ในปี 2020 ที่ผ่านมา ประเทศจีนมีมหาเศรษฐีระดับ ‘พันล้านดอลลาร์สหรัฐ-Billionaire’ (ราว 3 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 259 คน ด้วยอานิสงส์ธุรกิจดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ เเละเกมออนไลน์ที่ความนิยมพุ่งกระฉูด รวมถึงตลาดหุ้นที่เฟื่องฟูเเละการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของหลายบริษัท ช่วยชดเชยหายนะจาก COVID-19
จากรายงานของ Hurun Global Rich List พบว่า จำนวนของเศรษฐีของจีนในปี 2020 รวมกันเเล้ว ‘มากกว่า’ ของทั้งโลกรวมกัน โดยจีนมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านกว่า 1,058 คน นับเป็นประเทศแรกในโลกที่มีตัวเลขเกิน 1,000 คน ทั้งห่างอันดับ 2 อย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นอีก 70 คน รวมเป็น 696 คน
โดยผู้ครองเเชมป์มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีนตามรายงานนี้ คือ ‘จง สานส่าน’ เจ้าของกิจการน้ำดื่ม ‘หนงฟู สปริง’ (Nongfu Spring) ที่เพิ่งโค่น ‘มูเกช อัมบานี’ นักธุรกิจอินเดียไปหมาดๆ ด้วยทรัพย์สินรวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีรวยที่สุดในเอเชีย เเละติด 1 ใน 10 ของโลกไปหมาดๆ
เขาได้รับว่าฉายาว่า ‘หมาป่าเดียวดาย’ เนื่องจากเป็นคนชอบเก็บตัว ต่างจากผู้นำธุรกิจรายใหญ่อื่นๆ ของจีน และเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในจีน ที่สามารถสร้างบริษัทมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ถึง 2 บริษัท
ความรุ่งเรืองของ ‘จง สานส่าน’ ในปีที่ผ่านมา สวนทางกับเศรษฐีจีนชื่อก้องโลกอย่าง ‘แจ็ค หม่า’ ที่อันดับความรวยลดลง หลังมีข้อขัดเเย้งกับ ‘รัฐบาลจีน’ ในประเด็นผูกขาดทางการค้า อีกทั้งยังโดนสกัดการเสนอขายหุ้นครั้งแรกแก่ประชาชน (IPO) ของบริษัทฟินเทคในเครืออย่าง Ant Group ซึ่งเคยถูกประเมินว่าจะเป็นหุ้น IPO ที่ระดมทุนได้สูงสุดในโลก
ในการสำรวจนี้ ยังพบว่า มหาเศรษฐี Elon Musk ซีอีโอของ Tesla , Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งของ Amazon และ Colin Huang จาก Pinduoduo หนึ่งในอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดของจีน มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ‘ภายในปีเดียว’
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เเซงหน้าหลายประเทศ อีกทั้งในปีที่ผ่านมาก็สกัดความเสียหายจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้รวดเร็วทำให้มีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ด้านรายงานขององค์การ Oxfam ระบุว่า เกือบทุกประเทศในโลก มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
เมื่อนำสินทรัพย์ของเหล่ามหาเศรษฐีรวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ COVID-19 เริ่มระบาด พบว่ามีมูลค่าสูงกว่าประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีระบบเศรษฐกิจเอื้อให้กลุ่มคนร่ำรวย สามารถรักษาความร่ำรวยไว้ได้ ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางอันเลวร้าย
ที่มา : AFP
]]>ทันทีที่เปิดตลาด มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของ จง สานส่าน พุ่งทะยานขึ้นเป็น 5.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าคนดังอย่างแจ็ค หม่า และยังขยับขึ้นต่อเนื่องจนชนะมูเกช อัมบานี แชมป์เศรษฐีอันดับ 1 ของเอเชีย ไม่นาน จง สานส่านถูกจัดอันดับเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 6 ของโลกในช่วงต้นมกราคม 64 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีกว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์
ปรากฏการณ์ความร้อนแรงของหนงฟู สปริงนั้นไม่ธรรมดา เพราะตัวแบรนด์นั้นมีชื่อเสียงมาก แต่ผู้ก่อตั้งกลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก การเก็บตัวไม่ออกสื่อ ไม่ให้สัมภาษณ์ และไม่มีตำแหน่งทางการเมืองเหมือนนักธุรกิจใหญ่จีนรายอื่นอาจเป็นผลจากนิสัยและประสบการณ์การทำอาชีพนักข่าวมานานกว่า 5 ปีของจง สานส่าน แต่ไม่ได้มีผลใดๆ กับความนิยมของแบรนด์ที่แข็งแกร่งได้ด้วยตัวของแบรนด์เอง
เบื้องหลังความแข็งแกร่งของหนงฟู สปริงอาจมีหลายส่วน แต่หนึ่งในนั้นคือการให้ความสำคัญกับการทุ่มทุนด้านวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง สื่อจีนเคยรายงานว่าหนงฟู สปริงจ้างนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยา รวมถึงแพทย์แผนจีนและนักโภชนาการจำนวนมาก แล้วตั้งขึ้นเป็นทีมงานด้านการวิจัยและพัฒนาที่แข็งแกร่งสุดๆ
ข้อมูลงบการเงินของหนงฟู สปริงระบุชัดว่า ยอดขายของบริษัทในแต่ละปีจะถูกแบ่งออกมา 5% เพื่อเป็นทุนวิจัยและพัฒนาสินค้ารวมถึงบริการใหม่ต่อเนื่อง ทำให้เกิดการพัฒนาสินค้าใหม่ และทุกบริษัทในเครือสามารถเข้าถึงผลงานวิจัยและแบ่งปันองค์ความรู้ได้อย่างเสรี
แต่อีกมุมหนึ่ง หนงฟู สปริงก็ถูกมองว่าเติบโตได้เพราะการโฆษณาล้วนๆ การเลือกคำโฆษณาที่โดนใจและแตกต่างมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนยอมรับในสินค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแซงหน้าคู่แข่งได้อย่างขาดลอย
ไทม์ไลน์ของหนงฟู สปริงเริ่มจากการก่อตั้งเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2539 เวลานั้นบริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำดื่มบรรจุขวดครั้งแรกในปี 40 โดยใช้น้ำที่มาจากทะเลสาบเกาะพันปีในเจ้อเจียง (Zhejiang Thousand Island) ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของจง สานส่าน จุดขายหลักคือการชูความเป็นน้ำแร่ธรรมชาติผ่านสโลแกนติดหูที่ทำให้คนจำได้ว่าน้ำแร่นี้มีรส “หวานนิดๆ” แล้วจึงขยายไปยัง 10 แหล่งน้ำทั่วจีน จนล่าสุดมีข่าวว่ากำลังจะขยายไปตั้งโรงงานแห่งแรกนอกประเทศจีนที่ Otakiri Springs ในนิวซีแลนด์
หลังจากปรับโครงสร้างกลายเป็นบริษัทร่วมทุนในนามบริษัท หนงฟู สปริง จำกัด ช่วงปี 2544 การเติบโตและเข้าซื้อกิจการมากมาย ทำให้หนงฟู สปริงกลายเป็นผู้ผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดที่ใหญ่ที่สุดของจีน และเป็นผู้ผลิต 3 อันดับแรกในตลาดชาและน้ำผลไม้บรรจุขวด
ข้อมูลของบริษัทวิจัยนีลเซน ระบุว่าน้ำแร่ธรรมชาติของหนงฟู สปริง กลายเป็นน้ำดื่มบรรจุขวดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของจีนในปี 2555 ก่อนหน้านี้ บริษัทเปิดตัวเครื่องดื่มหลากหลาย มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายไปที่ตลาดวัยรุ่นด้วยเครื่องดื่มชื่อเท่อย่าง “Scream” คู่กับการขายน้ำแร่ให้หลากหลายคลุมความต้องการที่แตกต่าง เช่นในขวดแก้ว ในถังน้ำขนาด 12 ลิตร รวมถึงน้ำแร่ธรรมชาติสำหรับเด็กเล็ก และน้ำแร่ธรรมชาติสำหรับนักกีฬา นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้ากลุ่มน้ำสี ด้วยการเปิดตัวเครื่องดื่มวิตามินซีที่ละลายน้ำได้, ชาปราศจากน้ำตาล, ชานม รวมถึงการขยายไปที่น้ำอัดลมรสผลไม้ และล่าสุดคือผลิตภัณฑ์กาแฟ โยเกิร์ต และธัญพืชหลากหลายประเภท
หนงฟู สปริง เคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อ 10 เมษายน 2556 สื่อใหญ่อยางปักกิ่งไทม์ส กล่าวหาว่าหนงฟู สปริง จงใจที่จะไม่ทำตามมาตรฐานน้ำดื่นแห่งชาติของจีน และใช้มาตรฐานของมณฑลเจ้อเจียงที่หลวมกว่าแทน ข่าวนี้ทำให้บริษัทตัดสินใจฟ้องหนังสือพิมพ์รายใหญ่ในข้อหาหมิ่นประมาท โดยเรียกร้องเงินค่าเสียหาย 60 ล้านหยวน กลายเป็นคดีที่ชัดเจนว่าหนงฟู สปริงไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครเพื่อรักษาชื่อเสียงของแบรนด์
จนปี 59 ท่านประธานจง สานส่าน ขึ้นประกาศกลยุทธ์ใหม่เพื่อกระจายและขยายการดำเนินงานของบริษัทไปสู่ระดับสากล โดยหนงฟู สปริงจะยังเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท หยางเซงถัง (Yangshengtang) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทยาอย่างปักกิ่งหวานไถ่ (Beijing Wantai) และไหหนานหยางเซงถังฟาร์มาซูติคอลส์ด้วย (Hainan Yangshengtang Pharmaceuticals)
ในมุมการตลาด หนงฟู สปริงเป็นสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนการแข่งขันกีฬาหลายรายการ ล่าสุดเน้นที่กีฬาว่ายน้ำเพราะมีการลงนามในข้อตกลงกับสหพันธ์ fina international swimming federation ในฐานะพันธมิตรหลักสำหรับการแข่งขันในช่วงปี 63-64
แน่นอนว่ารายการแข่งขันที่เป็นหมันช่วงโควิดสร้างผลกระทบให้บริษัท โดยหนงฟู สปริงประกาศรายได้และกำไรสุทธิลดลงในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือนมีนาคม 63 เมื่อเทียบกับช่วง 3 เดือนเดียวกันในปี 62 เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยขณะนี้โรงงานในแผ่นดินใหญ่สามารถกลับมาดำเนินการตามปกติได้แล้วทำให้ธุรกิจไม่ได้รับผลลบมากนัก ล่าสุดคือเมื่อวันที่ 24 กันยายน 63 หนงฟู สปริงเผยว่าในช่วงครึ่งแรกของปี บริษัทมีรายได้ 11,540 ล้านหยวน ลดลง 6.21% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ทำได้ 12,310 ล้านหยวน ขณะที่กำไรสุทธิ 2,860 ล้านหยวน ลดลง 0.43% เมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีกำไร 2,88จ ล้านหยวน
ปัจจุบัน หนงฟู สปริงขายเครื่องดื่ม 4 ชนิดเป็นหลัก โดยน้ำดื่มบรรจุขวดทำรายได้ 59.7% ของรายได้ในปี 2562 ขณะที่น้ำผลไม้มีสัดส่วน 9.6% เครื่องดื่มชา 13.1% และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 15.7% สถิติชี้ว่าน้ำดื่มบรรจุขวดทำรายได้ให้หนงฟู สปริงเพิ่มขึ้นกว่า 26.2% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามรายได้ของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชาลดลง 10.7% และรายรับจากเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็ลดลง 36.4%
เหตุผลที่สินค้าบางชนิดไม่หวือหวาในปีที่ผ่านมาคือผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำผลไม้ได้ทำการกักตุนสินค้าไว้แล้วเมื่อปลายปี 62 คาดว่าการระบายสินค้าเก่าจะยังดำเนินต่อไปจนทำให้รายได้รวมบริษัทลดลงเล็กน้อย 9.7% อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มอื่น ๆ เช่นกาแฟ เครื่องดื่มน้ำอัดลม และผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตมีรายได้เพิ่มขึ้น 210.3% ซึ่งหนงฟู สปริงเชื่อว่าเป็นเพราะผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้
กระทั่งกันยายน 63 หนงฟู สปริงระดมทุนได้เงินประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยการเสนอขายหุ้น IPO ส่งให้ท่านประธานจง สานส่าน กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกในอายุ 66 ปี
แม้พื้นเพครอบครัวจะเป็นกลุ่มคนชั้นกลางที่มีการศึกษา แต่เด็กชายสานส่านต้องออกจากโรงเรียนประถมในช่วงของการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ชีวิตผกผันทำให้หนุ่มน้อยต้องทำงานเป็นช่างไม้และช่างกระเบื้อง และในที่สุดก็มีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัย พลิกชีวิตด้วยการเลือกเรียนด้านอิเล็กทรอนิกส์ แล้วเข้าทำงานด้านการข่าวที่วารสารเจียงหนานและนิตยสารเจ้อเจียงรายวันเป็นเวลา 5 ปี ก่อนตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจของตนเองโดยก่อตั้งบริษัท หยางเชงถัง เพื่อเน้นทำตลาดด้านการรักษาสุขภาพโดยเฉพาะ
นอกจากผลิตยาแผนจีน บริษัท หยางเชงถัง ยังมีรายการสุขภาพที่เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งแผนปัจจุบันและแผนจีนมาให้ความรู้แก่ประชาชนด้านการรักษาสุขภาพ แน่นอนว่ารายการนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากชาวมังกร จนผลิตภัณฑ์ของหยางเชงถังได้รับการยอมรับติดตลาด ตรงนี้มีส่วนปูทางให้หยางเชงถังขยับขยายธุรกิจที่สู่อาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จนเป็นแบรนด์ที่ได้รับการจัดตั้งจากกระทรวงพานิชย์จีนให้เป็นเครื่องหมายการค้าอันเป็นที่รู้จักอย่างดีหรือ “China Well-Known Trade Mark”
และเป็นแบรนด์ที่พา “จง สานส่าน“ ไปร่ำรวยกว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์ด้วย.
ที่มา :
รายงานจัดอันดับความร่ำรวยเศรษฐี “บลูมเบิร์ก บิลเลียนแนร์ อินเด็กซ์” ระบุว่า ในปีนี้ จง สานส่าน ครอบครองทรัพย์สินรวม 77,800 ล้านดอลลาร์ (2.33 ล้านล้านบาท) มากกว่าปีที่แล้ว 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.1 แสนล้านบาท ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชียคนใหม่ และติดอันดับ 11 ของมหาเศรษฐีรวยสุดในโลก
ปัจจุบัน บริษัทในเครือต่างๆ ของนายจง ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยมี 3 อุตสาหกรรมหลักได้แก่ ยาและเวชภัณฑ์ น้ำเครื่องดื่มและอาหารเสริม โดยบริษัทหลักเหล่านี้ยังแตกลงมาเป็นบริษัทย่อยอีกมากมาย นายจง สานส่านมีกลยุทธ์และวิธีการขายที่ไม่เหมือนใคร จนเขาได้รับการนับถือว่าเป็นนักธุรกิจที่เป็นนักกลยุทธ์ที่เก่งกล้าคนหนึ่งของวงการ
เมื่อเดือน มิ.ย. 63 นายจง นำบริษัทหนงฟู สปริง จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งราคาหุ้นได้พุ่งทะยานขึ้นไป 155% ขณะที่หุ้นบริษัท Beijing Wantai Biological ที่กำลังพัฒนาวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ได้พุ่งขึ้นถึงกว่า 2,000%
นายจงได้รับว่าฉายาว่า ‘หมาป่าเดียวดาย’ เนื่องจากเป็นคนชอบเก็บตัว ต่างจากผู้นำธุรกิจรายใหญ่อื่นๆ ของจีน และเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในจีนที่สามารถสร้างบริษัทมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ถึง 2 บริษัท
]]>