Nvidia – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 29 Oct 2025 11:58:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Nvidia’ เดินหน้าลงทุนรัว ๆ ล่าสุด เข้าซื้อหุ้น ‘Nokia’ มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ หวังสร้างโครงข่ายสำหรับ AI และพัฒนา 6G https://positioningmag.com/1544663 Wed, 29 Oct 2025 11:20:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544663 หลังจากที่ชิปของ เอ็นวิเดีย (Nvidia) กลายเป็นเหมือนศูนย์กลางของโลก AI ทำให้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บริษัทก็ได้เดินหน้าเข้าถือหุ้นในพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หลายราย จนล่าสุด บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นใน โนเกีย (Nokia) บริษัทสัญชาติฟินแลนด์ ที่เคยครองตลาดฟีเจอร์โฟนในช่วงยุค 90 และ 2000

ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา Nvidia ได้ประกาศว่าจะลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ ในอดีตคู่แข่งอย่าง Intel และกล่าวว่าจะลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ ใน OpenAI นอกจากนี้ยังได้ประกาศว่าจะลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ ใน Wayve บริษัทสตาร์ทอัพรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ และลงทุน 667 ล้านดอลลาร์ ใน Nscale ผู้ให้บริการคลาวด์ในสหราชอาณาจักร

เรียกได้ว่า เดือนที่ผ่านมา Nvidia จะลงทุนรัว ๆ แต่ดูเหมือนบริษัทจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ โดยล่าสุด Nokia ที่ปัจจุบันเน้นที่ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เซลลูลาร์ 5G ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้เปิดเผยว่า Nvidia กำลังเข้าซื้อหุ้นในบริษัทเป็นมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์

โดยทั้งสองบริษัทได้ทำข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ เพื่อทำงานร่วมกันในการพัฒนาเทคโนโลยีเซลลูลาร์ 6G ในยุคหน้า และ Nokia จะปรับปรุงซอฟต์แวร์ 5G และ 6G ของตนให้ทำงานบนชิปของ Nvidia ได้ รวมถึงจะร่วมมือกันในเทคโนโลยีโครงข่าย AI Infrastructure สำหรับอนาคต

ทั้งนี้ Nokia จะออกหุ้นใหม่มากกว่า 166 ล้านหุ้น และจะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นทุนในการพัฒนาแผนงานด้าน AI และเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไปอื่น ๆ ของบริษัท ซึ่งหลังจากการประกาศข่าวดังกล่าว ราคาหุ้นของ Nokia ได้พุ่งขึ้นถึง +22%

ขณะที่หุ้นของ Nvidia ก็พุ่งขึ้นมากกว่า +3% ก่อนเปิดตลาดในวันพุธ หนุนให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทแรกที่มูลค่าตลาดทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์

Source

]]>
1544663
ทำไม? ซีอีโอ ‘NVIDIA’ ถึงขอเรียน ‘วิทย์-ฟิสิกส์’ มากกว่า ‘วิทย์-คอม’ หากต้องกลับไปเรียนอีกครั้งในปี 2025 https://positioningmag.com/1531252 Fri, 25 Jul 2025 02:34:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531252 ย้อนไปในปี 1984 ขณะที่ เจนเซ่น หวง (Jensen Huang) อายุ 20 ปี เขาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าจาก Oregon State University ก่อนจะได้ปริญญาโทวิศวกรรมไฟฟ้าจาก Stanford University ในปี 1992 และประมาณหนึ่งปีต่อมา ในเดือนเมษายน 1993 หวงได้ร่วมก่อตั้ง Nvidia กับเพื่อนวิศวกร คริส มาลาโคสกี้ (Chris Malachowsky) และเคอร์ติส ปรีม (Curtis Priem) ปัจจุบัน อาณาจักรเทคโนโลยี NVIDIA มีมูลค่ากว่า 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

คำถามคือ ถ้าในปี 2025 นี้ เจนเซ่น หวง กลับไปอายุ 20 ปีอีกครั้ง เขาจะเลือกเรียนอะไร? นี่เป็นคำถามจากนักข่าวคนหนึ่ง ที่ได้ถามเขาในระหว่างการเดินทางไปปักกิ่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า “หากเขาย้อนเวลากลับไปในวัย 20 ปี ที่กำลังจบการศึกษาในปี 2025 แต่ยังมีความทะเยอทะยานเหมือนเดิม เขาจะเลือกทำอะไร?” โดยเขาได้ตอบเพียงว่า

“เขาน่าจะเลือกเรียนวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์มากกว่าวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้อธิบายว่า ทำไมเขาถึงเลือกที่จะเรียนวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ หากกลับไปเป็นนักศึกษาอีกครั้งในยุคปัจจุบัน แต่อ้างอิงจากทัศนคติของเขาที่เคยขึ้นพูดบทเวที Hill & Valley Forum ที่จัดขึ้น ณ กรุงวอชิงตันเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า เขามองว่า Physical AI กำลังเป็น คลื่นลูกต่อไปของปัญญาประดิษฐ์

โดยคลื่น AI ลูกแรกเรียกว่า Perception AI ซึ่งเกิดในช่วง 12-14 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่โลกได้รู้จักกับ Alex Net ที่แสดงให้เห็นความสามารถของเครื่องจักรในการมองเห็น ได้ยิน และการจำแนกวัตถุ ซึ่งได้ช่วยจุดประกายการเติบโตของ AI สมัยใหม่

จากนั้นก็มาถึงคลื่นลูกที่สองที่เรียกว่า Generative AI ซึ่งเป็นจุดที่โมเดล AI ได้เรียนรู้วิธีเข้าใจความหมายของข้อมูล และยังสามารถแปลภาษาเป็นภาษาต่าง ๆ ภาพ โค้ด และอื่น ๆ อีกมากมาย

ปัจจุบัน โลกอยู่ในยุคที่เรียกว่า Reasoning AI ที่เรามี AI ที่สามารถใช้หลักการและเหตุผล สามารถเข้าใจ สร้างสรรค์ และแก้ปัญหา แต่เมื่อมองไปข้างหน้า คลื่นลูกต่อไปคือ Physical AI หรือก็คือ การนำ AI ไปใส่ในหุ่นยนต์

แต่ Physical AI ที่นำ AI มาใช้ในโลกทางกายภาพ ดังนั้น จะต้องมีความเข้าใจเรื่องของกฎของฟิสิกส์ เช่น แรงเสียดทาน ความเฉื่อย สาเหตุและผลกระทบ เช่น แนวคิดเรื่องการคงอยู่ของวัตถุ หรือข้อเท็จจริงที่ว่าวัตถุยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะอยู่นอกสายตา หรือการทำนายผลลัพธ์

เช่น ทิศทางที่ลูกบอลจะกลิ้ง การเข้าใจว่าต้องใช้แรงเท่าไหร่ในการจับวัตถุโดยไม่ทำให้เสียหาย และการอนุมานการมีอยู่ของคนเดินเท้าที่อยู่หลังรถยนต์ เป็นต้น

“เมื่อคุณเอา Physical AI นั้นมาใส่ในวัตถุทางกายภาพที่เรียกว่าหุ่นยนต์ คุณก็จะได้ระบบหุ่นยนต์ นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเราตอนนี้ เพราะเรากำลังสร้างโรงงานและโรงผลิตทั่วสหรัฐอเมริกา ดังนั้น หวังว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ขณะที่เราสร้างโรงงานและโรงผลิตรุ่นใหม่นี้ พวกมันจะมีระบบหุ่นยนต์สูง และช่วยเราจัดการกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรงที่เรามีทั่วโลก”

หรือก็คือ เจนเซ่น หวง มองว่า AI ยุคต่อไปจะไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์ แต่จะเริ่มมาทำงานร่วมกับมนุษย์ในโลกความจริง เป็นยุคของหุ่นยนต์ โดยล่าสุด NVIDIA เพิ่งเปิดตัว ชิปกราฟิก RTX Pro ใหม่ ที่เขากล่าวว่าจะขับเคลื่อนการพัฒนาหุ่นยนต์ ฮิวแมนนอยด์ ซึ่งเขาเชื่อว่า ต่อไปจะมีทีมหุ่นยนต์ที่ทํางานร่วมกับผู้คน เป็นคลื่นลูกต่อไปของ AI

Source

]]>
1531252
จับตา ‘ซัมซุง’ เข้าสังเวียนชิปเอไอ หลังถูก SK Hynix คู่แข่งร่วมชาติปาดหน้า จนมูลค่าบริษัทร่วง 4 ล้านล้านบาท https://positioningmag.com/1498217 Fri, 08 Nov 2024 14:01:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498217
ในวันที่แอปพลิเคชัน AI เช่น ChatGPT ของ OpenAI ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็นในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ก็เติบโตขึ้นตาม ซึ่งหนึ่งในหัวใจหลักของโครงสร้างพื้นฐานก็คือ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งนั่นทำให้ Nvidia บริษัทผู้ผลิต GPU ชั้นนำของโลกกลายเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 ในตลาด และกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก เนื่องจาก GPU ของ Nvidia ได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้โดยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสําหรับการฝึกอบรม AI

อย่างไรก็ตาม ส่วนสําคัญของสถาปัตยกรรมเซมิคอนดักเตอร์นั้นคือ หน่วยความจําแบนด์วิดท์สูง หรือ HBM ซึ่งก่อนที่ AI จะเติบโตตลาด HBM นั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก และนั่นคือจุดที่ ซัมซุง (Samsung) พลาดไป เพราะบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นที่จะพัฒนาในส่วนนี้ เนื่องจากมีความซับซ้อนและลงทุนสูง แถมตลาดยังเล็ก

อย่างไรก็ตาม SK Hynix มองเห็นโอกาสนี้ บริษัทเปิดตัวชิป HBM ซึ่งชิปดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้ใช้ในสถาปัตยกรรม Nvidia ส่งผลให้บริษัท SK Hynix จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ Nvidia

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ซัมซุงต้องพ่ายให้กับ SK Hynix จนทำให้บริษัทสูญเสียมูลค่าตลาดไปถึง 126,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4 ล้านล้านบาท เพราะแม้ว่าซัมซุงจะมีธุรกิจหลากหลาย และรายได้หลักจะมาจากธุรกิจอย่างสมาร์ทโฟนกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ธุรกิจชิปเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีที่สุด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลประกอบการของซัมซุงจะลดลง จนทำให้บริษัทต้องยอมออกมาขอโทษบรรดานักลงทุน ในขณะที่ SK Hynix กลับสามารถทำกำไรสูงเป็นประวัติศาสตร์ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ซัมซุงกำลังเร่งผลิต HBM ในชื่อ HBM3E โดยในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยอดขาย HBM ของซัมซุงเติบโตกว่า 70% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และซัมซุงได้เปิดเผยว่ากำลังพัฒนา HBM4 ซึ่งเป็นรุ่นถัดไป โดยคาดว่าจะสามารถผลิตจำนวนมากได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025

แม้ว่าซัมซุงจะมี HBM3E ในตลาด แต่ยังถือว่าตามหลังคู่แข่งอย่าง SK Hynix อยู่ ดังนั้น ถ้าซัมซุงจะกลับมาสู่ตลาด HBM ในตอนนี้อาจต้องรอ Nvidia คัดเลือก ซึ่งในปัจจุบันซัมซุงยังไม่เสร็จสิ้นการตรวจสอบนี้ และถ้าซัมซุงได้ไฟเขียวจาก Nvidia ก็จะทำให้ซัมซุงกลับสู่การเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับ SK Hynix โดยทางซัมซุง

โดยทางซัมซุง เปิดเผยว่า บริษัทมีความก้าวหน้าเกี่ยวในกระบวนการคัดเลือกของ Nvidia ว่า เสร็จสิ้นขั้นตอนสําคัญในกระบวนการคัดเลือก และคาดว่าจะเริ่มขยายยอดขายในไตรมาส 4 ในขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ด้วยความแข็งแกร่งของซัมซุงในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนความสามารถในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัท อาจจะช่วยให้บริษัทตามทัน SK Hynix ได้

]]>
1498217
‘Foxconn’ ประกาศสร้างโรงงานผลิตซูเปอร์ชิป ‘GB200’ ใหญ่สุดในโลก ของ ‘Nvidia’ https://positioningmag.com/1493513 Wed, 09 Oct 2024 05:29:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493513 ในอดีต Nvidia อาจเป็นชื่อที่เหล่า เกมเมอร์ จะคุ้นเคยกันดีในฐานะผู้ผลิตการ์ดจอ แต่ในยุค AI บริษัทได้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิต ชิปเอไอ อันดับ 1 ของโลก และ Foxconn กำลังสร้างโรงงานผลิตซูเปอร์ชิปใหญ่สุดในโลกของ Nvidia

ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) หรือที่รู้จักกันในชื่ออย่างเป็นทางการ Hon Hai Precision Industry ซึ่งถือเป็นซัพพายเออร์ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติไต้หวัน โดยมีลูกค้ารายใหญ่ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีอย่าง Apple

ล่าสุด บริษัทได้ประกาศว่า กําลังสร้างโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกสําหรับซูเปอร์ชิป GB200 ของ Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปอันดับ 1 ของโลก ซึ่งถือเป็นผู้ขับเคลื่อนเซิร์ฟเวอร์เอไอ ด้วยชิปสำหรับเอไอ 

“เรากําลังสร้างโรงงานผลิต GB200 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะตั้งอยู่ในประเทศเม็กซิโก” Benjamin Ting รองประธานอาวุโสของ Foxconn สําหรับธุรกิจโซลูชันองค์กรคลาวด์ กล่าว 

โดยแผนดังกล่าวของ Foxconn ถึอเป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่พาบริษัทออกจากการเป็นแค่บริษัทประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องการจะเข้าไปในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ โดยที่ผ่านมา Foxconn ได้เปิดตัว ต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ รถอเนกประสงค์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่งและรถบัส 21 ที่นั่ง 

แม้ว่า Nvidia จะเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่บริษัท ไม่ได้ผลิตชิปด้วยตัวเอง แต่ใช้ Subcontractor ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Intel, Micron และ Texas Instruments ที่ผลิตชิปด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ รายได้ของ Foxconn ในช่วงไตรมาส 3/2024 อยู่ที่ 1.85 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 1.92 ล้านล้านบาท) เติบโต +20.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ จากดีมานด์ AI Server ที่แข็งแกร่ง

Source

]]>
1493513
แผนรับมือกรณีจีนบุกไต้หวัน! ซีอีโอ “Nvidia” ประกาศพร้อมย้ายไปผลิต “ชิป” ที่ประเทศอื่น https://positioningmag.com/1490442 Wed, 18 Sep 2024 02:19:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490442 ซีอีโอ “Nvidia” แย้มแนวคิดรับมือหาก “จีน” ตัดสินใจบุก “ไต้หวัน” บริษัทจะเลือกย้ายฐานผลิต “ชิป” GPUs ไปผลิตกับบริษัทอื่นที่ประเทศอื่นแทน แม้ยอมรับว่าประสิทธิภาพจะไม่ดีเท่ากับ TSMC

ระหว่างการประชุม Communacopia & Technology Conference ที่จัดโดย Goldman Sachs เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2024 “Jensen Huang” ซีอีโอของ Nvidia ตอบคำถามที่ถูกถามบนเวทีเกี่ยวกับการพึ่งพิงบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ให้เป็นผู้ผลิตชิป GPUs ของ Nvidia ท่ามกลางภัยคุกคามที่ประเทศจีนอาจจะเดินทัพบุกไต้หวันได้ในอนาคต

Huang ตอบว่า “ถ้าหาก TSMC ตกอยู่ในอันตราย การผลิตซัพพลายของเราจะยังมีต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่ดีเท่าการผลิตกับ TSMC ก็ตาม”

ซีอีโอ Nvidia บอกด้วยว่า บริษัทของเขาเป็นเจ้าของ “ทรัพย์สินทางปัญญา” เพียงพอที่จะย้ายการผลิตจากโรงงานหนึ่งไปอีกโรงงานได้ หากมีความจำเป็น “เรามีความสามารถพอที่จะทำได้” Huang กล่าว แต่เตือนด้วยว่าเทคโนโลยีในการผลิตและผลผลิตที่ออกมาอาจจะไม่ดีเทียบเท่ากับ TSMC “แต่เราก็ยังจะผลิตซัพพลายออกมาได้อยู่”

“หากว่ามีอะไรก็ตามเกิดขึ้นจริงๆ” ซีอีโอ Nvidia กล่าวต่อ “เราควรจะสามารถดึงไปผลิตชิป (fab) ในโรงงานอื่นได้” แม้ว่า TSMC จะเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ดีที่สุดในโลกหากอ้างอิงจากตัวชี้วัดเรื่อง “อัตรากำไรที่เหลือเชื่อ”

Lin Wei-chih รองประธานบริหาร Witology Markettrend Research Institute กล่าวกับสำนักข่าว China Times ว่า ปัจจุบันโรงผลิตชิปในขั้นเวเฟอร์นั้น ไม่มีใครสามารถแทนที่เทคโนโลยีของ TSMC ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มบริษัทออกแบบชิปอย่าง Nvidia หรือ AMD เองก็ไม่ได้ต้องการจะพึ่งพิงการผลิตไว้ที่บริษัทเดียวเช่นกัน

Lin บอกว่า หากบริษัทออกแบบชิปต้องการจะกระจายการผลิตให้หลากหลาย ตัวเลือกในระดับต่อมาที่พวกเขามักจะเลือกคือ Samsung (เกาหลี) ตามด้วย Intel (สหรัฐฯ)

เขายังวิเคราะห์ด้วยว่า แม้ Samsung และ Intel จะยังเทียบกับ TSMC ไม่ได้ในแง่อัตราการทำกำไรเพราะกระบวนการผลิตยังไม่ขั้นสูงเท่า แต่ถ้ามีการสั่งผลิตเป็นจำนวนมากก็จะได้การประหยัดต่อขนาดที่ช่วยถัวเฉลี่ยได้บ้าง แต่หลังจากนั้นยังมีขั้นตอนการตัดแบ่งชิ้นชิปอีก ซึ่งอาจจะทำให้ต้นทุนสูงกว่าเดิมเมื่อเปลี่ยนโรงงานผลิต

เมื่อเทียบกันแล้วเขามองว่าการกระจายคำสั่งผลิตในขั้นตอนการทดสอบชิปและบรรจุชิปลงอุปกรณ์นั้นยังทำได้ง่ายกว่า โดยมีบริษัทอย่าง Amkor Technology ที่อาจจะเห็นโอกาสในการมารับช่วงงานในขั้นตอนนี้ หรือ TSMC เองอาจจะเลือกหาเอาต์ซอร์สมาทำงานในขั้นตอนนี้ก็ได้

Source

]]>
1490442
สหรัฐฯ เตรียมตรวจสอบ OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia ในเรื่องการผูกขาดเทคโนโลยี AI https://positioningmag.com/1477270 Mon, 10 Jun 2024 05:58:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477270 กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ (DOJ) และ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ได้บรรลุข้อตกลงเตรียมที่จะเปิดฉากสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia ซึ่งบริษัทเหล่านี้อาจมีพฤติกรรมผูกขาดตลาดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

แหล่งข่าวของสื่อต่างประเทศหลายแห่ง เช่น AP และ CNBC รวมถึง New York Times รายงานข่าวตรงกันว่า หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้ง กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ และ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เตรียมเข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia หลังจากที่บรรลุข้อตกลงดังกล่าว

ทั้ง 2 หน่วยงานของสหรัฐอเมริกาได้ตกลงที่จะสืบสวนพฤติกรรมบริษัทเหล่านี้ โดยทาง DOJ จะมีการสอบสวน Nvidia ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปเร่งประมวลผล AI ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดในตอนนี้มากถึง 80% ขณะที่ FTC จะสอบสวน Microsoft และ OpenAI

นอกจากนี้ FTC เตรียมที่จะสอบสวน Microsoft ในดีลการลงทุน Infection AI มูลค่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงในเรื่องการควบรวมกิจการหรือไม่

การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ได้ทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีมูลค่าบริษัทเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Microsoft ที่มีการลงทุนใน OpenAI เจ้าของบริการอย่าง ChatGPT หรือแม้แต่ Nvidia ที่ล่าสุดบริษัทมีมูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผลประกอบการและธุรกิจบริษัทกำลังเติบโต

สำหรับความร่วมมือของ 2 หน่วยงานดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ในปี 2019 นั้นมีความร่วมมือเพื่อที่จะตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ มาแล้ว โดย FTC ได้ตรวจสอบ Meta และ Amazon และทาง DOJ ได้ตรวจสอบ Apple และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google

ในช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกา ได้แสดงความกังวลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้เปรียบกว่าบริษัทอื่นๆ ในการเข้าถึงข้อมูลที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดล AI ไปจนถึงความร่วมมือระหว่างบริษัทต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบการควบรวมกิจการจากหน่วยงานกำกับดูแลเหล่านี้

ที่มา – CNBC, Euronews, New York Times

]]>
1477270
Nvidia มูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว แถมแซง Apple กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก https://positioningmag.com/1476814 Thu, 06 Jun 2024 02:48:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1476814 Nvidia กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้มูลค่าของบริษัทยังแซงหน้า Apple กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก สาเหตุสำคัญมาจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทำให้บริษัทสามารถขายชิปเร่งการประมวลผลได้เพิ่มมากขึ้น

ราคาหุ้นของ Nvidia ในช่วงการซื้อขายเมื่อคืน (5 มิถุนายน) ได้บวกเพิ่มมากถึง 5% มาอยู่ที่ 1,224.40 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำให้มูลค่าของบริษัทนั้นแตะระดับที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย

สิ่งที่เกิดขึ้นยังทำให้ผู้ผลิตชิปกราฟิกรวมถึงชิปเร่งประมวลผล AI กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก แซงหน้า Apple ซึ่งมีมูลค่าบริษัทน้อยกว่า Nvidia เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ปัจจุบันมีบริษัทในโลกเพียง 3 บริษัทที่มีมูลค่าแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ได้แก่ Microsoft Nvidia และ Apple เท่านั้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Nvidia เติบโตกลายเป็นบริษัทมูลค่า 3 ล้านล้านเหรียญคือการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิยมของ ChatGPT ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมต่อกลุ่มเทคโนโลยีที่ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว จากความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทเติบโตก็คือการใช้งานชิปเร่งประมวลผล AI เพิ่มมากขึ้น และราคาของชิปดังกล่าวนั้นมีราคาระดับหลักแสนดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยคือหลักล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ชิปของบริษัทนั้นใช้เร่งประมวลผลกราฟิกซึ่งมีการนำไปใช้งานในด้านเทคโนโลยีอย่างอื่น เช่น ขุดบิตคอยน์ หรือเร่งการประมวลผลในด้านอื่นๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ชิปเร่งประมวลผล AI ของ Nvidia ยังเป็นไม่กี่บริษัทที่มีความเร็วในการประมวลผลเป็นอันดับต้นๆ ของท้องตลาด ยิ่งทำให้ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีจากจีนเร่งสั่งซื้อชิปดังกล่าวจากบริษัทเพิ่มมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ CEO ของบริษัทอย่าง Jensen Huang เองยังได้ประกาศเปิดตัวชิปเร่งประมวลผล AI ตัวใหม่ของบริษัทนั้นจะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าเดิม ยิ่งทำให้นักลงทุนนั้นแห่ลงทุนในบริษัทเพิ่มมากขึ้น

การที่บริษัทเติบโตอย่างมากยังส่งผลตอบแทนของหุ้น Nvidia อย่างมหาศาล โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทมีผลตอบแทนมากถึง 3,300% และถ้านับผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของบริษัทนั้นบวกไปแล้วมากถึง 216% เลยทีเดียว

ที่มา – Yahoo Finance

]]>
1476814
เกินต้าน! ‘Nvidia’ ฟันรายได้ 2.6 หมื่นล้าน โต 262% แง้มในสิ้นปีเปิดตัวชิปเอไอใหม่ ‘Blackwell’ https://positioningmag.com/1474731 Thu, 23 May 2024 04:54:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474731 ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีของโลกตอนนี้กำลังแข่งขันกันเรื่อง เอไอ (AI) ไม่ว่าจะเป็น OpenAI ที่เปิดตัวโมเดล GPT-4 Omni หรือ Google ที่อัปเกรด  Gemini 1.5 Pro และบริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากเทรนด์นี้สุด ๆ ก็คือ NVIDIA ผู้ผลิตชิป GPU รายหลักของโลก

โดยผลประกอบการของ เอ็นวิเดีย (NVIDIA) ประจำไตรมาสที่ 1 ตามปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดเดือนเมษายน) มีรายได้อยู่ที่ 26,044 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และโตขึ้น +262% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 14,881 ล้านดอลลาร์ โตขึ้น 7 เท่า

โดยรายได้กว่า 80% ของบริษัทมาจากกลุ่มธุรกิจ Data Center โดยคิดเป็นรายได้กว่า 22,563 ล้านดอลลาร์ โดยเติบโตถึง +427% ซึ่ง Jensen Huang ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง NVIDIA กล่าวว่า การเติบโตของรายได้บริษัทได้รับแรงผลักดันจากบริษัทและประเทศต่าง ๆ ที่ร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อเปลี่ยนจาก Data Center แบบเดิมไปเป็น AI Factories ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่

โดยในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา บริษัททำงานร่วมกับลูกค้ามากกว่า 100 รายในการสร้าง AI Factories ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดหลายร้อยไปจนถึงหมื่น GPU โดยบางส่วนมีถึง 100,000 GPU โดยปัจจุบัน ลูกค้ารายสำคัญของ Nvidia ล้วนแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีของโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Amazon Web Service, Microsoft Azure, Google Cloud และ Oracle ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของรายได้ ในส่วนธุรกิจ Data Center

“ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของบริษัทคือ การขาย Data Center ซึ่งรวมถึงชิปเอไอและชิ้นส่วนเพิ่มเติมที่จำเป็นในการใช้งานเซิร์ฟเวอร์เอไอขนาดใหญ่ อาทิ โปรเซสเซอร์กราฟิก Hopper และ H100 GPU ซึ่งไฮไลต์สำคัญในไตรมาสนี้คือการประกาศ Lama 3 ของ Meta ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ล่าสุดซึ่งใช้ GPU H100 จำนวน 24,000 ตัว”

ทั้งนี้ Jensen Huang เชื่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตขึ้นได้อีก เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดตัว Blackwell ชิป AI GPU รุ่นต่อไปของบริษัทภายในไตรมาส 4 และจะเพิ่มชิปนี้ใน Data Center ของบริษัทด้วย นอกจากนี้ บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังส่งสัญญาณว่าพวกเขาจะใช้จ่ายมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ากับชิปและ Data Center ซึ่งจำเป็นสำหรับฝึกและใช้งานระบบเอไอของพวกเขา

จากผลประกอบการที่ดีเกินคาด ทำให้มูลค่าหุ้น Nvidia แตะระดับ 1,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่าตลาดสูงสุดเป็น อันดับสาม ในตลาด Wall Street ตามหลังเพียง Microsoft และ Apple

Source

]]>
1474731
Nvidia ประกาศลงทุนในเวียดนาม จับมือบริษัทในประเทศพัฒนาทักษะด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล https://positioningmag.com/1455082 Mon, 11 Dec 2023 08:33:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455082 Nvidia ประกาศลงทุนในเวียดนาม โดยจับมือกับบริษัทในประเทศหลายบริษัท เพื่อพัฒนาทักษะด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล หลังจากที่ CEO ของบริษัทอย่าง Jensen Huang ได้มาเยือนประเทศเป็นครั้งแรก

Jensen Huang ซึ่งเป็น CEO ของ Nvidia ประกาศในการเยือนประเทศเวียดนามครั้งแรกของเขาว่าจะมีการลงทุนในประเทศเวียดนามในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปจนถึงด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

การจับมือดังกล่าว Nvidia จะจับมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในเวียดนามไม่ว่าจะเป็น Viettel และ FPT และ Vingroup รวมถึง VNG ซึ่งบริษัทเหล่านี้เป็นพันธมิตรที่ Nvidia ต้องการขยายความร่วมมือด้วย และมองว่าเวียดนามถือเป็นประเทศที่สำคัญแห่งหนึ่ง

ไม่เพียงเท่านี้ Nvidia เองยังจะมีการตั้งสำนักงานในประเทศเวียดนามด้วย โดย VOV สื่อของรัฐบาลเวียดนามได้รายงานว่าสำนักงานดังกล่าวจะดึงแรงงานฝีมือดีจากทั่วโลกเพื่อช่วยเวียดนามในการพัฒนาด้าน AI หรือแม้แต่ด้านการพัฒนาเรื่องเซมิคอนดักเตอร์

CEO ของ Nvidia ได้กล่าวว่า “เวียดนามเป็นพันธมิตรของเราอยู่แล้ว เนื่องจากเรามีลูกค้าหลายล้านรายที่นี่”

ก่อนหน้านี้ Nvidia ได้มีการลงทุนในประเทศเวียดนามแล้วถึง 250 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาในด้าน AI ในการนำไปใช้ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ หรือแม้แต่ในระบบ Cloud ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวนั้นตามหลังจากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับเวียดนามแนบแน่นมากยิ่งขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเวียดนามเตรียมที่จะสั่งชิปเร่งการประมวลผล AI ของ Nvidia เพื่อใช้ในการพัฒนาและเรียนรู้ด้วย

เวียดนามเองยังต้องการสอดแทรกขึ้นมาเป็นอีกผู้เล่นในอุตสาหกรรมไอทีเพิ่มมากขึ้น หลังจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกาหลายแห่งได้ย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้ามา หรือแม้แต่ใช้เวียดนามเป็นแหล่งในการพัฒนาและวิจัยเพิ่มมากขึ้น ไปจนถึงความพยายามที่จะเป็นแหล่งผลิตชิปอีกแห่งด้วย

ที่มา – Reuters, VOV

]]>
1455082
แพงไปไม่ซื้อ! Meta, Microsoft และ OpenAI เตรียมเปลี่ยนใช้ชิปเอไอจาก ‘AMD’ หลังสู้ราคา ‘Nvidia’ ไม่ไหว https://positioningmag.com/1454651 Thu, 07 Dec 2023 06:16:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454651 ในยุค Generative AI แบบนี้ ทำให้ความต้องการชิปสำหรับการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์พุ่งขึ้นมหาศาล ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตชิปได้อานิสงส์นี้ไปเต็ม ๆ และหนึ่งในแบรนด์ที่เติบโตจากเทรนด์ดังกล่าวก็คือ Nvidia บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) และปัญญาประดิษฐ์

การจะสร้างและพัฒนาโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ เช่น ChatGPT ส่วนสำคัญก็คือ ชิป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาชิปของ Nvidia ที่ถือเป็นผู้นำของตลาดชิปสำหรับใช้ในการพัฒนาเอไอมีราคาแพง ทำให้ Meta, OpenAI และ Microsoft ประกาศว่าพวกเขาจะ ใช้ชิป AI ใหม่ล่าสุดของ AMD นั่นคือ Instinct MI300X ซึ่งเป็นชิป high-end ตัวล่าสุด ซึ่งจะชนกับ H100 ของ Nvidia

ที่น่าสนใจคือ Omdia บริษัทติดตามตลาด เชื่อว่า Meta และ Microsoft เป็นผู้ซื้อ GPU H100 ของ Nvidia รายใหญ่ที่สุด พวกเขาจัดหา GPU H100 มากถึง 150,000 ตัว ซึ่งมากกว่าจํานวนโปรเซสเซอร์ H100 ที่ซื้อโดย Google, Amazon, Oracle และ Tencent (ตัวละ 50,000 ตัว)

โดย AMD จะเริ่มจัดส่งชิป MI300X ในต้นปีหน้า และด้วยราคาที่ถูกลงอาจช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาโมเดล AI รวมถึงสร้างแรงกดดันด้านการแข่งขันต่อการเติบโตของยอดขายชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของบริษัท Nvidia

AMD กล่าวว่า MI300X ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ โดยชิป MI300X เป็นชิปเร่งความเร็วสถาปัตยกรรม CDNA 3 เพิ่มหน่วยประมวลผล 40% ขยายแบนวิดท์หน่วยความจำ 1.7 เท่า ใส่แรม HBM3 192GB สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้น รองรับข้อมูลแบบ FP8 หน่วยความจำที่สูงขึ้นทำให้สามารถรันโมเดล LLaMA-2 70B ได้ในชิปเดียว  

ทั้งนี้ AMD เคยคาดการณ์ว่าชิป MI300X จะมียอดขายประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และหลังจากเปิดตัวชิปดังกล่าวหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้น 1.9% ทั้งนี้ รายได้ใน Q3/2023 ของ AMD อยู่ที่ 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 4% โดย Lisa Su ซีอีโอของ AMD คาดการณ์ว่า ตลาดสําหรับชิป AI จะมีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2027 และหวังว่า AMD จะครองส่วนแบ่งใหญ่ของตลาดนั้น

Source

]]>
1454651