Ring tone ตลาดดนตรีใหม่

การใช้โทรศัพท์มือถือบูมทั่วโลก ทำให้ค่ายเพลงมีตลาดใหม่ คือการขายเพลงท่อนฮุคเป็นเสียงเรียกเข้าหรือ Ring Tone

เมื่อเริ่มในตอนแรกตลาดไม่ค่อยสดใสนัก เพราะปัญหาคุณภาพเสียง ที่เปิดออกมาแล้วฟังไม่เป็นเพลง แต่ต่อมาเมื่อได้แก้ไขให้เสียงดีฟังชัด ตลาดก็โตขึ้นพรวดพราด มูลค่าตลาดยังใหญ่มาก เพราะราคาแต่ละริงสูงอยู่ที่สามดอลลาร์ หรือสองปอนด์ขึ้นไป ซึ่งคิดเป็นเงินหนึ่งเท่าตัวของการดาวน์โหลดเพลงซิงเกิลปกติ

มีการวิจัยรายงานว่า ในสหรัฐอเมริการายได้จากการขายริงโทนเพิ่มขึ้นจาก 18 ล้านดอลลาร์ในปี 2003 เป็น 375 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว จนกระทั่งผู้จัดอันดับเพลงขายดี Billboard ได้เริ่มจัดอันดับริงโทนขายดีเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และยังมีการจัดมองรางวัลริงโทนแห่งปี โดยรางวัลในปีแรกได้แก่เพลง In Da Club ของศิลปินฮิพ-ฮอพชื่อ 50 เซ็นต์

ริงโทนที่ขายดีล่าสุดในอเมริกาส่วนใหญ่เป็นศิลปินฮิพ-ฮอพ โดยตำแหน่งขายดีล่าสุดห้าอันดับแรกคือ Snoop Dogg, Ludacris, Usher, Green Day, Nelly

ในยุโรปนั้นตลาดริงโทนเกิดก่อนนานแล้ว และใหญ่กว่ามาก โดยในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปีที่ผ่านมา มียอดการดาวน์โหลดริงโทนเพิ่มขึ้นถึง 26 เปอร์เซ็นต์ มูลค่ารวมแค่สองเดือน 340 ล้านดอลลาร์ต่อปี เช่นที่ฝรั่งเศสนั้นมีค่ายเพลง Lagardre บันทึกเพลงเพื่อทำริงโทนโดยเฉพาะ ที่อังกฤษนิตยสารดนตรีดังสองเล่มคือ Q และ NME ได้จัดอันดับริงโทนเช่นกัน

ตามข้อมูลของ Consect ผู้จัดตารางริงโทนขายดี 20 ริงให้แก่บิลบอร์ด ตลาดริงโทนทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านบาทต่อปี โดยในยุโรปเป็นตลาดใหญ่ที่สุด 1.5 พันล้าน สหรัฐอเมริกา 300 ล้าน ที่เหลือกระจัดกระจายอยู่ในทวีปเอเชีย

ผู้บริโภคในตลาดริงโทนมีสองแบบ คือ ตลาดกลุ่มที่ใช้เพลงเดียว เป็นเหมือนป้ายประจำตัวของวัยรุ่น ที่ประกาศลักษณะนิสัยของตนด้วยเสียงเพลงที่คัดเลือกเป็นกริ่งโทรศัพท์ และอีกตลาดที่ชอบเปลี่ยนเพลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเพลงจากศิลปินที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งต้องมีริงโทนฮิตด้วย

ในกลุ่มที่ใช้เพลงเดียว ยังมีการเลือกใช้บริการหลายเพลงในเครื่องเดียว ที่สามารถตั้งค่าให้เสียงเพลงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคนที่เรียกเข้ามา เช่น พ่อแม่โทรมาเป็นเพลงหนึ่ง แฟนโทรมาเป็นเพลงหนึ่ง เพื่อนร่วมงานอีกเบเพลงหนึ่ง ทั้งนี้สามารถมีริงโทนได้ต่างๆ กันหลายสิบโทน ตามประสิทธิภาพของเครื่อง

เพลงริงโทนที่ขายดีในตลาดโลกนั้นเป็นเพลงเต้นรำ และเพลงฮิพ-ฮอพ โดยมีผู้ให้บริการริงโทนทางอินเทอร์เน็ต อาทิ Xingtone, odtones, Xringer และ Ringster

รวมถึง BlingTones ของ Lagardre ที่เซ็นสัญญากับโปรดิวเซอร์เพลงฮิพ-ฮอพให้ทำริงโทนเสียงเฉพาะออกขายด้วย Kazaa ที่เคยเป็นเว็บไซต์ดาวน์โหลดเพลงฟรี ตอนนี้ก็หันมาเป็นเว็บไซต์สำหรับริงโทนโดยเฉพาะ และ www.ringtones.mtv.com มีริงโทนนับพันให้เลือกฟังตัวอย่างได้

นอกจากริงโทนที่ซื้อลิขสิทธิ์มาขาย หรือแต่งเองใหม่ โดยบริษัทริงโทนแล้ว ค่ายเพลงบางค่ายก็ยังขายริงโทนเองด้วย เรียกริงแบบนี้ว่า Original Master Tones, Real Tones, True Tones

ในเครื่องโทรศัพท์มือถือไฮ-เอนด์บางรุ่น ยังสามารถให้ดาวน์โหลดเพลงทั้งเพลงเข้ามา และเลือกคัดบางท่อนเพื่อทำเป็นริงโทนก็ได้ แต่ในเครื่องโทรศัพท์มือถือราคาถูก อาจไม่สามารถเล่นริงโทนเป็นเพลงร้องได้ เล่นได้แต่เสียงดนตรีเท่านั้น

ริงโทนที่เป็นเสียงคนปกติ หรือ Voice Tones ก็เป็นตลาดย่อยที่เกิดใหม่จากวงการโทรศัพท์มือถือด้วย โดยมีทั้งการใช้เสียงคนธรรมดา และเสียงคนดัง รวมถึงมีการตัดทอนเสียงจากภาพยนตร์

ตลาดเพลงทางมือถืออีกตลาดที่กำลังเติบโตคือ Ringback Tones หรือเรียกอีกอย่างว่า Caller Tunes ซึ่งเป็นการเปิดเสียงเพลงให้ผู้รับฟังขนาดเรียกเข้า ที่กำลังได้รับความนิยมในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกาหลี และตอนนี้มีผู้ใช้งานในยุโรปแล้ว 700,000 ราย

อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้เติบโตช้ากว่าริงโทนมาก เพราะลักษณะผลิตภัณฑ์ที่อยากอธิบายให้ตลาดเข้าใจ และเจ้าของเครื่องที่จ่ายเงินซื้อสินค้าก็รับฟังเพลงเองไม่ได้ เปิดให้ฟังเฉพาะผู้โทรเข้ามาเท่านั้น

นอกจากนั้นยังมีสินค้าประเภทโหลดเต็มเพลงเข้าเครื่องมือถือ หรือ full-track downloads ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพราะติดปัญหาด้านประสิทธิภาพของเครื่องรับมือถือ ซึ่งต้องมีหน่วยความจำความจุสูงและมีฟังก์ชันใช้งานด้วย

ในงานอุตสาหกรรมแผ่นเสียงโลก หรืองาน Midem ครั้งล่าสุดที่คานส์ ความสนใจหลักของงานจึงอยู่ที่การเจรจาระหว่างบริษัทไฮเท็ค และบริษัทเพลงที่จะตกลงกันในเรื่องการให้บริการเนื้อหา ซึ่งตลาดเพลงเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของการให้บริการเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเมื่อรวมการให้บริการวิดีโอและข้อมูลด้วยแล้ว ทั้งตลาดมีมูลค่ารวมทั่วโลก 8 พันล้านในปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะสูงถึง 35 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2008

ในประเทศไทยนั้นมีการให้บริการริงโทน และขายคอนเทนต์ทางโทรศัพท์มือถือแบบอื่นๆ เช่นภาพ และวิดีโ อ อยู่ที่ราคาเพียง 15-25 บาท ซึ่งลูกค้าหลักก็เป็นกลุ่มวัยรุ่นเช่นเดียวกับตลาดโลก