ที่น่าสนใจ คือ คนช้อปออนไลน์มีทุกเจนเนเรชั่น แบ่งเป็น

-กลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีสัดส่วน 62% ของตลาด

-Gen X มีสัดส่วน 33% ของตลาด

นอกจากนี้ คนไทยมองหา ‘ความคุ้มค่า’ ในทุกการช้อป ซึ่งความคุ้มค่าไม่ใช่ ‘ราคาถูก’ แต่ให้ความสำคัญกับ คุณภาพ, การใช้งานในระยะยาว, การบริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ สะท้อนจาก

 

-ช่วงแคมเปญมียอดสั่งซื้อเพิ่มกว่า 15%

-50% ของคำสั่งซื้อช่วงแคมเปญมีการใช้คูปองหลายต่อ ทั้งส่งฟรีและส่วนลด

-ยอดขายช่วงเมกะแคมเปญ และ Double Digits เพิ่มขึ้น 300% เมื่อเทียบกับเวลาปกติ

 

“ในอดีตพฤติกรรมนักช้อปไทยจะมองความคุ้มค่าในเรื่องราคา แต่ในปีนี้ลูกค้ามองคำว่าคุ้มค่าแบบองค์รวม ดูตั้งแต่คุณภาพ การใช้งานในระยะยาว บริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากกว่าราคาถูก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เปลี่ยนไปมาก”

 

อีกความน่าสนใจ คือ นักช้อปคนไทยหันมาซื้อแบรนด์แท้มากขึ้น เห็นชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่แม้สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ยอดขายจาก LazMall ซึ่งการันตีขายของแท้มีการเติบโตขึ้น 22% และมีการใช้จ่ายต่อบิลต่อครั้งเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,000 บาท

จากการเติบโตที่เกิดขึ้น ทางลาซาด้า ประกาศวิสัยทัศน์ Next-Level eCommerce ในการเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ ประกอบด้วย

  1. บุกเบิกและยกระดับมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง
  2. มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มพรีเมียมและศูนย์รวมแบรนด์ชั้นนำ
  3. สร้างการเติบโตในระยะยาวด้วยคุณภาพอย่างแท้จริง

4.เดินหน้าสร้างคุณค่าและผลกระทบเชิงบวกให้กับผู้ซื้อ, แบรนด์, ผู้ขาย และพันธมิตรอย่างยั่งยืน

 

โดยวิสัยทัศน์ดังกล่าว จะเดินหน้าผ่าน 3 แกนหลัก

1.คัดสรรสินค้าคุณภาพครบทุกหมวดหมู่ (High-Quality Assortment) : นำเสนอสินค้าแบรนด์แท้ 100% ตลอดจนสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ลาซาด้า ผ่าน LazMall และ LazMall Luxury ที่มีมากกว่า 32,000 แบรนด์ทั่วทั้งภูมิภาค ควบคู่กับเพิ่มความหลากหลายด้วยหมวดหมู่ขายดีอย่าง LazBEAUTY, LazLOOK และ Lazada Electronics

รวมถึงนำร่องโมเดลค้าส่งสำหรับลูกค้าธุรกิจ (B2B) ตอบโจทย์ความต้องการผู้ประกอบการ ด้วยสินค้ากว่า 15,000 รายการ ครอบคลุมหมวดเกษตรกรรม อุปกรณ์ประปา และอุปกรณ์ไฟฟ้า

2.มอบประสบการณ์การช้อปที่เหนือกว่า (High-Quality Experience) ด้วย 4 การันตีจาก LazMall (การันตีสินค้าแบรนด์แท้ 100%-จัดส่งตรงเวลา-คืนสินค้าพร้อมเงินคืนไว-การันตีสต๊อกพร้อม), โปรแกรมส่งเร็วพิเศษ Priority Delivery 24 Hours สั่งซื้อสินค้าภายในเที่ยง ได้รับสินค้าในวันถัดไป ฯลฯ

3.ดึงอินไซต์สร้างอิมแพคผ่านแคมเปญคุณภาพ (High-Quality Campaign)

]]>
1536481
อินโดนีเซียอยู่ระหว่างสอบสวน Shopee และ Lazada อาจมีพฤติกรรมผูกขาด เน้นใช้บริการขนส่งของตัวเองเป็นหลัก https://positioningmag.com/1475286 Tue, 28 May 2024 02:11:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475286 หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของอินโดนีเซียอยู่ระหว่างสอบสวน Shopee และ Lazada อาจมีพฤติกรรมว่าอาจมีพฤติกรรมละเมิดกฎต่อต้านการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีในการใช้บริษัทขนส่งของตัวเองนั้นอาจทำให้ผู้บริโภคนั้นไม่สามารถเลือกบริษัทขนส่งได้อย่างอิสระ

หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของอินโดนีเซีย (KKPU) กำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน 2 ผู้เล่น E-commerce รายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Shopee รวมถึง Lazada ว่าอาจมีพฤติกรรมละเมิดกฎต่อต้านการแข่งขัน ซึ่งถ้าหากมีผู้เล่นรายใดรายหนึ่งทำผิดจริง อาจต้องจ่ายค่าปรับจำนวนมาก

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้นมีการสอบสวนในฝั่งของ Shopee ในวันนี้ (อังคารที่ 28 พฤษภาคม) ว่าอาจมีการละเมิดกฎต่อต้านการแข่งขัน ขณะที่ฝั่งของ Lazada นั้นหน่วยงานพบว่ามีเหตุต้องสงสัยว่าอาจมีพฤติกรรมละเมิดกฎต่อต้านการแข่งขัน

รายงานของ DealStreetAsia ได้ชี้ว่า Shopee มีพฤติกรรมที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจขนส่งสินค้าของตัวเองอย่าง SPX ซึ่งถือเป็นการกีดกันไม่ให้บริษัทขนส่งรายอื่นเข้ามาทำธุรกิจ เพิ่มปริมาณการจัดส่งสินค้าให้กับบริษัทตัวเอง และยังเป็นการจำกัดทางเลือกของผู้บริโภค

M. Fanshurullah Asa ประธานของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของอินโดนีเซีย ได้กล่าวว่า Shopee และ Lazada มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันในเรื่องดังกล่าว แต่เขาไม่ได้กล่าวในรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม

ประเทศอินโดนีเซียนั้นตลาดในการขนส่งสินค้าถือว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีการแข่งขันสูง และมีผู้เล่นหลายรายทั้งผู้เล่นภายในประเทศอย่าง เช่น GoTo หรือแม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Grab หรือแม้แต่ J&T Express

นอกจากนี้อินโดนีเซียเองยังเป็นประเทศที่หน่วยงานกำกับดูแลคุ้มครองผู้ประกอบการภายในประเทศ ในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น TikTok หรือแม้แต่ Meta นั้นถูกการกำกับดูแลในเรื่องดังกล่าวมาแล้ว

ถ้าหาก 2 ผู้เล่นรายใหญ่ของ E-commerce รายดังกล่าวถูกตัดสินคดีว่ามีความผิดจริง โทษปรับที่บริษัทจะโดนคือปรับกำไร 50% หรือรายได้จากยอดขาย 10% ในช่วงเวลาที่เกิดการกระทำผิด

ที่มา – Reuters, Inquirer

]]>
1475286
Lazada ปลดพนักงานในสิงคโปร์ มาเลเซีย ให้เหตุผลปรับโครงสร้างในบริษัทเพื่อรองรับอนาคต https://positioningmag.com/1457663 Thu, 04 Jan 2024 07:53:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457663 ลาซาด้า (Lazada) ยักษ์ใหญ่ E-commerce ในอาเซียน ได้ประกาศปลดพนักงานในสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยให้เหตุผลเรื่องการปรับโครงสร้างของบริษัทเพื่อรองรับอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทกำลังเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งทั้ง Temu และ Shein รวมถึง TikTok Shop ที่กำลังรุกคืบเข้ามา

The Edge และ The Strait Times ของสิงคโปร์ ได้รายงานข่าวว่า Lazada ผู้ให้บริการ E-commerce รายใหญ่ในอาเซียน ได้ประกาศปลดพนักงานในสิงคโปร์ออก โดยตัวแทนบริษัทได้ให้เหตุผลการปรับโครงสร้างในบริษัท เพื่อรองรับธุรกิจในอนาคต

สื่ออย่าง The Edge รายงานว่าพนักงานที่ถูกปลดได้รับการนัดให้พูดคุยกับฝ่ายบุคคลในวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา พนักงานรายหนึ่งที่ถูกปลดและขอให้ไม่ระบุตัวตน ได้กล่าวกับ The Edge ว่า ห้องประชุมในสำนักงานของ บริษัทนั้นฝ่ายบุคคลของบริษัทได้จองไว้ทั้งสัปดาห์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าการปลดพนักงานนั้นอาจยังไม่สิ้นสุด

นอกจากนี้สื่อรายดังกล่าวยังรายงานว่าแผนกที่เกี่ยวข้องกับการตลาดที่สำนักงานสิงคโปร์ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ทางด้าน Strait Times ได้ถามความเห็นไปยังตัวแทนของบริษัท โดยตัวแทน Lazada ได้กล่าวว่า การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้ทำไปเพื่อสร้างความมั่นใจว่าบริษัทอยู่ตำแหน่งที่ดีกว่า

ขณะที่ Tech in Asia รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Lazada อาจปลดพนักงานมากถึง 30% ขององค์กร โดยหลังจากการปลดพนักงานในสิงคโปร์แล้ว ประเทศต่อไปที่จะมีการปลดพนักงานคือประเทศมาเลเซีย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการปลดพนักงานของบริษัทเนื่องจากการแข่งขันระหว่างธุรกิจ E-commerce ในอาเซียนดุเดือดมากขึ้น Lazada เองถือว่าเป็นผู้เล่นรายใหญ่อันดับ 2 เมื่อเทียบในแง่ของยอดขายรวม อย่างไรก็ดีคู้แข่งรายสำคัญอย่าง Temu ของ Pinduoduo และ Shein เองได้รุกตลาดอาเซียนมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งรายใหญ่อย่าง TikTok Shop เองก็รุกตลาดอาเซียนเช่นกัน และยังรวมถึงคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Shopee ที่ในอดีตทั้ง 2 ฝ่ายเคยแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงลูกค้ามาแล้ว

เมื่อกลางเดือนธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมา ได้มีรายงานข่าวว่า Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้ตัดสินใจอัดฉีดเม็ดเงินมากถึง 634 ล้านเหรียญสหรัฐมาแล้ว 

Lazada เองมีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง และ The Strait Times รายงานว่าบริษัทมีการปลดพนักงานรอบล่าสุดคือเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาในสิงคโปร์ ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันจากคู่แข่งที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่

]]>
1457663
Alibaba อัดฉีดเงินเข้า Lazada อีกราว ๆ 22,100 ล้านบาท สู้ศึก E-commerce ในอาเซียนต่อ https://positioningmag.com/1455938 Fri, 15 Dec 2023 14:07:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455938 อาลีบาบา ยังอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ ลาซาด้า อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินมากถึง 634 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว ๆ 22,1000 ล้านบาท ทำให้ทั้งปีนั้นมีการอัดฉีดเงินไปแล้วมากกว่า 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐเข้าไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงศึก E-commerce ในอาเซียนยังคงดุเดือด

Alibaba ได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ Lazada อีก 634 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยราว ๆ 22,100 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้ยื่นเอกสารให้กับหน่วยงานในประเทศสิงคโปร์ เป็นการส่งสัญญาณว่าตลาด E-commerce ในอาเซียนยังคงร้อนแรง และผู้เล่นรายต่าง ๆ ต้องการชิงส่วนแบ่งให้ได้มากที่สุด

การอัดฉีดเม็ดเงินครั้งสุดท้ายนั้นเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดย Alibaba ได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปใน Lazada มากถึง 845 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว ๆ 29,000 ล้านบาท

ในช่วงที่ผ่านมาตลาด E-commerce ในอาเซียนนั้นมีผู้เล่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น Temu ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มลูกของ Pinduoduo ที่เริ่มรุกตลาดฟิลิปปินส์เป็นแห่งแรก และมาเลเซียเป็นประเทศต่อมา

ไม่เว้นแม้แต่ TikTok เองที่เร่งขยายแพลตฟอร์มอย่างหนัก โดยล่าสุดได้ลงทุนมากถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจ E-commerce ของ GoTo หลังจากที่ TikTok Shop โดนรัฐบาลอินโดนีเซียออกมาตรการป้องกันไม่ให้เจ้าของแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมให้บริการด้าน E-commerce โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องบรรดาผู้ประกอบการในประเทศ

การอัดฉีดเม็ดเงินดังกล่าวเข้าสู่ Lazada นั้นจะทำให้ทั้งปี 2023 นั้น Alibaba อัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปแล้วมากกว่า 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยคือมากกว่า 63,000 ล้านบาทไปแล้ว โดยยักษ์ใหญ่จากจีนได้อัดฉีดเงินบ่อยมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา

นอกจากนี้การอัดฉีดเงินเข้าสู่ Lazada เอง ยังส่งสัญญาณว่า Alibaba เองยังต้องการที่จะสู้ศึก E-commerce ในอาเซียนต่อไป แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้นก็ตาม เพราะไม่งั้นแล้วการสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดไปนั้นอาจทำให้แม้จะประหยัดเงินไปในระยะสั้น แต่ระยะยาวอาจสร้างผลเสียมากกว่า และคู่แข่งเองก็พร้อมที่จะสู้เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเสมอ

ที่มา – Nikkei Asia, Kr-Asia, Panda Daily

]]>
1455938
ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยเกม! ‘ลาซาด้า’ ดันฟีเจอร์ ‘เกม’ แจกคอยน์ตรึงผู้ใช้ พร้อมขยายเวลา 11.11 เป็น 3 วัน https://positioningmag.com/1450517 Fri, 03 Nov 2023 03:58:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450517 หลังจากที่ทั่วโลกเกิดการระบาดของ COVID-19 แพลตฟอร์ม ‘อีคอมเมิร์ซ’ ก็เติบโตอย่างมากหลัก 100% และแม้ว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติแล้วก็ตาม แต่ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยยังเติบโตได้ถึง 16% ขึ้นแท่น Top 5 ประเทศที่มีการเติบโตสูงสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการช้อป ออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ใช้ Laz Game ตรึงผู้ใช้

มาริสา ยูนิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ ลาซาด้า ประเทศไทย ยอมรับว่า เพราะผู้บริโภคมีความหลากหลายและมีการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้ความท้าทายของ ลาซาด้า คือ จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเอนเกจและ อยู่กับแพลตฟอร์มนานขึ้น ไม่ใช่แค่เข้ามาซื้อของที่ต้องการแล้วไป

ดังนั้น ลาซาด้าจึงดันฟีเจอร์ ลาซเกม (Lazgame) ผ่านกลยุทธ์เกมมิฟิเคชัน (Gamification) มาสร้างประสบ การณ์การช้อปปิงออนไลน์ เพื่อตรึงผู้ใช้ให้อยู่กับแพลตฟอร์มนานขึ้น และมีส่วนร่วมมากขึ้น โดย มาริสา ยอมรับว่า เกมไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมานานแล้ว และคู่แข่งก็มี แต่มั่นใจว่าจุดแตกต่างของลาซาด้าคือ สิทธิประโยชน์ที่ มากกว่า โดยการเล่นเกมจะทำให้ผู้ใช้ได้ ลาซคอยน์ (LazCoin) ซึ่งสามารถไปแลกเป็น คูปองส่วนลด ได้

มาริสา ยูนิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ ลาซาด้า ประเทศไทย

“เมื่อก่อนเรามีคูปองให้เขามาเก็บ เขาก็มาเก็บตามเวลาแล้วก็ไม่มีเอนเกจอะไร แต่หลังจากที่เรามีเกมให้เขาเล่น เราพบว่า 80% ของคนเล่นเกมกลับมาใช้งานทุกสัปดาห์ และอยู่นานขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับนักช้อปทั่วไป ดังนั้น เกมช่วยให้อยู่นานขึ้น มีเอนเกจ และมีแนวโน้มที่จะมีลอยัลตี้มากกว่า”

นอกจากนี้ ฟีเจอร์ลาซเกมยังเพิ่มโอกาสให้ลาซาด้าทำกิจกรรมร่วมกับ แบรนด์ โดยแบรนด์สามารถเข้ามา เป็นสปอนเซอร์หรือทำการตลาดกับลาซเกมได้ อย่างเช่น เกม LazLand ที่ให้รางวัลเป็น ข้าวหอมมะลิทองฟรี 1 ถุง ซึ่งก็ได้การสนับสนุนจากแบรนด์ข้าว เป็นต้น

ปัจจุบัน ลาซเกมมีทั้งหมด 3 เกม ได้แก่ GoGoMatch และ Merge Boss ซึ่งเป็นเกมที่มีเหมือนกันทั้ง 6 ประเทศได้ ส่วนเกม LazLand เป็นเกมที่พัฒนาโดยลาซาด้า ประเทศไทย

ขยายเวลา 11.11 เป็น 3 วัน

สำหรับแคมเปญ 11.11 ที่เป็นเมกะแคมเปญของลาซาด้า ปีนี้ได้ขยายเวลาเพิ่มเป็น 3 วัน เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับนักช้อป เพราะจากผลสำรวจพบว่า นักช้อปมีความตั้งใจซื้ออยู่แล้ว โดยเฉพาะ สินค้าที่มีราคาสูง เช่น หมวดบิวตี้และสินค้าไอที นอกจากนี้ ลาซาด้ายังสร้างอแวร์เนสด้วยกิจกรรม Online To Offline โดยจะมีอีเวนท์ออฟไลน์ที่สยามพารากอน โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 12 พฤศจิกายน ควบคู่ไปกับกิจกรรมออนไลน์

“เรามีแคมเปญดับเบิ้ลเดย์ใหญ่ เช่น 3.3, 6.6, 9.9 แต่ 11.11 และ 12.12 ถือเป็นแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี และเป็นแคมเปญที่มีเม็ดเงินใหญ่สุด เพราะเป็นช่วงที่คนหาซื้อของขวัญ ทำให้สินค้าที่ขายดีในช่วงนี้เป็นสินค้าที่มีราคาสูง ส่วนสินค้าขายดีช่วงอื่น ๆ ก็จะเป็นตามเทรนด์ เช่น หม่าล่า หรือ Arts Toy”

ชยพร ลัทธิโสภณกุล ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการตลาด

เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ค้นด้วยรูป

ชยพร ลัทธิโสภณกุล ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการตลาด กล่าวว่า ปีนี้ลาซาด้ามีฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาสินค้าและช่วยให้นักช้อปตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น อาทิ

  • Image Search: ฟีเจอร์ Image Search ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยค้นหา โดยนำรูปภาพไอเท็มที่ต้องการมา สแกน หรือถ่ายรูปผ่านแอปลาซาด้า ผลการค้นหาก็จะแนะนำไอเท็มที่ใกล้เคียงกันมาให้ ซึ่งผลการสำรวจ พบว่า นักช้อปไทยถึง 92% ตัดสินใจซื้อสินค้าที่พวกเขาพบจากฟังก์ชันค้นหาบนแอปลาซาด้า1
  • Put in My Home: ฟีเจอร์ใหม่บน LazHome ใช้นวัตกรรม Augmented Reality เข้ามาช่วยให้นักช้อปสามารถทดลองวางเฟอร์นิเจอร์และไอเท็มตกแต่งบ้านอื่น ๆ ในห้องบนภาพพื้นที่จริง โดยฟีเจอร์นี้จะวางภาพสินค้าซ้อนทับลงบนภาพสถานที่จริงจากกล้องบนสมาร์ทโฟน
]]>
1450517
Alibaba อัดฉีดเงินเข้า Lazada อีกเกือบ 29,000 ล้านบาท หลังคู่แข่งประกาศรุกตลาดอาเซียนหนัก https://positioningmag.com/1438462 Fri, 21 Jul 2023 06:33:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438462 Alibaba ได้อัดฉีดเงินเข้า Lazada เกือบ 29,000 ล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากการแข่งขันของธุรกิจ E-Commerce ในอาเซียนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของ TikTok Shop 

เว็บไซต์ Tech in Asia รายงานว่า Alibaba ได้อัดฉีดเงินเข้า Lazada แพลตฟอร์ม E-Commerce รายใหญ่ของบริษัท โดยเม็ดเงินดังกล่าสูงถึง 845 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 29,000 ล้านบาท

สาเหตุสำคัญที่มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้า Lazada เป็นจำนวนมากคือการแข่งขันที่สูงในแพลตฟอร์ม E-Commerce ซึ่งบริษัทมีคู่แข่งสำคัญคือ Shopee รวมถึง TikTok Shop ที่บริษัทแม่อย่าง ByteDance ได้ผลักดันอย่างหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ข้อมูลจาก Momentum Works ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยในสิงคโปร์ ชี้ว่า Lazada เป็นผู้เล่นอันดับ 2 ของแพลตฟอร์ม E-Commerce ในอาเซียนโดยมียอดขายสินค้าออนไลน์รวมในแพลตฟอร์ม (GMV) 20,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรองคู่แข่งอันดับ 1 อย่าง Shopee ของ Sea ซึ่งมี GMV สูงถึง 47,900 ล้านเหรียญสหรัฐ

ตลาด E-Commerce ในอาเซียนถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ข้อมูลจากรายงานของ Bain และ Google รวมถึง Temasek ที่จัดทำขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมปี 2022 ที่ผ่านมาชี้ว่าอัตราการเติบโตสูงถึง 20% ต่อปีจนถึงปี 2025 ทำให้บริษัทเทคโนโลยีทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้นสนใจเข้ามาทำธุรกิจดังกล่าวจำนวนมาก

สำหรับเม็ดเงินที่อัดฉีดเข้า Lazada โดย Alibaba มากที่สุดคือในช่วงปี 2018 ที่ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจากจีนอัดฉีดเงินมากถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐเข้าแพลตฟอร์ม E-Commerce ในอาเซียน รองลงมาคือในปี 2022 อีกราวๆ 913 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในช่วงเวลาปกติจะมีการอัดฉีดเงินไม่เกิน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ

Lazada ปัจจุบันบริษัทอยู่ภายใต้ธุรกิจ E-Commerce นอกประเทศจีน หลังจากที่ทาง Alibaba ได้ประกาศแยกธุรกิจออกเป็น 6 หน่วยธุรกิจ ซึ่งแต่ละยูนิตนั้นจะมีการแต่งตั้งผู้บริหารเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถที่จะระดมทุนเพิ่มเติมหรือเข้าตลาดหลักทรัพย์หลังจากนี้ตามแต่การตัดสินใจได้

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีข่าวว่า Aliababa เตรียมที่จะนำธุรกิจ E-commerce ในต่างประเทศ ซึ่งมีธุรกิจลูกในเครือเช่น Aliexpress และ Lazada ฯลฯ เข้า IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะเข้าระดมทุนในช่วงปีหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นการอัดฉีดเงินในรอบท้ายๆ ก่อนที่ยูนิตดังกล่าวจะเข้า IPO หลังจากนี้

]]>
1438462
UBS ชี้การเข้ามาของ TikTok Shop และ Shein อาจกดดันมาร์จิ้นของ Shopee ได้หลังจากนี้ https://positioningmag.com/1433621 Fri, 09 Jun 2023 08:53:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433621 รายงานล่าสุดจาก UBS สถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ที่วิเคราะห์กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียน ได้มองว่าการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง TikTok Shop และ Shein อาจกดดันรายได้ โดยเฉพาะกรณีของ Shopee ทื่มองว่ามาร์จิ้นนั้นอาจหายไปบางส่วนได้

บทวิเคราะห์จาก UBS ที่วิเคราะห์กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 มองว่าการเข้ามาของ TikTok และ Shein นั้นอาจกดดันยอดขายสินค้าออนไลน์รวม (GMV) ของกลุ่ม E-commerce โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Shopee

UBS ยังชี้ว่าแบรนด์สินค้าหลายยี่ห้อเองได้เลือกทำธุรกิจแบบ Direct-to-Customer (D2C) เองก็ยังสร้างแรงกดดันต่อผู้เล่น E-commerce ในตลาดอาเซียนอีกด้วย และ UBS ยังชี้ว่าการดำเนินธุรกิจแบบ D2C ของแบรนด์ต่างๆ จะกดดันต่อ GMV ของบริษัทหลังจากนี้

ก่อนหน้านี้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok เองก็หมายมั่นปั้นมือว่าการเข้ามาในธุรกิจ E-commerce ของบริษัทอย่าง TikTok Shop นั้นจะช่วยทำให้บริษัทมี GMV มากถึง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ปี 2022 ทีผ่านมาบริษัทมี GMV ราวๆ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดที่บริษัทโฟกัสมากสุดก็คืออาเซียน

โดย UBS ชี้ว่าการเข้ามาของ TikTok และ Shein จะทำให้มาร์จิ้นเมื่อเทียบกับ GMV ของ Shopee หายไปถึง 1.9% ในปีนี้ และ 2.5% ในปี 2024

UBS รวบรวมและใช้ข้อมูลของ Sensor Tower เพื่อดูยอดผู้ใช้งานต่อเดือน (MAU) ของผู้เล่นต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลล่าสุดเดือนเมษายนที่ผ่านมา Shein อยู่อันดับ 1 ตามมาด้วย Shopee Lazada Ebay ตามลำดับ ซึ่งทาง Shein มีผู้ใช้งานต่อเดือนที่เติบโตถึง 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ผู้เล่นรายอื่นในไทยนั้น MAU เติบโตน้อยมาก

ขณะที่ตลาดประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย MAU เบอร์ 1 ยังเป็น Shopee ขณะที่ Shein ตามมาเป็นอันดับ 2 ขณะที่อินโดนีเซียผู้นำยังคือ Shopee ยกเว้นเวียดนามที่ Shein แซงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แล้ว

อย่างไรก็ดี UBS ได้ชี้ว่าตัวเลข MAU อาจไม่สามารถนำมาชี้วัดถึง GMV ได้

ไม่เพียงเท่านี้ในรายงานของ UBS ยังชี้ถึงธุรกิจส่งอาหารในอาเซียนว่า Grab เองกำลังแย่งส่วนแบ่งตลาดจากผู้เล่นอื่น ไม่ว่าจะเป็น GoTo รวมถึงผู้เล่นอีกรายอย่าง foodpanda และชี้ว่า GMV ของ GoTo ยังไม่กลับมาฟื้นตัวแม้จะผ่านไปถึงช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ก็ตาม

]]>
1433621
Bloomberg รายงาน Alibaba พิจารณาเตรียมนำ Lazada และ Aliexpress เข้า IPO ในช่วงปีหน้า https://positioningmag.com/1429557 Thu, 04 May 2023 12:51:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429557 ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจากจีนอย่าง Alibaba มีข่าวว่าเตรียมที่จะนำธุรกิจ E-commerce ในต่างประเทศ ที่นำโดย Aliexpress และ Lazada เข้า IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะเข้าตลาดหุ้นในช่วงปีหน้า หลังจากที่บริษัทได้ประกาศแยกธุรกิจออกมาเป็น 6 หน่วยธุรกิจไม่นานมานี้

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Alibaba บริษัทเทคโนโลยีจากจีน เตรียมนำธุรกิจ E-commerce ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Aliexpress และ Lazada ฯลฯ เข้าระดมทุนในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าช่วงเวลา IPO นั้นจะอยู่ในช่วงปีหน้า

แผนการดังกล่าวของ Alibaba นั้นตามมาหลังจากที่บริษัทได้ประกาศแยกธุรกิจออกมาเป็น 6 หน่วยธุรกิจด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนส่ง ธุรกิจ E-commerce ทั้งในจีนและนอกประเทศจีน ธุรกิจความบันเทิง ฯลฯ และธุรกิจดังกล่าวนี้จะมีทีมและบอร์ดผู้บริหารเป็นของตัวเอง

ธุรกิจ E-commerce ในต่างประเทศของ Alibaba นั้นนักวิเคราะห์ต่างให้มูลค่าธุรกิจแตกต่างกันไป โดยนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley คาดว่ามูลค่ากิจการจะอยู่ที่ 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์จาก CICC วาณิชธนกิจในจีนคาดว่ามูลค่ากิจการจะอยู่ที่ 39,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ก่อนหน้านี้ Alibaba เองมีแผนที่นำธุรกิจอย่าง Lazada เข้า IPO มาแล้ว แต่ก็ได้พับแผนดังกล่าวไป รวมถึงมีแผนการระดมทุนเพิ่มเติมแต่ก็พับแผนไปเช่นกัน

ข้อมูลจาก Bloomberg ได้วิเคราะห์ว่ารายได้ของธุรกิจ E-commerce ในต่างประเทศของ Alibaba ในปี 2022 อยู่ที่ 9,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 7.2% ของรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวรายดังกล่าวได้ชี้ว่าขั้นตอนดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาขั้นต้นเท่านั้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ และตัวแทนของธุรกิจ E-commerce ในต่างประเทศของ Alibaba ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่าบริษัทยังไม่มีแผน IPO แต่อย่างใด

]]>
1429557