LinkedIn – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 08 Mar 2024 08:25:41 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Linkedin มีรายได้จากสมาชิกพรีเมียมมากกว่า 60,000 ล้านบาทแล้ว ผู้บริหารชี้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังตึงตัว https://positioningmag.com/1465602 Fri, 08 Mar 2024 07:21:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465602 ลิงค์อิน (Linkedin) แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มุ่งเน้นด้านธุรกิจ ได้เปิดเผยรายได้จากสมาชิกพรีเมียมนั้นมีมากกว่า 60,000 ล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ผู้บริหารของบริษัทยังชี้ถึงตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังตึงตัว ทำให้มีการแข่งขันในการหางานไม่น้อย ซึ่งส่งผลถึงรายได้ของบริษัท

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า ลิงค์อิน (Linkedin) แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มุ่งเน้นด้านธุรกิจ ได้เปิดเผยรายได้สมาชิกพรีเมี่ยมในปี 2023 อยู่ที่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ราวๆ 60,360 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เปิดเผยตัวเลขดังกล่าวเป็นครั้งแรกหลังจากที่อยู่ใต้ชายคาของ Microsoft

การเปิดเผยตัวเลขรายได้จากสมาชิกแบบพรีเมียมดังกล่าวถือเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ Microsoft ได้เข้าซื้อกิจการของ Linkedin ในปี 2016 ด้วยเม็ดเงินมากกว่า 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปกติตัวเลขดังกล่าวนั้นจะเปิดเผยเพียงแค่รายได้ของบริษัท ซึ่งอยู่ภายใต้ผลประกอบการของ Microsoft

รายได้ของ Linkedin ในปี 2023 ที่ผ่านมามีมากกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายได้มากถึง 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐคือการขายโซลูชันเกี่ยวกับการจ้างงานให้กับฝ่ายบุคคลของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ขณะที่รายได้สมาชิกพรีเมี่ยมนั้นอยู่ที่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในเดือนพฤศจิกายนปี 2023 ที่ผ่านมา Linkedin เตรียมนำเทคโนโลยี AI มาช่วยสมาชิกแบบ Premium ที่จ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่รับสมัครหรือไม่ และตัวระบบเองยังสามารถแนะนำให้มีการเพิ่มหรือแปลงข้อมูลของสมาชิก เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับผู้สมัครงานรายอื่นได้

ปัจจุบัน Linkedin มีสมาชิกทั่วโลกมากถึง 1,000 ล้านคน โดย 80% เป็นผู้ใช้งานนอกสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าหากต้องการเป็นสมาชิกแบบพรีเมียมจะต้องจ่ายเงิน 39.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งมีฟังก์ชันในการหางาน หรือแม้แต่ช่วยอำนวยความสะดวกมากกว่า

นอกจากนี้ Reuters ยังได้สัมภาษณ์ Dan Shapero ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Linkedin โดยเขากล่าวว่าจำนวนสมาชิก Linkedin แบบพรีเมียมเพิ่มขึ้น 25% ในปี 2023 ที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้ให้ตัวเลขที่แน่นอนก็ตาม

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Linkedin ยังกล่าวถึงพฤติกรรมของคนหางานจากข้อมูลขอบริษัทพบว่ามีผู้สมัครงานอย่างน้อย 2 ตำแหน่ง ในตำแหน่งงานที่เปิดในแพลตฟอร์ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดงานในสหรัฐอเมริกาจะยังค่อนข้างตึงตัวอยู่ไม่น้อย

เขายังกล่าวเสริมว่า สิ่งที่ Linkedin รู้คือ เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในวงกว้าง จึงมีคนที่พยายามทำให้แน่ใจว่าพวกเขามีความสามารถในการได้ตำแหน่งงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพวกเขา (คนที่หางาน) รู้สึกตื่นเต้นในสิ่งดังกล่าว

ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งทำให้รายได้จากสมาชิกแบบพรีเมียมของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง

]]>
1465602
Linkedin นำเทคโนโลยี AI มาช่วยสมาชิกแบบ Premium หางานได้ถูกใจ ตรงกับความสามารถตัวเอง https://positioningmag.com/1450341 Thu, 02 Nov 2023 02:35:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450341 ลิงค์อิน (Linkedin) เตรียมนำเทคโนโลยี AI มาให้บริการกับสมาชิกแบบ Premium เพื่อช่วยให้หาตำแหน่งงานได้โดนใจมากขึ้น รวมถึงแนะนำในการจัดการด้านโปรไฟล์ของสมาชิก นอกจากนี้ยังผนึกบริการของ Microsoft Bing เข้ามาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการหาข้อมูลต่างๆ

Linkedin เครือข่ายสังคมที่เน้นไปยังด้านธุรกิจเป็นหลัก ประกาศเตรียมที่จะนำเทคโนโลยี AI มาช่วยสมาชิกแบบ Premium ที่จ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่รับสมัครหรือไม่ และตัวระบบเองยังสามารถแนะนำให้มีการเพิ่มหรือแปลงข้อมูลของสมาชิก เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับผู้สมัครงานรายอื่นได้

สมาชิกของ Linkedin แบบ Premium นั้นจะได้รับฟังก์ชันใหม่จากระบบ AI ไม่ว่าจะเป็นการสรุปหน้า Feed ว่าใน Post ต่างๆ นั้นมีโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานของสมาชิกหรือไม่ หรือการผูกกับผลิตภัณฑ์อย่าง Microsoft Bing บริการค้นหาข้อมูลที่ Microsoft ได้ลงทุนกับเทคโนโลยี AI อย่างหนัก ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการหาข้อมูลต่างๆ

นอกจากนี้บริษัทยังได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์ว่าตำแหน่งในการสมัครงานนั้นเหมาะสมหรือไม่ หรือแม้แต่ช่วยในการหาตำแหน่งงานที่เหมาะสม ไปจนถึงการช่วยเหลือในเรื่องการเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน เพื่อที่จะทำให้สมาชิกหางานที่ชื่นชอบแหละเหมาะสมได้

Tom Cohen ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Linkedin ได้โพสต์ว่า การนำเทคโนโลยี AI เข้ามานั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ พลังของ AI จะเป็นพันธมิตรที่สำคัญของผู้ใช้งานในทุกคำถามและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของพวกเขา และเขาก็ตื่นเต้นกับมัน

ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัทได้นำ AI มาใช้ในส่วนของภาคธุรกิจที่ต้องการเปิดรับพนักงาน โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทเหล่านี้หาผู้สมัครงานได้ตรงใจบริษัทมากขึ้น หรือแม้แต่การนำ AI เข้ามาช่วยสมาชิกในการเขียนโปร์ไฟล์ให้ดึงดูดบริษัทที่ต้องการสมัครงานมากกว่าเดิม

ปัจจุบัน Linkedin มีสมาชิกทั่วโลกมากถึง 1,000 ล้านคน โดย 80% เป็นผู้ใช้งานนอกสหรัฐอเมริกา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ฯ รายดังกล่าวยังได้กล่าวเสริมว่า ด้วยจำนวนสมาชิกที่มีจำนวนมากขนาดนี้ยังได้สร้างระบบนิเวศในการมีส่วนร่วมเพื่อช่วยสร้างในด้านงาน ด้านธุรกิจ หรือแม้แต่ด้านเศรษฐกิจ 

]]>
1450341
LinkedIn เผยข้อมูลประกาศ “รับสมัครงาน” ตำแหน่งที่เกี่ยวกับ “ChatGPT” พุ่งขึ้น 21 เท่า https://positioningmag.com/1441913 Tue, 22 Aug 2023 07:27:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441913 แพลตฟอร์มเชื่อมสัมพันธ์เพื่อสมัครงานอย่าง LinkedIn เปิดข้อมูลพบว่าประกาศ “รับสมัครงาน” ที่เกี่ยวกับ “ChatGPT” เพิ่มขึ้นถึง 21 เท่า นับตั้งแต่มีการเปิดตัวแชตบอตตัวนี้ รวมถึงเทรนด์ตำแหน่งที่เกี่ยวกับ AI ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดงาน

รายงาน Future of Work ของ LinkedIn เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ “ChatGPT” พบว่า ประกาศรับสมัครงานที่เอ่ยถึงการใช้งาน ChatGPT เพิ่มขึ้นถึง 21 เท่า นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ OpenAI เปิดตัวแชตบอตนี้เป็นครั้งแรก

“เราเห็นพัฒนาการของตำแหน่งงานที่เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่เคยเป็นมา” คาริน คิมโบรห์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ LinkedIn กล่าว

ตำแหน่งงานใหม่ๆ เต็มไปด้วยตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับ AI ไม่ว่าจะเป็นพนักงานทั่วไป, วิศวกร AI, หัวหน้าฝ่าย AI, นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ที่ปรึกษาด้าน AI หรือผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เฉพาะในตลาดงานสหรัฐฯ บริษัทที่มีตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย AI เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าภายในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา

แพลตฟอร์มหางานอื่นๆ ก็มีแนวโน้มแบบเดียวกัน เช่น Indeed พบว่ามีตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับ Generative AI ในอัตราส่วน 529 ประกาศต่อ 1 ล้านประกาศ เทียบกับเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อนมีสัดส่วนเพียง 104 ประกาศต่อ 1 ล้านประกาศ

โครี สตาห์เล นักเศรษฐศาสตร์ของ Indeed ระบุด้วยว่า แม้ตลาดงานในภาพรวมจะชะลอตัวลง แต่ดีมานด์คนในสายงาน AI ยังคงสูงพอสมควร “เราเหมือนเปลี่ยนจากยุคหม้อน้ำเดือดพล่านมาเป็นยุคหม้อยังอุ่นๆ อยู่ตอนนี้”

อีกแพลตฟอร์มหางานคือ ZipRecruiter พบว่าตำแหน่งงานเกี่ยวกับ Generative AI เพิ่มเป็น 1,309 ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 เทียบกับเดือนกรกฎาคม 2022 มีแค่ 21 ประกาศเท่านั้น

 

AI ทดแทนตำแหน่งงานเก่า แต่ก็สร้างงานใหม่

ในอีกแง่มุมหนึ่ง เรายังไม่รู้ว่า AI จะทำให้ตำแหน่งงานอื่นๆ ลดลงไปมากเท่าไหร่แน่ แต่รายงานชิ้นนี้ของ LinkedIn มีการรวบรวมการคาดการณ์จากหลายแหล่ง โดย Goldman Sachs มองว่า AI จะมาชดเชยตำแหน่งงานประจำไปถึง 300 ล้านตำแหน่ง

ขณะที่ World Economic Forum สำรวจฝั่งผู้จ้างงานและคาดการณ์ว่า AI จะทำให้ตำแหน่งงานเดิมลดลง 83 ล้านตำแหน่งภายในปี 2027 แต่ก็จะทำให้เกิดตำแหน่งงานใหม่เพิ่ม 69 ล้านตำแหน่ง เมื่อหักลบกันแล้วเท่ากับว่าตำแหน่งงานจะหายไป 14 ล้านตำแหน่ง

แน่นอนว่าตำแหน่งงานเกิดขึ้นใหม่เหล่านี้จะเกี่ยวกับ AI โดยตรง เช่น ตำแหน่งที่ทำหน้าที่ประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) หรือฝั่งผู้ใช้งานจะมีตำแหน่งของคนที่สามารถป้อนคำสั่ง (prompt) ให้กับ AI ได้ดีที่สุดเพื่อให้บริษัทได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

อีกสายตำแหน่งงานที่คาดการณ์กันว่าจะเกิดขึ้นใหม่เพราะมี AI เข้ามาใช้งาน คือกลุ่มสายงาน “นักจริยธรรม” และ “ประธานเจ้าหน้าที่ด้านความเชื่อมั่น” เพราะบริษัทจะต้องสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้าให้ได้ว่า พวกเขาได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้แล้วเพื่อให้ระบบ AI ที่สร้างขึ้นไม่มีอคติต่อตัวบุคคล

LinkedIn ระบุด้วยว่า ก่อนที่จะมีการเปิดตัว ChatGPT การเติบโตของตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับแชตบอตแบบนี้เติบโตประมาณ 7.7% แต่ปัจจุบันอัตราการเติบโตสูงขึ้นเป็น 13% ถือเป็นตำแหน่งที่มีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Source

]]>
1441913
Linkedin ปลดพนักงานออก 716 ตำแหน่ง เตรียมปิดตัวแอปหางานในจีนหลังสู้คู่แข่งไม่ได้ https://positioningmag.com/1429912 Tue, 09 May 2023 10:44:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429912 Linkedin แพลตฟอร์มสำหรับหางาน ซึ่งมีเจ้าของคือ Microsoft ล่าสุดนั้นเตรียมที่จะปิดตัวแอปหางานในประเทศจีน นอกจากนี้ยังจะมีการปลดพนักงานอีก 716 ตำแหน่ง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป รวมถึงบริษัทต่างๆ นั้นมีการใช้จ่ายลดลง

Linkedin แพลตฟอร์มสำหรับหางานชื่อดัง ได้ประกาศปลดพนักงาน 716 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบ เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายสนับสนุน ซึ่งบริษัทได้กล่าวว่าการปลดพนักงานออกนั้นจะทำให้มีตำแหน่งงานเกิดขึ้นใหม่มากถึง 250 ตำแหน่ง และยังทำให้การบริหารงานของบริษัทนั้นลดความยุ่งยากลง

ตัวแทนของ Linkedin ได้กล่าวกับ RTE ว่าพนักงานที่โดนปลดไป 716 คนสามารถกลับมาสมัครในตำแหน่งงานใหม่ได้ถ้าหากตำแหน่งงานเหมาะสม

นอกจากนี้ Linkedin ได้กล่าวถึงการปิดตัว InCareer ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันหางานในประเทศจีนเนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังรวมถึงการแข่งขันที่รุนแรง โดยแอปดังกล่าวต้องชนกับคู่แข่งที่ชื่อว่า Maimai ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นส่วนใหญ่

แอปพลิเคชัน InCareer เปิดตัวเมื่อปี 2021 เพื่อที่จะเป็นทางเลือกของคนหางานในประเทศจีนที่มีตลาดผู้หางานในหลักหลายสิบล้านคน หลังจากที่ Linkedin ได้ประกาศถอนตัวจากประเทศจีนเหลือเพียงธุรกิจบางส่วน โดยบริษัทให้เหตุผลไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันของธุรกิจในจีนที่รุนแรง บริษัทต้องทำตามข้องกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลที่ยากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงความท้าทายในการทำธุรกิจในแดนมังกรช่วงที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้บริษัทแม่อย่าง Microsoft ได้มีการปลดพนักงานมากถึง 10,000 ราย โดยให้เหตุผลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงการลงทุนด้าน AI นอกจากบริษัทอย่าง Microsoft ก็ยังมีบริษัทเทคยักษ์ใหญ่เช่น Amazon Meta ฯลฯ ที่ได้ปลดพนักงานจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

โดยตัวเลขจากทาง Laysoff.fyi ที่ได้ติดตามการปลดพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีนั้น ปี 2023 นี้มีการปลดพนักงานจากบริษัทเทคโนโลยีไปแล้วมากกว่า 190,000 ตำแหน่ง

อย่างไรก็ดีแม้จะมีการปิดตัว InCareer ไปแล้ว แต่บริษัทจะยังคงสำนักงานไว้ในประเทศจีนไว้สำหรับการจ้างพนักงานในจีน รวมถึงจัดการอบรมหรือฝึกฝนพนักงาน ซึ่ง Linkedin เป็นบริษัทเทคโนโลยีจากต่างชาติไม่กี่บริษัทที่ยังมีสำนักงานและยังเหลือธุรกิจบางส่วนในจีนแผ่นดินใหญ่

นอกจากยังเหลือธุรกิจบางส่วนในจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ทาง Linkedin เตรียมใช้งานบริษัทภายนอกมาช่วยในการขยายธุรกิจในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งรวมถึงในจีนด้วย

ที่มา – TechCrunch, RTE, BBC

]]>
1429912
อย่างเจ็บ! เมื่อ ‘Facebook’ ถูกเรียก ‘นักก๊อป’ มูลค่า 7.7 แสนล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1320170 Fri, 19 Feb 2021 09:59:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320170 Facebook ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก พร้อมกับครองตลาดโฆษณาออนไลน์เช่นเดียวกับ Google แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการพาดหัวข่าวเกี่ยวกับการ ‘ก๊อปฟีเจอร์ยอดนิยม’ จากคู่แข่งมากกว่าที่มีในการสร้างฟีเจอร์และผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ด้วยตัวเอง

ย้อนไป 4 ปีที่แล้ว ‘Facebook’ มักจะมีนวัตกรรมอะไรที่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ โดยบริษัทได้จัดตั้งแผนกฮาร์ดแวร์ใหม่ชื่อ ‘Building 8’ โดยมีทีมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรดูแลโดยผู้บริหารจาก DARPA และประกาศว่ากำลังสร้างเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้สามารถ ‘พิมพ์ด้วยสมอง’ และ ‘ได้ยินด้วยผิวหนัง’ นอกจากนี้มีข่าวว่าจะผลิต ‘สมาร์ทโฟน’ ด้วย

ในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดนั้นจะสามารถเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ แต่มันให้ความรู้สึกแปลกใหม่และแตกต่างจากสิ่งที่บริษัทเคยทำมา แต่แล้วผู้บริหาร DARPA ก็ออกจาก Facebook ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา และหนึ่งปีหลังจากนั้น Building 8 ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Portal’ ชื่อเดียวกับ ‘Facebook Portal’ ลำโพงอัจฉริยะที่ Facebook สร้างขึ้นเพื่อแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันจาก ‘Amazon’

Computer screen showing the website for social networking site, Facebook (Photo by In Pictures Ltd./Corbis via Getty Images)

แทนที่จะใช้เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ Facebook ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบจำนวนมากที่ยกมาจาก YouTube, Twitch, TikTok, LinkedIn, Pinterest และ Slack โดย Facebook ดำเนินการเกี่ยวกับแอปหาคู่ยอดนิยมเปิดตัวคู่แข่ง Craigslist และฉีกฟีเจอร์ Stories ยอดนิยมของ Snapchat ในปี 2559 ไม่นานก่อนที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณะ และที่เพิ่งมีข่าวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือ Facebook กำลังต้องการทำฟีเจอร์แบบเดียวกับ ‘Clubhouse’ ซึ่งเป็นแอปที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้

นอกเหนือจากการก๊อปแล้ว เมื่อ Facebook ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้มันก็ซื้อมันเหมือนกับที่ซื้อ ‘Instagram’ ในปี 2012 เช่นเดียวกับ ‘WhatsApp’ และ ‘Oculus’

เพราะทั้งซื้อและก๊อปฟีเจอร์ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกากล่าวหา Facebook ว่าใช้ “อำนาจการครอบงำและการผูกขาดเพื่อบดขยี้คู่แข่งที่มีขนาดเล็กกว่า” ตามคำพูดของ Letitia James อัยการสูงสุดแห่งนิวยอร์ก ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มในการสืบสวน Facebook

ด้วยความพยายามในการก็อปที่ต่อเนื่องทำให้เกิดคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ของ Facebook ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นส่วนสำคัญของบริษัทเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม Facebook นั้นไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีรายแรกหรือรายเดียวที่ก๊อปฟีเจอร์ แต่ทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ดูเหมือนจะคัดลอก TikTok ในระดับหนึ่งรวมถึง Snapchat และ YouTube อย่างไรก็ตาม สำหรับ Facebook เองก็ยากที่จะบอกได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ Facebook สร้างนวัตกรรมที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริงคือตอนไหน

Tucker Marion รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น ที่มุ่งเน้นไปที่การเป็นผู้ประกอบการและนวัตกรรม กล่าวว่า การก๊อปของคู่แข่งไม่ใช่กลยุทธ์ที่ไม่ดี แต่จำเป็นต้องควบคู่ไปกับการที่บริษัทดำเนินการตามแนวคิดดั้งเดิมของตนเองด้วย

เพื่อความเป็นธรรมการสร้างสรรค์สิ่งใหม่เป็นเรื่องยาก โดย Google ได้เผาผลาญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการต่าง ๆ ตั้งแต่การร่วมทุนบอลลูนอินเทอร์เน็ตที่มีความทะเยอทะยานไปจนถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองและมีความขยันขันแข็งมากขึ้นเกี่ยวกับการทดลอง

Facebook ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดตัว News Feed ในปี 2006 หลายเดือนหลังจากที่ Twitter เปิดตัวและช่วยเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนบริโภคข้อมูลทางออนไลน์ จากนั้นการเปิดตัวโทรศัพท์ Facebook ก็ล้มเหลว การทดลองใช้โดรนส่งมอบอินเทอร์เน็ตที่บินด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ก็เงียบไป และ cryptocurrency ตัวใหม่ (TBD ก็ยังมีปัญหาในช่วงแรก ๆ)

ในทางกลับกันความพยายามบางส่วนในการเลียนแบบคู่แข่งประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล Instagram Stories ซึ่งเป็นก๊อป Snapchat กลายเป็นวิธีเริ่มต้นในการสื่อสารและเชื่อมต่อสำหรับผู้คนนับล้าน รวมถึง Facebook Marketplace กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม

ที่ผ่านมา Kevin Systrom ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CEO ของ Instagram เคยกล่าวไว้เมื่อถูกถามเกี่ยวกับปัญหาการลอกเลียนแบบว่า “ลองนึกภาพรถคันเดียวในโลกคือ Model T ในตอนนี้มีคนประดิษฐ์รถขึ้นมาใหม่มันเจ๋งมาก แต่คุณจะโทษไหมที่บริษัทอื่น ๆ สร้างรถยนต์ที่มีล้อพวงมาลัยและแอร์และหน้าต่างเหมือนกัน คำถามคือ คุณสร้างสิ่งที่ไม่เหมือนใครได้อย่างไร?”

คงจะจริงอย่างที่ว่า เพราะผู้บริโภคทั่วไปไม่สนใจว่าใครจะนึกถึงแนวคิดนี้ก่อน พวกเขาสนใจว่าใครเป็นผู้ดำเนินการได้ดีที่สุด อย่าง Apple ไม่ได้คิดค้นสมาร์ทโฟนขึ้นมา แต่เพียงแค่สร้างเครื่องที่ดีที่สุดในเวลานั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ Instagram Stories ทำให้ฐานผู้ใช้ทั้งหมดของ Snapchat ลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีแม้ว่า Facebook จะไม่ใช่คนที่คิดค้น และด้วยเหตุนี้ Reels ซึ่งเป็นฟีเจอร์วิดีโอรูปแบบสั้นจึงพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้รับแรงการตอบรับและแข่งขันกับอัลกอริทึมการแนะนำที่มีประสิทธิภาพของ TikTok

แม้แต่เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยสมองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เมื่อไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ Elon Musk มีแผนจะใช้สมองกับคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์สมองอื่น ๆ มีการใช้งานมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหวังว่าวันหนึ่งจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ จาก Facebook และแม้จะมีนักวิจารณ์พูดถึง Facebook แบบนี้ แต่ตัวแทนของบริษัทก็ยังไม่ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นในเรื่องนี้ทันที

Source

]]>
1320170
‘LinkedIn’ แพลตฟอร์มหางาน เตรียม ‘ปลดพนักงาน’ 960 ราย เหตุบริษัททั่วโลกเบรกจ้างงานเพราะ Covid-19 https://positioningmag.com/1289046 Wed, 22 Jul 2020 10:43:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289046 สถานการณ์การระบาดของ Covid-19 ส่งผลให้หลายบริษัทต้องปิดตัวรวมถึงต้องลดและชะลอการจ้างพนักงานลง ดังนั้น บริษัทที่ทำเกี่ยวกับการจัดหาหรือจับคู่บริษัทกับแรงงานจึงได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ‘LinkedIn’ แพลตฟอร์มหางานและรับสมัครงานที่ Microsoft ลงทุนซื้อด้วยมูลค่า 26.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2559 ซึ่งเป็นการซื้อครั้งใหญ่ที่สุดของ Microsoft

ภาพจากรอยเตอร์

ด้วยผลกระทบดังกล่าว ส่งผลให้ LinkedIn ประกาศว่าบริษัทจะลดตำแหน่งงานประมาณ 960 ตำแหน่งหรือ 6% ของจำนวนพนักงานทั่วโลก เนื่องจากการระบาดของ Covid-19 นั้นมีผลกระทบอย่างต่อเนื่องกับความต้องการจัดหางาน

“โซลูชั่นช่วยให้ธุรกิจและพนักงานจับคู่กันของเรายังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง” Ryan Roslansky CEO LinkedIn กล่าว

Ryan Roslansky CEO LinkedIn

ณ เดือนกุมภาพันธ์ LinkedIn มีรายได้เกือบ 6% ของรายได้ทั้งหมดของ Microsoft และถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของ Microsoft แต่ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุด Microsoft ระบุว่ารายได้จากการโฆษณาหางานใน LinkedIn มีการชะลอตัวในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส เนื่องจาก Covid-19 ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั่วโลก

สำหรับบริษัทพนักงานที่ได้รับผลกระทบ สามารถเก็บโทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อปและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ออกโดยบริษัทเพื่อช่วยให้พวกเขาทำงานจากที่บ้านในขณะที่ต้องหางานใหม่ นอกจากนี้จะจ่ายเงินชดเชยให้ 10 สัปดาห์, การประกันสุขภาพสำหรับพนักงานในสหรัฐฯ 1 ปี และถ้ามีการจ้างงานใหม่ จะเริ่มพิจารณาจ้างจากกลุ่มพนักงานที่ถูกปลดก่อน โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการลดงาน จะได้รับการแจ้งในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ Roslansky กล่าวว่า LinkedIn จะเริ่มให้ความสำคัญกับการขายออนไลน์แทนการใช้ทีมเซลส์ขายด้วยตัวเอง โดยมุ่งเน้นที่หน้าร้านค้าออนไลน์ใหม่ ซึ่งช่องทางออนไลน์นี้จะช่วยให้สามารถบริการธุรกิจขนาดเล็กหลายล้านธุรกิจที่ต้องใช้ LinkedIn ผ่านการระบาดใหญ่ครั้งนี้และอื่น ๆ

Source

]]>
1289046
รวมพลัง! 7 แพลตฟอร์มโซเชียลประกาศร่วมมือสกัด ‘ข่าวปลอม’ COVID-19 https://positioningmag.com/1268618 Tue, 17 Mar 2020 11:01:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1268618 กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา อาทิ Facebook, Google, LinkedIn, Microsoft, Reddit, Twitter และ YouTube ประกาศจะร่วมมือกันต่อสู้กับข้อมูลผิด ๆ หรือ FAKE NEWS เกี่ยวกับ COVID-19 รวมถึงการฉ้อโกงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนทุกแพลตฟอร์ม

“เราช่วยให้ผู้คนหลายล้านติดต่อกัน ขณะเดียวกันก็ร่วมกันต่อต้านการฉ้อโกงและข้อมูลที่ผิดเกี่ยวกับไวรัส COVID-19 พร้อมกับยกระดับเนื้อหาที่เชื่อถือได้บนแพลตฟอร์มของเรา เราเชิญ บริษัท อื่นเข้าร่วมกับเราในขณะที่เราทำงานเพื่อให้ชุมชนของเราแข็งแรงและปลอดภัย”

แม้ยังไม่ชัดเจนว่าความร่วมมือดังกล่าวจะออกมาในลักษณะใด แต่บริษัทเทคโนโลยีทั้งหมดได้ดำเนินการเชิงรุกมากกว่าปกติในการจัดการกับข่าวลือและข่าวปลอม ทั้งแนวทางการจัดการของภาครัฐ, การรักษา รวมถึงการสกัดกั้นสินค้าขาดตลาดอย่างหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ที่ขายเกินราคา อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อนและไม่มีขอบเขต เนื่องจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 นั้นมีตั้งแต่เริ่มการระบาดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และแพร่กระจายยังบนอินเทอร์เน็ต

ทั้งนี้ ก่อนจะมีการประกาศความร่วมมือ โซเชียลมีเดียมีการบิดเบือนข้อมูลจำนวนมหาศาล อาทิ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาที่จะปิดประเทศเพื่อหยุดการแพร่กระจายของ COVID-19, การปิดรถไฟใต้ดิน และรายการเคล็ดลับทางการแพทย์ปลอมที่อ้างว่ามาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

Source

#Facebook #Google #LinkedIn #Microsoft #Reddit #Twitter #YouTube #COVID19 #Positioningmag

]]>
1268618
LinkedIn จัดอันดับ “อาลีบาบา” บริษัทที่คนอยากทำงานด้วยมากที่สุดในจีน https://positioningmag.com/1225477 Thu, 18 Apr 2019 09:00:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1225477 นับเป็นครั้งแรกของประเทศจีน ได้รับการจัดอันดับโดย Linkedin  นอกจาก อาลีบาบา กรุ๊ป ครองตำแหน่งอันดับหนึ่ง บริษัทที่คนอยากทำงานด้วยมากที่สุดในประเทศจีนแล้ว บริษัทในเครืออย่าง แอนท์ ไฟแนนเชียลอยู่ในอันดับที่ 11จากทั้งหมด 25บริษัท Linkedin รวบรวมรายชื่อทั้งหมดมาจากการสำรวจบริษัทที่เป็นที่นิยมในกลุ่มคนหางานและต้องการที่จะทำงานให้กับบริษัทนั้นๆ ในระยะยาว

Linkedin ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้ชาวจีน 4รูปแบบดังต่อไปนี้

  1. ระดับความสนใจในตัวบริษัท : อัตราการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทโดยผู้ที่ไม่ใช่พนักงาน
  2. ปฏิสัมพันธ์กับพนักงานบริษัท : จำนวนการเข้าไปดูโปรไฟล์ของพนักงานบริษัทโดยผู้ที่ไม่ใช่พนักงาน
  3. ความต้องการในตำแหน่งงาน : เปอร์เซ็นต์ของผู้เห็นโฆษณาแล้วสมัคร ทั้งแบบที่เสียค่าใช้จ่ายและฟรี
  4. อัตราการคงอยู่ของพนักงาน : จำนวนพนักงานที่ทำงานกับบริษัทเป็นเวลาอย่างน้อย 1ปี

จากข้อมูลของ Linkedin บริษัทที่ติดอันดับมาจากบริษัท ที่มีจำนวนพนักงานมากกว่า 500 ราย และบริษัทที่มีจำนวนพนักงานมากขึ้น หรือ เท่าเดิมในระยะเวลา 1 ปี การวิจัยดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่าง 1กุมภาพันธ์ 2561 ถึง 31มกราคม 2562

]]>
1225477
เปิดมุมควรรู้-เคล็ดลับ “การตลาด LinkedIn” ปีล่าสุด https://positioningmag.com/1159002 Mon, 26 Feb 2018 23:15:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1159002 วันนี้นักการตลาดหลายคนยอมรับว่าโดน Facebook กดดัน เพราะการเปลี่ยนระบบที่ทำให้ปริมาณ organic reach หรือจำนวนผู้ชมที่คลิกอ่านเพจเองโดยไม่ต้องเสียเงินโฆษณานั้นยิ่งลดน้อยลงทุกที ภาวะนี้ทำให้นักการตลาด B2B หลายคนหันมาเน้นกลยุทธ์การตลาดบน LinkedIn ของตัวเองให้มากขึ้น คาดว่าการตลาดบน LinkedIn จะฮอตขึ้นอีกตลอดปีนี้ หลังจากที่การสำรวจล่าสุดพบว่า 80% ของการตลาดแบบ B2B (Business to Business) ที่เกิดบนโซเชียลมีเดีย นั้นมาจาก LinkedIn

***ต้นตอความฮอต

LinkedIn เป็นเครือข่ายสังคมคนทำงานที่คนไทยบางคนไม่เคยใช้งาน แต่หลายปีที่ผ่านมา LinkedIn มีอิทธิพลมากขึ้นในวงการมืออาชีพและองค์กรธุรกิจทั่วโลก จนทำให้มีการเปรียบเทียบว่าถึงแม้จะมีหรือไม่มี Facebook ยักษ์เล็กอย่าง LinkedIn ก็จะครองโลก B2B อยู่ดี” 

แม้ Facebook จะหยิบยกสถิติว่า ผู้บริหารที่มีสิทธิ์ตัดสินใจทางธุรกิจจะใช้เวลาบน Facebook มากกว่าเครือข่ายอื่นถึง 74% และยังมีภาพลักษณ์ชัดเจนว่า Facebook เป็นแชมป์เหนือแพลตฟอร์มโซเชียลอื่น จนทำให้นักการตลาดลังเลเนื่องจากขนาดของกลุ่มเป้าหมาย แต่ทั้งหมดนี้ Joe LaSala รองประธานฝ่ายการตลาดของบริษัท Analytics Partners ในนิวยอร์ก ระบุว่า Facebook และ LinkedIn มีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน ทำให้นักการตลาดต้องคำนึงปัจจัยหลายส่วนร่วมกันก่อนวางกลยุทธ์

แต่สำหรับปีนี้ LaSala บอกว่านักการตลาดแบบ B2B ควรให้ความสนใจกับ LinkedIn เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ในยุคที่อัลกอริธึมของ Facebook เปลี่ยนแปลงบ่อย โดยย้ำให้นักการตลาด B2B เน้นทำการตลาดบน LinkedIn แบบจ่ายโฆษณา

LaSala ให้เหตุผลว่า ถึงแม้อัลกอริทึมของ Facebook จะไม่เปลี่ยนไปมา แต่ LinkedIn จะยังเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการเข้าถึงผู้บริหารระดับสูงขององค์กร และในขณะเดียวกัน LinkedIn ที่มีตัวเลข CPC หรือต้นทุน cost per click มากกว่า ก็มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงคนที่เหมาะสม

บน LinkedIn ผู้ใช้จะมี mindset (ความคิดทางธุรกิจ) อยู่แล้ว ทำให้เปิดกว้างมากขึ้นกับข้อความที่มีเนื้อหา B2B ที่เน้นส่งถึงธุรกิจ

แต่สำหรับข้อความถึงตลาดมวลชน LaSala ยกให้ Facebook เป็นผู้ชนะ เพราะตัวเลขการเข้าถึงที่มากกว่า และวิธีการสร้างสรรค์ที่นักการตลาดจะทำได้หลากหลายกว่าในการดึงความสนใจให้แบรนด์เชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย

David Richter หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท Ciphr ในกรุงลอนดอน เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยบอกว่านักการตลาด B2B ควรเน้น LinkedIn มากกว่า Facebook 

ในโลกของการตลาด ช่องทางถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อความด้วย ดังนั้นการที่ Facebook เป็นที่ที่ผู้คนออกไปแฮงเอาต์ และมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวเพื่อนฝูง ดังนั้นการทำกิจกรรมทางการตลาดสำหรับบริการ B2B บนแพลตฟอร์ม B2C จึงไม่เหมาะ

แนวคิดนี้สอดคล้องกับตัวเลขการสำรวจล่าสุด โดยบริษัท HubSpot พบว่าการเปิดอ่านเนื้อหาบน LinkedIn นั้นเพิ่มขึ้น 21% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (ระหว่างปี 2014 และ 2016) และคาดว่าสมาชิก LinkedIn จะใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มนานขึ้นอีกตลอดปีนี้ นอกจากนี้ LinkedIn ยังเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานเป็นพนักงานบริษัทใหญ่ระดับ Fortune 500 มากที่สุดในโลก 

ในจำนวนผู้ใช้รวมทั้ง 500 ล้านราย การสำรวจพบว่าราว 61 ล้านรายเป็นผู้มีอิทธิพล หรือ influencer ในระดับอาวุโส ขณะที่ 40 ล้านรายเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทางธุรกิจ

***3 เคล็ดทำการตลาด B2B บน LinkedIn ให้เห็นผล

หากใครต้องการเสริมกลยุทธ์การตลาดแบบ B2B บน LinkedIn สำหรับปีนี้ ทั้ง 3 เคล็ดลับนี้อาจช่วยได้

1. อัปเดตโพสต์เป็นประจำ

แบรนด์และบุคคลทั่วไปสามารถอัปเดตและเผยแพร่บล็อกโพสต์บน LinkedIn ได้เสรีเช่นเดียวกับบน Facebook แต่ความแตกต่างชัดเจนคือ Reach หรือสถิติการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้

ถ้าคุณโพสต์บ่อย ราว 20 ครั้งต่อเดือน (หรือมากกว่านั้น) เราพบว่าการเข้าถึงแบบ organic reach จะเพิ่มขึ้นได้ถึง 60% เทียบกับ Facebook ที่เพิ่มขึ้นเพียง 2-3%” Merridew Smith บรรณาธิการบริการของ Vendasta Technologies กล่าว

2. จ่ายเงินโฆษณาใน LinkedIn

Smith บอกว่าแม้ว่าโฆษณาบน Facebook จะถูกยืนยันว่ามีกำไรและมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากโฆษณาบน LinkedIn มีต้นทุนแพงกว่า แต่ในทางปฏิบัติแล้ว โฆษณาบน LinkedIn มีคุณภาพไม่เป็นรองใคร 

Smith เล่าว่าบริษัท Vendasta Technologies ของเขาใช้จ่ายเงินมากกว่า 1 แสนเหรียญสหรัฐบน LinkedIn ในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่าสามารถสร้างโอกาสในการขายได้สูงมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัลกอริทึมของ Microsoft ต้นสังกัด LinkedIn ที่ต้องการดึงดูดนักการตลาดให้เข้าสู่แพลตฟอร์ม LinkedIn มากขึ้น

โฆษณาบน LinkedIn ยังมีจุดแข็งเรื่องการกำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยใช้ชื่อบริษัท สถานที่ภูมิศาสตร์ ฯลฯ ทำให้เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการแสดงเนื้อหาต่อกลุ่มเป้าหมาย แคมเปญที่ดีจะดึงผู้ใช้เข้าไปหาเนื้อหาคุณภาพดี ดังนั้นนักการตลาด B2B จึงควรคิดว่าใครเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก รวมถึงประเภทของบริษัท ตำแหน่งงาน ความอาวุโส จากนั้นจงทำความเข้าใจกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ และป้อนกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นด้วยเนื้อหาที่มีคุณค่า

นอกจากนี้ แบรนด์ควรจะผลิตเนื้อหาที่ควรค่าแก่การคลิกโดยโฆษณาที่เน้นขายหรือโปรโมตแบรนด์อย่างเดียว ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาบน LinkedIn

3. เผยแพร่บทความบน LinkedIn Pulse

อีกวิธีหนึ่งที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในการทำการตลาด B2B บน LinkedIn คือการเผยแพร่บทความบน LinkedIn ที่ผ่านมา LinkedIn ทำเครื่องมือให้บริษัทเขียนบล็อกได้ผ่านบริการ LinkedIn Pulse ซึ่งช่วยให้ publisher สามารถเขียน เผยแพร่ และแชร์เนื้อหาของตัวเองบน LinkedIn และภายนอก LinkedIn ภายใต้ชื่อหรือแบรนด์ของตน

Daniel Buchuk ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสาร บริษัท Bringg ในกรุงลอนดอน ยกให้ LinkedIn Pulse เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับถ่ายทอดสุดยอดความคิดบนเครือข่ายทางสังคม

การเขียนบทความบน LinkedIn เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการออกเสียง แสดงตัวตนบนแพลตฟอร์ม ด้วยอัลกอริทึมของ Linkedin ที่จัดลำดับความสำคัญเนื้อหา จะยังทำให้ LinkedIn Pulse เป็นวิธีทรงประสิทธิภาพเรื่องการเข้าถึงผู้ชม โดยไม่ต้องมีการแบ่งปันลิงก์จากสิ่งพิมพ์หรือบล็อกนอก LinkedIn 

อีกจุดคือการใช้เครื่องมือฟรีเช่น Lusha.co จะช่วยเสริมภาพผู้นำและสร้างโอกาสในการขาย รวมถึงการดึงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้แบรนด์สามารถติดต่อลูกค้าได้ทันทีทางโทรศัพท์หรืออีเมล

ถึงบรรทัดนี้ นักการตลาด B2B คนไหนที่ยังไม่สนใจ LinkedIn จะเริ่มคิดใหม่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย.

ที่มาhttps://www.cmswire.com/content-marketing/3-tips-to-improve-your-linkedin-marketing-strategy/

]]>
1159002