Realme – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 20 Apr 2023 05:50:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 หวานหมู “สมาร์ทโฟนจีน” หลังเกิดสงครามยูเครน Xiaomi-Realme แท็กทีมครองตลาด “รัสเซีย” https://positioningmag.com/1427924 Wed, 19 Apr 2023 12:34:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427924 Xiaomi และ Realme ผงาดขึ้นครองตลาดสมาร์ทโฟนใน “รัสเซีย” แทนที่ Samsung และ Apple หลังเกิดสงครามยูเครนและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

M. Video-Eldorado Group บริษัทค้าปลีกท้องถิ่นในรัสเซียเปิดข้อมูล แบรนด์สมาร์ทโฟนจากจีนครองมาร์เก็ตแชร์สูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากแบรนด์ตะวันตกคว่ำบาตรตลาดนี้เนื่องจากเหตุรัสเซียบุกรุกดินแดนยูเครน

โดยยอดขายสมาร์ทโฟนจีนเติบโตขึ้น 42% ในเชิงปริมาณ และมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 70% รวมถึงมีแบรนด์หลักที่ครองตลาดคือ Xiaomi ปรับขึ้นจากอันดับ 2 มาเป็นเบอร์ 1 ของตลาด ขณะที่ Realme ก็ดีดจากเบอร์ 4 มาเป็นอันดับ 2 ของตลาด

ในไตรมาสแรกปี 2023 ชาวรัสเซียซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ประมาณ 6.5 ล้านเครื่อง ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ถ้าคิดเป็นมูลค่าต่อเครื่องแล้ว ราคาที่ซื้อตกลง 23% เหลือเฉลี่ยเครื่องละ 22,000 รูเบิล (ประมาณ 9,200 บาท)

Realme จีน อินเดีย
Realme ดีดขึ้นจากสมาร์ทโฟนเบอร์ 4 มาเป็นเบอร์ 2 ในตลาดรัสเซีย

สำหรับสมาร์ทโฟนที่ตกอันดับคือ Samsung ที่เคยเป็นเบอร์ 1 ในรัสเซีย ปัจจุบันลงมาอยู่อันดับ 3 และ Apple ที่เคยอยู่อันดับ 3 ก็ร่วงมาเป็นอันดับ 4 แทน Counterpoint Research รายงานว่า สองแบรนด์ใหญ่นี้เคยมีมาร์เก็ตแชร์รวมกันแตะ 57% แต่เมื่อถอนตัวจากตลาดแล้วทำให้มาร์เก็ตแชร์ลดเหลือ 34%

ขณะที่อันดับ 5 ปัจจุบันเป็นของแบรนด์ Tecno จากจีน ซึ่งเติบโตได้อย่างรวดเร็วในตลาดรัสเซีย

หลังจากแบรนด์ใหญ่อย่าง Samsung และ Apple ถอนตัวออกจากรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคมปีก่อน ทำให้เหล่า “สมาร์ทโฟนจีน” ได้โอกาสในการตีตลาดเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ที่ทั้งสองแบรนด์ยังคงมียอดขายอยู่แม้จะประกาศถอนตัวจากตลาดไปแล้ว เป็นเพราะรัฐบาลรัสเซียอนุญาติให้มีการนำเข้าได้โดยไม่ผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ ยกตัวอย่างเช่น M. Video-Eldorado Group ก็หันมานำเข้าสมาร์ทโฟน Samsung และ Apple ผ่านทางประเทศคาซัคสถานแทน

Samsung และ Apple เสียส่วนแบ่งการตลาดในรัสเซีย หลังมาตรการคว่ำบาตร

ขณะที่จีนก็ยังคงทำการค้ากับรัสเซียตามปกติและยิ่งเพิ่มมูลค่าซื้อขายระหว่างกัน เมื่อปี 2022 การค้าระหว่างจีนกับรัสเซียมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 34.3% ขึ้นไปแตะ 1.89 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และทั้งสองประเทศยังวางเป้าหมายที่จะมีมูลค่าการค้าขายระหว่างกันขึ้นไปแตะ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2024 อีกด้วย

การดำรงการค้าของเอกชนจีนกับรัสเซียก็มิใช่ว่าจะไม่มีผลกระทบทางลบเสียเลย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสัปดาห์ก่อน หน่วยงานต่อต้านการคอร์รัปชันในยูเครน นำชื่อบริษัท Xiaomi และผู้ก่อตั้ง/ซีอีโอ “เหล่ย จุน” รวมถึงชื่อบริษัท/ผู้บริหารอีกมากมาย ไปไว้ในทำเนียบรายชื่อ “ผู้สนับสนุนสงครามระหว่างประเทศ” ซึ่งทาง Xiaomi ออกมาปฏิเสธแล้วว่าบริษัทไม่ได้สนับสนุนการทำสงครามใดๆ ทั้งสิ้น

Source

]]>
1427924
Realme ลดเป้ารายได้ใน “จีน” ลงจากปัญหาเศรษฐกิจ ฟากตลาด “อินเดีย” ระส่ำถูกรัฐเพ่งเล็ง https://positioningmag.com/1395893 Thu, 11 Aug 2022 04:48:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395893 สมาร์ทโฟนแบรนด์ Realme ต้องยอมลดเป้าเติบโตใน “จีน” ลงจาก 50% เหลือ 30% หลังจากเศรษฐกิจจีนสะดุดเพราะการล็อกดาวน์ระลอกใหม่ ขณะที่เป้าเติบโตในตลาดต่างประเทศยังคงไว้ที่ 50% แต่ตลาดหลักอย่าง “อินเดีย” ยังต้องจับตา เนื่องจากนโยบายรัฐเพ่งเล็ง อาจ “แบน” บริษัทจีนที่ขายมือถือราคาต่ำเกินไป

Madhav Sheth รองประธานบริษัทและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ Realme เปิดเผยว่า บริษัทมีการปรับเป้าการเติบโตในปีนี้ จากสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป

“สิ่งสำคัญที่สุดคือเรายังโตอยู่ในบางตลาด ไม่ได้โตเร็วเท่าที่เราคาด แต่แน่นอนว่าเราจะโตต่อไป” Sheth กล่าว

Realme เป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2018 และมี Oppo เป็นผู้ผลิตให้ ก่อนหน้านี้แบรนด์ตั้งเป้ายอดขายทั่วโลกปี 2022 จะเติบโตถึง 50% เพื่อให้การเติบโตยังเท่าๆ กับที่ทำได้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทสามารถทำยอดขายได้สูง ส่งมอบสมาร์ทโฟนไป 60 ล้านเครื่องทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประเทศจีนเกิดการระบาดระลอกใหม่ของโรค COVID-19 และทำให้เกิดการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ Realme ต้องยอมลดเป้าการขายในประเทศลง เป้าเติบโตลดจาก 50% เหลือ 30% แต่เป้าหมายการเติบโตต่างประเทศยังคงไว้ที่ 50%

Realme
Realme C25s มือถือรุ่นราคาประหยัด

อุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนนั้นกำลังเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นกระแสเศรษฐกิจมหภาคที่เป็นขาลง ความขัดแย้งในภูมิศาสตร์การเมือง และการดิสรัปต์ของซัพพลายเชนการผลิตซึ่งเกิดจากโรคระบาด

ตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดของโลกก็เผชิญปัญหาเดียวกัน ทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคต่ำลง และส่งให้แบรนด์สมาร์ทโฟนจีนต้องหาทางหารายได้ทดแทนจากต่างประเทศให้มากขึ้น

 

ตลาด “อินเดีย” อาจไม่ราบรื่น

อินเดียนั้นเป็นประเทศแรกๆ ที่ Realme เข้าไปทำตลาด และต่อมาถือเป็นหนึ่งในตลาดหลัก จากฐานผู้บริโภควัยหนุ่มสาวมีความต้องการสินค้าราคาประหยัด ตรงกับพอร์ตของแบรนด์

IDC บริษัทวิจัยตลาดออกผลสำรวจเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2022 พบว่า แบรนด์ Realme ถือเป็นสมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของอินเดีย โดยเฉพาะไตรมาส 2/2022 มีการส่งมอบไป 6.1 ล้านเครื่อง เติบโต 23% จากปีก่อนหน้า และเป็นแบรนด์ที่โตเร็วที่สุดในกลุ่ม Top 5 สมาร์ทโฟนขายดีในอินเดีย

ขณะที่บริษัทวิจัยตลาดอีกแห่งหนึ่งคือ Canalys ออกผลสำรวจเมื่อเดือนก.ค. 2022 จัดอันดับให้ Realme ยังอยู่ในอันดับ 3 รองจากอันดับ 1 คือ Samsung และอันดับ 2 คือ Xiaomi

อินเดีย COVID-19
(Photo by Yawar Nazir/Getty Images)

อย่างไรก็ตาม บริษัทจีนกำลังเผชิญปัญหาในตลาดอินเดียที่ถือเป็นตลาดสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่อันดับสองของโลก เพราะจากการรายงานของสำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า รัฐบาลอินเดียกำลังเพ่งเล็งบริษัทสมาร์ทโฟนจีน และอาจจะเริ่ม “แบน” ผู้ผลิตจีนที่ขายสมาร์ทโฟนในราคาต่ำกว่า 12,000 รูปีต่อเครื่อง (ประมาณ 5,300 บาท) เพราะต้องการผลักดันพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการผลิตของอินเดียที่ถดถอยลงในช่วงที่ผ่านมา

ขณะนี้ปรากฏชื่อแบรนด์สมาร์ทโฟนจีนที่จะถูกสืบสวนโดยเจ้าหน้าที่รัฐอินเดีย เช่น Xiaomi, Huawei Technologies และ Vivo (แบรนด์พี่น้องอีกแบรนด์หนึ่งของ Realme)

ทั้งนี้ Sheth ระบุว่า Realme ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจากรัฐอินเดียว่าจะมีการแบนเกิดขึ้น และบริษัทพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เสมอ

 

Realme ลงทุนเพิ่มในอินเดียเพื่อเลี่ยงถูก “แบน”

แม้ว่าจะมีความท้าทาย แต่ Realme ได้วางแผนจะเพิ่มการลงทุนสายการผลิตในอินเดีย เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐที่ต้องการให้สินค้า “Made in India” มีเพิ่มมากขึ้น

ก่อนหน้านี้บริษัทมีการลงทุนไปแล้ว 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 120 ล้านบาท) เพื่อผลิตหูฟังในอินเดีย ซึ่งทำให้มีการจ้างงานคนในท้องถิ่นมากกว่า 1,000 ตำแหน่ง

หูฟัง Realme Buds Q

“ภายในสิ้นปีนี้ เราตั้งเป้าว่าทั้งอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (เช่น สมาร์ทวอชต์) และอุปกรณ์การฟัง จะผลิตในท้องถิ่นอินเดียได้ 100% และเราจะเริ่มการผลิตแทบเล็ตในอินเดียด้วย” Sheth กล่าว

นอกจากตลาดอินเดียที่ Realme ต้องยึดไว้ให้มั่น แบรนด์ยังมีเป้าจะขยายตลาดในประเทศบ้านเกิดให้ได้มากขึ้น รวมถึงตลาดยุโรปที่แบรนด์ต้องการจะเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ ลบภาพการเป็นแบรนด์ราคาประหยัดให้ได้

ขณะนี้ Realme เป็นสมาร์ทโฟนขายดีอันดับ 5 ในยุโรป ในไตรมาส 2/2022 แบรนด์เติบโตได้ถึง 21% ตามการรายงานของ Counterpoint Research

บริษัทยังไม่ย่อท้อต่อแผนการเปลี่ยนตนเองเป็นสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ แม้ว่าจะมีความท้าทายมากมาย “ความปรารถนาของเราที่จะเติบโตในเซ็กเมนต์นี้มีสูงมาก แม้ว่าจะอยู่ในห้วงของการเริ่มต้นดิสรัปชันทั้งดีมานด์ของผู้บริโภคและตลาดก็ตาม” Sheth กล่าว

Source

]]>
1395893
‘Realme’ ปักเป้าขึ้นเบอร์ 3 สมาร์ทโฟนไทยปีหน้า ชูกลยุทธ์ ‘1+5+T’ มัดใจลูกค้ายุค 5G https://positioningmag.com/1367795 Mon, 20 Dec 2021 09:30:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367795 แม้ ‘Realme’ (เรียลมี) จะไม่ถึงกับเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนหน้าใหม่ในตลาดขนาดนั้น เพราะก่อตั้งแบรนด์มาแล้วตั้งแต่ปี 2561 แต่กลับเป็นม้ามืดที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในตลาดโลกและตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการมาของ 5G รวมไปถึงการสะดุดของ Huawei (หัวเว่ย) ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของสมาร์ทโฟนหน้าใหม่จะผงาดขึ้นมา ซึ่งเรียลมีเองก็เร่งเครื่องหวังขึ้นเป็นเบอร์ 3 ในตลาดไทยให้ได้

ย้อนรอย Realme

Realme เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนจากประเทศจีน เริ่มก่อตั้งในเดือนพฤษภาคม 2561 โดย Sky Li อดีตทีมผู้บริหารสมาร์ทโฟน Oppo แบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี โดยหลายคนมักจะพูดว่า Realme ก็คือแบรนด์ลูกของ Oppo ซึ่งทาง Realme ก็ออกมาบอกว่าทาง Oppo เป็นเพียงผู้ผลิตสินค้าให้เท่านั้น แต่ทีมบริหารภายใน Realme ได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง

ตลอด 3 ปีที่ Realme ทำตลาด ปัจจุบันมียอดขายทั่วโลกครบ 100 ล้านเครื่อง โดยในปี 2021 มีอัตราการเติบโต 149% ขึ้นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับ 6 โดยตลาดที่ค่อนข้างโดดเด่นก็คือ อินเดีย ที่สามารถขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาด และสำหรับประเทศไทย Realme อยู่อันดับที่ 5 ในตลาด แต่ภายในปีหน้า Realme ต้องการขึ้นเป็น Top 3 หรือมีส่วนแบ่งตลาด 14%

กลยุทธ์ 1+5+T

ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนไทยช่วงไตรมาส 2 เสียวหมี่ (Xiaomi) ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 21% ตามมาด้วย Oppo, Samsung และ Vivo ตามลำดับ ส่วน Realme อยู่อันดับที่ 5 ด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 9%

โดย ศิรศร เบญจาธิกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ เรียลมี ประเทศไทย กล่าวว่า Realme ตั้งเป้าที่จะขึ้นเป็นเบอร์ 3 ภายในปีหน้าโดยจะใช้กลยุทธ์ 1+5+T เพื่อสร้าง Realme Ecosystem ให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคอย่างเต็มตัว โดย

  • 1 แทน สมาร์ตโฟนที่จะเป็นศูนย์กลางการควบคุม Ecosystem ทั้งหมด
  • 5 แทนหมวดหมู่หลักของอุปกรณ์ AIoT ทั้งหมด ได้แก่ 1. อุปกรณ์หูฟังไร้สาย 2. อุปกรณ์สวมใส่ 3. โทรทัศน์ 4. แท็บเล็ต และ 5. แล็ปท็อป
  • T ย่อมาจากแบนด์ TechLife ซึ่งทั้งหมดนี้จะมี realme Link แอปพลิเคชันเชื่อมต่อกัน และสร้างเป็น AIoT ecosystem เพื่อให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์ realme สามารถใช้งานร่วมได้อย่างเต็มรูปแบบ

“เรารู้ว่าคู่แข่งเราก็มีสินค้าเหมือนกับเรา แต่จุดอ่อนเขาคือการสั่งงานผ่านแอปต่าง ๆ แยกกัน แต่ของเราสั่งผ่านแอป Realme Link จบที่เดียวไม่ว่าจะมีกี่อุปกรณ์ และเราจะทำราคาที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด โดยปีหน้าคาดว่าจะมีสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มอีกอย่างน้อย 20 Item”

ในส่วนของสมาร์ทโฟน Realme จะโฟกัสที่ตลาด Hi-end โดยเฉพาะ GT Series ราคาอยู่ที่ 13,990-19,990 บาท นอกจากนี้จะเน้นไปที่สมาร์ทโฟน 5G โดยในปี 65 สมาร์ทโฟน 70% จะเป็นรุ่น 5G ซึ่ง Realme เห็นศักยภาพของตลาด 5G ไทยที่ไปพร้อม โดยเชื่อว่าในปีหน้าราคาสมาร์ทโฟน 5G จะเริ่มที่ 6,990 บาท ซึ่งยิ่งทำให้จับต้องง่าย ดังนั้นเชื่อว่า สัดส่วนยอดขายสมาร์ทโฟน 5G ของตลาดสมาร์ทโฟนไทยจะอยู่ที่ 30-40%

“ตลาดมือถือยังเติบโตได้อยู่ เพราะคนขาดมือถือไม่ได้ ยิ่งการที่ 5G ดีขึ้น การมาของเกมออนไลน์ที่เติบโตขึ้น คนที่เขาก็อยากเปลี่ยนสมาร์ทโฟน โดยตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 8-9 เดือนสำหรับกลุ่มล่าง ส่วนกลุ่มบนประมาณ 1 ปีเปลี่ยน”

ไม่หวั่นปัญหาชิปขาดแคลน พร้อมเพิ่มหน้าร้านเท่าตัว

ในปีหน้า Realme จะเพิ่มหน้าร้านจาก 75 แห่งเป็น 120 แห่ง เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกับสินค้ากลุ่ม AIoT เพราะพนักงานจะช่วยแนะนำสินค้าให้ลูกค้ารู้จักได้ ขณะที่ตลาดออนไลน์ที่กำลังเติบโต บริษัทก็จะเน้นไปที่การทำโปรโมชันต่าง ๆ พร้อมออกสินค้า Excursive เพื่อกระตุ้นตลาด

“ที่ผ่านมาเรามีบางรุ่นที่ขายเฉพาะออนไลน์ รวมทั้งทำแฟลชเซลล์ในวัน 12.12 โดยสามารถขายได้ถึง 500 เครื่องในไม่กี่นาที”

ปัญหาชิปขาดตลาดที่ผ่านมาส่งผลให้ยอดส่งมอบสินค้าในไทยไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เปลี่ยนซัพพลายเออร์ชิปเจ้าใหม่เป็น UNISOC และมีการจองซัพพลายล่วงหน้า ทั้งนี้ การที่แบรนด์เน้นทำตลาดกลุ่ม Hi-end ก็จะช่วยให้บริษัทมีรายได้มากขึ้น แม้จะขายสินค้าได้น้อยลงก็ตาม

“ปีหน้าทุกแบรนด์จะงัดทุกทางที่จะมาสร้างความแตกต่างเพื่อดึงลูกค้า เราเองก็มั่นใจว่าสินค้าเราครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม แต่ละซีรีส์มีคาแร็กเตอร์ชัดเจน เช่น C Series เน้นผู้สูงอายุ และใช้เป็นเครื่องที่สอง ส่วนไฮเอนด์จะเน้นวัยรุ่นชอบเล่นเกม ซึ่งไฮเอนด์ถือเป็นความท้าทายที่เรายังเข้าไม่ถึง ดังนั้น จึงเป็นกลุ่มที่เราอยากจะไปในปีหน้า”

]]>
1367795
ส่อง ‘สมาร์ทวอทช์’ ที่มีฟีเจอร์วัด ‘ออกซิเจนในเลือด’ ตั้งแต่หลักพันยันหลักหมื่น https://positioningmag.com/1329751 Wed, 28 Apr 2021 12:25:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1329751 ช่วงนี้หลายคนคงมีคำถามในใจคล้าย ๆ กันก็คือ “ติด COVID-19 หรือยัง”  แม้จะไม่มีอาการอะไรก็ตามทีเถอะ ดังนั้น หลายคนเลยอยากจะวัดค่า ‘ออกซิเจนในเลือด’ หรือ ‘SpO2’ ให้สบายใจว่า ‘ยังไม่ติด’ ทำให้ตอนนี้คนเลยให้ความสนใจกับ ‘สมาร์ทวอทช์’ ‘สมาร์ทแบนด์’ หรืออะไรก็ตามที่ใช้วัดได้ ดังนั้น เราไปดูกันว่ามี สมาร์ทวอทช์, สมาร์ทแบนด์รุ่นไหน หรือมือถือรุ่นไหนที่สามารถใช้วัดได้บ้าง ไปดูกัน

Apple Watch 6

สำหรับ Apple Watch 6 นั้นสามารถแสดงข้อมูลสุขภาพเชิงลึกทั้ง อัตราการเต้นของหัวใจ, วัดคุณภาพการนอน และไม่ได้มีแค่ฟีเจอร์วัดค่าออกซิเจนในเลือด แต่ยังตรวจวัด ECG คลื่นไฟฟ้าหัวใจได้อีกด้วย แถมยังมี GPS ในตัว โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 13,400 บาท ใครที่เป็นสาวก Apple ก็จัดได้เลย

Samsung Galaxy Watch3

Samsung Galaxy Watch3 ราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท โดยมาพร้อมฟีเจอร์วัดความดันโลหิต, ตรวจวัด ECG คลื่นไฟฟ้าหัวใจ, วัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือด, วัดอัตราเต้นหัวใจ, วัดคุณภาพการนอนหลับ, ตรวจวัดความเครียด และมีโหมดออกกำลังกาย

Huawei Watch Fit / Huawei Watch GT Series

สำหรับค่าย Huawei มี 2 ซีรีส์ที่มีฟีเจอร์วัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือด ได้แก่ Huawei Watch Fit ราคา 2,999 บาท และ Huawei Watch GT2e ราคา 4,290 บาท, Huawei Watch GT 2 ราคา 5,499 บาท, Huawei Watch GT 2 Pro ราคา 8,990 บาท โดยทั้ง 4 รุ่นมีฟีเจอร์พื้นฐานมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นการวัดอัตราเต้นหัวใจ, วัดคุณภาพการนอนหลับ และวัดการเผาผลาญกิโลแคลอรี

Huawei Watch Fit (บน) / Huawei Watch GT Series (ล่าง)

Xiaomi Mi Watch

แน่นอนว่าคงไม่มีชื่อของ Xiaomi ไม่ได้ เพราะผลิตแทบทุกอย่างเท่าที่คนจะนึกออก ซึ่งเจ้า Xiao Mi Watch ก็มีฟีเจอร์วัดค่า SpO2 หรือออกซิเจนในเลือดเช่นกันในราคา 3,490 บาท ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ก็มีครบทั้งวัดอัตราเต้นหัวใจ, วัดคุณภาพการนอน และตรวจวัดความเครียด

Realme Watch S Series

สำหรับ Realme แบรนด์ลูกของ ‘Oppo’ ก็ได้ออก Realme Watch Series ที่สามารถวัดค่า SpO2 ได้ โดยมี Realme Watch S ราคา 3,499 บาท และ S Pro ราคา 4,999 บาท โดยมีฟีเจอร์วัดอัตราเต้นหัวใจ, วัดคุณภาพการนอน และตรวจจับความเครียด

Fitbit Sense

สำหรับ Fitbit ก็ถือเป็นแบรนด์สมาร์ทวอทช์ที่เน้นด้านสุขภาพ โดยมีหลายรุ่นเลยทีเดียวที่สามารถวัดผลระดับออกซิเจนในเลือด พร้อมแจ้งข้อมูลจากกราฟแสดงผลผ่านแอปพลิเคชันฟิต อาทิ Charge 3, Ionic, Versa, Versa Lite, Versa 2 และล่าสุด Fitbit Sense ที่สามารถวัด ECG คลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ด้วย โดย Fitbit Sense ราคาอยู่ที่ 10,990 บาท

Garmin

เช่นเดียวกับการ์มินที่เป็นแบรนด์ที่เน้นด้านสุขภาพ ทำให้มีสินค้าหลายรุ่นที่สามารถวัดผลระดับออกซิเจนในเลือดได้ อย่าง vívosmart 4, vívoactive 4/4S, Legacy Hero/Saga, Venu, Venu Sq, vívomove 3 series เป็นต้น

Garmin vívomove 3 series

Amazfit Bip U / Amazfit GT Series

สมาร์ทวอทช์ของแบรนด์ลูก Xiaomi โดยมีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ Amazfit Bip U ราคา 1,690 บาท, Amazfit GTS2 ราคา 5,590 บาท และ Amazfit GTR2 ราคา 6,299 บาท โดยนอกจากจะวัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือดได้ยังตรวจจับความเครียด และการเผาผลาญได้ด้วย

Amazfit Bip U (ขวา) / Amazfit GT Series (ซ้าย)

Huawei Band 6 / Honor Band 5 / OPPO Band

สำหรับคนงบน้อยลองมาดูฝั่งของ ‘สมาร์ทแบนด์’ ของ ‘หัวเว่ย’ และแบรนด์ลูกอย่าง ‘ออเนอร์’ กันดู โดยมี Huawei Band 6 และ Honor Band 5 ที่มีฟีเจอร์วัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือด ส่วนฟีเจอร์พื้นฐานก็มีให้ครบทั้งวัดคุณภาพการนอนหลับ, วัดความเครียด และอัตราการเต้นของหัวใจ โดย Huawei Band 6 ราคา 2,990 บาท ส่วน Honor Band 5 ราคา 1,190 บาท

อีกแบรนด์ที่น่าสนใจก็คือ OPPO Band โดยสามารถตรวจจับความเครียด, การเผาผลาญกิโลแคลอรี, อัตราเต้นหัวใจ และวัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือดในราคาเพียง 1,199 บาทเท่านั้น

Oppo Band (ขวา), Honor Band 5 (กลาง), Huawei Band 6 (ซ้าย)

Samsung Galaxy S และ Note ก็ใช้วัดได้

สำหรับใครที่ใช้งาน Galaxy S5 ไปจนถึง S10+ หรือใครที่ใช้ Galaxy Note 4 ไปจนถึง Note 9 จะสามารถใช้ฟีเจอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด และ Heart Rate โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อไอเทมอื่น ๆ เพิ่มเลย เนื่องจากสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวของซัมซุงจะมาพร้อม ‘เซ็นเซอร์’ ตรงกล้องหลังบริเวณเดียวกับไฟ LED ซึ่งใครที่ใช้มือถือรุ่นดังกล่าวแล้วอยากวัดระดับออกซิเจนในเลือดก็สามารถทำตามนี้ได้เลย

1.เปิดแอปพลิเคชัน Samsung Health

2.หาเมนู Blood oxygen (SpO2) สำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด

3.เมื่อเข้าไปที่เมนู Blood oxygen แล้วให้กด Measure เพื่อเริ่มการวัด โดยให้นำนิ้วชี้ไปวางไปที่เซ็นเซอร์ด้านตัวเครื่องเพื่อเริ่มการวัด

ทั้งนี้ ระดับออกซิเจนในเลือดสภาวะปกติจะอยู่ที่ 95 – 100% อย่างไรก็ตาม หากเกิดรู้สึกไม่สบายแนะนำว่าควรหาหมอน่าจะดีที่สุด

]]>
1329751
realme เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด realme 8 Series สยายปีกด้วยกลยุทธ์เติบโตแบบก้าวกระโดด ครองอันดับ 4 ในประเทศไทย และอันดับ 7 จากตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก https://positioningmag.com/1328785 Thu, 22 Apr 2021 07:25:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328785 realme (เรียลมี) ตอกย้ำความเป็นผู้นำการออกแบบเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนล้ำสมัยเพื่อคนรุ่นใหม่ สานต่อความสำเร็จไม่สิ้นสุด ลุยตลาดไทยต่อเนื่อง ลั่นกลองรับต้นปี 2564 เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด “realme 8 Series” สองรุ่นสองสไตล์ คือ realme 8 “เก็บภาพไม่มีที่สิ้นสุด” และ realme 8 5G “ความเร็วไร้ขีดจำกัด” พร้อมเปิดตัว อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ เป็น “realme 5G แอมบาสเดอร์” กับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่สู่ระดับโทรศัพท์ 5G ครั้งแรกบนระบบ realme UI 2.0 อันเปี่ยมประสิทธิภาพชั้นยอด สยายปีกด้วยกลยุทธ์เติบโตแบบก้าวกระโดดครองอันดับ 4 ในประเทศไทย และอันดับ 7 จากตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก

คุณชัยรัตน์ เศารยะโศภิต รองประธานกรรมการฝ่ายธุรกิจลูกค้าและแบรนด์ช็อป เรียลมี ประเทศไทย กล่าวว่า realme เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การันตีด้วยยอดส่งออกสมาร์ทโฟนทั่วโลกมากกว่า 50 ล้านเครื่อง และได้เริ่มเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2561 ปัจจุบันสามารถขยายช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน realme มีแบรนด์ช็อปทั้งหมด 68 สาขา และ Experience Store อีก 6 สาขา พร้อมตั้งเป้าขยายอีก 100 สาขาภายในปีนี้  และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย รวมทั้งดีลเลอร์กว่า 7,000 แห่ง ด้วยบทบาทผู้นำคนรุ่นใหม่ที่จะพาทุกท่านก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความล้ำสมัยกับพลังแห่งอนาคต จึงทำให้การเลือกแอมบาสเดอร์ต้องเป็นคนที่มีอิทธิพล​ต่อความคิดและการกระทำของคนทั่วไป แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เราไม่เคยหยุดปรับตัวและมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยในปีนี้เราได้พัฒนาเทคโนโลยีที่รองรับ 5G ในรุ่น realme 8 5G และได้รับเกียรติจาก “คุณอั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” มาเป็น realme 5G แอมบาสเดอร์” ให้กับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้โดยเฉพาะ ด้วยความเป็นสาวทันสมัยที่ก้าวล้ำนำเทรนด์อยู่เสมอ จึงทำให้เธอยืนหยัดครองใจมหาชนมาจนทุกวันนี้ เราจึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้คุณอั้มมาช่วยเสริมกำลังให้ realme มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

สำหรับ “realme 8 Series” เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ realme UI 2.0 หนึ่งในระบบปฏิบัติการที่ปรับแต่งได้ราบรื่น บนพื้นฐาน Android 11 ให้ใช้งานได้ตั้งแต่แกะกล่อง เพื่อประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวสูง ช่วยให้การใช้งานมีความรวดเร็ว ลื่นไหล และปลอดภัยมากขึ้น จุดเด่นสำคัญของ realme UI 2.0 คือช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเล่นกับความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ รองรับรายการที่ปรับแต่งได้มากกว่า 100 รายการ อีกทั้งมีระบบป้องกันการชำระเงิน ระบบตรวจสอบสิทธิ์การใช้งาน แอปพลิเคชัน จึงมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจะได้รับความปลอดภัยสูงสุด

“เราได้ปรับปรุงการใช้งานให้ราบรื่นมากขึ้นบน realme UI 2.0 เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบมีความเร็วเพิ่มขึ้น 32% และความเสถียรของอัตราเฟรมเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว รวมถึงยังได้ยกระดับความเร็วถึง 23.63% ในการเปิดใช้งานแอปพลิเคชั่นให้เหลือเวลาสั้น ๆ”

คุณศิรศร เบญจาธิกุล  ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ เรียลมี ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การเปิดตัว realme 8 Series ในครั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นมอบสมาร์ทโฟนที่ล้ำสมัยเพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ความชอบและความสะดวกสบายของคนรุ่นใหม่ ในราคาที่จับต้องได้  โดยในรุ่น realme 8 มาพร้อมกับสโลแกน “เก็บภาพไม่มีที่สิ้นสุด” รวบรวมฟังก์ชั่นถ่ายภาพไว้หลากหลาย โดดเด่นด้วย Tilt-shift Mode โหมดการถ่ายภาพแบบจำลอง เปลี่ยนโลกแห่งความจริงให้กลายเป็นโลกขนาดเล็ก ช่วยให้สามารถเลือกและปรับแต่งเอฟเฟกต์เบลอได้ด้วยตนเอง และเหมาะกับฉากได้อย่างง่ายดาย, Starry Mode ที่ realme 8 ได้อัพเกรดปรับกระบวนการถ่ายภาพให้เหมาะสม ช่วยเพิ่มความสว่างของดวงดาวและช่วยเพิ่มความสว่าง-ลดสัญญาณรบกวน, Neon Portrait โหมดเพิ่มเอฟเฟกต์ การเบลอ สร้างภาพที่เหมือนฝันมากขึ้น, Dynamic Bokeh เน้นวัตถุกับพื้นหลังที่กำลังเคลื่อนไหว สร้างความรู้สึกสะดุดตา, Dual-view Video โหมดการถ่ายวิดีโอรูปแบบใหม่ ช่วยให้บันทึกจากกล้องหน้าและกล้องหลังได้ในเวลาเดียวกัน รองรับการถ่ายวิดีโอ UIS&UIS Max Ultra Wide-angle ความละเอียด 4K/30 fps ตลอดจนกล้องหน้า 16 MP ให้เซลฟี่ได้อย่างเต็มรูปแบบด้วยมุมมอง 78 องศา รองรับการปลดล็อคผ่านการสแกนนิ้วได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Cyber Silver และ Cyber Black

ส่วน realme 8 5G มาพร้อมกับสโลแกน “ความเร็วไร้ขีดจำกัด” กับชิปเซ็ต Dimensity 700 5G ร่วมกับ Arm Cortex-A76 2 คอร์ และ CPU แบบ octa-core ที่ทำงานได้ถึง 2.2 GHz พร้อม Dual 5G Dual Standby ดีไซน์บางเฉียบเพียง 8.5 มม. ฝาหลังได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ Fast and Furious มาจากเส้นแสงไฟหน้ารถที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง จอใหญ่ 6.5 นิ้ว FHD+ สัมผัสลื่นไหลด้วยอัตรารีเฟรซเรท 90 Hz แบตเตอรี่ใหญ่ถึง 5000 mAh ประหยัดพลังงานอัจฉริยะแม้ใช้งาน 5G ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานขึ้นในการใช้งานประจำวัน รองรับการชาร์จไว 18 วัตต์ พร้อมเทคโนโลยี Smart 5G Power Saving ตรวจจับสภาพแวดล้อมของสัญญาณโดยรอบได้อย่างชาญฉลาด และจะสลับการใช้งานระหว่าง 4G และ 5G อัตโนมัติ ซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่าสมาร์ทโฟนที่ไม่มีคุณสมบัติ Smart 5G ถึง 30% เพื่อปรับปรุงปัญหาอายุการใช้งานแบตเตอรีที่สั้นลง  และสามารถปลดล็อคสแกนลายนิ้วมือด้านข้างอย่างอัจฉริยะ แม่นยำ ปลอดภัย และรวดเร็วเพียง 0.3 วินาที มีให้เลือก 2 สี คือ Supersonic Blue และ Supersonic Black

realme 8 Series” พร้อมเปิดตัว realme 8 เริ่มต้นเพียง 2,989 บาทและ realme 8 5G เริ่มต้นเพียง 2,489 บาท Pre-order ได้แล้ววันนี้ – 3 พ.ค. 64 รับฟรีของแถมพิเศษ realme Smart Scale และ E-VIP CARD ประกันจอแตก มูลค่ารวม 4,499.-

นอกจากนี้ที่ผ่านมาเรียลมียังมีอุปกรณ์เสริมที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีหลายรายการ อาทิ หูฟัง True Wireless รุ่น realme Buds Air สองดีไซน์ทันสมัย มาพร้อมระบบตัดเสียง Active Noise Cancellation  และไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 10 มิลลิเมตร ซึ่งจะช่วยให้สามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ชั่วโมง และ  realme Buds Air 2 Neo ระบบตัดเสียง Active Noise Cancellation  รบกวนสูงสุด 25 เดซิเบล Bass Driver ขนาดใหญ่ ขนาด 10 มิลลิเมตร และฟังเพลงได้นานสูงสุด 28 ชั่วโมง

ปิดท้ายด้วยสมาชิกใหม่ของแบรนด์ realme Smart Audio นั่นก็คือ realme Cobble Bluetooth Speaker ลำโพงบลูทูธอัจฉริยะที่มาพร้อมความหน่วงต่ำ 88 มิลลิวินาที คุณสมบัติ Dynamic Bass Boost Driver 5 วัตต์ ใช้งานได้ยาวนาน 9 ชั่วโมง ไม่ว่าจะดูหนังฟังเพลงหรือเล่นเกมก็จัดเต็มอรรถรส

    สามารถดูรายละเอียดได้ที่ realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศโดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ realme ได้ทั้งทางออนไลน์ที่

  • Instagram : @realme_thailand
  • Facebook : https://www.facebook.com/realmeTH
  • เว็บไซต์ : https://www.realme.com/th/

เกี่ยวกับ realme (เรียลมี)

realme แบรนด์สมาร์ทโฟนเพื่อคนรุ่นใหม่ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัย ภายใต้แนวคิด Dare-to-Leap ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2018 โดย Sky Li และทีมงาน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ในวงการสมาร์ทโฟน โดย realme มุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ การออกแบบที่โดดเด่น บริการที่จริงใจ และพร้อมที่จะค้นหา ความเป็นไปได้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน  realme ได้ก้าวเข้าสู่อันดับ 7 จากสมาร์ทโฟนทั่วโลก ในไตรมาสที่ 3 ปี 2019 และมีผู้ใช้งานมากกว่า 25 ล้านคน และตอนนี้เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยได้ขยายตลาดมากถึง 27 ตลาดในจีน อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ยุโรป รัสเซีย และแอฟริกา

]]>
1328785
“Realme” สมาร์ทโฟนแดนมังกร ลุยขายผ่าน “เซเว่น อีเลฟเว่น” ขอชิงเค้กถูกและดี https://positioningmag.com/1201206 Tue, 04 Dec 2018 04:59:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1201206 Thanatkit

หากนับรวมๆ แล้วเวลานี้มี “สมาร์ทโฟนแบรนด์จีน” กินตลาดในเมืองไทยไปกว่า 30-35% ด้วยสไตล์เจ้าบุญทุ่มที่อัดงบการตลาดเต็มที่ และดัมพ์ราคาลงมาในสเปกจัดเต็ม ทำให้แบรนด์จีนเบียดขึ้นมาแซงแบรนด์เกาหลีและแบรนด์ญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจ 

แม้ตอนนี้จะมีแบรด์จีนทำตลาดอยู่ในไทยนับ 10 แบรนด์ เช่น แบรนด์ที่คุ้นหูกันดีอย่าง Huawei, OPPO, Vivo เข้ามาเจาะในทุกเซ็กเมนต์ตั้งแต่เครื่องราคา 3,000 บาทไปจนถึงแพงระยับ 25,000 บาทขึ้นไป แต่ดูเหมือนว่าจะยังมีช่องว่างให้ “แบรนด์น้องใหม่” Realme (เรียลมี) เข้ามาได้อยู่เรื่อยๆ 

นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์เมื่อ 4 พฤษภาคม 2018 หลายคนก็เข้าใจว่า Realme เป็นซับแบรนด์ของ OPPO เพราะ “สกาย ลี” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Realme เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงของ OPPO มาก่อนที่จะแยกมาตั้งแบรนด์ของตัวเอง โดย Realme ยืนยันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ถึงจะจ้างให้ OPPO ผลิตสินค้าให้ตัวเองก็ตาม

แม้จะตีตราเป็นแบรนด์จีนหากจริงๆ แล้ว Realme เริ่มต้นเจาะ “ตลาดอินเดีย” เป็นที่แรก แทนที่จะเป็นบ้านเกิดซึ่่งน่าจะชำนาญและรู้ใจผู้บริโภคมากกว่า ที่เป็นอย่างนั้นเพราะตำแหน่งเดิมของลีคือการดูแลตลาดต่างประเทศ และอินเดียเป็นประเทศสุดท้ายก่อนที่เขาดูก่อนจะลาออก จึงเริ่มต้นทำตลาดในทำเลที่ตัวเองเชี่ยวชาญแทนจีนซึ่งยังไม่ได้เข้าใจมากนัก ก่อนจะขยายมาสู่ไทยเป็นประเทศที่ 2 ตามด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์

Realme เริ่มทำตลาดในเมืองไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยการเปิดตัว Realme 2 Pro ราคา 6,590 บาท และ 8,990 บาท สินค้าถูกผลิตในเมืองจีน ขายผ่าน 2 ช่องทางได้ Lazada และ Truemove H ยอดขายค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ

โดยเฉพาะ Lazada ที่รอบแรกขายหมดใน 10 วินาที และช่วงแคมเปญ 11.11 ได้หั่นราคา 6,590 บาท เหลือ 5,990 บาท จนสามารถติดเบอร์ 1 แบรนด์มือถือขายดี แต่ก็เฉพาะช่วง 00.00 – 02.00 . เท่านั้น

ศิรศร เบญจาธิกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ บริษัทเรียลมี ประเทศไทย กล่าวว่า

“Realme มองโอกาสในเมืองไทย จากข้อมูลที่ว่า 60.8% จากจำนวนสมาท์โฟนทั้งหมด 18 ล้านเครื่อง อยู่ในช่วงราคา 3,000 – 9,000 บาท จึงเชื่อว่ายังมีช่องว่างให้ Realme เข้าไปแทรกจากสินค้าที่คุ้มกับราคาที่จ่าย ซึ่งเรื่องของราคาเป็นสิ่งที่คนไทยเซนซิทีฟมากที่สุด”

จะตีเหล็กก็ต้องตีช่วงร้อน เมื่อรุ่นแรกไปได้ดี Realme เลยเปิดตัวรุ่นที่ 2 ต่อทันที Realme C1 (เรียลมี ซีวัน) มาพร้อมหน้าจอกว้าง 6.2 นิ้ว แบตเตอรี่อึดทน 4230 mAh กล้องคู่ เน้นดีไซน์ ราคา 3,990 บาท ซึ่ง Realme บอกว่า ถือเป็นราคาที่ถูกสุดแล้วของสมาท์โฟนแบรนด์จีน ที่ทำตลาดขณะนี้

จับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นตั้งแต่อายุ 14 – 15 ปีขึ้นไป ที่เพิ่งซื้อสมาท์โฟนเป็นเครื่องแรก หรือกลุ่มวัยทำงานที่ต้องการสมาท์โฟนมาใช้เป็นเครื่องที่สอง วางขายเฉพาะ 7 Eleven ซึ่งเบื้องหลังของดีลนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับ Truemove H ด้วย เนื่องจากมีการทำโปรร่วมกันหากลูกค้า Truemove H เติมเงินถึงขั้นที่กำหนดก็จะได้โทรและเน็ตฟรี

Realme เชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว่ากว่า จากจำนวนสาขาของ 7 Eleven ที่มีกว่า 13,000 สาขากระจายทั่วประเทศ อีกทั้งยังไม่กังวลว่าจะไปชนกับเฮาส์แบรนด์ แบรนด์จีนรุ่นพี่และแบรนด์เกาหลีที่เข้ามาทำตลาดก่อน เพราะจับเป้าหมายคนละกลุ่มกัน แม้เซ็กเมนต์นี้จะแข่งขันรุนแรงเรื่องราคาก็ตาม แต่เชื่อว่าความคุ้มค่าตอบโจทย์มากกว่า

โจทย์ของน้องใหม่อยู่ที่ต้องเร่งสร้างการรับรู้ให้มากที่สุด ดังนั้นช่วงแรกจะใช้สื่อ 360 องศา รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นเรื่องบริการหลังการขาย ขณะนี้มีศูนย์ให้บริการ 43 แห่งอยู่ทั่วประเทศ โดยใช้ร่วมกับศูนย์ของ OPPO.

]]>
1201206