NISSAN – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 16 May 2025 00:58:58 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘นิสสัน’ ประกาศโละพนักงานเพิ่มอีก 11,000 ตำแหน่ง และปิดโรงงาน 7 แห่ง หลังขาดทุน 6.7 แสนล้านเยน https://positioningmag.com/1521718 Thu, 15 May 2025 04:38:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1521718 เรียกได้ว่าเป็นช่วงมรสุมสำหรับ นิสสัน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ที่แผนควบรวมกับฮอนด้าและมิตซูบิชิล้มเหลวไม่พอ ยังต้องเจอกับแรงกดดันจาก ภาษีในสหรัฐฯ จนล่าสุดบริษัทต้องเร่งปรับโครงสร้างบริษัทโดยการ ลดคน และ ปิดโรงงาน

ยอดขายที่ลดลงในประเทศจีน และการลดราคาอย่างหนักในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสองแห่งของ นิสสัน (Nissan) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อรายได้ ในขณะที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แผนการควบรวมกิจการกับ ฮอนด้า (Honda) และ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) ก็ล้มเหลว

จนล่าสุด นิสสันได้ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยจะลดตำแหน่งงานเพิ่มอีก 11,000 ตำแหน่งทั่วโลก และ ปิดโรงงาน 7 แห่ง เพื่อรับมือกับยอดขายที่ตกต่ำ ในขณะที่ปีที่ผ่านมานิสสันได้ปรับลดพนักงานไปแล้วกว่า 20,000 คน ปัจจุบันนิสสันจ้างพนักงานประมาณ 133,500 คนทั่วโลก

ย้อนไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นิสสันเคยประกาศว่า บริษัทพยายามจะหาทาง ลดต้นทุน รวมถึงต้องการจะ ลดการผลิตทั่วโลกลง 1 ใน 5 และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นิสสันได้ประกาศ ยกเลิกแผนการสร้างโรงงานแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น

ย้อนไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นิสสันและฮอนด้า พยายามที่จะควบรวมกันเพื่อสู้กับค่ายรถจากจีน แต่การเจรจากลับล้มเหลว เนื่องจากทั้งสองบริษัทไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งหลังจากการเจรจาล้มเหลว ส่งผลให้ มาโคโตะ อุจิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารในขณะนั้นต้องลาออก และได้ อิวาน เอสปิโนซา ซึ่งเคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่วางแผนของบริษัทและหัวหน้าแผนกมอเตอร์สปอร์ตมาแทนที่

ทั้งนี้ นิสสันได้รายงานผลขาดทุนประจำปีถึง 6.7 แสนล้านเยน (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ขณะที่ภาษีของสหรัฐฯ ยิ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้กับบริษัทที่กำลังประสบปัญหา

“ปีงบประมาณที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ท้าทาย ด้วยต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นและสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน และนิสสันก็ไม่สามารถคาดการณ์ถึงรายได้ในปีงบประมาณนี้ได้ เนื่องจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ” อิวาน    เอสปิโนซา กล่าว

ไม่ใช่แค่ตลาดสหรัฐฯ แต่บริษัทกำลังประสบปัญหาใน ตลาดจีน ซึ่งเป็นอีกตลาดสำคัญ เนื่องจากกำลังเผชิญกับสงครามราคา ส่งผลให้ยอดขายลดลง -12% ในขณะที่ตลาดอื่น ๆ อย่างญี่ปุ่นและยุโรป ก็ลดลงเช่นกัน

Source

]]>
1521718
มอง ‘นิสสัน’ ในวันที่ดีลควบรวมกับ ‘ฮอนด้า’ ล่ม อาจกลับสู่จุดเสี่ยง ‘ล้มละลาย’ เพราะหนี้ที่แบกกว่า ‘2 แสนล้านบาท’ https://positioningmag.com/1510744 Thu, 13 Feb 2025 09:05:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510744 ในที่สุด ฮอนด้า และ นิสสัน ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการถึงการยุติดีล ควบรวม มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากนิสสันไม่ต้องการเป็น บริษัทลูก และเมื่อพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ แล้ว ทั้งสองบริษัทมองว่า การแยกกัน จะทำให้ทั้งคู่ดำเนินธุรกิจได้รวดเร็วกว่า จึงเลือกที่จะยุติการหารือ และข้อตกลง MOU

แม้ว่าข้อตกลงจะยุติลง แต่ทั้งสองบริษัทก็ไม่ใช่ว่าจะมองหน้ากันไม่ติด โดยทั้งคู่ยังยังคงมีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างกัน โดยจะมุ่งเน้นไปที่ เทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ และ รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งสองบริษัท เพราะต้องอยู่รอดให้ได้ท่ามกลางการแข่งขันของยานยนต์ยุคใหม่

การควบรวมที่ไม่เกิดขึ้น สำหรับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถเบอร์ 2 ของญี่ปุ่น อาจไม่ได้น่าเป็นห่วงมาก เพราะ กำไรของบริษัทยังเติบโต โดยกําไรจากการดําเนินงานในไตรมาส 3 อยู่ที่ 3.97 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้น +5% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากยอดขายรถยนต์ที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และเงินเยนที่อ่อนค่า 

โดยบริษัทยังคงคาดการณ์กําไรจากการดําเนินงานทั้งปีที่ 1.42 ล้านล้านเยน ในขณะที่แก้ไขแนวโน้มยอดขายทั่วโลกเป็น 3.75 ล้านคันจาก 3.8 ล้านคันที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยส่วนใหญ่สะท้อนถึงการลดลงในญี่ปุ่น

ที่น่าเป็นห่วงคือ นิสสัน (Nissan) โดยนักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า บริษัทอาจเผชิญกับการ ล้มละลาย ในปี 2026 เพราะ กําไร ของนิสสันใน 6 เดือนหลัง (สิ้นสุดในเดือนกันยายน) ลดลง 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023

ด้วยเหตุนี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2024 นิสสันได้ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรจากการดำเนินงานลง 70% สู่ระดับ 1.5 แสนล้านเยน (3.3 หมื่นล้านบาท) จากเดิมที่คาดการณ์ไว้จะแตะ 5 แสนล้านเยน และทำให้บริษัทต้องประกาศ ลดกําลังการผลิตลง 20% ส่งผลให้มีการ เลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน 

นอกจากนี้ บริษัทยังใช้เงินสดไปมากถึง 4.48 แสนล้านเยน (ประมาณ 99,880 ล้านบาท) ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องประกาศขายหุ้นมิตซูบิชิ ที่บริษัทถือครองอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6.9 หมื่นล้านเยน ในขณะนั้น

นอกจากผลประกอบการที่ไม่สู้ดีนัก บริษัทยังเผชิญกับ หนี้สิน โดยมีหนี้สินระยะสั้นที่ต้องชำระภายใน 1 ปี รวมประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.4 หมื่นล้านบาท) แต่ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5.6 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 (ราว 1.9 แสนล้านบาท) 

ไม่ใช่แค่ปัญหาทางการเงินที่นิสสันต้องเผชิญ แต่ยังมีปัญหาที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์รุ่นเก่าส่วนใหญ่ เผชิญก็คือ ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา จํานวนมากในการเปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 

อีกทั้งยังเจอความกดดันจากตลาด สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักของนิสสัน เพราะแม้ว่า ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ จะระงับการขึ้นอัตราภาษีสําหรับรถยนต์ที่นําเข้าจากเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตและตลาดที่สําคัญสําหรับนิสสัน แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่

ก็คงต้องจับตาดูอนาคตของนิสสันกันต่อไป ว่าจะเป็นเช่นไรหลังดีลกับฮอนด้าล่ม เพราะมีอีกหลายบริษัทที่สนใจจะลงทุนกับนิสสัน อาทิ Foxconn บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่สุดของโลกสัญชาติไต้หวัน ที่กำลังจะพิจารณาเข้าถือหุ้นในนิสสัน ในขณะที่อนาคตของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย

CNN / japantimes

]]>
1510744
‘นิสสัน’ เตรียมโละพนักงาน 9,000 คนทั่วโลกเพื่อ ‘ลดต้นทุน’ หลังยอดขายร่วงเหลือ 1.6 ล้านคัน https://positioningmag.com/1497982 Thu, 07 Nov 2024 09:34:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497982 ดูเหมือนว่าค่ายรถสันดาปญี่ปุ่นหลายรายกำลังเจอช่วงวิกฤตจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี โดยล่าสุด นิสสัน (Nisson) ก็เตรียมลดพนักงานและปรับลดกำลังการผลิต รวมถึง CEO ก็ยอมลดเงินเดือนลง เพื่อทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด

นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถยนต์อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ได้ลดประมาณการกำไรจากการดำเนินงานประจำปีลง 70% เหลือ 1.5 แสนล้านเยน (975 ล้านดอลลาร์) นับเป็นการปรับลดครั้งที่สองหลังจากปรับลด 17% เมื่อต้นปีนี้ โดยกำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ (กรกฎาคม-กันยายน) ลดลง 85% เหลือ 3.29 หมื่นล้านเยน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของ LSEG ที่ 6.68 หมื่นล้านเยน

โดยยอดขายของนิสสันในปีนี้ ลดลง 3.8% เหลือ 1.6 ล้านคัน ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงในประเทศจีนถึง 14.3% ขณะที่ยอดขายในสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 3% เหลือประมาณ 449,000 คัน เมื่อรวมกันแล้ว ทั้งสองตลาดมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายทั่วโลกของนิสสัน

จากการลดลงดังกล่าว ทำให้นิสสันกำลังตัดสินใจจะ เลิกจ้าง พนักงานจำนวน 9,000 คนทั่วโลก นอกจากนี้ นิสสันยัง ลดกําลังการผลิตลง 20% ขณะที่ตัว มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอ (Makoto Uchida) จะขอ ลดเงินเดือนลง 50% นับตั้งแต่เดือนนี้ โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม นิสสันมีพนักงานทั่วโลกจำนวน 133,580 คน  

“นิสสันจะปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จัดระบบการจัดการใหม่เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าบริษัทกำลังหดตัว” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอ กล่าวในแถลงการณ์

ปัจจุบัน นิสสันกำลังผนึกกำลังกับแบรนด์รถยนต์ต่างชาติเพื่อต่อสู้ในตลาดจีน ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์จีนในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต

Source

]]>
1497982
รวมกันเราอยู่! “Honda – Nissan” ร่วมมือกันพัฒนาองค์ความรู้ “รถอีวี” จุดหมายเพื่อสู้ในตลาด “จีน” https://positioningmag.com/1484988 Fri, 02 Aug 2024 08:23:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484988 “Honda Motor” และ “Nissan Motor” ประกาศความร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ “รถอีวี” เช่น ซอฟต์แวร์ แบตเตอรี เพื่อลดต้นทุนการพัฒนาของทั้งสองฝ่ายและทำให้แข่งขันในตลาดต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะ “จีน” ซึ่งยอดขายของทั้งสองบริษัทกำลังตกต่ำ

ขณะที่ “Mitsubishi Motors” ซึ่งมีดีลความร่วมมือกับ “Nissan” มาตั้งแต่ปี 2016 จะเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รวม 3 บริษัท ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการเจรจาเป็นพันธมิตรด้านเงินทุนระหว่าง Honda และ Nissan หรือไม่ โทชิฮิโร มิเบะ ประธานบริษัท Honda กล่าวว่า “เรายังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรด้านเงินทุนในขณะนี้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้”

เมื่อร่วมกัน 3 บริษัทแล้วจะทำให้ต้นทุนการพัฒนาลดลง และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งญี่ปุ่นด้วยกันได้ เพราะก่อนหน้านี้มี 4 บริษัทญี่ปุ่น ได้แก่ Toyota Motor, Subaru, Suzuki Motor และ Mazda Motor ที่ประกาศสร้างกิจการร่วมค้า ผนึกกำลังกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปแล้ว

“แม้ว่าเราจะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่เรามีความท้าทายเหมือนกัน” มาโกโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nissan กล่าวในงานแถลงข่าวร่วมกับมิเบะ “ประเด็นหลักของความร่วมมือของเราจะเป็นด้านซอฟต์แวร์”

Honda
Honda Ye GT Concept รถอีวีของแบรนด์ที่จะเข้าทำตลาดในจีนเท่านั้น

บริษัทรถญี่ปุ่นนั้นกำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดใน “จีน” อย่างต่อเนื่อง หลังจากรถยนต์ไฟฟ้าจีน เช่น BYD ได้รับความนิยมสูงขึ้น และกินส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มรถยนต์พรีเมียม เฉพาะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยอดขายของ Honda ในจีนตกลงถึง 40% และของ Nissan ก็ตกลง 27% เมื่อสัปดาห์ก่อน Honda เพิ่งจะตัดสินใจลดการผลิตรถสันดาปในฐานผลิตที่จีนลง 19% ส่วน Mitsubishi Motors ถึงกับถอนฐานผลิตออกจากจีนไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน

“Honda และ Nissan กำลังเผชิญกับความยากลำบากในจีน และพวกเขาจะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นถึงจะยังอยู่ในตลาดที่นั่นได้” ทัตซูโอะ โยชิดะ นักวิเคราะห์ยานยนต์อาวุโสจาก Bloomberg Intelligence กล่าว ดังนั้น การเป็นพันธมิตรนี้จึง “มีเหตุผล”

อูชิตะ ซีอีโอของ Nissan กล่าวด้วยว่า แบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้าและมอเตอร์ไฟฟ้าต้องใช้การลงทุนมหาศาล ดังนั้น การที่บริษัทรถตกลงร่วมมือกันพัฒนาในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการสร้างความมั่นใจมากขึ้นว่าจะได้ผลตอบแทนจากการทุ่มทรัพยากรลงไป

Nissan
Nissan LEAF เจนเนอเรชันใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2025

สำหรับผลงานในช่วงครึ่งปีแรก 2024 ทั้ง 3 บริษัทในความร่วมมือนี้คือ Honda, Nissan และ Mitsubishi สร้างยอดขายรถยนต์ไป 4 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งยังน้อยกว่า Toyota แค่บริษัทเดียวที่สามารถขายได้ 5.2 ล้านคัน

การต่อสู้ของบริษัทรถญี่ปุ่นในตลาดโลกนั้นมีแรงหนุนจากรัฐบาลด้วย โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่ารถญี่ปุ่นจะต้องได้ส่วนแบ่งตลาด 30% ในตลาดโลกภายในปี 2030

“รัฐบาลและบริษัทรถญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติแล้วว่า ญี่ปุ่นจะไม่ชนะในตลาดถ้าสถานะยังเป็นแบบนี้ต่อไป” ทาเครุ อิโตะ ผู้อำนวยการที่สำนักงานการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลด้านการเคลื่อนที่ของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมกล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อเดือนที่แล้ว

Source

]]>
1484988
ถึงเวลาสู้ศัตรูคนเดียวกัน! ‘ฮอนด้า’ ผนึก ‘นิสสัน’ พัฒนารถอีวีเพื่อสู้กับ ‘ค่ายจีน’ https://positioningmag.com/1466580 Mon, 18 Mar 2024 03:58:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466580 หากเป็นรถยนต์สันดาป ผู้ที่ครองตลาดก็จะเป็น ค่ายรถญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นตลาดรถอีวี ค่ายจีน ได้กลายเป็นผู้นำของตลาดไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่แบรนด์สุดแข็งอย่าง Tesla ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับค่ายจีน ดังนั้น แบรนด์ญี่ปุ่นจึงต้องเลิกสู้กันเอง หันมาจับมือกันเพื่อสู้ค่ายจีน

ในอดีตค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นอาจจะต้องแข่งกับค่ายรถจากฝั่งยุโรปและแข่งขันกันเอง แต่ตอนนี้ทุกค่ายคงตระหนักได้ว่า คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในตลาดก็คือ ค่ายรถอีวีจีน ทำให้ นิสสัน (Nissan) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจแบบไม่ผูกมัด (Memorandum of Understanding – MoU) กับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถยนต์คู่แข่ง เพื่อร่วมมือกันในการผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ในแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ยานยนต์

โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองบริษัทประหยัดต้นทุนในการผลิต เพราะทำให้มี Economy of scale ที่มากขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันกับค่ายรถอีวีจากจีน โดยเฉพาะ บีวายดี (BYD) จากจีนที่เพิ่งบุกตลาดประเทศญี่ปุ่น รวมถึง เทสลา (Tesla) ด้วย

“ผู้เล่นหน้าใหม่มีความก้าวร้าวมากและกำลังบุกเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง เราไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ ตราบใดที่เรายึดมั่นในแนวคิดและแนวทางแบบดั้งเดิม” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสัน กล่าว

อย่างไรก็ตาม นิสสันและฮอนด้า ยังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนร่วมกัน แต่ก็เปิดรับความเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงยัง เปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตร ที่มีอยู่หากมีโอกาสเกิดขึ้น

“เราถูกจำกัดด้วยเวลา ดังนั้น จำเป็นต้องทำให้เร็ว เพื่อที่ภายในปี 2030 เราจะอยู่ในตำแหน่งที่ดี เราจึงต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้”

ทั้งนี้ ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงเป็น 100% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2040 ส่วนนิสสันถือเป็นผู้บุกเบิกด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยรุ่น Leaf

ที่ผ่านมา ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องแข่งขันกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยนิสสันเตรียมลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% เหลือ 1.6 ล้านคัน/ปี ส่วนฮอนด้านั้นจะลดกำลังการผลิตราว 20% เหลือ 1.2 ล้านคันต่อปี

Source

]]>
1466580
Nissan และ Honda พิจารณาลดกำลังการผลิตรถยนต์ในจีน หลังผู้ผลิตในแดนมังกรแข่งขันดุเดือดมากขึ้น https://positioningmag.com/1466084 Tue, 12 Mar 2024 17:29:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466084 ‘นิสสัน’ และ ‘ฮอนด้า’ ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น ได้พิจารณาลดกำลังการผลิตรถยนต์ในจีน หลังเจอแรงกดดันจากผู้ผลิตในประเทศหลายรายจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามรถยนต์ไฟฟ้าจากหลายแบรนด์

Nikkei Asia รายงานข่าวว่า นิสสัน (Nissan) และ ฮอนด้า (Honda) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องดิ้นรนเพื่อไล่ตามการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้ากับผู้ผลิตแดนมังกร

โดย Nissan จะเริ่มพูดคุยกับบริษัทร่วมทุนในท้องถิ่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% ขณะที่ Honda นั้นจะลดกำลังการผลิตราวๆ 20% กำลังการผลิตที่ลดลงจะทำให้ Nissan เหลือจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในจีนเหลือแค่ 1.6 ล้านคันต่อปี ซึ่งผลิตในโรงงาน 8 แห่งทั่วประเทศจีน ขณะที่ Honda จะเหลือแค่ 1.2 ล้านคันต่อปีเท่านั้น

ในปี 2023 ที่ผ่านมา ปริมาณการผลิตรถยนต์ของ Nissan ในประเทศจีนลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือ แค่ 793,000 คันเท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดครั้งแรกในรอบ 14 ปีของบริษัทอีกด้วย

ในช่วงทศวรรษ 2000 ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นหลายรายได้เริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตและการขายรถยนต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทในแดนมังกร เพื่อตอบสนองต่อคำขอของรัฐบาลจีนที่ขอให้ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ

รถยนต์ญี่ปุ่นได้รับความนิยมในหมู่ชาวจีนเนื่องจากมีคุณภาพสูง ในช่วงปี 2020 ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นได้ครองตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 20% แต่อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทในประเทศจีนหลายรายได้หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นซึ่งเราจะเห็นได้จากหลากหลายแบรนด์

ขณะที่ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเองนั้นไม่สามารถที่จะไล่ตามเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของผู้ผลิตในประเทศจีนได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการแข่งขันทางด้านราคา หรือแม้แต่การเพิ่มลูกเล่นต่างๆ เข้ามา เพื่อดึงดูดลูกค้า

จีนยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็น Nio หรือ Xpeng หรือแม้แต่ผู้ผลิตสินค้าไอทีอย่าง Xiaomi ที่ลงมาลุยตลาดดังกล่าว รวมถึง Huawei เองก็ได้ร่วมทุนกับผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศจีนก็มีแผนที่จะออกรถยนต์ไฟฟ้ามาสู่ท้องถนนให้ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยอดขายรถไฟฟ้าในประเทศจีนชะลอตัวลง แบรนด์จีนหลายแห่งยิ่งต้องแข่งขันเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ท้ายที่สุดต้องมีการปรับลดการผลิต

]]>
1466084
Nissan จะเลิกพัฒนา “รถยนต์น้ำมัน” ใน (เกือบ) ทุกตลาด หันมามุ่ง “รถอีวี” เต็มตัว https://positioningmag.com/1373431 Wed, 09 Feb 2022 11:44:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373431 เข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัว Nissan ประกาศแผนเลิกพัฒนาเครื่องยนต์รถใช้น้ำมันในทุกๆ ตลาด ยกเว้นสหรัฐอเมริกา และจะหันมาพัฒนารถยนต์ไฮบริดและรถอีวี ตามแผน “Ambition 2030” เร่งยอดขายรถอีวีให้ได้ 50% ภายใน 8 ปีข้างหน้า

Nikkei Asia รายงานแผนการปรับตัวของ Nissan เตรียมหยุดพัฒนารถยนต์เครื่องยนต์น้ำมันในทุกตลาด ยกเว้นสหรัฐฯ โดยจะยังพัฒนาปรับปรุงการออกแบบในรุ่นเดิมบ้าง แต่จะไม่มีการออกแบบรถรุ่นใหม่

ต่อจากนี้ Nissan จะพัฒนาเครื่องยนต์ไฮบริดสำหรับตลาดโลก รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเป็นอนาคตของบริษัท ตามแผน “Ambition 2030” ที่บริษัทจะทำยอดขาย 50% จากรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ภายในปี 2030 และจะมีการลงทุนหลักล้านล้านเยนสำหรับการพัฒนารถอีวีและแบตเตอรี่โดยเฉพาะ

สำหรับแรงกระตุ้นหลักที่ทำให้ Nissan ตัดสินใจเลิกพัฒนาเครื่องยนต์น้ำมันในหลายตลาด เกิดจากนโยบายของสหภาพยุโรปที่จะใช้มาตรฐาน Euro 7 ภายในปี 2025 ซึ่งจะเป็นการเขย่าตลาดยานยนต์อย่างแรงเพราะมาตรฐานนี้จะกำหนดให้รถยนต์ลดการปล่อยคาร์บอนลงไปอีกมาก และบีบให้รถยนต์ส่วนใหญ่ต้องใช้พลังงานสะอาด

แม้ว่าจะมีเฉพาะตลาดยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากมาตรฐาน Euro 7 แต่ Nissan ก็ตัดสินใจหยุดการพัฒนารถยนต์น้ำมันในตลาดจีนและญี่ปุ่นไปพร้อมกัน ทั้งนี้ บริษัทแจ้งด้วยว่าจะไม่มีการเลย์ออฟพนักงาน เนื่องจากจะทยอยโอนย้ายพนักงานจากหน่วยผลิตรถน้ำมันไปที่หน่วยผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

Nissan Titan รถกระบะน้ำมันรุ่นนี้ยังขายดีในสหรัฐฯ

ส่วนตลาดสหรัฐฯ ที่บริษัทยังมีการพัฒนารถยนต์น้ำมันอยู่นั้น เป็นเพราะบริษัทประเมินแล้วว่าตลาดสหรัฐฯ จะยังมีดีมานด์ “รถกระบะ” สูงอยู่ และรถกระบะเป็นประเภทรถที่ยังใช้น้ำมัน เทคโนโลยีการเปลี่ยนมาใช้แบบไฟฟ้าอาจจะยังช้ากว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล ทำให้รถกระบะ Nissan รุ่น Frontier และ Titan ที่ยังขายได้รวมกันกว่า 100,000 คันต่อปีในสหรัฐฯ น่าจะยังทำยอดขายได้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับการพัฒนารถกระบะไฟฟ้า เพราะตลาดสหรัฐฯ ก็เริ่มมีรถกระบะไฟฟ้าทำตลาดบ้างแล้ว และได้เสียงตอบรับดีในหมู่ผู้บริโภค ทำให้ Nissan ก็เริ่มมีคอนเซ็ปต์คาร์ที่เป็นรถกระบะไฟฟ้าออกมาให้เห็นเช่นกัน

Nissan showcases Electric Ecosystem designed to deliver the future of driving today

บริษัท Nissan ถือว่าเป็นผู้นำระดับโลกในการเริ่มปรับตัวสู่รถยนต์ไฟฟ้า เพราะถือเป็นเจ้าแรกๆ ที่ออกรถยนต์ไฟฟ้าสู่ตลาด โดยรถรุ่น Nissan Leaf เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2010 และรักษาตำแหน่งรถยนต์ไฟฟ้า 4 ที่นั่งที่ขายดีที่สุดในโลกจนกระทั่ง Tesla Model 3 มาชิงตำแหน่งนี้ไปเมื่อปี 2020

หลังจากนั้นกว่าทศวรรษ Nissan มีรถไฟฟ้าที่ออกสู่ตลาดอีกรุ่นหนึ่งคือ e-NV200 เป็นรถตู้ขนาดเล็กที่เน้นการขายในญี่ปุ่นกับยุโรปเท่านั้น แต่ปี 2022 นี้คาดกันว่า Nissan จะได้ฤกษ์ส่งมอบ ‘Nissan Ariya’ รถ CUV ที่น่าจะได้รับการตอบรับดีในตลาด โดยเปิดราคาในสหรัฐฯ มาแล้วเริ่มต้นที่ 47,125 เหรียญ (ประมาณ 1.54 ล้านบาท)

Source

]]>
1373431
‘นิสสัน’ ทุ่ม 1.38 พันล้านเหรียญสร้าง ‘gigafactory’ โรงงานผลิตแบตรถอีวีในอังกฤษ https://positioningmag.com/1340562 Sun, 04 Jul 2021 03:43:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1340562 มีผลการศึกษาออกมาว่ายอดขาย รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถอีวี จะแซงหน้ารถยนต์สันดาปภายในปี 2033 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5 ปี ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ค่ายรถยนต์ต่างพยายามลงทุนเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งรวมถึง ‘นิสสัน’ (Nissan) ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่เตรียมสร้างโณงงานผลิตแบตรถอีวีในสหราชอาณาจักร

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา นิสสัน ได้ประกาศแผนการที่จะสร้าง ‘gigafactory’ โรงงานผลิตแบตเตอรี่รถอีวีมูลค่า 1 พันล้านปอนด์ (1.38 พันล้านดอลลาร์) ในเมืองซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ เพื่อส่งเสริมแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น กล่าวว่า กำลังเปิดตัวโครงการนี้ ซึ่งมีชื่อว่า Nissan EV36Zero พร้อมด้วย Envision AESC บริษัทเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และสภาเทศบาลเมืองซันเดอร์แลนด์ ที่ผ่านมา นิสสันได้มีโรงงานผลิตรถยนต์ในซันเดอร์แลนด์มา 35 ปี ซึ่งโรงงาน gigafactory จะช่วยสร้างงานใหม่ 1,650 ตำแหน่ง แบ่งเป็นที่นิสสัน 900 ตำแหน่ง และ 750 ตำแหน่งที่ Envision AESC

Ashwani Gupta ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของนิสสัน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง “แผนงานของเราในการลดการปล่อยคาร์บอน”

ทั้งนี้ นิสสันกำลังพยายามเป็นพันธมิตรกับบริษัทยานยนต์รายใหญ่อื่น ๆ หลายแห่งที่พยายามมุ่งเน้นที่การพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ บริษัทรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส Renault เพิ่งประกาศว่าได้ลงนามใน “พันธมิตรหลักสองราย” ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม Volkswagen ของเยอรมนีประกาศว่าตั้งเป้าที่จะสร้างโรงงานขนาดใหญ่หลายแห่งในยุโรปภายในสิ้นทศวรรษนี้

Source

]]>
1340562
ส่อง 5 แบรนด์รถ EV ยอดขายสูงสุดในโลก ที่แสดงให้เห็นว่า ‘Tesla’ มีโอกาสถูกโค่นแชมป์ https://positioningmag.com/1318588 Tue, 09 Feb 2021 06:45:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318588 เปิดปี 2021 มาก็เจอแต่ข่าวเกี่ยว ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ หรือที่เราชอบเรียกกันว่า ‘รถ EV’ แต่รู้หรือไม่ว่าในปี 2020 รถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายเท่าไหร่ ซึ่งจากข้อมูลของ EV Sales Blog พบว่าปี 2020 มีการขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 3,124,793 คัน โดยกว่า 68% เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ ‘Battery Electric Vehicle’ (BEV) หรือ ‘ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว’ ที่เหลือเป็นแบบ ‘ปลั๊กอินไฮบริด’ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV)

โดย 5 อันดับแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุด (รวมทั้ง BEV และ PHEV) ได้แก่

Tesla ยอดขาย 499,535 คัน ส่วนแบ่งตลาด 16% *(Tesla มีเฉพาะรถ BEV)

Volkswagen Group ยอดขาย 421,591 คัน ส่วนแบ่งตลาด 13%

SAIC ยอดขาย 272,210 คัน ส่วนแบ่งตลาด 9%

Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance ยอดขาย 226,975 คัน ส่วนแบ่งตลาด 7%

BMW Group ยอดขาย 195,979 คัน ส่วนแบ่งตลาด 6%

Tesla Roadster 2020

เมื่อรวมยอดขายของแบรนด์ 5 อันดับแรกคิดเป็นสัดส่วน 51.7% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก และที่น่าสนใจคือ ‘Volkswagen Group’ แบรนด์ที่เคยอยู่อันดับ 6 ในปี 2019 แต่ภายในปีเดียวสามารถขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ของตลาดได้ แถมในในไตรมาสที่ 4 Volkswagen Group มียอดขายเป็นที่ 1 สามารถแซง Tesla ได้ โดยมียอดขาย 191,000 คัน ส่วน Tesla มี 183,000 คัน

คำถามคือปี 2021 Tesla จะสามารถรักษาแชมป์ได้หรือไม่ เพราะจากการเติบโตที่ก้าวกระโดดของ Volkswagen Group ที่หายใจรดต้นคอ Tesla ในปี 2020 ก็น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ความท้าทายที่ Tesla ต้องเผชิญได้แล้ว ขณะที่ Volkswagen ก็เริ่มรุกตลาดอย่างเต็มที่ โดยระบุว่ามีแผนจะลงทุน 35,000 ล้านยูโร (4.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) ในรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2025 พร้อมกับมีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าบริสุทธิ์ประมาณ 70 รุ่นภายในปี 2030 เพื่อแข่งขันกับ Tesla

จับตา ‘Volkswagen’ ในศึก ‘รถ EV’ เตรียมทุ่มเงิน 4.3 หมื่นล้านเหรียญงัดข้อกับ ‘Tesla’

ไม่ใช่แค่นั้น แต่จะเห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายรายเริ่มเห็นโอกาสจากตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และพร้อมที่จะเข้ามาในสงครามนี้ ที่จะเห็นได้ชัดก็คือ ‘Apple’ ที่กำลังจะปิดดีลกับบริษัทรถยนต์ เช่น Hyundai หรือ KIA เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ Apple ออกแบบ นอกจากนี้ Peter Rawlinson อดีตหัวหน้าวิศวกรที่เคยคลุกคลีกับ Elon Musk กำลังสร้างรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในนาม Lucid Motors ที่การันตีว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าระยะไกลที่แล่นได้เร็วและไกลที่สุดในโลกมาแข่ง ดังนั้นคงต้องจับตาดูกันยาว ๆ ว่าอาณาจักรมูลค่า 8 แสนล้านดอลลาร์ของ Tesla จะมีไม้เด็ดอะไรมางัดกับคู่แข่งที่กำลังเกิดใหม่มาเรื่อย ๆ นี้

Peter Rawlinson อดีตลูกน้อง Elon Musk สร้างรถใหม่บนจุดขาย “ดีกว่า Tesla”

Source

]]>
1318588
วิกฤต ‘ชิป’ ขาดตลาดพ่นพิษ ‘ตลาดรถยนต์’ คาดแบรนด์ใหญ่สูญเสียการผลิต 100,000 คันในไตรมาสแรก https://positioningmag.com/1314931 Tue, 19 Jan 2021 06:53:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1314931 ‘ฟอร์ด (Ford)’ แบรนด์รถยนต์สัญชาติอเมริกันได้สั่งหยุดการผลิตรถยนต์ในโรงงานที่ตั้ง ณ ซาร์หลุยส์ เยอรมนีเป็นเวลาหนึ่งเดือน เนื่องจากขาดแคลนชิปที่จำเป็น ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

ก่อนหน้านี้ ฟอร์ด ต้องปิดโรงงานผลิตรถ SUV ใน Louisville รัฐ Kentucky เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเนื่องจากขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ล่าสุด ได้สั่งปิดการทำงานของโรงงานตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนชิปและความต้องการรถที่ลดลง โดยโรงงานแห่งนี้มีพนักงานประมาณ 5,000 คน โดยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Ford ในยุโรปคือ Ford Focus

“เรากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตารางการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อพนักงาน ซัพพลายเออร์ ลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วยุโรป อย่างไรก็ตาม เรายังไม่มีแผนที่จะหยุดการผลิตในโรงงานอื่น ๆ ในยุโรปของเรา” โฆษกของฟอร์ดกล่าว

การปิดตัวลงของโรงงานฟอร์ดในเยอรมนีชี้ให้เห็นว่าปัญหาขาดแคลนชิปกำลังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก อย่าง Volkswagen กล่าวในแถลงการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า จะต้องปรับการผลิตที่โรงงานในจีน, อเมริกาเหนือ และยุโรปในไตรมาสนี้ และ Audi ได้ปลดพนักงาน 10,000 คนเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนชิป โดยต้องเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับผลกระทบที่โรงงานในเยอรมนีและเม็กซิโก นอกจากนี้แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota, Nissan, Honda ต่างก็กำลังปรับการผลิตเพื่อตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลน รวมถึงแบรนด์อย่าง Hyundai ก็มีการปรับด้วย

การขาดแคลนชิปในช่วงนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ เนื่องจากบริษัทวิจัย Bernstein ประเมินว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 9% ในปี 2564 หลังจากที่คาดว่าจะลดลง 15% ในปีที่แล้ว แต่ปัญหาการขาดแคลนชิปทำให้การฟื้นตัวมีความเสี่ยง ตามที่นักวิเคราะห์ของ UBS ระบุว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจสูญเสียการผลิต 100,000 คันในช่วง 3 เดือนแรกของปีหรือประมาณ 4% ของผลผลิตรายไตรมาสทั่วโลกอันเป็นผลมาจากการขาดแคลนส่วนประกอบ

ปัจจุบันรถ 1 คันจะต้องใช้ชิปประมาณ 50-150 ชิ้น เนื่องจากแอปพลิเคชันที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และการควบคุมการนำทาง

Source

]]>
1314931