เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา (Delta) หรือ B.1.617.2 ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย ตอนนี้กำลังแพร่ระบาดหนักในกว่า 98 ประเทศ รวมถึงไทย
ก่อนหน้านี้ ‘ไฟเซอร์’ ได้ร่วมมือกับ ‘ไบโอเอ็นเทค’ ของเยอรมนี พัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพป้องกันอาการป่วยหนักได้ประมาณ 95% เเต่ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอล เปิดเผยเมื่อ 5 ก.ค. ว่า “ประสิทธิภาพการป้องกันของวัคซีนไฟเซอร์นั้นลดลงมาเหลือเพียง 64% เมื่อเจอเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา”
Mikael Dolsten หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์ อ้างอิงข้อมูลหลักฐานจากทางการอิสราเอล ระบุว่า ผู้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็มเเล้วนานเกิน 6 เดือน ยังมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ
โดยยืนยันว่า เเม้การฉีด ‘Booster Shot’ ด้วยวัคซีนสูตรเดิมนั้น จะยังสามารถต้านทานโควิดทุกสายพันธุ์ที่รู้จักในตอนนี้ เเละมีการป้องกันสูงกว่าการฉีด 2 เข็ม ราว 5-10 เท่า เเต่ทางบริษัทกำลังพัฒนาวัคซีน Booster Shot สูตรใหม่เพื่อจัดการสายพันธุ์เดลตา
“จากค้นพบเหล่านี้ สอดคล้องกับการวิเคราะห์การทดลองเฟส 3 ของบริษัท นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราถึงพูดและเชื่อมาตลอดว่ามีความเป็นไปได้ที่จำเป็นต้องฉีดเข็ม 3 ภายใน 6-12 เดือนหลังจากฉีดครบ 2 เข็มแล้ว”
โดยหากได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับดูแล ทางไฟเซอร์–ไบโอเอ็น เทคจะเริ่มทดลองทางคลินิกให้เร็วที่สุดภายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อเตรียมขออนุมัติใช้งานต่อทางคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์บางคน ยังตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการฉีด Booster Shot
Eric Topol ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลและผู้อำนวยการสถาบัน Scripps Research Translational ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มองว่าการลดลงของภูมิคุ้มกัน จะส่งผลให้เกิดการเพิกเฉยต่อส่วนประกอบอื่นๆ ที่สำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน รวมไปถึงเซลล์หน่วยความจำ B ที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ เมื่อต้องเผชิญกับไวรัส โดยเขาเน้นว่า “เรื่องนี้จะต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อยืนยันให้ได้”
ทั้งนี้ ไฟเซอร์คาดการณ์ยอดขายวัคซีนของบริษัทในปีนี้ทะลุ 2.6 หมื่นล้านเหรียญ เเละกำลังมองหาวิธีที่จะเพิ่มการผลิต โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้ 3 พันล้านโดสภายในปีนี้ และ 4 พันล้านโดสในปีหน้า
จากข้อมูลของ IQVIA Holdings ระบุว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก และวัคซีนเข็มต่อไปเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อาจมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.57 เเสนล้านเหรียญในปี 2025
]]>
หน่วยงานด้านสาธารณสุขของ UAE ประกาศว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยบริษัทซิโนฟาร์ม (Sinopharm) จากจีน ครบ 2 เข็มแล้ว ‘รออีก 6 เดือน’ หลังจากนั้นให้มาเข้ารีบวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้นเป็น ‘Booster Shot’ หนึ่งในกลยุทธ์ ‘เชิงรุก’ ต่อสู้กับโรคระบาด
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ของซิโนฟาร์ม เป็นการฉุกเฉิน นับเป็นวัคซีนชนิดที่ 5 ของโลก เเละเป็นชนิดเเรกจากฝั่งเอเชีย ที่ได้รับไฟเขียวจาก WHO
‘ซิโนฟาร์ม’ พัฒนาโดย China National Pharmaceutical Group ของรัฐบาลจีน ซึ่งใช้ฉีดเป็นตัวหลักของประเทศ เเละส่งไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เผยผลการทดลองวัคซีนซิโนฟาร์ม ระยะที่ 3 พบว่ามีประสิทธิภาพ 86% แต่การประกาศดังกล่าวมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อย และไม่ได้เปิดเผยว่าตัวเลข 86% นั้นมีการคำนวณอย่างไร
ตอนนี้ ข้อกังวลถึงความรวดเร็วในการกระจายวัคซีนเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อประเทศ ‘เซเชลส์’ หมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนมากที่สุดในโลก เเต่ต้องเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ครั้งใหม่ แม้แต่ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนทั้ง 2 โดสก็ยังติดเชื้อ
ซึ่งผู้อยู่อาศัยในเซเชลส์ส่วนใหญ่กว่า 57% ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์ม ส่วนอีก 43% ฉีดแอสตราเซเนกา หรือ ‘Covishield’ ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ผลิตในอินเดีย
UAE อยู่ในกลุ่มประเทศที่สามารถกระจายวัคซีนได้เร็วที่สุด เมื่อเทียบกับอัตราประชากร โดยเลือกใช้วัคซีนของซิโนฟาร์มเป็นหลัก เพราะเป็นวัคซีนที่ได้ร่วมทุนพัฒนากับจีน โดย UAE ยังเป็นฐานการผลิตที่อยู่นอกจีนแห่งแรกด้วย
ขณะเดียวกัน ก็มีการขยายวัคซีนทางเลือกให้ประชาชนทั้งจาก ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค แอสตราเซเนกา และสปุตนิกวี
โดยยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เคยพุ่งสูงสุด 4,000 ตัวต่อวันในช่วงปลายเดือนมกราคม แต่ลดลงเหลือน้อยกว่า 1,500 รายต่อวัน หลังมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเเละเร่งฉีดวัคซีน ทำให้ขณะนี้เมืองสำคัญอย่าง ‘ดูไบ’ กลายเป็นพื้นที่แรกๆ ในโลก ที่กลับมาดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวและจัดประชุมสัมมนาได้
ในช่วงปลายเดือนเมษายน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศว่าจะมีการพิจารณาใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อจำกัดการเดินทางของผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนหันมาฉีดวัคซีน ซึ่งตอนนี้มีการฉีดไปเเล้วเกือบ 11.5 ล้านโดส จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 10 ล้านคน
]]>