SiteMinder – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 14 Nov 2024 08:40:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “คนไทย” รักงาน! กว่า 68% พร้อมเที่ยวไปด้วยหอบงานไปทำด้วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก  https://positioningmag.com/1498597 Tue, 12 Nov 2024 10:19:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498597 หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านพ้นไป ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ “ธุรกิจการท่องเที่ยว” ที่แม้จะเผชิญกับปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รูปแบบการทำงานที่สามารถทำจากที่ไหนก็ได้ รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ ในการปรับตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมเป็นอย่างมาก 

ท่องเที่ยวต้องยืดหยุ่น เพราะเทรนด์ “เที่ยวไปทำงานไป” ของคนไทยกำลังมา

SiteMinder ผู้ให้แพลตฟอร์มการจัดการที่พักแบบครบวงจร เปิดรายงาน SiteMinder’s Changing Traveller Report 2025 การสำรวจด้านที่พักและพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเผยว่า การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้น 10.1% โดยคาดการณ์ว่าในปี 2029 อุตสาหกรรมโรงแรมของประเทศไทยจะมีมูลค่าการเติบโตกว่า 1.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

จากการสำรวจยังพบว่า นักเดินทางยุคใหม่มีแนวคิดการเดินทางแบบ ‘Everything Travellerʼ คือ นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ และต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น มีการอ่านรีวิวจากโซเชียลแล้วมาลองเที่ยวเอง อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องงบประมาณ

โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 97% ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อาหารเช้า (67%) ห้องชมวิว (44%) หรือการเช็คอินก่อนเวลา หรือการเช็คเอาต์ล่าช้า (33%) นอกจากนี้ 94% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น สำหรับการเข้าพักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมถึงมีแนวโน้มจะต้องการความยืดหยุ่นในเรื่องการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวแบบไม่ต้องคิดหรือวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า 

นอกจากนั้นกว่า 68% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย กลายเป็นผู้นำเทรนด์ในด้านการทำงานไปด้วยขณะเดินทางท่องเที่ยว ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย 66%, นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย 61% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 41% รวมถึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอเมริกาเหนือ (34%) และยุโรป (31%) และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2025 นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 65% มีพฤติกรรมการใช้เวลาส่วนใหญ่ (30%) หรือ มีการใช้เวลาค่อนข้างมาก (35%) ไปกับการอยู่ในโรงแรมที่พักอีกด้วย

นักท่องเที่ยวไทยใช้เครื่องมือค้นหาที่พักสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 39%

อัตราการจองที่พักในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยมีการเติบโตขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับสาม รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%) สืบเนื่องมาจากกการที่รัฐบาลมีมาตรการต่าง ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงภาคจังหวัดได้มีการปรับตัวเพิ่มกิจกรรมในแต่ละจังหวัดมากขึ้นเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปเยี่ยมชม

ซึ่งช่องทางการจองผ่าน OTA (การจองทริปท่องเที่ยวผ่านทาง Website/Application) มีการขยายตัวกว่า 55% เนื่องจากนักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่พักเพื่อวางแผนท่องเที่ยวเอง และราคาส่วนลดหรือโปรโมชั่นที่เป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวไทยเลือกจองผ่าน OTA เป็นหลัก โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับ 3 รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%) 

อีกทั้ง 36% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นการค้นหาโรงแรมผ่านเครื่องมือค้นหาเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2567 ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มสูงถึง 39% เพิ่มขึ้น 14% จากปีที่ผ่านมา ตามด้วยนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ 36% (ไม่ได้เข้าร่วมการสำรวจในปี 2023) นักท่องเที่ยวอินเดีย 33% เพิ่มขึ้น 6% และนักท่องเที่ยวจีน 22% เพิ่มขึ้น 13% จากปีที่แล้ว

นอกจากนั้นการสำรวจยังเผยอีกว่า 65% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย พร้อมที่จะยกเลิกการจองที่พักออนไลน์กลางคันหากได้รับประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 52% โดยปัญหาเรื่องความปลอดภัยเป็นสาเหตุหลักอันดับต้น ๆ ที่ทําให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Millennials ชาวไทยกว่า 37% ทําการยกเลิกการจองออนไลน์กลางคัน ในขณะที่ กลุ่ม Baby Boomers จำนวน 36% จะยกเลิกการจอง เนื่องจากเว็บไซต์ไม่เป็นมิตรกับการใช้งานบนมือถือ

‘สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder

คนไทย-อินโด เปิดใจใช้ AI วางแผนเที่ยวมากที่สุดในโลก

‘สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยและอินโดนีเซีย มีการเปิดใจใช้ AI ในการประยุกต์เข้ากับการวางแผนจองที่พักและสัมผัสประสบการณ์การเข้าพักสูงถึง 98% ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวจีนที่เปิดรับการใช้ AI กับการวางแผนท่องเที่ยวสูง 96% และอินเดียที่ 94% ในขณะที่ 62% ของนักท่องเที่ยวจากทั้งแคนาดา และออสเตรเลีย รวมไปถึง 63% ของนักท่องเที่ยวจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ยังคงไตร่ตรองถึงข้อดีของการใช้ AI มาช่วยวางแผนการท่องเที่ยวอยู่

และความชอบในการเดินทางจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอายุ อาทิ กลุ่ม Gen Z และ Millennial ชาวไทย นิยมพักในเครือโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่ ในขณะที่กลุ่ม Gen X นิยมที่พัก B&B และ Baby Boomers เลือกมองหาที่พักโฮสเทล โมเทล หรือโรงแรมราคาประหยัด เป็นต้น

ส่งผลให้พฤติกรรมการเลือกที่พักของนักท่องเที่ยวชาวไทยในปี 2025 มีแนวโน้มเลือกห้องพักแบบ Standard (ห้องพักมาตรฐาน) กว่า 54% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 46% และสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากนักท่องเที่ยวสเปน (59%) แคนาดา (55%) และอิตาลี (55%) ในทางกลับกัน มีเพียง 19% ของนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้นที่จะเลือกห้องพักแบบ Standard ในการเข้าพักครั้งถัดไป การที่นักท่องเที่ยวชาวจีนหันมาวางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเองมากกว่าเลือกจองกับกรุ๊ปทัวร์ เพราะต้องการการท่องเที่ยวแบบใหม่ ลองทานอาหารรสชาติใหม่ ๆ รวมถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ทำให้ให้ความสำคัญกับที่พักที่สวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันมากขึ้น 

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวเลือกให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเมื่อทำการเลือกโรงแรมในแต่ละครั้ง โดย 76% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงเป็นอันดับ 1 ของโลก ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (70%) อินเดีย (66%) และจีน (62%) อีกทั้งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 30% เลยทีเดียว

]]>
1498597
เที่ยวเก่ง! คนไทยวางแผน “เที่ยวต่างประเทศ” สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก “Gen Y” สนใจเที่ยวต่างแดนสูงสุด https://positioningmag.com/1454622 Wed, 06 Dec 2023 12:24:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454622 SiteMinder สำรวจนักท่องเที่ยวใน 12 ประเทศ พบคนไทย 49% วางแผน “เที่ยวต่างประเทศ” ภายใน 12 เดือนข้างหน้า เป็นสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก กลุ่มอายุที่มีแนวโน้มเที่ยวต่างประเทศสูงสุดคือ “Gen Y” รองลงมาเป็น “Gen X” ขณะที่ “Gen Z” มีแนวโน้ม “แบกคอมพ์เที่ยว” ทำงานไปเที่ยวไปสูงที่สุด

รายงานเรื่อง Changing Traveller Report 2023 โดย SiteMinder สำรวจความคิดเห็นนักท่องเที่ยว 10,000 คน ใน 12 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก พบว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกวางแผนที่จะ “เที่ยวต่างประเทศ” สูงขึ้นกว่าปีก่อนมาก

โดยปี 2023 ค่าเฉลี่ยนักท่องเที่ยว 42% มีแผนที่จะเที่ยวต่างประเทศภายใน 12 เดือนข้างหน้า เทียบกับปี 2022 ที่สำรวจมีสัดส่วนเพียง 20%

ลาพักร้อนไม่จำกัด
(Photo: Shutterstock)

สำหรับกลุ่ม 5 อันดับแรกสัญชาตินักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มจะเที่ยวต่างประเทศมากที่สุด คือ เยอรมนี (55%), สหราชอาณาจักร (53%), ไทย (49%), จีน (48%) และฝรั่งเศส (47%) เห็นได้ว่าคนไทยมีความต้องการเที่ยวต่างประเทศสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกและชาติอื่นๆ

 

“Gen Y” ขาเที่ยวตัวจริง

สำหรับนักท่องเที่ยวไทยในการสำรวจนี้มีกว่า 800 คน และมีการแยกสำรวจความต้องการเที่ยวต่างประเทศตามช่วงอายุ พบสัดส่วนคนที่มีแผนเที่ยวต่างประเทศใน 12 เดือนข้างหน้า ดังนี้

  • Gen Z (18-26 ปี) – 69%
  • Gen Y (27-42 ปี) – 82%
  • Gen X (43-58 ปี) – 75%
  • Baby Boomers (59-77 ปี) – 71%

เห็นได้ว่า “Gen Y” คือกลุ่มที่ต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศสูงสุดในทุกช่วงวัย รองลงมาคือกลุ่ม “Gen X”

SiteMinder ชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนเหล่านี้มีความแปลกแตกต่างจากค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งค่าเฉลี่ยโลกอันดับ 1 เจนเนอเรชันที่วางแผนเที่ยวต่างประเทศมากที่สุดคือ Gen Y เหมือนกันก็จริง แต่อันดับ 2 จะเป็น Gen Z ในขณะที่เมืองไทยนั้นคน Gen Z มีความต้องการเที่ยวต่างประเทศน้อยที่สุดในทุกๆ เจนฯ

Photo : Shutterstock

 

“แบกคอมพ์เที่ยว” ยังเป็นเทรนด์

อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่เกิดขึ้นในระยะหลังคือการ “ทำงานระหว่างเที่ยว” ซึ่ง SiteMinder พบว่าค่าเฉลี่ยโลกลดลงเพียงเล็กน้อย ทำให้การให้ความสำคัญกับกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบ “Workation” ยังสำคัญอยู่

โดยปี 2023 มีนักท่องเที่ยว 36% ที่ตอบว่า มีแนวโน้มจะทำงานระหว่างเที่ยวในทริปหน้า ลดลงจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 36.5% เล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม คนเอเชียยังคงเป็นชาติที่ “แบกคอมพ์เที่ยว” พร้อมจะทำงานระหว่างเที่ยวมากที่สุด นำโด่งมาโดย “อินเดีย” (60%) รองมาคือ “ไทย” (57%) ตามด้วย “อินโดนีเซีย” (53%) และ “จีน” (47%)

สำหรับชาวไทยนั้น กลุ่มเจนเนอเรชันที่น่าจะทำงานไปด้วยระหว่างเที่ยวมากที่สุดคือ “Gen Z” (68%) แม้แต่กลุ่ม “Baby Boomers” ชาวไทยก็มีถึง (37%) ที่จะทำงานไปด้วยระหว่างเที่ยว

]]>
1454622
ยอดจอง “โรงแรม” ไทยกลับสู่ระดับ 75% เทียบก่อน COVID-19 ต่างชาติกลับมาเกินครึ่ง https://positioningmag.com/1382035 Wed, 20 Apr 2022 09:45:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382035 SiteMinder แพลตฟอร์มบริหารจัดการการจองและการตลาดโรงแรม เปิดสถิติพบว่ายอดจองห้องพัก “โรงแรม” ในไทยช่วงเดือนเมษายน 2565 กลับสู่ระดับ 75% เทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 โดย 51% เป็นการจองจากต่างชาติ แนะโรงแรมไทยปรับตัวรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่จองตรงกับโรงแรมมากขึ้น จองนาทีสุดท้ายสูงขึ้น และพร้อมปรับรับกลุ่ม Work & Holiday

บริษัท SiteMinder แพลตฟอร์มบริหารจัดการระบบการจองและการตลาดโรงแรมจากออสเตรเลีย โดยมีลูกค้ากว่า 33,000 โรงแรมใน 150 ประเทศทั่วโลก และมีสำนักงานในกรุงเทพฯ พร้อมแพลตฟอร์มที่เป็นภาษาไทย เปิดเผยข้อมูลจากการติดตามของบริษัท พบว่า อุตสาหกรรมโรงแรมไทยกำลังฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 โดยมีสะดุดไปบ้างในช่วงปีใหม่ แต่กลับมาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ช่วงตรุษจีน 2565 เป็นต้นมา

ข้อมูล ณ วันที่ 17 เมษายน 2565 การจองห้องพักของโรงแรมในไทยแตะ 75% เทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด COVID-19 (เป็นยอดจองห้องพักที่จะมีการทยอยเข้าพักในอนาคต ยังไม่ใช่อัตราการเข้าพักปัจจุบัน) และพบว่าตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 เป็นต้นมา ยอดจองห้องพักเริ่มมียอดจองจากต่างประเทศมากกว่าในประเทศแล้ว โดยคิดเป็นอัตราส่วน 51%

เทรนด์การจองห้องพักในไทยปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลกแล้วในขณะนี้

“แบรด ไฮนส์” รองประธานฝ่ายการตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท SiteMinder กล่าวว่า สถิตินี้สะท้อนให้เห็นว่าโรงแรมไทยกำลังฟื้นตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังกลับมา โดยเทียบกับช่วงก่อน COVID-19 อัตราการจองห้องพักในไทยจะมีสัดส่วนจากชาวต่างชาติราว 80%

อย่างไรก็ตาม ในช่วงฟื้นตัวจาก COVID-19 นี้ชาวไทยยังคงมีดีมานด์การท่องเที่ยวในประเทศสูง เพราะมองว่าปลอดภัยกว่าและสะดวกกว่า ทำให้สัดส่วนจากนักท่องเที่ยวในประเทศจะยังสูงกว่าในอดีต

 

นักท่องเที่ยว “เปลี่ยน” พฤติกรรมบางอย่าง

แบรดยังกล่าวถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนและมีความต้องการแบบใหม่ๆ ซึ่งโรงแรมจะต้องปรับตัวให้ทันด้วย ดังนี้

  • นักท่องเที่ยวในประเทศทำการจองแบบ ‘นาทีสุดท้าย’ สูงขึ้น – เนื่องจากลูกค้าไม่ต้องกลัวโรงแรมเต็มเพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติยังทยอยกลับเข้ามา ทำให้ไม่รีบจอง ส่วนนี้แนะนำให้โรงแรมระมัดระวังการรีบทำโปรโมชันหรือลดราคาเร็วเกินไป เพราะเกรงว่าอัตราเข้าพักจะต่ำ
  • การจองที่พักหันมา ‘จองตรง’ กับโรงแรมมากขึ้น เป็นช่องทางอันดับ 3 ที่นักท่องเที่ยวเลือกใช้ – ทำให้โรงแรมจะต้องปรับเว็บไซต์ให้การจองตรงทำได้ง่าย สะดวก หรือกรณีชาวไทยจะนิยมจองผ่านโซเชียลมีเดีย โรงแรมควรมีระบบที่ช่วยรองรับการแชทจองห้องพักได้เร็ว
  • Online Travel Agency (OTA) มีหลายแบรนด์มากขึ้น เจาะแต่ละตลาดที่ต่างกัน โรงแรมควรกระจายช่องทางขายให้ครอบคลุม OTA หลายแบรนด์ และมีการบริหารหลังบ้านที่เรียลไทม์เพื่อไม่ให้เกิดการ overbooking
(Photo : Shutterstock)
  • นักท่องเที่ยวต้องการความยืดหยุ่นในการจองห้องพัก – เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้มาตรการการเดินทางอาจปรับเปลี่ยนได้เสมอ หรือนักท่องเที่ยวอาจมีปัญหาสุขภาพจนเดินทางไม่ได้ ลูกค้าจึงมักมองหาโรงแรมที่ยืดหยุ่นในการเลื่อนวันเข้าพักหรือยกเลิกคืนเงินได้
  • เทรนด์ Work & Holiday มีสูงขึ้น – จากการ Work from Home สู่การ Work from Anywhere ทำให้กระแสการทำงานระหว่างไปเที่ยวมาแรง โรงแรมจึงควรปรับสิ่งอำนวยความสะดวกให้เหมาะกับการทำงาน ติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โต๊ะเก้าอี้ที่เหมาะกับการทำงาน และทำการตลาดถึงลูกค้ากลุ่มนี้

สำหรับบริษัท SiteMinder นั้นเป็นซอฟต์แวร์บริหารจัดการการขายและการตลาด ทำให้เชื่อมต่อการจองจากทุกช่องทางขายมาไว้ในแดชบอร์ดเดียวกัน สามารถจัดการได้ง่ายขึ้น และมีระบบตรวจสอบราคาคู่แข่งในตลาดได้เรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือทำการตลาด ปรับราคาให้เหมาะสมในการแข่งขัน พร้อมสามารถทำรายงานได้อัตโนมัติเพื่อดูศักยภาพการขายและโปรไฟล์ลูกค้า

ตัวอย่างหน้าแดชบอร์ดของ SiteMinder

เฉพาะในไทยนั้นแบรดไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า SiteMinder มีลูกค้ามากน้อยเพียงใด แต่เป้าหมายหลักของบริษัทจะเป็นกลุ่มเชนโรงแรมขนาดเล็กหรือแบรนด์ท้องถิ่น โดยจะเป็นโรงแรมขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ก็ได้ เนื่องจากโรงแรมกลุ่มนี้ต้องการซอฟต์แวร์ช่วยบริหารให้มีประสิทธิภาพ จะต่างจากเชนโรงแรมระดับโลกที่มีระบบของตัวเองที่ถูกกำหนดมาจากบริษัทแม่

แบรดยอมรับว่าในช่วง COVID-19 เป็นช่วงที่ตลาดเล็กลงเนื่องจากโรงแรมปิดตัวไปจำนวนมาก แต่หลังจากการท่องเที่ยวกลับมาฟื้น หลายโรงแรมกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง และเชื่อว่าตลาดปีนี้จะกลับมาเป็นขาขึ้น

]]>
1382035