มายด์แชร์ เอเยนซี่ซื้อสื่อผู้ทรงอิทธิพล

เวลานี้คงไม่มีมีเดียแพลนเนอร์รายใดที่จะทรงอิทธิพลได้เท่ากับ “มายด์แชร์” หรือ กรุ๊ปเอ็ม ได้อีกแล้ว จากการมีลูกค้ามาอยู่ในมือได้ถึง 75 %ของตลาด เนื่องจากลูกค้าในมือของมายด์แชร์ล้วนแต่เป็นแบรนด์สินค้าและบริการชั้นนำ เช่น ยูนิลีเวอร์ เนสท์เล่ ทั้งสองรายก็ใช้งบโฆษณาหลายพันล้านบาทต่อปี

แม้แต่สินค้าประเภทเดียวกันอย่างโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อย่างโนเกีย โมโตโรล่า ซัมซุง ต่างก็เลือกใช้มายด์แชร์วางแผนซื้อสื่อให้ โดยมายด์แชร์ใช้วิธีมอบหมายให้บริษัทลูกแยกกันดูแลลูกค้าแต่ละราย

ลูกค้ารายใหญ่ที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของมายด์แชร์ คือ การได้ยูนิลีเวอร์ ซึ่งได้เปลี่ยนมาใช้บริการของมายด์แชร์เริ่มตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา โดยยูนิลีเวอร์นั้นใช้งบโฆษณาปีละ 2,000 ล้านบาท จากสินค้า 20 แบรนด์

มีการประเมินว่า กรุ๊ปเอ็ม หรือมายด์แชร์นั้น สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 75% ของวงเงินที่ใช้ในการวางแผนสื่อทั้งตลาด
ด้วยการที่ครอบรองลูกค้าในมือจำนวนมาก ทำให้มายด์แชร์มีอำนาจในการต่อรองในการทำหน้าที่ซื้อเนื้อที่โฆษณาจาก “สื่อ” ต่างๆ สูงมาก ทำให้สื่อค่ายใหญ่ต่างก็ต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ที่มายด์แชร์ กำหนด ทั้งการต่อรองการขอส่วนลด และยังได้รับสิทธิ์ในการจับจองพื้นที่ของสื่อได้ก่อนเอเยนซี่ค่ายอื่น

สาเหตุที่ทำให้มาย์แชร์ เติบโตกลายมาเป็น “พี่ใหญ่” เนื่องมาจากการที่บริษัทแม่ คือ WPP Group ได้รวมเอาบริษัทลูกที่ทำธุรกิจวางแผนสื่อ 4 แห่งเข้ามาไว้ด้วยกัน คือ MindShare (มายด์แชร์) บริษัท Mediaedge:cia (มีเดียเอจ) บริษัท MediaCom (มีเดียคอม) และ Maxus (แมกซัส) จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น กรุ๊ปเอ็ม

การรวมธุรกิจในครั้งนั้น ทำให้กรุ๊ปเอ็มสามารถรับลูกค้าที่เป็นประเภทเดียวกันโดยไม่มีปัญหาเรื่องความลับธุรกิจ ขณะเดียวกันมาย์แชร์ก็หาวิธีการใหม่ๆ มาใช้ในการซื้อสื่อ เพื่อให้สอดคล้องกับการทำตลาดของสินค้าและบริการที่มีความซับซ้อน และต้องสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

สำหรับกรุ๊ปเอ็มมียอดบิลลิ่ง 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2006 ครองส่วนแบ่งตลาด 17.5% ของวงเงินธุรกิจทั่วโลก โดยมีสำนักงาน 402 แห่งใน 81 ประเทศ และมีทีมงาน 14,000 คนทั่วโลก