สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า Sephora ได้เตรียมแต่งตั้ง Ding Xia ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารหญิงของ Nike โดยที่เธอเคยดูแลในส่วน E-commerce ในทวีปเอเชียและละตินอเมริกามาแล้ว รวมถึงเคยทำงานที่ JD.com ยักษ์ใหญ่อีกรายในประเทศจีน เพื่อที่จะช่วยฟื้นฟูกิจการของแบรนด์ค้าปลีกเครื่องสำอาง เนื่องจากสภาวะธุรกิจที่เปลี่ยนไป
สาเหตุที่ทำให้ Sephora ต้องรีบแก้เกมธุรกิจภายในประเทศจีนเนื่องจากนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมาธุรกิจประสบปัญหาขาดทุน นอกจากนี้ยังประสบปัญหาในการแข่งขันกับคู่แข่งในแดนมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์ในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลักของลูกค้าชาวจีน
นอกจากนี้ยังรวมถึงสภาวะเศรษฐกิจจีนที่ความมั่นใจของผู้บริโภคยังไม่กลับมาฟื้นตัวดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นกลางที่ถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ Sephora
นับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมาแบรนด์ค้าปลีกเครื่องสำอางชื่อดังรายนี้ได้ขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศอย่างจริงจัง โดยมีการขยายสาขามากถึง 300 สาขา เพื่อที่จะชิงตลาดแดนมังกรให้ได้
สำหรับ Sephora ถือเป็นแบรนด์ที่มียอดขายมากเป็นอันดับ 2 ในเครือ LVMH อย่างไรก็ดีนักลงทุนเองกลับกังวลถึงยอดขายทั้งในประเทศจีน หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ในเกาหลีใต้ที่บริษัทต้องประกาศถอยทัพออกมาแล้ว เนื่องจากไม่สามารถตีตลาดและแข่งขันกับแบรนด์ในประเทศได้
]]>‘Sephora’ เป็นธุรกิจในเครือ LVMH ยักษ์สินค้าลักชัวรีจากฝรั่งเศส ที่กำลังกว้านซื้อเเบรนด์ต่างๆ เข้าพอร์ต โดยเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งเข้าซื้อหุ้น 50% ในแชมเปญหรู ‘Ace of Spades’ ของ Jay-Z เจ้าพ่อแรปเปอร์
การขยายสาขาครั้งนี้ จะเเบ่งเป็นร้านของ Sephora เอง (freestanding stores) 60 สาขา ในจำนวนนี้กว่า 85% จะตั้งอยู่นอกห้างสรรพสินค้า ส่วนอีก 200 สาขาจะเป็น ‘ร้านขนาดเล็ก’ (mini shops) ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า Kohl’s
ธุรกิจ ‘ความงาม’ กำลังอยู่ในช่วงการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เมื่อการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ลูกค้ามาช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าลดลง เเละอัตราว่างงานในตำเเหน่งที่ทำในห้างฯ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 10.5%
ขณะเดียวกัน ความจำเป็นที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย เเละการทำงานที่บ้านเเบบ Work from Home ก็ทำให้ยอดขายเครื่องสำอางลดลงอย่างมาก เพราะผู้บริโภคไม่ต้องเเต่งหน้าเพื่อออกสังคม อีกทั้งยังบำรุงรักษาผิวหน้าน้อยลง
รายงานของบริษัทวิจัยตลาด NPD ระบุว่า ยอดขายเครื่องสำอางลดลง 34% ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปีก่อน
เเม้ตลาดโดยรวมจะไม่เอื้ออำนวย เเต่ ‘Sephora’ ขอลุยต่อ โดยจะเริ่มทยอยเปิดสาขาใหม่ในเมืองต่างๆ เช่น ดัลลัส, ฮูสตัน, ลอสแองเจลิส และเท็กซัส
Sephora ระบุในอีเมลถึง CNNBusiness ว่า การเลือกทำเลเปิดสาขาใหม่เหล่านี้ ผ่านพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ โดยมุ่งเน้นที่การเติบโตในพื้นที่ชานเมืองและนอกห้างสรรพสินค้า ช่วยให้สามารถเข้าถึงผู้ซื้อสินค้าความงามทั่วประเทศได้มากขึ้น
พร้อมกันนี้ ยังเป็นการเพิ่มช่องทางการขายเเบบ Omnichannel สั่งออนไลน์เเละรับได้ที่สาขา หรือพ่วงโปรโมชันจัดส่งฟรีและการเสนอคืนสินค้าที่ง่ายดาย โดยยอดขายออนไลน์ของ Sephora ในอเมริกาเหนือ ช่วงโรคระบาด เพิ่มขึ้นใกล้แตะระดับ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
การขยายสาขานี้ คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อห้างสรรพสินค้า Kohl’s เพราะการมีผลิตภัณฑ์ความงามระดับไฮเอนด์ที่หลากหลาย จะช่วยดึงดูดลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นด้วย
]]>
การประกาศจุดยืนเพื่อสนับสนุนการรณรงค์เลิกเหยียดสีผิวของ Sephora ในครั้งนี้เป็นการตอบรับเข้าร่วมเเคมเปญ “15% Pledge” ที่เริ่มต้นโดย Aurora James ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์เครื่องประดับ Brother Vellies ที่เรียกร้องให้ธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้คนผิวสี ด้วยการเเบ่งพื้นที่ 15% บนชั้นวางสินค้าในร้านให้ผู้ประกอบการได้ดำเนินธุรกิจต่อไปในระยะยาวและสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนคนผิวสีอย่างแท้จริง
สำหรับที่มาของการเลือกใช้ตัวเลข 15% นั้น James บอกว่าเป็นสัดส่วนประชากรคนผิวสีในสหรัฐฯ ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ระบุว่าอยู่ที่ 13.4% ในปี 2019
โดย James ได้เริ่มรณรงค์เเคมเปญนี้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เเละเรียกร้องไปยังแบรนด์ใหญ่อย่าง Sephora, Target, Whole Foods และ Shopbop หลังความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นประเด็นที่ถูกส่งต่อกันอย่างเเพร่หลายในโลกออนไลน์ Sephora ก็เป็นแบรนด์แรกที่ตอบตกลงเข้าร่วมการขับเคลื่อนนี้
We’re joining @15percentpledge and @aurorajames. We recognize how important it is to represent Black businesses and communities, and we must do better. So, we’re starting now. https://t.co/rmaiUmX2hW pic.twitter.com/3EdsJShRXh
— Sephora (@Sephora) June 10, 2020
Artemis Patrick หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายสินค้า Sephora เปิดเผยกับ CNN ว่าการตัดสินใจเข้าร่วมเเคมเปญ 15% Pledge เป็นความตั้งใจในระยะยาวของบริษัทที่จะร่วมสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้นกับซัพพลายเชน และสร้างแพลตฟอร์มที่ดีขึ้น เพื่อให้แบรนด์ที่ก่อตั้งโดยคนผิวสีสามารถเติบโตได้ต่อไป
“เราเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่จะทำ”
Sephora เป็นเชนค้าปลีกรายแรกที่ตอบรับ แคมเปญ “15% Pledge” และคาดว่าจะมีผู้ค้าปลีกอื่นๆ ตามมาร่วมด้วยอีกหลายเจ้า โดยตลอดการประท้วง Black Lives Matters ที่กระจายไปทั่วอเมริกาในขณะนี้ ได้เรียกร้องให้บริษัทใหญ่เข้าร่วมการสนับสนุนความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์
Sephora ร้านขายสินค้าความงามที่เป็นบริษัทลูกในเครือ LVMH ธุรกิจแบรนด์หรูใหญ่สุดในโลก เจ้าของเเบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Céline, Givenchy และ Dior ปัจจุบันมีแบรนด์ความงามที่จำหน่ายใน Sephora มีทั้งหมดราว 290 แบรนด์ เเต่มีเพียง 9 เเบรนด์ที่ก่อตั้งเเละเป็นเจ้าของโดยคนผิวสี ซึ่ง Sephora บอกว่า “จะทำให้ดีกว่านี้ ” คือจะเพิ่มจำนวนเเบรนด์ที่เป็นของคนผิวสีให้มากขึ้นนั่นเอง
ด้าน Adidas เป็นอีกหนึ่งเเบรนด์ใหญ่ที่ประกาศจุดยืนสนับสนุน Black Lives Matter เช่นกัน โดยระบุว่า จากนี้ไปการจ้างพนักงานใหม่ของ Adidas และ Reebok ในสหรัฐฯ ในสัดส่วน 30% จะเป็นคนผิวสีหรือคนละติน
ก่อนหน้านี้ ก็มีเเบรนด์ระดับโลกอย่าง Nike ที่ออกมาเเสดงจุดยืนสนับสนุน “BlackLivesMatter” จนกลายเป็นกรณีศึกษา “การตลาดเเบบเลือกข้าง” ที่น่าสนใจ เเละเคยปรากฏเป็นผลบวกมาแล้ว จากเมื่อ 2 ปีก่อนที่ Nike เลือกทำการตลาดแบบรับความเสี่ยงเต็มประตู โดยการให้ “โคลิน แคปเปอร์นิก” นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลและนักกิจกรรมทางสังคม มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในโอกาสครบรอบ 30 ปี
อ่านเพิ่มเติม : กรณีศึกษา : เมื่อ Nike สนับสนุน ‘BlackLivesMatter’ ยืนหยัดรับความเสี่ยงจากการ ‘เลือกข้าง’
]]>