PepsiCo – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 08 Oct 2022 12:28:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Pepsi บริษัทแรกที่จะได้รับมอบ “รถบรรทุกไฟฟ้า” จาก Tesla เดือนธันวาคมนี้ https://positioningmag.com/1403629 Sat, 08 Oct 2022 03:25:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403629 Tesla เริ่มผลิต “รถบรรทุกไฟฟ้า” เพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว และ PepsiCo จะเป็นบริษัทแรกที่ได้รับมอบในวันที่ 1 ธันวาคมนี้

“อีลอน มัสก์” เปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้า Semi Class 8 เมื่อปี 2017 และวางแผนว่าจะเริ่มผลิตตั้งแต่ปี 2019 อย่างไรก็ตาม ไทม์ไลน์การผลิตต้องเลื่อนไปหลายครั้งเพราะขาดแคลนอะไหล่ ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าการเริ่มผลิตจริงจะมีการผลิตลอตแรกออกมากี่คัน

หน้าเว็บไซต์ Tesla ระบุว่า รถบรรทุกไฟฟ้าคันแรกของ Tesla วิ่งได้ 500 ไมล์ (ราว 805 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ทำความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายใน 20 วินาที และใช้พลังงาน 2kWh ต่อ 1 ไมล์ โดยบรรทุกได้สูงสุด 82,000 ปอนด์ (ประมาณ 37,000 กิโลกรัม)

รถบรรทุก Semi หากใช้แท่นชาร์จของ Tesla ที่ออกแบบสำหรับรถคันนี้ จะใช้เวลา 30 นาทีในการชาร์จจาก 0% ถึง 70% ของความจุแบตเตอรี่ บริษัทยังคำนวณมาด้วยว่าการใช้ไฟฟ้าจะประหยัดกว่าการใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 2.5 เท่า

ส่วนราคาประเมินคาดว่าจะอยู่ที่คันละ 180,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6.73 ล้านบาท) แต่หากจัดส่งในสหรัฐฯ ก็จะได้รับส่วนลดเงินอุดหนุนจากรัฐคันละ 40,000 เหรียญ (ประมาณ 1.50 ล้านบาท)

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 บริษัท PepsiCo เป็นบริษัทที่สั่งจองรถบรรทุกไฟฟ้าจาก Tesla ทันที 100 คัน เพราะสอดคล้องกับนโยบายบริษัทที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนของฟลีตรถขนส่ง

“รามอน ลากัวร์ตา” ประธานกรรมการบริหาร PepsiCo กล่าวกับสำนักข่าว CNBC เมื่อปีก่อนว่า การขนส่งคิดเป็นสัดส่วน 10% ของการปล่อยคาร์บอนของทั้งบริษัท ทำให้รถบรรทุกไฟฟ้าจะมาช่วยลดคาร์บอนได้ โดยวางแผนจะนำมาใช้ในขั้นตอนการขนส่งเครื่องดื่มและขนมจากโรงงานไปยังศูนย์กระจายสินค้า และจากศูนย์ฯ ไปยังพื้นที่รีเทลด้วย

Source

]]>
1403629
Coca-Cola และ PepsiCo ส่งสัญญาณเงินเฟ้อ หากต้นทุนพุ่งสูง อาจปรับขึ้นราคา https://positioningmag.com/1373780 Sat, 12 Feb 2022 06:28:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373780 สองผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลกอย่าง Coca-Cola และ PepsiCo ส่งสัญญาณเตือนถึงแรงกดดันต่อผลกำไรในปีนี้ หลังตุ้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจมีการปรับขึ้นราคา 

ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่กระป๋องอะลูมิเนียมไปจนถึงค่าแรงและค่าขนส่ง ท่ามกลางการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกในวิกฤตโรคระบาด ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารบรรจุหีบห่อ (packaged food) ต้องรับมือกับการขึ้นราคา

ด้วยต้นทุนที่ยังคงเพิ่มขึ้นบวกกับปัญหาคอขวดของอุปทาน ที่มีสัญญาณผ่อนคลายลงเพียงเล็กน้อยนั้น นักวิเคราะห์เตือนว่า การขึ้นราคาอาจจะไม่เพียงพอที่จะรองรับกับอัตรากำไรของอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่

Hugh Johnston บอกกับสำนักข่าว Reuters ว่าบริษัทอาจปรับขึ้นราคาได้อีกในปลายปีนี้ หากต้นทุนสูงขึ้นเกินคาด และไม่ได้ตัดขาดสินค้าบางรายการออกอย่างไรก็ตาม จะมีการควบคุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการจัดจำหน่าย เพื่อประคับประคองสถานการณ์

ด้านคู่เเข่งรายสำคัญอย่าง Coca-Cola ก็เริ่มส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกันว่า กำลังพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วในไตรมาสที่ 4 ของ Coca-Cola ลดลงเหลือ 22.1% จาก 27.3% ในปีก่อนหน้า ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วของ PepsiCo ลดลง 183 basis points 

PepsiCo รายงานรายรับสุทธิในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 12.4% เป็น 2.525 หมื่นล้านดอลลาร์ เเละคาดการณ์กำไรหลักของปีงบประมาณ 2022 ที่ 6.67 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 6.73 ดอลลาร์ ตามข้อมูลของ IBES จาก Refinitiv

Coca-Cola คาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วทั้งปีจะเพิ่มขึ้น 5% เป็น 6% จาก 2.32 ดอลลาร์ในปี 2021 เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 6%

ก่อนหน้านี้ เชนร้านกาเเฟรายใหญ่ของโลกอย่าง Starbucks ก็วางเเผนจะปรับขึ้นราคาในปีนี้ เพื่อชดเชยเงินเฟ้อ ต้นทุนที่สูงขึ้น เเถมเจอปัญหาซัพพลายเชนเเละการขาดแคลนแรงงาน

หลังจากที่เคยปรับขึ้นราคาเมนูมาเเล้วเมื่อเดือนต..ปีที่เเล้ว และเดือนม..ปีนี้ ทาง Starbucks ก็เตรียมปรับขึ้นราคาเมนูอีกครั้งในช่วงปี 2022 พร้อมลดใช้จ่ายบางส่วน อย่างด้านการตลาดและการส่งเสริมการขาย เพื่อชดเชยต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ะบาดของโควิด-19

โดยปัจจัยต่างๆ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ การระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เเละปัญหาขาดแคลนแรงงาน ได้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1373780
เป๊ปซี่โคประกาศเป้าหมายในอีก 10 ปีข้างหน้า ขยายแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรเชิงบวกกว่า 17 ล้านไร่ทั่วโลก เพื่อความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม https://positioningmag.com/1328879 Fri, 23 Apr 2021 01:45:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328879 เป๊ปซี่โค ประกาศเป้าหมายใหม่ด้านการเกษตรเชิงบวก โดยมีเป้าหมายในปี พ.ศ. 2573 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้าที่จะกระจายแนวทางการทำการเกษตรแบบปฏิรูปไปทั่วโลกกว่า 17 ล้านไร่ โดยประมาณ เพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนฟุตพริ้นต์อย่างน้อย 3 ล้านตัน ยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรและคนในชุมชนกว่า 250,000 คน และจัดหาวัตถุดิบหลักจากแหล่งที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและยั่งยืน 100% 

เรมอน ลากัวร์ตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานบริษัทเป๊ปซี่โค กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก บริษัทฯ ตระหนักดีถึงบทบาทสำคัญในการจัดการปัญหาที่ท้าทายในระบบอาหารสมัยใหม่ นับตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและการขาดแคลนทรัพยากร ไปจนถึงความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้ ในวาระเกษตรกรรมเชิงบวกของเป๊ปซี่โค เป๊ปซี่โคให้ความสำคัญกับการลงทุน นวัตกรรม และความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับพันธมิตรด้านการเกษตรของเรา เพื่อสร้างผลกระทบไปทั่วโลก และจากการทำงานร่วมกัน เราจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จัดการกับปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร และมอบโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้คนจำนวนมากขึ้น” 

วาระเกษตรกรรมเชิงบวกของเป๊ปซี่โคมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาแหล่งพืชและวัตถุดิบในลักษณะที่เร่งการปฏิรูปการเกษตรและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเกษตรกรรมโดยมุ่งเน้นที่:

  • การขยายการยอมรับแนวทางการทำการเกษตรแบบปฏิรูปในกว่า 17 ล้านไร่ทั่วโลก – เทียบเท่ากับที่ดินทั้งหมดที่ใช้ในการปลูกพืชและวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ความพยายามเหล่านี้คาดว่าจะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างน้อย 3 ล้านตันภายในปี พ.ศ. 2573 นอกจากนี้ กว่าทศวรรษที่เป๊ปซี่โคได้พัฒนาโครงการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน เป๊ปซี่โคจะยังคงร่วมมือกับเกษตรกรใน 60 ประเทศต่อไปเพื่อนำแนวปฏิบัติด้านการเกษตรกรรมเชิงปฏิรูปไปใช้ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและฟื้นฟูระบบนิเวศ ตัวอย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา เป๊ปซี่โคได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรในการปลูกพืชคลุมดินบนพื้นที่กว่า 210,050 ไร่และพบว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มลดลงถึง 38% รวมถึงการกักเก็บคาร์บอนในดิน[1] ด้วยความพยายามร่วมกันกับพันธมิตรชั้นนำในอุตสาหกรรม บริษัทฯ จะขยายโครงการเกษตรเชิงปฏิรูปไปยังพื้นที่เพาะปลูกในสหรัฐฯมากกว่า 1,265,000 ไร่ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2564 นอกจากนี้เป๊ปซี่โคจะยังคงขยายเครือข่ายฟาร์มสาธิตไปทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกันได้
  • พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมากกว่า 250,000 คนในห่วงโซ่อุปทานทางการเกษตรและชุมชน รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ให้แก่ผู้หญิงทั่วโลก เป๊ปซี่โคมุ่งเน้นการทำงานกับชุมชนเกษตรกรรมที่เปราะบางที่สุด ซึ่งเชื่อมโยงกับห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก รวมถึงเกษตรกรรายย่อยและคนงานในฟาร์ม ผู้หญิงและเกษตรกรชนกลุ่มน้อย
  • จัดหาวัตถุดิบหลัก 100% อย่างยั่งยืน โดยไม่ได้หมายถึงพืชที่มาจากแหล่งโดยตรง (มันฝรั่ง ข้าวโพดทั้งเมล็ด ข้าวโอ๊ต และส้ม) เพียงเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงพืชหลักจากบุคคลที่สาม เช่น น้ำมันพืชและธัญพืช เป๊ปซี่โคจัดหาพืชผลใน 60 ประเทศและสนับสนุนงานกว่า 100,000 ตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานทางการเกษตร 

ณ สิ้นปี พ.ศ. 2563 เป๊ปซี่โคสามารถจัดหาพืชที่มาจากแหล่งโดยตรงที่มีแหล่งที่มาอย่างยั่งยืนได้ถึง 100% จาก 28 ประเทศ และในทั่วโลกเกือบ 87% ของพืชผลก็ได้มาจากโครงการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนของเป๊ปซี่โค ตัวอย่างเช่น ส้ม 100% ที่แบรนด์ Tropicana ใช้ได้มาจากผู้ปลูกในฟลอริดาที่มีแหล่งที่มาอย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับ 100% ของมันฝรั่งและข้าวโอ๊ตสำหรับ Lay’s และ Quaker ในอเมริกาเหนือตามลำดับ 

เป๊ปซี่โคสนับสนุนการกำหนดมาตรฐานและการวัดผลการเกษตรแบบปฏิรูปทั่วทั้งอุตสาหกรรม ในกรณีที่ไม่มีมาตรฐานดังกล่าว บริษัทฯ จะวัดความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายเกษตรเชิงบวก โดยการติดตามขนาดของพื้นที่และผู้คนที่มีส่วนร่วมในการริเริ่มและเมื่อเวลาผ่านไปผลกระทบที่มีต่อผลลัพธ์หลัก 5 ประการ ได้แก่ การสร้างสุขภาพของดินและความอุดมสมบูรณ์ การแยกคาร์บอนและลดการปล่อย เสริมสร้างความสมบูรณ์ของลุ่มน้ำ การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และพัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรกร PepsiCo ทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำ เช่น World Wildlife Fund (WWF) เพื่อพัฒนาวิธีการกำหนดเป้าหมายตามหลักวิทยาศาสตร์สำหรับน้ำ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของระบบการทำการเกษตรแบบปฏิรูปและยืดหยุ่นและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับคุณภาพน้ำและปริมาณน้ำ

“ตลอดระยะเวลามากกว่า 25 ปีที่เป๊ปซี่โคเริ่มต้นทำธุรกิจขนมขบเขี้ยวในประเทศไทย เราได้ส่งเสริมให้เกษตรกรไทยทำการเพาะปลูกมันฝรั่ง ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตมันฝรั่งทอดกรอบเลย์ โดยบริษัทฯ ได้สนับสนุน ส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งและรับซื้อผ่านระบบเกษตรพันธสัญญา มุ่งพัฒนา ส่งเสริมศักยภาพเกษตรกร นำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต โดยมีทีมเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรของเราเข้าไปให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการเพาะปลูก การป้องกันโรค การปรับปรุงบำรุงดิน การวางแผนการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม การเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรคพืชและการชลประทาน ลดการใช้เชื้อเพลิง และ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับการชลประทานโดยระบบน้ำหยด แทนการให้น้ำแบบร่อง ช่วยให้เกษตรกรวางแผน ควบคุมปริมาณการใช้น้ำเพื่อการเพาะปลูกได้อย่างแม่นยำ” สุดิปโต โมซุมดา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจอาหารอินโดจีน บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าว “บริษัทฯ ให้ความสำคัญระบบการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยยึดถือตามนโยบายของบริษัท ‘ผลงานดี สำนึกดี’ และหนึ่งในพันธกิจภายในใต้โครงการการทำเกษตรแบบยั่งยืนนั้นคือการดูแลทรัพยากรธรรมชาติปรับปรุงบำรุงดิน ซึ่งการทำการเพาะปลูกมันฝรั่ง ‘ดิน’ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะให้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพ จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลและบำรุงเพื่อให้ดินมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเพาะปลูก เรามีผู้เชี่ยวชาญการเกษตรที่ทำการวิเคราะห์ดิน ซึ่งทำให้มากกว่า 90% ของผู้เพาะปลูกมันฝรั่ง งดการเผาตอซังข้าว เปลี่ยนเป็นการไถกลบตอซังข้าวเพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารในดินแทน มีการใช้ปูนขาวหรือโดโลไมท์ เพื่อแก้ปัญหาดินกรดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยของพืช นอกจากนี้ได้แนะนำให้เกษตรกรเปลี่ยนวิธีการจากการให้ปุ๋ยจำนวนมาก 1 – 2 ครั้ง เป็นการแบ่งให้ปุ๋ย 4 – 5 ครั้ง เพื่อลดการสูญเสียจากการชะล้าง จากการดำเนินการโครงการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเกษตรกรได้ปรับตัวนำเทคโนโลยีและพัฒนาความรู้ในการเกษตรมาปรับใช้ ลดการใช้และดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ส่งผลให้เกษตรกรมีความสำเร็จมากยิ่งขึ้น มีผลผลิตและรายได้ที่สูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอันเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาชีพในระยะยาว” 

การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลและการทำงานร่วมกันเป็นหัวใจสำคัญของแนวทางของเป๊ปซี่โคในการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เมื่อเร็วๆ นี้เป๊ปซี่โคร่วมกับ World Economic Forum และองค์กรอื่นๆ ในการเปิดตัวแนวคิด Food Innovation Hubs เพื่อพัฒนาระบบอาหารในท้องถิ่นที่ครอบคลุม มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และมีคุณค่าทางโภชนาการ 

วาระเกษตรกรรมเชิงบวกเป็นอีกก้าวหนึ่งในการเดินทางของเป๊ปซี่โคและเป็นไปตามการประกาศล่าสุดของบริษัทฯ ที่จะเพิ่ม เป้าหมายด้านสภาพอากาศตามหลักวิทยาศาสตร์เป็นสองเท่า โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสัมบูรณ์ในห่วงโซ่คุณค่าให้ได้มากกว่า 40% ภายในปี พ.ศ. 2573 เช่นเดียวกับการให้คำมั่นที่จะบรรลุการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2583

[1] สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเป๊ปซี่โคนั้น บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามกรอบ GHG Protocol ซึ่งการกักเก็บใด ๆ จะแยกออกจากขอบเขตการปล่อยทั้งสามแบบ

]]>
1328879
“เป๊ปซี่โค” ทุ่ม 2,280 ล้านบาท ตอกเสาเข็มขยาย “ฐานผลิต” ในกวางตุ้ง https://positioningmag.com/1311288 Sun, 20 Dec 2020 07:32:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311288 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เป๊ปซี่โค (PepsiCo) บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวข้ามชาติ ระบุว่าได้เริ่มการก่อสร้างฐานการผลิตอาหารในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน โดยเป็นโรงงานผลิตอาหารแห่งแรกของบริษัทที่ตั้งขึ้นในจีนตอนใต้

ด้วยพื้นที่การก่อสร้างราว 24,000 ตารางเมตร โรงงานแห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงในเมืองโฝซาน มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 5.3 เฮกตาร์ (ราว 33 ไร่) โดยในโรงงานจะมีสายการผลิต 1 สายสำหรับมันฝรั่งทอดแผ่นบาง และสายการผลิต 2 สายสำหรับมันฝรั่งทอดบรรจุกระป๋อง รวมถึงอาคารสนับสนุน อาทิ โกดังสำหรับการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป

โครงการก่อสร้างครั้งนี้ใช้เงินลงทุนราว 500 ล้านหยวน (ราว 2,280 ล้านบาท) โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มกระบวนการผลิตอย่างเป็นทางการได้ในเดือนกันยายน ปี 2022 และคาดว่าจะมีกำลังการผลิต 25,000 ตันต่อปี

เป๊ปซี่โคระบุว่าตำแหน่งที่ตั้งของโรงงานแห่งใหม่นี้ถูกคัดเลือก โดยพิจารณาจากการสั่งสมทรัพยากรโดยกลุ่มอุตสาหกรรมของเมืองโฝซานเป็นหลัก รวมถึงเครือข่ายการคมนาคมขนส่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนความสะดวกสบายและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีระบบระเบียบในเขตเศรษฐกิจอ่างกว่างตง-ฮ่องกง-มาเก๊า (GBA)

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป๊ปซี่โคขยายขอบเขตการลงทุนในจีนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานผลิตอาหาร 7 แห่ง ฟาร์มสาธิตการปลูกมันฝรั่ง 6 แห่ง และฟาร์มแบบสหกรณ์ 18 แห่งในจีน

]]>
1311288
COVID-19 ทำคนเครียดพุ่ง เป๊ปซี่ ชิงเปิดตัว “Driftwell” เครื่องดื่มใหม่ ช่วยผ่อนคลาย นอนหลับง่ายขึ้น https://positioningmag.com/1297307 Wed, 16 Sep 2020 07:47:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297307 จากการเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้คนมีความเครียดเเละนอนไม่หลับกันเพิ่มมากขึ้น ยักษ์ใหญ่เเห่งวงการเครื่องดื่มโลกอย่างเป๊ปซี่ โคได้โอกาสออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “Driftwell” มาเพื่อเจาะตลาดนี้

“Driftwell” เป็นเครื่องดื่มตัวใหม่ของเป๊ปซี่ จะเริ่มวางจำหน่ายทั่วสหรัฐฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมจะวางขายในร้านค้าปลีก ภายในไตรมาสแรกของปี 2021

โดยมีการชูจุดเด่นว่า หากดื่มเเล้วจะช่วยให้ผ่อนคลายเเละนอนหลับได้ง่ายขึ้น ด้วยการผสมแอลธีอะนีน” (L-theanine) กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ให้การยอมรับ ซึ่งพบได้ในชาเขียว ชาดำ และเห็ดบางชนิด

ที่มาของเครื่องดื่ม Driftwell นี้ เกิดจากโครงการการแข่งขันเสนอไอเดียภายในบริษัทของเป๊ปซี่ เพื่อนำไปต่อยอดผลิตเป็นสินค้าที่จำหน่ายในตลาดได้จริง โดย Emily Silver ผู้บริหารดูแลฝ่ายนวัตกรรม บอกว่า Driftwell เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากไอเดียของพนักงานที่ทำออกมาวางขายจริงได้เร็วที่สุดของบริษัท

โดย Driftwell จะถูกจัดอยู่ในประเภท Functional Water หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ บรรจุในกระป๋องขนาด 7.5 ออนซ์ เหมาะที่จะดื่มในช่วงค่ำๆ ก่อนถึงเวลาเข้านอนโดยไม่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำในตอนกลางคืน มาพร้อมกลิ่นของแบล็กเบอร์รีและลาเวนเดอร์มีส่วนผสมของแอลธีอะนีนถึง 200 มิลลิกรัม ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนว่า สารดังกล่าวมีส่วนช่วยลดความเครียดในสมอง ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความกังวลและปรับอารมณ์ก่อนนอนได้

สำหรับตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในอเมริกา ในปี 2019 มีมูลค่ากว่า 2.97 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.27 หมื่นล้านบาท) ตามรายงานของ Euromonitor เเละคาดว่าในปีนี้จะมียอดขายเติบโตได้เกือบ 5% จากความนิยมในเครื่องดื่มที่ช่วยผ่อนคลายที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดหนักในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ กระทบเศรษฐกิจเเละไม่มีความเเน่นอน ทำให้ชาวอเมริกันเกิดความเครียดมากขึ้นนั่นเอง

ขณะเดียวกัน ตลาดเครื่องดื่มลูกผสมเเบบ “ไฮบริด” ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกันในยุคนี้ จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องดื่มที่สดชื่น แต่ต้องเป็นมิตรต่อสุขภาพ กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่มีโอกาสทางการตลาดสูงโดยคู่เเข่งอย่าง โคคาโคล่า” ก็เตรียมวางจำหน่าย Coca-Cola With Coffee หรือโค้กผสมกาแฟ เพื่อเจาะตลาดอเมริกา ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2021 

…ต้องรอลุ้นว่าจะเข้าไทยหรือไม่

 

ที่มา : CNBC , CNN

 

 

 

 

]]>
1297307
รุกเทรนด์เครื่องดื่มไฮบริด โคคา-โคล่า เตรียมขาย “โค้กผสมกาเเฟ” 3 รสชาติใหม่ เจาะอเมริกา https://positioningmag.com/1290955 Tue, 04 Aug 2020 08:32:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1290955 เครื่องดื่มลูกผสมเเบบไฮบริดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคนี้ จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องดื่มที่สดชื่น แต่ต้องเป็นมิตรต่อสุขภาพ กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่มีโอกาสทางการตลาดสูง

เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้นเเละสร้างความแปลกใหม่ บรรดายักษ์ใหญ่วงการน้ำอัดลม จึงหันมาเอาดีด้านการพัฒนารสชาติเดิมผสมไปกับเครื่องดื่มอื่น เพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์

ล่าสุดโคคาโคล่าเตรียมวางจำหน่าย Coca-Cola With Coffee หรือโค้กผสมกาแฟ เจาะตลาดอเมริกา ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2021 โดยใช้กาแฟบราซิล 100% พร้อมเปิดตัว 3 รสชาติใหม่ ได้เเก่ Dark Blend, Vanilla และ Caramel ในแพ็กเกจจิ้งกระป๋องขนาด 12 ออนซ์ โดยมีกาเฟอีนอยู่ที่ 69 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง ขณะที่โค้กปกติขนาด 12 ออนซ์จะมีกาเฟอีน 34 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง และ Diet Coke มีกาเฟอีน 46 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง

ก่อนหน้านี้ บริษัทเริ่มชิมลางตลาดเครื่องดื่มไฮบริดในสหรัฐฯ ด้วยการเปิดตัว Coke Energy Cherry, Cherry Vanilla Coke, Orange Vanilla Coke มาเเล้ว

น้ำอัดลมผสมกับน้ำผลไม้ปั่น หรือน้ำอัดลมผสมกับชา ก็เป็นอีกตัวอย่างของแนวโน้มต่อไปในเทรนด์นี้  โคคาโคล่าระบุ

Photo : coca-cola company

การเปิดศึกในตลาดเครื่องดื่มกาเเฟของเจ้าใหญ่น้ำดำ ช่วงที่ผ่านมานี้ สอดคล้องกับอัตราการบริโภคโซดาในสหรัฐฯ ที่ลดลงทุกปี สวนทางกับกลุ่มกาแฟที่เติบโตต่อเนื่อง ดังนั้นการเข้าไปเเข่งในตลาดนี้ จึงจะทำให้ได้กลุ่มลูกค้าทั้งคนที่ชอบน้ำอัดลมเเละชอบกาเเฟ รวมถึงคนรุ่นใหม่ก็หันมาดื่มกาเเฟตั้งเเต่อายุยังน้อยมากขึ้นด้วย

คู่เเข่งสำคัญอย่างเป๊ปซี่จึงไม่ปล่อยให้โคคาโคล่า เจาะตลาดนี้เเต่เพียงผู้เดียว เดินเกมเปิดตัว Pepsi Café โคล่ารสกาแฟอาราบิก้า ที่ให้กาเฟอีนมากกว่าเป๊ปซี่ขนาดปกติถึงสองเท่า มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ Original และ Vanilla วางขายในสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา

โคคาโคล่า พยายามเจาะตลาด Coffee-Cola Drinks ครั้งเเรกตั้งเเต่ปี 2006 เเต่เป็นช่วงสั้นๆ เเค่ 2 ปีก็เลิกไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในปี 2017 กับ Coca-Cola Plus Coffee เเต่นำไปลองตลาดในออสเตรเลีย เเละอีก 1 ปีต่อมาก็นำไปทดลองขายในตลาดเอเชีย หลังเปลี่ยนสูตรใหม่

ในปี 2018 ผลิตภัณฑ์โค้กผสมกาแฟ ทดลองตลาดครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เเละได้รับเสียงตอบรับที่ดี ปัจจุบันหาซื้อได้ใน 30 ประเทศเเล้ว โดยจะหลักๆ ของเเต่ละประเทศจะไม่เเตกต่างกันมาก เเต่จะมีการปรับสูตรกาเเฟและแพ็กเกจจิ้งให้เข้ากับรสนิยมของคนในประเทศนั้นๆ

Javier Meza ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของโคคาโคล่า กล่าวว่า การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ต้องมีการระมัดระวังในการออกสินค้าใหม่มากขึ้น เเต่ก็เป็นตัวเร่งให้มีการตรวจสอบเเละพัฒนาสินค้า ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่บริษัทจะเปิดตัว “โค้กผสมกาเเฟ” รสชาติใหม่ในตลาดอเมริกา หลังจากที่ได้เรียนรู้ในตลาด
ประเทศอื่นๆ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

“Coca-Cola With Coffee เป็นผลลัพธ์ของกลยุทธ์ Lift and Shift ของบริษัทในการต่อยอดนวัตกรรมเครื่องดื่มที่ประสบความสำเร็จ จากตลาดหนึ่งไปสู่อีกตลาดหนึ่ง ผ่านการทดลอง ทดสอบ และเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ เมื่อความชอบและไลฟ์สไตล์ของผู้คนกำลังเปลี่ยนไป ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนา Product Portfolio ของเราให้ตอบสนองความต้องการเหล่านั้น

 

ที่มา : CNN , coca-cola

 

]]>
1290955
“เป๊ปซี่โค” แต่งตั้ง “เหวิน หยวน ตัน” อดีตประธาน Walmart จีน เป็น CEO ภูมิภาค APAC https://positioningmag.com/1282167 Fri, 05 Jun 2020 06:01:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282167 PepsiCo (เป๊ปซี่โค) ประกาศแต่งตั้ง เหวิน หยวน ตัน (Wern-Yuen Tan) ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และจีน APAC โดยดูแลการดำเนินการของเป๊ปซี่โค ทั้งหมดในภูมิภาค

ตันจะเริ่มต้นตำแหน่งใหม่ในวันที่ 15 มิถุนายน 2563 จะประจำอยู่ที่สิงคโปร์ และจะรายงานต่อ รามอน ลากัวร์ตา (Ramon Laguarta) ซีอีโอของ เป๊ปซี่โค

“เราทุกคนที่ เป๊ปซี่โค มีความยินดีที่ได้ต้อนรับ เหวิน หยวน มาเป็นซีอีโอคนใหม่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงและโอกาสที่ ไม่เคยพบเจอมาก่อน” รามอน ลากัวร์ตา ซีอีโอของ เป๊ปซี่โค กล่าว

“เหวิน หยวน ได้ผลักดันนวัตกรรมที่เปลี่ยนวงการและผลลัพธ์ตลอดช่วงการทำงาน เขาจะนำประสบการณ์และความเข้าใจลูกค้าในภูมิภาค APAC ที่มีความหลากหลายจากการดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในด้านการค้าปลีก การบริการอาหาร และการให้คำปรึกษา การเป็นผู้นำของเขาจะเป็นเครื่องมือในการเร่งการเติบโตโดยใช้ประโยชน์จากขนาดของเรา และสร้างโซลูชันที่เหมาะสมมากขึ้นกับตลาดที่มีความสำคัญเหล่านี้” 

ก่อนร่วมงานกับเป๊ปซี่โค ตันรับตำแหน่งประธาน และซีอีโอ วอลมาร์ท ประจำประเทศจีน (Walmart China) ซึ่งเขานำทีมพนักงานกว่า 100,000 คน และรับผิดชอบรายได้กว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในกลุ่มธุรกิจ Walmart, Sam’s Club และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง เขานำ Walmart China ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง จนเป็นผู้นำในวงการในด้านนวัตกรรมและ การค้าปลีกผ่านระบบดิจิทัล

ก่อนจะเข้าร่วมงานกับวอลมาร์ทในปี 2560 ตันดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารของ แมคโดนัลด์ ไต้หวัน เขามีประสบการณ์ในภาคธุรกิจด้านบริการอาหาร ช่วงที่เขาเริ่มทำงาน เขาเป็นประธานของ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) ซึ่งมีหน้าที่คอยให้คำแนะนำแก่ลูกค้าด้านการค้าปลีกและผู้บริโภคเกี่ยวกับกลยุทธ์การเติบโต นวัตกรรม และระบบการทำงาน ตันเริ่มต้นอาชีพโดยการรับราชการในรัฐบาลสิงคโปร์

ตัน กล่าว “เป๊ปซี่โค มีสถานะที่แตกต่างในการขยายส่วนแบ่งตลาดด้วยสถานภาพที่หยั่งรากลึกทั่วภูมิภาคแห่งนี้และข้อเสนอที่ไม่มีใครเทียบ นอกจากนี้ ยังมีความสามารถขายสินค้าได้หลายช่องทางอยู่ในทั่วภูมิภาค APAC ผมหวังว่าการทำงานร่วมกับรามอนและทีมผู้บริหาร จะผลักดันการเติบโตและโซลูชันที่เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่นในภูมิภาคที่มีความหลากหลายนี้”

]]>
1282167
PepsiCo เปิดเกม “cash back” คืนเงินผ่าน PayPal กระตุ้นลูกค้าดื่มน้ำหวานคู่ขนมในเครือ https://positioningmag.com/1246440 Mon, 16 Sep 2019 01:07:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1246440 เป็นแคมเปญตอบแทนลูกค้าที่เรียกเสียงฮือฮาได้มหาศาลสำหรับ PepsiCo ที่ผุด cashback loyalty program ครั้งแรกของบริษัทในชื่อ PepCoin หลักการคือ PepsiCo จะคืนเงินให้ลูกค้าที่ดื่มน้ำหวาน PepsiCo คู่กับขนมขบเคียวในเครือ Frito-Lay โดยลูกค้าสามารถสแกนที่ถุงหรือขวดด้วยโมบายแอปเพื่อรับเงินคืน 10% ผ่านบริการดิจิทัลอย่าง PayPal และ Venmo

เงื่อนไขหลักของ PepCoin คือสมาชิก PepCoin ต้องสะสมเงินคืนอย่างน้อย 2 เหรียญสหรัฐก่อน ระบบจึงจะโอนเงินไปยังบัญชี Venmo หรือ PayPal ของลูกค้าแบบอัตโนมัติ ลูกค้าสามารถสแกนโค้ดได้เพียงครั้งเดียว และจะต้องจับคู่ขนมและเครื่องดื่มเพื่อสแกนภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งหากใครสนใจเข้าร่วมโครงการ ลูกค้าจะต้องสร้างบัญชีที่เว็บไซต์ PepCoin.com

การเปิดศักราชคืนเงินให้ลูกค้าอเมริกันผ่านช่องทางดิจิทัลนี้ถือเป็นมิติใหม่ของการกระตุ้นให้ลูกค้ารับประทานน้ำหวานคู่กับขนมขบเคี้ยวของบริษัท จากข้อมูลของ PepsiCo ระบุว่า PepCoin รองรับการจับคู่น้ำอัดลมและขนมมากกว่า 1,000 คู่ ซึ่งจะอัดฉีดสแน็คทั้ง 70 แบรนด์ในเครือทั้ง Lay’s, Doritos, Cheetos, Ruffles, Fritos และ SunChips รวมถึงน้ำอัดลม Pepsi, Mtn Dew และ Lipton แบบเครื่องดื่มบรรจุขวด

อัดฉีดยอดน้ำหวาน

PepCoin อาจดูเหมือนเป็นกับดักการตลาดทั่วๆ ไป แต่หากมองให้ลึก ทุกอย่างบ่งชี้ว่า PepsiCo กำลังมองหาวิธีใหม่ในการเพิ่มยอดขายเครื่องดื่มด้วยขนมของ Frito-Lay ขณะเดียวกันก็พยายาม “ล็อคลูกค้า” เพื่อไม่ให้เลือกดื่มน้ำหวานแบรนด์อื่นอย่าง Coca-Cola รวมถึงผู้ผลิตขนมรายอื่นด้วย

นอกจากนี้ โครงการมอบรางวัลให้ลูกค้าของ PepsiCo ยังตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าด้วยการเน้นที่โมบายแอป ซึ่งการสำรวจจากบริษัทวิจัย Gartner L2 ฟันธงมาแล้วว่าเป็นคีย์หลักในการทำให้ลูกค้ายุคนี้มีส่วนร่วมหรือ engagement กับ loyalty program โดยที่ไม่ต้องขูดบัตรพลาสติกหรือสะสมสติกเกอร์แบบเดิม

PepCoin ไม่เพียงช่วยให้ PayPal ดึงดูดผู้ใช้ได้มากขึ้น และเป็นผู้นำเทรนด์ให้แบรนด์อื่นร่วมมือกับแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัล เพื่อทำแคมเปญโปรโมชันลักษณะเดียวกัน แต่การทำงานร่วมกับ PayPal และแพลตฟอร์มโมบายเพย์เมนต์ของ PepsiCo เองอย่าง Venmo ยังทำให้ PepCoin เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกับการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลอยู่แล้ว

ที่สำคัญ PepCoin ยังทำให้ PepsiCo สามารถรวบรวมข้อมูลผู้บริโภคได้ลึกกว่าเดิม ทั้งประวัติการซื้อ วันเดือนปีเกิด สถานที่ที่อยู่ อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งในการสมัครใช้บริการ PepCoin ลูกค้าสามารถเลือกรับอีเมลเกี่ยวกับข้อเสนอ รายละเอียดธุรกรรม และรับข้อความ SMS ข่าวสารโปรโมชั่นได้อีก กลายเป็นการเปิดช่องทางโดยตรงที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงลูกค้าออนไลน์ที่อาจไม่เห็นโฆษณาบนแพลตฟอร์มสื่ออื่น

เทรนด์แรงแบรนด์แจกเงิน

การแจ้งเกิด PepCoin ถือว่าเป็นไปตามเทรนด์ที่งานวิจัย Gartner พบว่าแบรนด์ต่างๆ เริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการกระจายรางวัล เห็นได้ชัดจากสถิติขณะนี้ที่สัดส่วนของ loyalty program ซึ่งเน้นให้รางวัลสินค้า-บริการฟรีและเงินคืนนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 61% ในปี 2018 จากที่มีเพียง 47% ในปีก่อนหน้า ซึ่งกรณีของ PepsiCo บริษัทต้องการอัดฉีดธุรกิจน้ำหวานที่ทำกำไรได้ลดลง

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 เจ้าพ่อ PepsiCo มีรายรับจากการขายหรือ organic revenue เพิ่มขึ้น 5% ต่อปี ถือว่าสูงขึ้นจาก 2-4% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2014-2018) แต่กำไรของบริษัทกลับลดลงเพราะการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และอัตราภาษี รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ดื่มน้ำหวานน้อยลงตามความกังวลเรื่องสุขภาพ ส่งให้สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มเครือ PepsiCo มีอัตราเติบโตของกำไรจากการปฏิบัติงานลดลง 4.9% แต่ก็ยังเป็นสินค้ากลุ่มหลักของบริษัทที่ทำรายได้ให้มากที่สุด 9,830 ล้านเหรียญสหรัฐ

สินค้าขายดีอันดับ 2 ของ PepsiCo คือ Frito-Lay ทำเงินมากกว่า 7,830 ล้านเหรียญในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 อัตราเติบโตของกำไรจากการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น 7% สำหรับสินค้าขายดีรองลงมาคือเครือ Quaker Foods รายได้ 1,130 ล้านเหรียญ อัตราเติบโตของกำไรจากการขายลดลง 11.7%

สำหรับ PepCoin แคมเปญล่าสุดถูกมองว่ามีความสำคัญต่อ PepsiCo มาก เพราะรายได้กว่า 60% ของ PepsiCo นั้นมาจากสหรัฐอเมริกา (ในช่วงครึ่งปีแรก) และสินค้ากลุ่ม PepsiCo Beverages, Frito-Lay และ Quaker Foods ทั้ง 3 หน่วยรวมกันนั้นเป็นแหล่งรายได้ 64% ของ PepsiCo

PepCoin ไม่ใช่แคมเปญแจกรางวัลครั้งแรกของ PepsiCo ก่อนหน้านี้ โปรแกรมอย่าง Pepsi Loot เคยแจ้งเกิดในปี 2010 แนวคิดหลักคือการอาศัยข้อมูลทางภูมิศาสตร์ กำหนดกลุ่มเป้าหมายจาก Foursquare เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าชมร้านอาหารที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Pepsi เช่น Taco Bell, Pizza Hut และ Arby’s โดยลูกค้าสามารถแลกรับรางวัลดาวน์โหลดเพลงฟรีผ่านอินเทอร์เน็ต

จุดต่างสำคัญที่ PepCoin ไม่เหมือนกับ Pepsi Loot คือ PepCoin ถูกวางตัวเป็นระบบให้เงินคืนแบบถาวร ซึ่งแปลว่างานนี้ PepsiCo หวังจะฝังรากลึกดึงลูกค้าดื่มโซดาคู่ขนมไปแบบยาวๆ.

]]>
1246440
“หมอยา” มาริโอ้ นั่งแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรก “กู๊ดมู้ด” เขย่าตลาดเครื่องดื่มซัมเมอร์ https://positioningmag.com/1219178 Mon, 11 Mar 2019 14:52:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1219178 ตลาดเครื่องดื่มมูลค่า 1.54 แสนล้านบาท พร้อมเปิดศึกซัมเมอร์ “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค” ประกาศปั้นพอร์ตโฟลิโอใหม่ “วอเตอร์ พลัส” นวัตกรรมส่งตรงจากความสำเร็จของ ซันโทรี่ ญี่ปุ่น กับเครื่องดื่มแบรนด์ “goodmood” น้ำดื่มใสแต่งกลิ่นรส จัดเต็มกลยุทธ์สื่อสารสร้างการรับรู้สินค้าใหม่ ผ่านพรีเซ็นเตอร์คนดัง “มาริโอ้”

โอเมอร์ มาลิค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SPBT กล่าวว่า เตรียมส่งเครื่องดื่มแบรนด์ใหม่ “กู๊ดมู้ด” ซึ่งเป็นเครื่องดื่มกลุ่มใหม่วอเตอร์ พลัส (Water Plus) น้ำดื่มแต่งกลิ่นรส รูปแบบเครื่องดื่มน้ำใส ตอบโจทย์ดับกระหายและให้ความสดชื่น ซึ่งยังไม่มีสินค้ากลุ่มนี้ในประเทศไทย เพื่อบุกตลาดในช่วงหน้าร้อน

กู๊ดมู้ด เจาะกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งเป็นเพียงหมวดเดียวที่เติบโตในตลาดเครื่องดื่ม โดยเชิงมูลค่าอยู่ที่ 5% ในปี 2561 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมีมูลค่า 34,900 ล้านบาท

“การเปิดตัว กู๊ดมู้ด จะทำให้ SPBT เป็นผู้เล่นหลักที่เข้ามาเปิดกลุ่มผลิตภัณฑ์วอเตอร์ พลัส ในประเทศไทย”

เคธี่ อึ้ง ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ซันโทรี่ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กู๊ดมู้ด” เป็นเครื่องดื่มที่นำเสนอรสชาติอร่อยและน้ำตาลน้อย หรือต่ำกว่า 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จึงเหมาะสำหรับผู้บริโภคทุกกลุ่มและตอบเทรนด์การดูแลสุขภาพ มั่นใจว่ากู๊ดมู้ดจะเข้ามาสร้างพอร์ตโฟลิโอเครื่องดื่มใหม่ให้กับซันโทรี่ เป๊ปซี่โค และเป็นผู้นำในตลาดวอเตอร์ พลัส เช่นเดียวกับญี่ปุ่น

โดยเปิดตัวด้วย 2 รสชาติ คือ กลิ่น “แบล็คเคอแรนท์” วางจำหน่ายเฉพาะที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และกลิ่น “โยเกิร์ต” ครั้งแรกในรูปแบบใสโดยบรรจุในขวดเพ็ทขนาด 450 มิลลิลิตร ในราคา 20 บาท จำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มารเก็ต และร้านค้าทั่วประเทศ 

ในด้านการผลิตและการตลาด SPBT เตรียมทุ่มงบประมาณ 270 ล้านบาทเพื่อขยายสายการผลิตและดำเนินกิจกรรมการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ

สำหรับกลยุทธ์สื่อสารแบรนด์และสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ได้นักแสดงหนุ่มจากละครเรตติ้งแรง ทางช่อง 3 เรื่อง “ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง” มาริโอ้ เมาเร่อ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของ “กู๊ดมู้ด” ในประเทศไทย เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ทำตลาดในช่วงหน้าร้อน

“คาแร็กเตอร์ที่สดใส มีชีวิตชีวาและมองโลกในแง่ดีของมาริโอ้ เหมาะกับภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่สร้างอารมณ์ดีๆ เพื่อวันดีๆ ที่จะถ่ายทอดความสดชื่นและสดใสของแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ลงตัว”

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์โฆษณา สื่อกลางแจ้งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย สื่อในร้านค้าและ ณ จุดขาย พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบ 360 องศา จัดคาราวาน “กู๊ดมู้ด” แจกเครื่องดื่ม 1 ล้านขวด ให้ผู้บริโภคทั่วประเทศได้ทดลองชิม.

]]>
1219178
ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ส่ง goodmood ปั้นพอร์ตใหม่น้ำใสแต่งกลิ่น “วอเตอร์พลัส” อัดงบ 170 ล้าน หวังชิงผู้นำตามรอยญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1217304 Sun, 03 Mar 2019 23:07:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1217304 หลังการประกาศร่วมทุนของ “เป๊ปซี่โค อิงค์” สหรัฐฯ และกลุ่มซันโทรี่ จากญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน 2017 เพื่อทำตลาดในไทย โดยเปิดตัวบริษัทร่วมทุน “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย)” หรือ SPBT ในเดือนมีนาคม 2018 ด้วยทุนจดทะเบียน 19,680 ล้านบาท การผนึกกำลังของ 2 ยักษ์ใหญ่ครั้งนี้ “ซันโทรี่” ใช้เวลา 1 ปี คลอด “ผลิตภัณฑ์แรก” goodmood น้ำดื่มใสแต่งกลิ่นรส เจาะตลาดไทย

เป้าหมายของทั้งคู่ ต้องการเป็นแบรนด์ “เครื่องดื่ม” ที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทย “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค” จึงโฟกัสการพัฒนาสินค้าเกาะกระแสการดูแลสุขภาพและนวัตกรรมใหม่ที่สร้างความตื่นเต้นให้ผู้บริโภค

เคธี่ อึ้ง ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ซันโทรี่ บริษัทซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SPBT กล่าวว่า หลังใช้เวลาวิจัยความต้องการผู้บริโภค เพื่อนำมาพัฒนาโปรดักต์ราว 1 ปี SPBT พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก แบรนด์ “กู๊ดมู้ด” (goodmood) ที่เป็นทั้งแบรนด์ใหม่ในพอร์ตโฟลิโอเครื่องดื่ม อีกทั้งเป็นการสร้าง Category ใหม่ในตลาดเครื่องดื่มของประเทศไทย คือ Flavoured Water หรือ วอเตอร์ พลัส (Water Plus) เป็นน้ำดื่มแต่งกลิ่นรส มาในรูปแบบเครื่องดื่มน้ำใส ตอบโจทย์ดับกระหายและให้ความสดชื่น 

ทำไมต้องเป็น “วอเตอร์ พลัส”

การเลือกเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในกลุ่ม “วอเตอร์ พลัส” มาจากกระแสการบริโภค “น้ำดื่ม” ในประเทศไทยที่เติบโตทุกปี ในปี 2018 ด้านปริมาณขยายตัว 4.6% โดยมีมูลค่ากว่า 35,000 ล้านบาท หากย้อนหลังไป 5 ปี ก็เติบโตในอัตรา 5% มาต่อเนื่อง คาดการณ์อีก 5 ปี หลังจากนี้ เชื่อว่ายังเติบโตในอัตรา 5% เช่นกัน

“ความนิยมเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ เป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตตลาดเครื่องดื่มโดยรวม เห็นได้จากปริมาณการบริโภคน้ำดื่มบรรจุขวดและเครื่องดื่มไม่อัดก๊าซขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจุบันกลายสัดส่วน 70% ของธุรกิจเครื่องดื่มของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค”

จากแนวโน้มดังกล่าว SPBT จึงหยิบสินค้าที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอของ “ซันโทรี่” คือกลุ่มวอเตอร์ พลัส หรือน้ำดื่มที่เป็นมากกว่า “น้ำ” มาพัฒนาให้สอดคล้องกับ Consumers Trends ในประเทศไทย โดยมี 3 เทรนด์หลัก   

1. เทรนด์สังคมผู้สูงอายุ เพราะประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์แบบในปี 2030 เป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคเอเชีย ต่อจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ในฐานะบริษัทเครื่องดื่ม จะต้องพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองและตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มสูงวัยใส่ใจสุขภาพ

2. เทรนด์ดูแลสุขภาพ พบว่าผู้บริโภคไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มของตัวเอง เพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพมากขึ้น ในฐานะบริษัทเครื่องดื่มจึงต้องการตอบสนองผู้บริโภคในส่วนนี้ เพราะแม้ผู้บริโภคจะเลือกรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังต้องการรสชาติและความสดชื่น SPBT จึงใช้เรื่อง “สุขภาพและรสชาติ” มาเป็นวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนานวัตกรรมสินค้า

3. เทรนด์ตลาด LRB (Liquid Refreshment Beverage) เครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น ในกลุ่มเครื่องดื่มดูแลสุขภาพ พบว่าสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ Healthier Drink กลุ่มที่ไม่มีน้ำตาลและน้ำตาลน้อย โดยเฉพาะตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด (Packaged Water) ที่มีสัดส่วนกว่า 30% ของตลาด LRB เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% มาต่อเนื่อง จึงมองว่าเทรนด์เครื่องดื่มกลุ่ม Healthier Drink มีโอกาสเติบโตได้อีกหลังจากนี้

“แชมเปี้ยน โปรดักต์” จากญี่ปุ่นสู่ไทย

หากดูต้นกำเนิดซันโทรี่ ในญี่ปุ่น พบว่าตลาดเครื่องดื่ม วอเตอร์ พลัส ของญี่ปุ่น เริ่มต้นในปี 2007 จากสินค้านำเข้า มาในปี 2010 โคคา-โคล่า เริ่มทำตลาดแบรนด์ I-Lohas น้ำดื่มแต่งกลิ่นรส ในกลุ่มรสชาติผลไม้เป็นหลัก

จากนั้น ซันโทรี่ ได้เริ่มเปิดตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ “วอเตอร์ พลัส” ในญี่ปุ่นครั้งแรก ปี 2014 ภายใต้แบรนด์ Tennensui เริ่มด้วยกลิ่นรสผลไม้ จากนั้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมมาต่อเนื่อง ปี 2015 เปิดตัวน้ำดื่มแต่งกลิ่นรส “โยเกิร์ต” ที่เรียกว่าได้ว่าสร้างความ WOW ให้กับตลาด ด้วยนวัตกรรมนำโยเกิร์ต มาพัฒนาแต่งกลิ่นรสในรูปแบบเครื่องดื่มน้ำใส เป็นครั้งแรกและเรียกความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคได้ ต่อมาในปี 2017 เปิดตัวกลิ่นและรสชาติกลุ่ม “ชานม”

ส่งผลให้เครื่องดื่มกลุ่มวอเตอร์พลัส ของซันโทรี่ ขึ้นมาครองอันดับ 1 ในญีปุ่น ตั้งแต่ปี 2015 ถึงปัจจุบัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 50% ขณะที่แบรนด์สินค้าของโคคา-โคล่า เป็นอันดับ 2 ที่ 40%

ประการสำคัญ จากการเข้ามาทำตลาดเครื่องดื่มวอเตอร์ พลัสของทั้งซันโทรี่และผู้เล่นแบรนด์อื่นๆ ได้ช่วยกระตุ้นตลาดน้ำดื่มแต่งกลิ่นรส ขยายตัวเชิงปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 19% ในปี 2015 เป็น 30% ของตลาดน้ำดื่มบรรจุดขวดในญี่ปุ่นในปี 2018 หรือมีมูลค่าราว 9,600 ล้านบาท

ปัจจุบันเครื่องดื่มวอเตอร์ พลัส เป็นตลาดที่มีการเติบโตและได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมากในญี่ปุ่น สะท้อนได้จากการจัดสรรพื้นที่ชั้นวางขนาดใหญ่สำหรับสินค้ากลุ่มนี้ในร้านค้าปลีก

ดังนั้น “ซันโทรี่” ในฐานะผู้นำอันดับ 1 ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด ในญี่ปุ่น ทั้งน้ำดื่ม (น้ำเปล่า) น้ำแร่ น้ำดื่มอัดก๊าซ (sparking water) รวมทั้งวอเตอร์ พลัส จึงต้องการนำความสำเร็จของน้ำดื่มแต่งกลิ่นรส มาเปิดตัวเป็นผลิตภัณฑ์แรก ของบริษัทร่วมทุน SPBT ภายใต้แบรนด์ goodmood ที่เป็นทั้งแบรนด์ใหม่และแคทิกอรี่ใหม่ ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทยและวางเป้าหมายเป็น “แชมเปี้ยน” ในตลาดนี้เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น

3 ปัจจัยหนุน “กู๊ดมู้ด”

หลังจาก “ซันโทรี่” ประสบความสำเร็จในการทำตลาดน้ำดื่มแต่งกลิ่นรสในญี่ปุ่น ได้นำแบรนด์ goodmood เปิดตัวในประเทศอินโดนีเซีย ปี 2017 และปี 2019 goodmood ได้เปิดตัวในประเทศไทย โดยใช้ฐานการผลิตจากโรงงาน SPBT จังหวัดสระบุรี ในไลน์การผลิตที่ 4 โดยลงทุนเพิ่ม 100 ล้านบาท สำหรับแบรนด์กู๊ดมู้ด ปัจจุบันเดินเครื่องผลิตสูงสุด 800 ขวดต่อนาที

ในตลาดประเทศไทย SPBT มองเห็นโอกาสในตลาดวอเตอร์ พลัส เช่นเดียวกับญี่ปุ่น โดยมี 3 เทรนด์ ที่เป็นปัจจัยสนับสนุน goodmood ให้ประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น

1. ตลาดน้ำดื่ม ที่ขยายตัวดีที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มกลุ่มอื่นๆ เชิงปริมาณเติบโต 4.5% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และแทบจะเป็นแคทิกอรี่เดียวในตลาดเครื่องดื่มที่เติบโต ขณะที่เครื่องดื่มอื่นๆ โดยรวมอยู่ในภาวะทรงตัวและลดลง โดย goodmood จะทำตลาดเจาะกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำดื่มบรรจุขวด

2. เทรนด์พรีเมียมยังเติบโตได้ดี ขณะที่สินค้ากลุ่มอื่นๆ ยังอยู่ในภาวะทรงตัวและลดลง นั่นหมายถึงลูกค้ายอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้สินค้าที่มีแวลูมากขึ้น

3. เทรนด์สุขภาพ โดยผู้บริโภค 68% ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ รวมทั้งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการดูแลสุขภาพด้วยการจัดทำแคมเปญต่างๆ ด้วยการจัดทำโลโก้ “ทางเลือกสุขภาพ” รวมทั้งการจัดเก็บภาษีน้ำตาล

สำหรับ “กู๊ดมู้ด” ที่ถูกวางตำแหน่งเป็นสินค้าแคทิกอรี่ใหม่ คือ Water Plus มีอะไรที่มากกว่าน้ำ นั่นคือช่วยดับกระหายและให้ความสดชื่น จึงมีโอกาสการทำตลาด ดึงผู้บริโภคมาได้จากทุกตลาดเครื่องดื่ม

ทั้งกลุ่ม “น้ำเปล่า” ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ แต่หลายครั้งผู้บริโภคยังต้องการเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น โดยกลุ่มน้ำดื่มราคาอยู่ที่ 7-10 บาทต่อขวด

ส่วนกลุ่มน้ำผลไม้ เครื่องดื่มฟังก์ชันนอล เครื่องดื่มเกลือแร่ รวมทั้งกลุ่มน้ำอัดลม ที่ให้เรื่องความสดชื่น รสชาติอร่อย แต่หลายครั้งผู้บริโภครู้สึกผิดจากการดื่มที่ได้ น้ำตาล ปริมาณมาก ในกลุ่มนี้ สินค้าราคาเฉลี่ย 20-25 บาทต่อขวด

จาก Consumer Insights ดังกล่าว goodmood จึงเข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้ง “ความสดชื่น ดับกระหาย และรสชาติอร่อย” โดยให้ความสดชื่นจากการแต่งกลิ่นรส แต่มีปริมาณน้ำตาลต่ำ อยู่ที่ 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร พลังงาน 130 กิโลแคลอรีต่อขวดขนาดบรรจุ 450 มิลลิลิตร ราคา 20 บาท โดยเป็นเครื่องดื่มน้ำใสในกลุ่มน้ำดื่มดับกระหายที่ยังเติบโต

“แม้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันไปบริโภคสินค้าที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น แต่สิ่งที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะชาวไทย คือเรื่อง รสชาติ เมื่อเลือกซื้อเครื่องดื่ม ก็ยังมองเรื่องความสดชื่นมาเป็นอันดับแรก”

การเปิดตัว goodmood ที่ให้ความสดชื่นและดับกระหาย ด้วยปริมาณน้ำตาลต่ำ จึงเป็น “ตัวเลือก” ให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกผิดในการดื่ม อีกทั้งช่วยดึงผู้บริโภคที่เลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงหรือดื่มลดลง ให้กลับมาดื่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวอเตอร์ พลัสแทน หรือดื่มได้บ่อยขึ้น

โดย goodmood เป็นเครื่องดื่มคนละตลาดกับ “ฟังก์ชันนอลดริ้งก์” ที่จะเคลมเรื่องการช่วยเรื่องสุขภาพต่างๆ แต่ goodmood วางตำแหน่งเป็นเครื่องดื่มที่มากกว่า “น้ำ” โดย SPBT ต้องการเป็นผู้เปิดตลาดใหม่และบุกเบิกตลาดวอเตอร์ พลัส เป็นรายแรกในประเทศไทย

goodmood  เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะดึงลูกค้าที่ออกจากตลาดเครื่องดื่มที่มีปริมาณความหวานสูง ให้กลับมาสู่แคทิกอรี่ใหม่

ในฐานะที่ ซันโทรี่ เป็นบริษัทน้ำดื่มบรรจุขวดอันดับ 1 ในญี่ปุ่น SPBT จะใช้ความเป็นเบอร์ 1 ในการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และคุณภาพของ goodmood สู่ตลาดไทย

เปิด “2 รสชาติ” ไฮไลต์

การทำตลาด goodmood ในไทย จะเดินตามกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จจากกลุ่มวอเตอร์ พลัส ในญี่ปุ่น ทั้งเรื่อง “นวัตกรรม” และ “รสชาติ” ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค

ในญี่ปุ่นพบว่ารสชาติเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม คือ กลุ่มผลไม้ทุกชนิด มีสัดส่วน 50% โยเกิร์ต 29% และอื่นๆ 21% ส่วนประเทศไทย รสผลไม้มาเป็นอันดับ 1 เช่นกันที่ 57% ตามด้วยสมุนไพร 19% และอื่นๆ 24%

ดังนั้น goodmood จึงเลือกเปิดตัวด้วย 2 รสชาติ คือ โยเกิร์ต และผลไม้แบล็คเคอร์แรนท์ เพราะ โยเกิร์ต เป็นไฮไลต์จากการพัฒนานวัตกรรมรสชาติใหม่ ที่ผลักดันให้ซันโทรี่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดน้ำดื่มในญี่ปุ่น จึงนำความสำเร็จนี้ไปต่อยอดในประเทศไทย

หน้าที่ของรสชาติโยเกิร์ต คือ การสร้างความตื่นเต้นให้ผู้บริโภค เพราะจะเป็นครั้งแรกที่คนไทยจะได้เห็นโยเกิร์ตในรูปแบบใส ที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน

SPBT จะใช้ความน่าตื่นเต้นนี้เป็นจุดขายสำคัญที่จะพูดคุยกับผู้บริโภค และจะทำให้ผู้บริโภคพูดถึงแบรนด์ goodmood และจดจำแบรนด์

รสชาติโยเกิร์ตของ goodmood เป็นการพัฒนานวัตกรรมและสูตรใหม่ แต่งกลิ่นและรสชาติให้ถูกใจคนไทย โดยต่อยอดมาจากซันโทรี่ ญี่ปุ่น   

สำหรับราคาจำหน่ายขวดละ 20 บาท จากการสำรวจผู้บริโภคในรสชาติรสชาติโยเกิร์ต พบว่ากลุ่มที่มีโอกาสจะซื้อแน่นอน 39% ส่วนกลุ่มที่บอกว่าซื้อ และซื้อแน่นอน 77%

อีกรสชาติ คือ แบล็คเคอร์แรนท์ ถึงแม้จะเป็นรสชาติที่ยังไม่คุ้นเคยในไทย แต่สิ่งที่ผู้บริโภครู้สึกได้คือความเป็น “พรีเมียม” รสชาตินี้จะจำหน่ายเฉพาะที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นก่อนที่จะจำหน่ายในช่องทางอื่นๆ จากการทำวิจัยพบว่า กลุ่มที่จะซื้อแน่นอนอยู่ที่ 39% ส่วนกลุ่มที่จะซื้อและซื้อแน่นอน 82%

มั่นใจนั่งผู้นำตามรอยญี่ปุ่น

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ goodmood คือ ทุกคนที่ต้องการความสดชื่น อารมณ์ดี และคิดบวก เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และแคทิกอรี่ใหม่ เป้าหมายของ goodmood ปีแรกจึงต้องการ เพิ่มการรับรู้แบรนด์ให้ทุกคนรู้จักว่า goodmood เป็นใคร เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มใส ดังนั้นต้องทำให้เกิดการชิมเพื่อจะได้รู้ว่าเป็นน้ำใสที่มีรสชาติ จึงเตรียมแจกสินค้าตัวอย่างกว่า 1 ล้านขวด

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกของ “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค” วางแผนลงทุนด้านการตลาดและสื่อสารเต็มที่ เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์ โดยจะมีโฆษณาทางทีวี สื่อออนไลน์ สื่อโฆษณานอกบ้าน โฆษณาในร้านค้า และแจกสินค้าตัวอย่าง รวมงบประมาณปีแรก 170 ล้านบาท

เครื่องดื่ม goodmood จะวางจำหน่ายในชั้นวางเดียวกันกับ “น้ำเปล่า” เช่นเดียวกับในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายขึ้นว่าอยู่ในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำแต่งกลิ่นรส ที่ช่วยดับกระหายและให้ความสดชื่น

การทำตลาด goodmood เรียกว่าเดินตามตลาดญี่ปุ่น โดยมองตลาดระยะกลางและระยะยาว ที่จะสร้างแคทิกอรี่ใหม่วอเตอร์ พลัส และก้าวสู่ผู้นำ ที่สะท้อนได้จากความสำเร็จในตลาดญี่ปุ่น ที่ผลักดันแคทิกอรี่นี้ให้เติบโตและครองสัดส่วน 30% ในตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดของญี่ปุ่น

ดังนั้น goodmood จึงมองระยะ 5 ปีจากนี้ที่จะผลักดันแคทิกอรี่ “วอเตอร์ พลัส” ในไทย ให้มีสัดส่วน 30% ของตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด ที่เชื่อว่าหลังจากนี้จะมี “ผู้เล่น” รายอื่นๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติมและช่วยกันผลักดันการเติบโต แน่นอนว่า SPBT จะต้องเติมสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดเช่นกัน โดยสามารถนำนวัตกรรมจากซันโทรี่ ญี่ปุ่นมาพัฒนาต่อได้ทันที

ในกลุ่มวอเตอร์ พลัส มีสินค้าหลักอีกกว่า 3 – 5 รายการที่ทำตลาดในญี่ปุ่น ไม่นับรวมที่เป็นซีซันนอล แต่ละปี ซันโทรี่ ญี่ปุ่นออกโปรดักต์เครื่องดื่มใหม่ราว 200 รายการ

ความท้าทายของการเปิดแบรนด์ใหม่ คือ การเข้าใจผู้บริโภคไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ต้องมองเทรนด์และความต้องการในอนาคตด้วย หากทำได้แบรนด์ก็จะประสบความสำเร็จ

]]>
1217304