-
หลังผ่านมรสุมมา 2 ปี “สิงห์ เอสเตท” คาดรายได้กลับมาโตมากกว่า 70% ในปี 2565 โดยจะขึ้นไปแตะ 13,400 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของภาค “ท่องเที่ยว” และธุรกิจ “โรงแรม”
-
ธุรกิจที่พักอาศัยเตรียมขึ้นโครงการ “บ้านเดี่ยว” แห่งใหม่ย่านพัฒนาการ ราคาเริ่มต้น 50-80 ล้านบาท
-
พร้อมเปิดเป้าหมายบริษัท ในรอบ 5 ปี ต้องการเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% จากธุรกิจทั้ง 4 ส่วนหลักที่วางรากฐานไว้ คือ โรงแรม, ที่พักอาศัย, ออฟฟิศ และนิคม-สาธารณูปโภค โดยจะมีการจับมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ให้มากขึ้น และเตรียมงบลงทุนไว้ 50,000 ล้านบาท
เครื่องยนต์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมือตระกูลภิรมย์ภักดี ผ่านมรสุม COVID-19 มาสองปีต่อเนื่อง เนื่องจากพอร์ตหลักเป็นธุรกิจโรงแรม ทำให้ขาดทุนสุทธิปี 2563-2564 อยู่ที่ -2,613 ล้านบาท และ -137 ล้านบาทตามลำดับ
มาถึงปีนี้ โอกาสทางธุรกิจน่าจะกลับมาสดใสขึ้น เมื่อการระบาดของ COVID-19 เริ่มผ่อนคลาย และการเดินทางท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้น “ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวย้อนถึงผลการดำเนินงานปี 2564 ก่อนว่า บริษัทสามารถทำรายได้รวม 7,739 ล้านบาท เติบโต 18% YoY ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจท่ามกลางวิกฤต COVID-19
ช่วงปีที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตทมีความคืบหน้าการดำเนินงานใน 4 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้
- ธุรกิจที่พักอาศัย สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี สามารถปิดการขายทั้งโครงการจำนวน 25 ยูนิต โดยโครงการนี้จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึงปี 2566
- ธุรกิจโรงแรม ในประเทศอังกฤษกับมัลดีฟส์ตลาดกลับมาฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ในมัลดีลฟ์สามารถทำรายได้ได้สูงกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 ส่วนในอังกฤษ สามารถทำรายได้ดีกว่าช่วงก่อนเกิด Brexit
- ธุรกิจอาคารสำนักงาน มีอัตราการเช่าเฉลี่ย 95% รวมทุกอาคาร สำหรับออฟฟิศ “สิงห์ คอมเพล็กซ์” ครบรอบ 3 ปีหลังเปิดอาคารไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 โดยบริษัทยังสามารถทำสัญญาเช่าต่อเนื่องได้ สะท้อนให้เห็นดีมานด์ของตลาดที่ยังมีอยู่
- ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน บริษัทมีการลงทุนในธุรกิจนี้เป็นครั้งแรกที่นิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง เฟสแรก 992 ไร่
ปี 2565 ขอกลับมาโตมากกว่า 70% จาก “โรงแรม” ที่กำลังฟื้นตัว
ด้านเป้าหมายธุรกิจปี 2565 ฐิติมาคาดว่าสถานการณ์จะเป็นไปในเชิงบวก โดยบริษัทมีเป้ารายได้ 13,400 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้โดยประมาณ ดังนี้
63% จากธุรกิจโรงแรม
23% จากธุรกิจที่พักอาศัย
10% จากธุรกิจอาคารสำนักงาน
4% จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
รายละเอียดแต่ละธุรกิจ “โรงแรม” ปีนี้วางเป้าโตถึง 88% คาดหวังรายได้ 8,500 ล้านบาท โดยโรงแรมในอังกฤษและมัลดีฟส์จะยังเป็นแรงส่งหลักให้กับเครือ ขณะที่โรงแรมในไทย มอริเชียส และฟิจิ เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ครึ่งปีหลัง หลังจากมีการเปิดประเทศอย่างเต็มที่
ด้านธุรกิจ “ที่พักอาศัย” บริษัทจะเติมพอร์ตบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีด้วยโครงการใหม่ย่านพัฒนาการ ราคาเริ่ม 50-80 ล้านบาทต่อหลัง มูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีพอร์ตคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ และ ดิ เอส อโศก ที่คาดว่าจะทำรายได้เพิ่ม 900 ล้านบาทในปีนี้
สำหรับ “อาคารสำนักงาน” มีอาคารที่กำลังจะแล้วเสร็จพร้อมปล่อยเช่าคือ “เอส โอเอซิส” พื้นที่เช่า 55,000 ตร.ม. ซึ่งจะเปิดบริการเดือนพฤษภาคมนี้ โดยเป็นอาคารเกรดเอ ในย่านลาดพร้าว-จตุจักร
ปิดท้ายที่ “นิคมอุตสาหกรรม-สาธารณูปโภค” นิคมเอส อ่างทอง พร้อมจะเปิดขายพื้นที่เช่าในโครงการแล้ว โดยคาดหวังยอดจำหน่ายปีแรก 15% ของเฟส หรือประมาณ 150 ไร่
เป้าหมายโตเฉลี่ยปีละ 25% มองหาพันธมิตร JV เพื่อโตไว
ฐิติมากล่าวต่อถึงเป้าหมายในอนาคต สิงห์ เอสเตท วางเป้าโตเฉลี่ยปีละ 25% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยเตรียมงบลงทุนไว้ 50,000 ล้านบาท
จากเดิมบริษัทเคยเน้นการลงทุนในโรงแรมเป็นหลัก แต่ในรอบ 5 ปี งบการลงทุนราว 60% จะเน้นการขายพอร์ตที่พักอาศัยเป็นหลักแทน
โดยบริษัทจะมีการจับมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ต่อยอดธุรกิจ 4 กลุ่มหลักที่บริษัทมี เช่น กลุ่มเวลเนส บ้านพักผู้สูงอายุ เป็นธุรกิจที่บริษัทสนใจอยู่ แต่ต้องการเฟ้นหาพันธมิตรที่สามารถร่วมดำเนินธุรกิจด้านองค์ความรู้ได้ มากกว่าแค่พันธมิตรทางการเงิน