COVID19 – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 23 Feb 2022 12:43:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ฮ่องกง’ ประกาศอัดฉีดเงิน ‘2 หมื่นล้านดอลลาร์’ หนุนเศรษฐกิจสู้โควิด https://positioningmag.com/1375110 Wed, 23 Feb 2022 12:29:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375110 รัฐบาลฮ่องกงประกาศว่าจะทุ่มงบมากกว่า 1.7 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 2.18 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อต่อสู้กับการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่และสนับสนุนเศรษฐกิจ หลังได้ขยายมาตรการการควบคุมไวรัสไปถึงวันที่ 20 เมษายน

ฮ่องกงซึ่งถือเป็นเมืองกึ่งปกครองตนเองของจีนกำลังประสบกับการระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 5 โดยมีผู้ป่วยรายวันทะยานสูงเป็นประวัติการณ์ โดยล่าสุดมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 8,674 รายในวันเดียว ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แคร์รี แลม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้สั่งยกเลิกการล็อกดาวน์โดยสมบูรณ์ แต่ยังคงยึดมั่นนโยบาย Zero COVID ของจีน

“การแพร่กระจายของไวรัสได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คนจำนวนมาก ทำให้ชีวิตและการทำงานของพวกเขาหยุดชะงัก และส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ เราจำเป็นต้องควบคุมทรัพยากรให้มากขึ้นเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของผู้คน และให้พื้นที่หายใจแก่ SMEs เพื่อทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพและรักษาความเชื่อมั่นของสาธารณชน” พอล ชาน รัฐมนตรีกระทรวงการเงิน กล่าว

ทั้งนี้ ฮ่องกงได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจ ได้แก่

  • ลดภาษีกำไร 100% สำหรับธุรกิจและภาษีเงินเดือนสำหรับบุคคลธรรมดา ต่อยอดที่ 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (1,280 ดอลลาร์)
  • บัตรกำนัลการบริโภคมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกง
  • เงินช่วยเหลือ 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกง สำหรับผู้ว่างงานชั่วคราว
  • การสละสิทธิ์การเช่าสำหรับธุรกิจที่ต้องปิดเนื่องจากกฎโควิด

นอกจากนี้ยังจัดสรรงบประมาณ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกงให้กับมาตรการ “ต่อต้านการแพร่ระบาด” ที่มุ่งส่งเสริมการทดสอบโควิด จัดหาชุดทดสอบ และให้การสนับสนุนแก่หน่วยงานของโรงพยาบาลของเมือง และงบอีก 6 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกงเพื่อซื้อวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อเป็นยากระตุ้น

“เราได้จัดสรรเงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับความต้องการอื่น ๆ ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาด เราจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับโรคระบาดหากจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้น” ชาน กล่าว

ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโดยรวมของฮ่องกงร่วงติดต่อกัน 2 ปี และฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดในปี 2564 โดยมีอัตราการเติบโต 6.4% โดยในปี 2565 คาดการณ์การเติบโต 2-3.5%

อย่างไรก็ตาม การ์เซีย-เอร์เรโร กล่าวว่า การคาดการณ์การเติบโตของเมืองอยู่ในแง่ดี Natixis มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่า 2% เล็กน้อยในปี 2565 โดยคาดว่าการระบาดในระลอกปัจจุบันจะเริ่มดีขึ้นประมาณปลายเดือนมีนาคม แต่หากไวรัสยังคงแพร่กระจายต่อไปเศรษฐกิจครึ่งปีแรกอาจติดลบ และการเติบโตในครึ่งปีแรกอาจไม่แข็งแกร่งเท่ากับครึ่งหลัง

ทั้งนี้ เศรษฐกิจของฮ่องกงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ และการระบาดใหญ่ของโควิดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

Source

]]>
1375110
‘WHO’ คาด ประชากรยุโรป 50% จะติด ‘โอมิครอน’ ในอีก 2 เดือน https://positioningmag.com/1370131 Wed, 12 Jan 2022 04:19:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370131 Dr. Hans Kluge ผู้อำนวยการ WHO ประจำภูมิภาคยุโรป อ้างข้อมูลจาก Institute for Health Metrics and Evaluation ในซีแอตเทิล ว่า ประชากรมากกว่า 50% ในยุโรปจะติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ที่แพร่ระบาดในวงกว้างในช่วงสองเดือนข้างหน้า ขณะที่เอเชียกลางจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน

“โอมิครอนกำลังกลายเป็นไวรัสที่ระบาดอย่างรวดเร็วในยุโรปตะวันตกและขณะนี้กำลังแพร่กระจายไปยังคาบสมุทรบอลข่าน โดยภูมิภาคนี้มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 7 ล้านคนในสัปดาห์แรกของปี 2022 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในช่วงสองสัปดาห์ ด้วยความเร็วในอัตรานี้ ประชากรยุโรปมากกว่า 50% จะติดเชื้อโอไมครอนในอีก 6-8 สัปดาห์ข้างหน้า

โอมิครอนได้แพร่ระบาดในอัตราความเร็วที่น่าตกใจ ส่งผลให้บางประเทศได้ออกมาตรการการจำกัดทางสังคมอีกครั้งเพื่อพยายามควบคุม อย่างไรก็ตาม หลักฐานเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า โอมิครอนมีความรุนแรงน้อยกว่าตัวแปรเดลตา แต่ถึงอย่างนั้น ระบบสาธารณสุขของนานาประเทศก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะมีโรงพยาบาลหลายแห่งต้องประกาศสถานการณ์วิกฤติ เนื่องจากขาดแคลนพนักงานและจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จอห์น เบลล์ ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตของรัฐบาลสหราชอาณาจักร กล่าวว่า โอมิครอนไม่ใช่โรคแบบเดิมกับสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ แต่จะดูเหมือนไม่รุนแรงมากนัก โดยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้ออกซิเจน และผู้ป่วยหลายคนใช้เวลาค่อนข้างสั้นในการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3 วัน

“ฉากอันน่าสยดสยองที่เราเห็นเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว คือ หอผู้ป่วยหนักเต็ม ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร และเราควรประเมินในแง่ร้ายว่ามันจะเกิดขึ้นอีกได้”

ทั้งนี้ Kluge ระบุเมื่อว่า อัตราการเสียชีวิตยังคงที่และยังคงสูงที่สุดในประเทศที่มีอัตราการเกิด COVID-19 สูง

Source

]]>
1370131
เกาหลีใต้เอาไม่อยู่! ประกาศยกระดับควบคุมสูงสุด หลังผู้ติดเชื้อพุ่งหลักพันรายต่อวัน https://positioningmag.com/1341524 Fri, 09 Jul 2021 06:39:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1341524 ตอนนี้หลายประเทศในเอเชียกำลังเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ รวมถึง เกาหลีใต้ ที่เตรียมยกระดับมาตรการควบคุมทางสังคมขั้นสูงสุดเป็นเวลาสองสัปดาห์ หลังจากมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์สองติดต่อกัน

เกาหลีใต้มีรายงานผู้ป่วย COVID-19 รายใหม่ในวันพฤหัสที่ 8 กรกฎาคมที่ 1,316 ราย เพิ่มขึ้นจากวันที่ 1,275 ราย โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคาดว่าตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้รัฐบาลได้ยกระดับมาตรการควบคุมทางสังคมเป็นระดับ 4 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดจำนวน 2 สัปดาห์เริ่มวันที่ 10 กรกฎาคม

ภายใต้มาตรการใหม่นี้ ประชาชนควรอยู่บ้านให้มากที่สุด โรงเรียนปิด การประชุมสาธารณะจำกัดเพียง 2 คน และหลังเวลา 18.00 น. และห้ามการชุมนุมหรือกิจกรรมอื่น ๆ ไนต์คลับและบาร์จะปิดให้บริการ ส่วนร้านอาหารและคาเฟ่จะอนุญาตให้มีที่นั่งจำกัดและให้บริการสั่งกลับบ้านหลังเวลา 22:00 น. เท่านั้น

“ในโซลเพียงแห่งเดียวเห็นผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน 500 ราย 3 วันติด โดย ผู้ติดเชื้อ 4 ใน 5 คนมาจากเขตกรุงโซล”

ผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในเกาหลีใต้มีเพียง 10% ของประชากร 52 ล้านคน ในขณะที่ 30% ได้รับอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 60 ปี โดยประเทศเกาหลีใต้มีเป้าหมายที่จะให้ภูมิคุ้มกันหมู่ก่อนเดือนพฤศจิกายน ตั้งเป้าการฉีดวัคซีน 70% ของประชาชนอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในเดือนกันยายน

ปัจจุบันเกาหลีใต้ใช้วัคซีนอย่างน้อย 3 รายการ ได้แก่ แอสตราเซเนกา, ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ซึ่งเป็นแบบโดสเดียว ส่วนยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ของเกาหลีใต้อยู่ที่ 165,344 ราย เสียชีวิต 2,036 ราย

Source

]]>
1341524
อัตราผู้ติดเชื้อในทุกรัฐของสหรัฐฯ ลดกว่า 5% หลังประชากร 47.5% ฉีดวัคซีนแล้ว https://positioningmag.com/1332842 Wed, 19 May 2021 06:49:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332842 สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 เริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ได้อนุญาตให้ผู้ฉีดวัคซีน COVID-19 ครบโดส ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในร่ม กลางแจ้ง หรือสถานที่มีผู้คนหนาแน่นอีกต่อไปแล้ว โดยปัจจุบันพบว่าจำนวนผู้ป่วย COVID-19 ลดลง 5% หรือมากกว่านั้นในเกือบทุกรัฐของสหรัฐฯ หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนกว่า 47.5%

จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ CNBC ที่รวบรวมโดยมหาวิทยาลัย Johns Hopkins แสดงให้เห็นว่าระดับการติดเชื้อและการเสียชีวิตทั่วประเทศในสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง หลังจากที่สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีการฉีดวัคซีนโดยเฉลี่ยประมาณ 1.8 ล้านครั้งในแต่ละวัน ตามข้อมูลของรัฐบาลกลาง โดย 47.5% ของประชากรได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 ครั้ง และประมาณ 37% ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน

ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อรายวันโดยเฉลี่ยประมาณ 32,000 ราย ลดลงอย่างมากจากระดับกลางเดือนเมษายนที่มีมากกว่า 71,000 รายต่อวัน และถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน โดยจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยต่อวันลดลง 5% หรือมากกว่าใน 42 รัฐ

บรรยากาศการต่อคิวเข้ารับวัคซีน COVID-19 ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ

โดยข้อมูลอัตราการเสียชีวิตจากเชื้อ COVID-19 ในสหรัฐฯ ในรอบ 7 วันเฉลี่ยที่ 587 ราย ลดลง 8% จากผู้เสียชีวิตมากกว่า 586,000 รายนับตั้งแต่เริ่มระบาด

ปัจจุบัน ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเกือบ 60% ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐตั้งเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 ครั้งให้ครอบคลุม 70% ของประชากรผู้ใหญ่ภายในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้

Source

]]>
1332842
“เทนเซ็นต์ คลาวด์” ชูโซลูชัน Smart Education ยกระดับระบบการศึกษาไทยด้วยคลาวด์อัจฉริยะ และ AI ครบวงจร https://positioningmag.com/1324973 Mon, 29 Mar 2021 10:00:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1324973
การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นอกจากจะส่งผลในแง่ของเศรษฐกิจมากมายมหาศาล ที่ทำให้ผู้ประกอบการ และองค์กรต่างๆ มีความจำเป็นต้องปรับตัวอย่างทันท่วงที ด้วยการนำ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” มาใช้เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจแล้ว  ผลกระทบของการแพร่ระบาดก็ยังส่งผลในวงกว้างต่อภาคส่วนอื่นๆ รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนจำนวนมากเช่นกัน

COVID-19 กระทบการศึกษาครั้งใหญ่

วงการ “การศึกษา” ถือเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก โรงเรียน และสถานศึกษาในหลายๆพื้นที่ต้องหยุดการเรียนการสอน เนื่องจากการล็อกดาวน์ทำให้นักเรียน และครูไม่สามารถไปโรงเรียนได้ตามปกติ

Photo : Pixabay

นี่ทำให้นักเรียนเกือบ 13 ล้านคนต้องอยู่บ้าน และคุณครูเกือบ 6 แสนคนไม่สามารถทำการสอนได้ รวมถึงเด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลไม่สามารถเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียม ดังนั้นหลายๆ โรงเรียนจึงเริ่มนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาปรับใช้ เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้การศึกษายังดำเนินต่อไปได้แม้ในภาวะที่ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม อีกทั้ง ยังช่วยให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถตามบทเรียนได้ทันอีกด้วย

หนึ่งในเทคโนโลยีที่มีบทบาทเป็นอย่างมากต่อภาคการศึกษาในช่วงวิกฤติ COVID-19 คือ เทคโนโลยีคลาวด์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่นอกจากจะช่วยลดข้อจำกัดต่างๆ แล้ว ยังเป็นตัวช่วยอัจฉริยะที่ทำให้โรงเรียน และหน่วยงานด้านการศึกษาต่างๆ สามารถดำเนินงานไปได้อย่างต่อเนื่อง

ปรับระบบการศึกษาสู่ Smart Education

การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ จึงเป็นตัวเร่งให้ภาคการศึกษาปรับตัวสู่การเป็น “Smart Education” ได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ “เทนเซ็นต์ คลาวด์” จึงได้นำเสนอโซลูชัน Tencent Cloud Online Education Solutions  ซึ่งเป็นการยกระดับรูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยคลาวด์อัจฉริยะครบวงจร รวมถึงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

มร. ชาง ฟู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า

“การปรับตัวเองสู่การเป็น Smart Education ของสถานศึกษานั้นไม่เพียงแค่ช่วยลดช่องว่างเรื่องระยะทาง แต่ยังช่วยในการวิเคราะห์ และพัฒนาหลักสูตรที่เอื้อให้นักเรียนสามารถทบทวนบทเรียนได้ในระดับความสามารถของตัวเอง การมีแพลตฟอร์มที่ครู และนักเรียนสามารถพูดคุยกันได้ รวมถึงการมีเครื่องมือที่ทำให้ครูสามารถออกแบบการสอนตามลักษณะการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการศึกษาในอนาคตโดยเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เช่น การประมวลผลแบบคลาวด์ การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence)”

4 บริการของ Tencent Cloud Online Education Solutions

Tencent Cloud Online Education Solutions  เป็นโซลูชันที่ช่วยให้สถานศึกษาสามารถสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปรับแต่งโซลูชันได้ตามสถานการณ์ และความต้องการ โดยเป็นโซลูชันแบบ end-to-end ที่จะช่วยสร้างแพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์ตั้งแต่เริ่มต้น

นอกจากนี้ เทนเซ็นต์ คลาวด์ยังมีผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ ที่ช่วยเสริมศักยภาพให้กับแพลตฟอร์มที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดเป็นการศึกษาออนไลน์แบบอินเตอร์แอคทีฟที่มีคุณภาพ โดยครอบคลุม 4 บริการ ดังต่อไปนี้

  1. โครงสร้างพื้นฐาน และการบำรุงรักษา (Infrastructure and Maintenance)

เป็นบริการด้านทรัพยากร และการบริหารระบบปฏิบัติการคลาวด์แบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ ทั้งเซิร์ฟเวอร์ ฐานข้อมูล ระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย ช่องสัญญาณ ระบบรักษาความปลอดภัย และอื่นๆ เพื่อสร้างรากฐานแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบออนไลน์ให้กับสถาบันการศึกษาที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล

  1. การบริหารจัดการระบบ (Operational Management)

นอกจากการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนไปสู่ยุคดิจิทัล เทนเซ็นต์ คลาวด์ยังมีบริการระบบซอฟแวร์ SaaS เพื่อให้สถาบันการศึกษาสามารถดำเนินงานธุรการต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น การเปิดหลักสูตรต่างๆ การรับสมัครการลงทะเบียน การบริหารทรัพยากร จัดหรือปรับเปลี่ยนตารางเวลาของหลักสูตรต่างๆ ตลอดจนการออกประกาศนียบัตร

Photo : Pixabay

  1. โซลูชันสำหรับการจัดการห้องเรียนแบบอินเตอร์แอคทีฟ (Interactive Classroom Solutions)

โซลูชันสำหรับการทำ interactive classroom แบบครบวงจรผ่านการใช้ระบบปฏิบัติการณ์คลาวด์อัจฉริยะ และ AI เพื่อมอบประสบการณ์การเรียนออนไลน์แบบเรียลไทม์ที่มีประสิทธิภาพผ่านสมาร์ท โซลูชันต่างๆ ของเทนเซ็นต์ คลาวด์

  1. เครื่องมืออัจฉริยะสำหรับช่วยด้านการสอน (Smart Teaching Tools)

คลาวด์มีโซลูชันด้านการสอนมากมายที่ทำงานโดยอาศัยระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยทุ่นเวลา และเพิ่มประสิทธิผลด้วยเทคโนโลยี Deep learning ของเทนเซ็นต์ คลาวด์ ความสามารถของการจดจำใบหน้าและเสียง (face recognition/voice recognition) รวมถึงความสามารถในการทำงานของระบบ Machine translation ของเทนเซ็นต์ จะสามารถรองรับการทำงานอัตโนมัติด้านการเรียนการสอนได้หลากหลายรูปแบบ

ช่วยการศึกษาทางไกล กรณีศึกษาจากอู่ฮั่น

ทั้งนี้ “เทนเซ็นต์ คลาวด์” ได้มีกรณีศึกษาจากการใช้งานจริงในโรงเรียนเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา  เพราะจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 “การศึกษาทางไกล” ได้กลายเป็น New normal ของระบบการศึกษา เทคโนโลยีจึงมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวก และเพิ่มประสิทธิภาพของการศึกษา

Photo : Pixabay

ซึ่งเป็นช่วงแรกที่เกิดการแพร่ระบาด โรงเรียนได้เปิดทำการเรียนการสอนอีกครั้งโดยได้ใช้เทนเซ็นต์ คลาวด์ในการจัดการติดตั้งระบบห้องเรียนออนไลน์ในเวลาเพียง 7 วัน ซึ่งแพลตฟอร์มรองรับถึง 81% ของผู้ใช้งานทั้งหมด (ประมาณ 730,000 คน)

นอกจากนี้ โซลูชันจากเทนเซ็นต์ คลาวด์ ยังมอบบริการ Live Video Broadcast ที่มีความเสถียร คุณภาพสูง อีกด้วย โซลูชันนี้นอกจากระบบต่างๆ แล้ว ยังรวมไปถึงอุปกรณ์ช่วยการสอนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อช่วยให้ผู้สอนสามารถวิเคราะห์ผลการเรียนของนักเรียนแต่ละคน เพื่อออกแบบการเรียนการสอนเฉพาะบุคคลซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้นักเรียนได้ดียิ่งขึ้น

สรุป 3 ข้อ ที่ควรใช้เทนเซ็นต์ คลาวด์

  1. เทนเซ็นต์ คลาวด์ มอบบริการระบบปฏิบัติการคลาวด์ระดับเวิล์ดคลาสที่มีประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และยืดหยุ่น สามารถปรับได้ตามความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งสามารถมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกอุตสาหกรรม
  2. เทนเซ็นต์ คลาวด์ มีทีมสนับสนุนในประเทศไทย ที่สามารถให้บริการและคำปรึกษากับลูกค้าคนไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในประเทศ
  3. มีศูนย์จัดเก็บข้อมูล (Data Center) ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อให้การถ่ายโอนข้อมูลของลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว และปลอดภัย

“ปัจจุบันทุกๆ ภาคอุตสาหกรรมรวมทั้งภาคการศึกษาต้องเร่งปรับตัวเพื่อก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล เทนเซ็นต์ คลาวด์ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการระบบปฏิบัติการคลาวด์ระดับโลกที่มีประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และยืดหยุ่น จึงมีความพร้อมที่จะมอบโซลูชันคลาวด์อัจฉริยะ เพื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญในสนับสนุนการศึกษาที่มีคุณภาพแก่ทุกคน และช่วยให้สถานศึกษาเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” มร. ชาง กล่าวสรุป

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลของ เทนเซ็นต์ คลาวน์ สามารถคลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://cloud.tencent.co.th/en

]]>
1324973
เผยผลสำรวจองค์กรไทยมอง ‘ไฮบริดคลาวด์’ ตัวเลือกหลักทรานส์ฟอร์มยุค COVID-19 https://positioningmag.com/1317381 Mon, 01 Feb 2021 09:42:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1317381 แม้ว่าเทคโนโลยี ‘คลาวด์’ จะถูกพูดถึงมา 4-5 ปีแล้ว แต่เพราะปี 2020 ที่มีการระบาดของ COVID-19 จึงทำให้เกิดการตื่นตัวของ Digital Transformation เพราะองค์กรต่างต้องการความคล่องตัวมากขึ้นจึงหันมาใช้คลาวด์ แต่จะใช้ ‘แบบไหน’ ให้เข้ากับการใช้งานขององค์กรมากที่สุดน่าจะเป็นโจทย์ที่สำคัญในตอนนี้

‘นูทานิคซ์’ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์คลาวด์ ได้เปิดเผยผลสำรวจผู้ประกอบธุรกิจพบว่า 86% ทั่วโลกสนใจใช้งาน ‘ไฮบริดคลาวด์’ ที่เป็นการผสมระหว่างพับลิคคลาวด์และไพรเวทคลาวด์ โดยคาดว่าภายใน 4 ปีข้างหน้าการใช้งานไฮบริดคลาวด์จะเติบโตขึ้น 4 เท่า ขณะที่การใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์จะลดลงถึง 89%

โดยปัจจัยที่ทำให้องค์กรส่วนใหญ่เลือกจะมาใช้ไฮบริดคลาวด์ ก็คือ

  1. ความเร็วที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของธุรกิจ 79%
  2. ความสามารถในการควบคุมการใช้งานทรัพยากรไอทีได้มากขึ้น 67%
  3. ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการทางธุรกิจ 66%

“ที่น่าสนใจคือ การใช้เพื่อลดต้นทุนกลายเป็นสิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญน้อยลงกว่าในอดีต ซึ่งเหลืออยู่แค่ 46% จากเดิมจะต้องมีกว่า 50%” ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าว

ในส่วนของประเทศไทย ค่อนข้างมีทิศทางเดียวกับทั่วโลก โดย

  • 76% การใช้ไฮบริดคลาวด์ถือเป็นทางแนวทางที่เหมาะสมสำหรับองค์กรปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเพิ่มสูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
  • 67% มีแผนที่จะใช้ไฮบริดลาวด์ภายใน 5 ปี
  • 63% จากระดับการใช้ไฮบริดในปัจจุบัน
  • 3% เท่านั้นที่วางแผนจะใช้ดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมที่ไม่ใช่ระบบคลาวด์ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ การประหยัดค่าใช้จ่ายไม่ใช่เหตุผลหลักในการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานไอทีในไทยเช่นกัน แรงจูงใจสามอันดับแรกในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยของบริษัทในไทยที่ตอบแบบสำรวจ ได้แก่

  • 79% ต้องการเพิ่มความเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ
  • 67% ควบคุมการใช้ทรัพยากรไอทีให้มีประสิทธิภาพขึ้น
  • 67% ให้สามารถให้การสนับสนุนลูกค้าได้ดีขึ้น
  • 13% การประหยัดค่าใช้จ่าย

  •  82% ของผู้ตอบแบบสำรวจในไทยระบุว่า COVID -19 ทำให้องค์กรของตนมองเรื่องไอทีในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
  • 68% มีการเพิ่มการลงทุนในพับลิคคลาวด์ (เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 47%)
  • 56% มีการลงทุนในไพรเวทคลาวด์เพิ่มขึ้น (เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 37%)

“ที่ค่าเฉลี่ยเรามากกว่าประเทศอื่นในเอเชียแปซิฟิกและค่าเฉลี่ยโลก เพราะองค์กรไทยจำนวนมากยังดำเนินงานในรูปแบบที่ไม่พึ่งพาระบบไอทีมากเท่าไร องค์กรเหล่านี้จึงยังไม่ให้ความสำคัญกับไฮบริดคลาวด์ แต่ถ้าเป็นองค์กรใหญ่ก็จะยังลงทุนต่อเนื่องอยู่แล้ว”

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ผู้ตอบแบบสำรวจทุกคนจะระบุว่า COVID-19 มีผลทำให้ต้องลงทุนในระบบคลาวด์เพิ่มขึ้น แต่ 15% ขององค์กรระบุว่าจะยัง ‘ไม่ลงทุนคลาวด์ในช่วง COVID-19’ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า 8% ที่เป็นค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและ 10% ของค่าเฉลี่ยโลก

ปัจจุบัน กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานไฮบริดคลาวด์เพิ่มสูงมากขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและการเงินการธนาคาร และจากตัวเลขที่พบว่าองค์กรในไทย 45% ได้ลงทุนเพิ่มเรื่องไฮบริดคลาวด์ช่วง COVID-19 ก็ถือเป็นสัญญาณบวกต่อนูทานิคซ์ โดยถือเป็นแนวโน้มที่จะทำให้บริษัทจะเติบโตได้ดีมากกว่าปีที่ผ่านมา

]]>
1317381
‘Netflix’ เผยรายได้ไตรมาส 4 โกยรายได้ 6.64 พันล้านดอลลาร์ สมาชิกทะลุ 200 ล้านราย https://positioningmag.com/1315409 Wed, 20 Jan 2021 08:28:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1315409 ย้อนไปไตรมาสแรกปี 2020 ผู้ใช้ใหม่ของ Netflix เพิ่มขึ้นเกือบ 16 ล้านราย หรือเป็นสองเท่าจากจำนวนผู้ใช้งานใหม่ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2019 โดยมีปัจจัยมาจากมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ และเมื่อมาไตรมาส 2 ก็ยังสามารถเพิ่มผู้ใช้ใหม่ได้อีก 7 ล้านราย ขณะที่ไตรมาส 3 มีผู้สมัครสมาชิกใหม่เพิ่มอีก 2.2 ล้านราย ทำให้มีผู้ใช้รวมสิ้นสุดไตรมาส 3 กว่า 192 ล้านคนทั่วโลก

ล่าสุด Netflix ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 โดยมีผู้ใช้เพิ่มถึง 8.5 ล้านราย สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่าจะเพิ่มได้ 6.47 ล้านราย ส่งผลให้มีผู้ใช้ทะลุ 200 ล้านราย หลังจากที่ครบ 100 ล้านรายในปี 2017 ขณะที่รายได้ไตรมาส 4 ปิดที่ 6.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะทำได้ 6.626 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจากผลการดำเนินงานส่งผลให้หุ้นเพิ่มขึ้นประมาณ 12%

ภาพจาก Facebook Netflix

ด้วยผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ออกมาค่อนข้างดี ทำให้ Netflix ระบุว่า ‘ใกล้มาก’ ที่จะมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวก โดย Netflix ระบุว่ามีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกตลอดช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2020 เนื่องจากการผลิตคอนเทนต์ที่ต้องเลื่อนออกไปเพราะการระบาดของ COVID-19 ก่อนที่กระแสเงินสดอิสระจะกลับมาติดลบตามคาดในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากฝ่ายผลิตคอนเทนต์เริ่มกลับมาผลิตผลงานได้แล้วในบางภูมิภาค โดยกระแสเงินสดอิสระตลอดทั้งปี 2020 คือ +1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2019 ที่ติดลบ 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ การที่ Netflix มีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินจากภายนอกอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ Netflix หาทางคืนเงินสดให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นได้ นอกจากนี้ Netflix ระบุว่า ทางบริษัทตั้งใจที่จะนำเงินส่วนนี้ไปชำระหนี้ ซึ่งตั้งแต่ปี 2011 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดอยู่ในมือราว 8,200 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าภายในปี 2021 รายได้ของบริษัทจะมาถึงจุดคุ้มทุน

Source

]]>
1315409
เปิดงบโฆษณาดิจิทัลในยุค COVID-19 https://positioningmag.com/1295974 Wed, 09 Sep 2020 05:08:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1295974 1295974 “ช้าง” เปิดมิติใหม่คอนเสิร์ต นำร่อง TUK TUK Festival สร้างประสบการณ์ดนตรียุค New Normal https://positioningmag.com/1292242 Thu, 13 Aug 2020 11:00:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292242

ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกของโลกก็ว่าได้ สำหรับงาน Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered by Chang Music Connection มาตรฐานใหม่ของงานคอนเสิร์ต ที่จะช่วยยกระดับยุค New Normal ดูดนตรีได้ปลอดภัย และสนุกสนาน แถมยังเป็นกิมมิคดูคอนเสิร์ตบน “รถตุ๊กต๊ก” สไตล์ไทยๆ อีกด้วย

เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่เล่นงานไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอีเวนต์ คอนเสิร์ตต่างๆ ที่ต้องหยุดชะงักแบบฉับพลัน เพราะต้องมีมาตรการรักษาระยะห่าง หรือ Social Distancing

ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดเทรนด์ “ไดร์ฟอิน” ขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นดูหนังแบบไดร์ฟอิน หรือคอนเสิร์ตไดร์ฟอิน เป็นกระแสตอบรับไปทั่วโลก หรือแม้แต่ในประเทศไทยเองก็เริ่มมีงานอีเวนต์ประเภทนี้มากขึ้นด้วย

สำหรับงาน Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music Connection ที่ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2563 ได้สร้างความแตกต่าง และสีสันใหม่ๆ สไตล์ไทย ด้วยการนำเอา “รถตุ๊กตุ๊ก” มาอยู่ในงานไดร์ฟอิน คอนเสิร์ตเป็นครั้งแรกของโลก สามารถสร้างมิติใหม่แห่งวงการคอนเสิร์ตได้อย่างดี

งานนี้เป็นความร่วมมือของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), เครื่องดื่มตราช้างร่วมกับพันธมิตรชื่อดัง วู้ดดี้ เวิลด์และ ZAAP ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการจับมือร่วมกันของทางภาครัฐบาล และเอกชน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นอย่างดี พร้อมเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจัดงานคอนเสิร์ตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ของคนเมือง

Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music Connection เป็นคอนเสิร์ตที่นำเสนอความเป็นไทยผ่านเทศกาลดนตรีภายใต้คอนเซ็ปต์ The world’s first TUK TUK drive-in music festival เริ่มต้นความสนุกด้วย “รถตุ๊กตุ๊ก” ไฮไลท์สำคัญที่จะพาแขกทุกท่านเข้าสู่งาน

รุจิรัศมิ์ ฉัตรเฉลิมกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้ตระหนักและให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของนักท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของการสนับสนุนการจัดงาน Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music เทศกาลดนตรีในรูปแบบ New Normal ในครั้งนี้ ซึ่งมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดตลอดการจัดงานอย่างเคร่งครัด อาทิ การจำกัดพื้นที่เพื่อรักษาระยะห่างโดยใช้รถตุ๊กตุ๊ก จุดคัดกรองเข้า-ออกงาน จุดล้างมือ

เจลแอลกอฮอลล์ หรืออื่น ๆ ซึ่งเป็นการจัดงานภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety and Health Administration: SHA ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และเป็นการเริ่มต้นการจัดงานอีเว้นท์อีกครั้งหนึ่ง ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่ดี มีความสุขและความมั่นใจในความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจากการเข้าร่วมงาน และ ททท. เชื่อมั่นว่าการใช้เสน่ห์ของความเป็นไทยด้วยรถตุ๊กตุ๊กมาช่วยสร้างสีสันภายในงาน จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย และสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเกิดความรู้สึกอยากเดินทางท่องเที่ยวอย่างแน่นอน”

นพปฎล ฤทธาภัย ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มตราช้าง เปิดเผยว่า ทาง “เครื่องดื่มตราช้าง” รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนงาน Amazing Thailand TUK TUK Festival Powered By Chang Music Connection “ช้าง” ยังให้ความสำคัญกับการส่งมอบความสุขให้กับกลุ่มลูกค้าเสมอ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา เราเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ๆ และพัฒนาแนวทางสื่อสารให้เข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการ รวมถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งหมดเพื่อที่จะแสดงจุดยืน และตอกย้ำถึงมิตรภาพระหว่างแบรนด์ช้างกับลูกค้า ตามแนวคิด “วันเพื่อนมีได้ทุกวัน” โดยสำหรับการร่วมสนับสนุนงานคอนเสิร์ตในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการส่งมอบประสบการณ์ดนตรีแนวใหม่ในคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจแล้ว ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นไทยในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งจากคนในประเทศเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะกลับเข้ามาท่องเที่ยวในอนาคตอีกด้วย

]]>
1292242
ถอดบทเรียน “ไมเนอร์ ฟู้ด” สู้ตลาดหลังวิกฤต เปิดสาขาไซส์เล็ก ทุ่มเดลิเวอรี่ เพิ่ม Cloud Kitchen https://positioningmag.com/1290392 Mon, 03 Aug 2020 12:00:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1290392 ธุรกิจร้านอาหาร ต้องเผชิญมรสุม COVID-19 โจมตีเเบบไม่ทันตั้งตัว สะเทือนทั้งรายเล็กรายใหญ่ ผู้ประกอบการเเละเเบรนด์ต่างๆ ต้องหาวิธีเอาตัวรอดให้พ้นผ่านสถานการณ์ความไม่เเน่นอนนี้ไปให้ได้

เเม้ว่าปีนี้ตลาดรวมธุรกิจร้านอาหารในไทย ที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท จะไม่กลับมาสดใสได้ดังเช่นช่วงก่อนวิกฤต เเต่การปรับตัวในทุกมิติครั้งนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่การเป็นร้านอาหารยุคใหม่ในระยะยาว

หลังคลายล็อกดาวน์ การที่ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตเเละออกทานอาหารที่ร้านได้ตามปกติ จึงเป็นสัญญาณของการค่อยๆฟื้นตัวอีกครั้งเเละก็ยังมีเรื่องที่ต้องระวังในหลายๆ ด้าน

จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า ความเคลื่อนไหวของยักษ์ใหญ่วงการเชนร้านอาหารและฟาสต์ฟู้ดอย่างไมเนอร์ ฟู้ด” เจ้าของเเบรนด์ดัง The Pizza Company, Swensen’s, Sizzler, The Coffee Club, Dairy Queen, thai express , Burger King และ Bonchon ที่มีสาขามากกว่า 2,200 สาขาใน 26 ประเทศนั้น จะงัดกลยุทธ์หมัดเด็ดอะไรมาพลิกเกมวงการร้านอาหาร เเละกระตุ้นยอดขายให้กลับมาอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังนี้

 

3 เเบรนด์ฮีโร่ บูมเดลิเวอรี่ช่วยอุ้มธุรกิจ 

ไมเนอร์ ฟู้ดเป็นยักษ์ใหญ่ที่มี ฐานลูกค้าในไทยกว่า 9 ล้านคน ทำรายได้ในปีที่ผ่านมา เป็นกอบเป็นกำถึง 24,000 ล้านบาท เเต่ด้วยอุปสรรคมากมายในปีนี้ ทำให้ต้องปรับการเติบโตลง เเละหากมองในเเง่ดีสุดๆ เเบบ Best Case Scenario ก็อาจทำได้เท่ากับปีที่แล้ว

ประพัฒน์ เสียงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่า บางแบรนด์ของไมเนอร์ ฟู้ด จะทำรายได้ได้มากกว่าเดิม จากอานิสงส์การซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรี่ เเต่บางแบรนด์ที่มีรายได้หลักจากการบริการ Dine-in นั่งทานในร้าน ก็คาดว่าคงทำไม่ได้เท่าปีที่แล้ว

ปัจจุบันยอดขายรวมของเครือไมเนอร์ ฟู้ดกลับมาอยู่ที่ 80% ของช่วงก่อน COVID-19 โดยเเบรนด์ยอดนิยมอย่าง The Pizza Company, Swensen’s, Dairy Queen ตอนนี้รายได้กลับมามากว่าช่วงก่อนวิกฤต ขณะที่ด้านสาขา ตอนนี้ราว 95% จาก 1,490 สาขาในไทย ก็กลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ว

โดยช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ยอดขายผ่านช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตมากถึง 3 เท่า เเละมีเเบรนด์ฮีโร่ที่มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ของไมเนอร์ ฟู้ดไม่ให้บาดเจ็บสาหัสมากนัก ได้เเก่ The Pizza Company ตามมาด้วย Burger King และ Bonchon

ส่วนแบรนด์ถือว่าหืดขึ้นคอในการที่จะปรับตัวมาสู่เดลิเวอรี่ตามเทรนด์ของยุคนี้ ผู้บริหารไมเนอร์ยอมรับว่าคือ Sizzler ด้วยพฤติกรรมของลูกค้าส่วนใหญ่ชื่นชอบการนั่งทานในร้าน ชอบบรรยากาศการพูดคุยเเละสลัดบาร์ ที่เเม้การมีเดลิเวอรี่ให้สั่งเเล้ว ก็ยังไม่ตอบโจทย์มากนัก ซึ่งต่อไปจะมีการพัฒนาให้มากขึ้น

ขณะที่ The Coffee Club ที่พึ่งพาลูกค้าชาวต่างชาติเเละมีสาขาในเมืองท่องเที่ยวนับเป็นเเบรนด์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในเครือไมเนอร์ ฟู้ด

เรียนรู้การฟื้นตัวในจีน มาปรับใช้ในไทย 

COVID-19 เป็นเหมือนตัวเร่งให้กลุ่มไมเนอร์ปรับปรุงองค์กรอย่างฉับพลัน โดยบริษัทได้เรียนรู้จากการบริหารสาขาในประเทศจีนที่มีการเเพร่ระบาดของไวรัสก่อนใคร เเละก็เริ่มฟื้นตัวก่อนใคร สิ่งเหล่านี้นำมาสู่การปรับโครงสร้างองค์กร การสร้างกลยุทธ์ การพัฒนาเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เล่าว่า ร้านอาหารของไมเนอร์ ฟู้ดในจีนต้องปิดชั่วคราวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และกลับมาเปิดได้อีกครั้งในเดือนมีนาคม จุดนี้ทำให้บริษัทมีประสบการณ์ที่สามารถนำมาใช้กับสถานการณ์ COVID-19 ในไทย เพื่อให้ “ฟื้นตัว” ได้เร็วที่สุด ซึ่งตอนนี้ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเเล้วตั้งแต่เดือนเมษายน เเละคาดว่ารายได้จะกลับสู่ระดับปกติเหมือนก่อนช่วง COVID-19 ภายในช่วงปลายปีนี้ โดยยังเหลือร้านอาหารในพื้นที่ท่องเที่ยว ที่ยังคงปิดอยู่อีกประมาณ 15 แห่ง

ไมเนอร์ ฟู้ด ต้องใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจเปิดร้านอาหารแต่ละแห่ง รวมถึงต้องระมัดระวังการลงทุนด้วย โดยจะเน้นไปที่การลงทุนที่ได้ผลในระยะยาว เช่น ระบบดิจิทัล เเละการพัฒนาเเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ของตัวเอง

ก่อนหน้านี้ กลุ่มไมเนอร์ได้ดำเนินการผ่านแผน “ลดต้นทุน” ผ่าน 3 วิธีการ 1) การปรับลดพนักงาน ซึ่งบริษัทจ้างพนักงานพาร์ตไทม์ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะไมเนอร์ ฟู้ดกว่า 60% เป็นพนักงานพาร์ตไทม์ ดังนั้นจึงลดในส่วนนี้ได้ค่อนข้างมากเเละมีความยืดหยุ่น 2) เจรจาขอลดหรือเลื่อนจ่ายค่าเช่าพื้นที่ร้านอาหารและโรงแรม และ 3) การเจรจากับคู่ค้า เพื่อขอปรับเงื่อนไขการชำระเงินรวมถึงส่วนลด

โดยเเผนครึ่งปีหลังของไมเนอร์ ฟู้ด มีอยู่ 4 กลยุทธ์หลักดังนี้

  • ยกระดับเดลิเวอรี่

ต้องยอมรับว่าบริการเดลิเวอรี่ เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ไมเนอร์ ฟู้ด ผ่านพ้นวิกฤตในช่วงจุดต่ำสุดมาได้ ดังนั้นการต่อยอดพัฒนาแพลตฟอร์มการสั่งอาหารออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคให้สามารถสั่งอาหารได้หลากหลายภายในออเดอร์เดียวจึงเป็นเป้าหมายหลักที่จะเสริมความสามารถในการเเข่งขันของบริษัทได้ในตอนนี้

ทั้งนี้ เครือไมเนอร์ มีบริการเดลิเวอรี่มาตั้งเเต่ปี 1989 มีผู้จัดส่งมากกว่า 3,000 คน โดยในช่วง COVID-19 มีสัดส่วนการสั่งซื้ออาหารส่วนใหญ่ของเครือไมเนอร์จะผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ของบริษัทโดยตรงมากกว่าช่องทางฟู้ดเดลิเวอรี่รายอื่น แบ่งเป็นผ่านช่องทางของตัวเอง 60-70% และแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ต่างๆ อีก 30-40% ขึ้นอยู่กับแบรนด์ของร้านอาหาร

“ในอนาคตอาจจะพัฒนาให้แบรนด์อื่นๆ เข้ามาอยู่ในบริการเดลิเวอรี่ของไมเนอร์ด้วย” 

โดยการสั่งจากคอลเซ็นเตอร์ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ เป็นลูกค้าคุ้นชินมานาน ขณะเดียวกันก็มียอดผู้ใช้แอปฯ การสั่งอาหารของ The Pizza Company และ 1112 Delivery ก็เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว

อย่างไรก็ตาม ไมเนอร์ ฟู้ด ก็ยังคงต้องการเป็นพาร์ตเนอร์กับเเอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าอื่นอยู่ ด้วยจำนวนฐานลูกค้า บริการรับส่งอาหารต่างๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าได้เข้าถึงในทุกช่องทาง ดังนั้นจึงต้องเดินหน้าพัฒนา 2 กลยุทธ์ ทั้งแพลตฟอร์มของตัวเอง และการไปอยู่บนแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการเดลิเวอรี่ไปควบคู่กัน

  • ออกเมนูใหม่ ๆ 

ตอนนี้ธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดยิ่งขึ้น เมื่อแบรนด์ต่างๆ พร้อมงัดโปรโมชันและส่วนลดมาดึงดูดลูกค้า เชนร้านอาหารรายใหญ่จึงต้องเร่งอัดปรับโมเดลการขายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุค New Normal ไปพร้อมๆ กับการสร้างแบรนด์ให้น่าสนใจ มีความน่าเชื่อถือและมีสุขอนามัยที่ดี

“ไมเนอร์ ฟู้ดจะไม่เน้นการทำโปรโมชัน 1 แถม 1 ไปตลอด เเต่จะมีการพัฒนาให้เกิดเมนูใหม่” 

ยกตัวอย่างเช่น Swensen’s ที่ได้นำเอาเมนูไอศกรีมมะม่วงน้ำปลาหวานมาตอบโจทย์คนไทย แทนที่จะขายแค่ไอศกรีมรสชาติเดิมๆ เเละการนำเมนูที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาทางให้เกิดเมนูใหม่ เช่น การพัฒนาเมนู มะม่วง แบล็ก ดูโอ้ ไอศกรีมมะม่วงอกร่องทองกับเครื่องเคียงอย่างข้าวเหนียวดำที่เป็นเมนูที่ Swensen’s มีอยู่แล้ว นอกจากนี้ การพัฒนาเมนูอาหารยังต้องตอบโจทย์การส่งเดลิเวอรี่เเละสั่งกลับบ้านให้มากขึ้นด้วย

อ่านเพิ่มเติม : สเวนเซ่นส์” พลิกเกม! ปรับภาพมากกว่าไอศกรีม ขอครอบจักรวาล “ของหวาน”

swensens

  • ลุยโมเดล “คีออส” 

จากนี้ไป ไมเนอร์ ฟู้ดจะเน้นพัฒนาแบรนด์ร้านอาหารในเครือผ่านโมเดลใหม่ เเละมีรูปเเบบการขยายสาขาที่เเตกต่างจากเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยเน้นเปิดร้านในพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่หลังจากนี้จะเปลี่ยนรูปแบบเป็นการเปิดสาขาในร้านขนาดเล็ก คีออส และแกร็บแอนด์โก เจาะพื้นที่ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานและย่านมหาวิทยาลัย รวมถึงการใช้ประโยชน์จากพื้นที่และรูปแบบร้านอาหารที่มีอยู่ให้มากที่สุด

อ่านเพิ่มเติม : เปิดแนวคิด Sizzler to go คอนเซ็ปต์ร้านเล็กบน BTS ยุทธการพาร้านเข้าหาผู้บริโภค

ยกตัวอย่างที่ไมเนอร์ ฟู้ดได้ทำมาแล้ว เช่น Sizzler To Go ที่เปิดร้านในรูปแบบคีออสกลางใจเมือง เนื่องจากเมนูอาหารของ Sizzler ยากต่อการส่งเดลิเวอรี่ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี โดยต่อไปจะผลักดันร้านอื่นๆ ในเครือเช่น Swensen’s เเละ The Coffee Club ให้มีบริการแกร็บแอนด์โกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการ “ปรับโฉมแบรนด์” ให้เข้ากับผู้บริโภคในท้องถิ่นมากขึ้น เช่น การเปิดสาขาแฟลกชิพสโตร์ของ Swensen’s ที่จังหวัดน่าน ที่มีการตกแต่งร้านสไตล์บ้านไทลื้อ

  • พัฒนา “Cloud Kitchen” 

เรียกได้ว่าเป็นโมเดล “ครัวกลาง” รูปเเบบใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงนี้ จากการนำเอาคอนเซ็ปต์ Cloud มาประยุกต์ใช้กับร้านอาหาร เกิดเป็น Cloud Kitchen ช่วยให้ลูกค้าที่สั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ที่สดใหม่เเละใกล้บ้าน ด้วยที่ตั้งสาขาใกล้บ้านในระยะ 3 กิโลเมตร เเละสามารถสั่งอาหารได้หลายแบรนด์ภายในออเดอร์เดียว

ไมเนอร์ ฟู้ดคาดว่า Cloud Kitchen จะช่วยทำให้บริการเดลิเวอรี่ของไมเนอร์ ฟู้ดครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะในย่านชุมชน โดยก่อนหน้านี้บริษัทเคยทดลองใช้โมเดลนี้ในสาขาที่ออสเตรเลียมาเเล้ว

จากการที่ร้าน The Pizza Company สาขานอกห้างมักจะเช่าตึกแถวทั้งตึก มีพื้นที่เหลือหลายชั้น จึงแบ่งพื้นที่ให้เเบรนด์ในเครือได้ไม่ยาก เพราะบุคลากรและเครื่องครัวใช้แยกกันของแต่ละแบรนด์ ปัจจุบันมีการทดลองรวม Cloud Kitchen ของไมเนอร์ไปแล้ว 10 สาขา ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรุงเทพฯ เเละมีการขยายไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตเเละเชียงใหม่ เริ่มจากการนำ Bonchon กับ Sizzler เข้าไปใช้พื้นที่ร่วมกับ The Pizza Company 

ตัวอย่างร้าน The Pizza Company นอกห้างที่เป็นตึกแถว บางสาขาอาจมีพื้นที่เหลือให้แบรนด์อื่นเข้ามาใช้ได้ (Photo : Google Maps)

ส่วนการขยายในอนาคต ผู้บริหารไมเนอร์ ตอบว่ายังไม่แน่ว่าจะเปิดกี่สาขา ขอดูตามสถานการณ์ และอาจจะมีการขยายไปควบคู่กับกลยุทธ์การรุกต่างจังหวัดของ Bonchon ที่ยังคงมุ่งผลักดันให้ขยายสาขาแบบมีหน้าร้านปกติอยู่

สำหรับการเปิดสาขาในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเปิด Burger King เพิ่มอีก 4 สาขา และ Bonchon เพิ่มอีกเป็น 90 สาขา จากที่ตอนนี้มีแล้ว 65 สาขา ในจำนวนนี้จะรวมถึงโมเดล Cloud Kitchen ด้วย

โมเดลธุรกิจ Cloud Kitchen ไม่ใช่เรื่องใหม่ในยุคหลัง COVID-19 เพราะเริ่มมีในต่างประเทศมาก่อนหน้านี้แล้ว อธิบายอย่างง่ายๆ คือการลงทุนทำครัวขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์พื้นฐาน เช่น เตาแก๊ส เตาอบ เตรียมไว้ให้ร้านอาหารมาเช่า และมีสเตชั่นครัวแบบนี้หลายๆ สเตชั่น หลายร้านสามารถมาเช่าทำงานพร้อมกันได้

โดย Cloud Kitchen จะไม่มีหน้าร้านสำหรับนั่งทาน มีแต่ช่องทางให้พนักงานเดลิเวอรี่หรือผู้บริโภคมารับอาหารแบบ take away ดังนั้นจึงตอบโจทย์ตรงที่ทำให้ลูกค้าขยายได้ง่ายกว่า ลงทุนต่ำกว่าและเปิดได้เร็วกว่า เพราะทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว 

อ่านเพิ่มเติม : จับกระแส 5 บริษัทบุกธุรกิจ “คลาวด์ คิทเช่น” รับเทรนด์ฟู้ดเดลิเวอรี่บูมสุดขีด

ระวังการลงทุน…ปีนี้ต้องเบรกทุ่มก้อนใหญ่ 

ก่อนหน้านี้ กลุ่มไมเนอร์ได้ประกาศแผนระดมทุนแบบเบ็ดเสร็จ 25,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมตัวรับมือกับความไม่เเน่นอน หากการระบาดของ COVID-19 ยืดเยื้อกว่าที่คาด

สำหรับ แผนธุรกิจและการลงทุน ของไมเนอร์ ฟู้ดในปีนี้นั้น ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ MINT เปิดเผยว่า เเผนเดิมที่เคยวางไว้ในระยะ 5 ปีตอนนี้ทำได้ยากขึ้น เพราะความไม่เเน่นอนของสถานการณ์โดยเฉพาะธุรกิจโรงเเรม เเต่ในธุรกิจอาหารนั้นถือว่าฟื้นตัวได้เร็วมาก เเม้รายได้จะยังไม่กลับมาเท่าเดิม เเต่มองว่าอยู่ในช่วงกำลังปรับแผนเเละปรับองค์กร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไประยะยาว

“งบลงทุนใหญ่ๆ ปีนี้ต้องชะลอไว้ก่อน เพราะต้องรักษาสภาพคล่องของบริษัท แต่หากมีโปรเจกต์ในแบรนด์ที่สามารถทำรายได้ให้รีเทิร์นกลับมาได้ ก็จะพิจารณาไปเเต่ละกรณี”

ดังนั้นในปีนี้ งบลงทุนใหญ่ของไมเนอร์ ฟู้ดจึงจะมีการใช้ไปกับการลงทุนเพิ่มในแบรนด์ Bonchon ราว 2.4 พันล้านบาท เพื่อถือสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ 20 ปี ขยายสาขาใหม่ในไทย หลังจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ทุ่มเงิน 2 พันล้านบาท เพื่อซื้อธุรกิจจากเจ้าของเดิม นอกจากนี้ยังมีการลงทุนอีก  1.1 พันล้านบาทเพื่อซื้อหุ้น BreadTalk ในสิงคโปร์ด้วย

 

]]>
1290392